เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์สุดยอดของ Apple ที่น่าสนใจทีเดียวกับ?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน จากเมื่อปี 2012 ก็ได้มีการนำเสนอโน๊ตบุ๊คหน้าจอความละเอียดสูงตัวแรกของโลก ณ เวลานั้นกับ MacBook Pro Retina 15 [Mid 2012] ความละเอียดระดับ Retina Display ที่?2880 x 1800 พิกเซล บนหน้าจอขนาด 15.4 นิ้ว ที่ใช้เป็นพาเนลคุณภาพสูงอย่าง IPS เพื่อให้ได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด
มาในตอนนี้ก็ถือเวลาแล้วที่ Apple จะนำเสนอ?MacBook Pro Retina 15 รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมการอัพเดทสเปกภายในให้มีความทันสมัยมากกว่าเดิม ด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 4 (หรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือชื่อ Haswell) ที่จัดเต็มมากับกราฟิกภายใน Intel Iris Pro HD 5200 ที่ให้ความแรงระดับกราฟิกการ์ดแยกทีเดียว?นอกจากนี้ในส่วนของรุ่นตัวท๊อป ยังมีกราฟิกการ์ดแยกจริงๆ อย่าง NVIDIA GeForce GT 750M ?รวมไปถึงยังมีแรมให้มาถึง 16GB และ SSD ความจุสูง 512GB ที่สำคัญ OS X นั้นก็เป็นรุ่นล่าสุดอย่าง Mavericks อีกด้วย
Introducing VDO
วีดีโอแนะนำ?MacBook Pro Retina 15 อย่างเป็นทางการจากทาง Apple เมื่อปี 2012 ยังไงสามารถดูประกอบได้ครับ เพราะโดยรวมแล้ว MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ?ยังคงรูปแบบเดิมไว้อยู่ จะเปลี่ยนก็แค่สเปกและประสิทธิภาพภายในเท่านั้น
?
Specification
MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ MacBook Pro with Retina Display 15 [Late 2013] ที่ถือได้ว่าเป็น MacBook Pro Retina 15 รุ่นที่ 3 แล้ว โดยหลักๆ แล้วเป็นการเปลี่ยนสเปกหรือคุณสมบัติข้างใน ซึ่งก็คือเปลี่ยนมาใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 4 ?(Haswell) รวมไปถึงในส่วนของ SSD ก็เปลี่ยนมาใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อที่เร็วยิ่งขึ้นกว่าเท่าตัว จากเดิมที่เป็น mSATA ก็เป็น PCIe ที่สำคัญพอร์ตความเร็วสูง Thunderbolt ก็หันมาใช้เป็นเวอร์ขั่น 2 และการเชื่อมต่อไร้สายก็เป็น?802.11ac แบบมาตรฐานล่าสุดอีกด้วย
โดย MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ยังมีความละเอียดสูงที่ 2880 x 1800 พิกเซล แต่เวลาใช้งานจริงจะมีพื้นที่ 1440 x 900 พิกเซลเหมือนรุ่นก่อนหน้า (ปรับได้เองตามความเหมาะสม) ซึ่งผลที่ได้ก็คือหน้าจอได้ให้ทั้งความคมชัดที่เหนือกว่าหน้าจอทั่วๆ ไป รวมไปถึงสีสันที่สวยจริงอย่างที่สุดด้วยพาเนลคุณภาพสูง IPS เพราะที่ผ่านมา MacBook Air หรือ MacBook Pro รุ่นก่อนๆ ได้ใช้เพียงพาเนลแบบ TN ที่คุณภาพสูงเท่านั้นแน่นอนว่ายังสู้ IPS ไม่ได้ และส่วนของ iMac เองถึงว่าจะใช้พาเนลหน้าจอ IPS อยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีเทคโนโลยี Retina Display อยู่ดี จึงเรียกได้ว่า MacBook Pro Retina นั้น ปัจจุบันเป็นผลิตภัณฑ์ Mac รวมไปถึงเป็นคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15 นิ้ว ที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในเรื่องของการแสดงผลก็ว่าได้ ซึ่งมีอยู่ 2 สเปกด้วยกันคือ?
- Intel Core i7-4702MQ?/ Iris Pro graphics 5200 /?RAM 8GB / SSD 256GB?ราคา 66,900 บาท
- Intel Core i7-4850HQ?/?Iris Pro graphics 5200 + GeForce GT 750M?/?RAM 16GB / SSD 512GB?ราคา 86,900 บาท
รุ่นที่ทีมงานของเรานำมารีวิวนั้นเป็น MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] รุ่นท๊อป ราคา 86,900 บาท โดยเป็นเครื่องที่ผู้เขียนซื้อมาใช้งานเอง จากการสั่งออนไลน์ Apple Store ที่มีการติดตั้งชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7-4850HQ?ความเร็ว 2.3GHz ที่มีความสามารถในการเร่งความเร็วไปได้ถึง 3.5GHz ซึ่งเป็นซีพียูแบบ 4 คอร์ 8 เทรด ที่มีประสิทธิภาพการใช้งานที่จัดได้อยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม รองรับการใช้งานทุกประเภท นอกจากนี้กราฟิกการ์ดยังเป็นแบบออนบอร์ดที่ติดมากับชิปประมวลผลอย่าง Iris Pro graphics 5200?ที่จัดได้ว่ามีสมรรถนะพอตัว (ระดับกราฟิกการ์ดแบบแยก) ที่สำคัญยังมีกราฟิกการ์ดแบบแยกจริงๆ อย่าง NVIDIA GeForce GT 750M แรมขนาด 2GB มาให้ ในส่วนของ?SSD มีความจุ 512GB และแรมขนาด 16GB อีกทั้งในส่วนของการเชื่อมต่อก็ยังครบครัน (ตามสไตล์ Mac ) ทั้ง USB 3.0, Thunderbolt 2, WiFi 802.11ac?และ Bluetooth 4.0 ซึ่งถ้าใครต้องการอัพเกรดซีพียู แรม และ SSD อีก ก็สามารถทำได้ แต่แน่นอนว่าราคาก็ต้องเพิ่มขึ้น
Hardware / Design
โดยด้านดีไซน์การออกแบบ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปมาก ถ้าเทียบจาก MacBook Pro Retina รุ่นปีที่แล้ว หรือเรียกง่ายๆ ว่าถอดแบบมาจาก MacBook Pro Retina 15 เดิมๆ ก็ว่าได้ โดยมีความบางเกือบจะเท่า MacBook Air และน้ำหนักเบากว่า MacBook Pro 15 พอสมควร วัสดุในการผลิตอย่างอะลูมิเนียมอัลลอยด์แบบเดิมที่ให้ความสวยงามและผิวสัมผัสที่ดี
รวมทั้งยังใช้เทคโนโลยีการผลิตรูปแบบ Unibody อย่าง MacBook Pro รุ่นผ่านๆ มา โดยทั้งเครื่องประกอบจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์เพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ซึ่งก็ถือได้ว่า Unibody เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าคู่แข่งในเรื่องของการออกแบบให้มีความบางแต่ยังคงมีความแข็งแรงอยู่ ด้วยความที่ว่าต้องลงทุนสูงด้วยค่าเครื่องจักรตัดโลหะด้วยคอมพิวเตอร์ CNC ประกอบกับปริมาณในการผลิตต่อวัน ไม่สามารถผลิตได้จำนวนมาก ทำให้จำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม ซึ่งทาง Apple เองก็สามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตมีต้นทุนที่ไม่สูงมากแต่สามารถจำหน่ายได้ราคา ซึ่งเป็นอะไรที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ นำไปทำตามได้ยาก
ดีไซน์การออกแบยังคงเน้นในเรื่องของความบางเบากว่าโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้วทั่วๆ ไป ด้วยความบางและน้ำหนักที่ถือว่าเท่าเดิมเหมือนเดิมซึ่งทำได้ดีอยู่แล้ว โดยตัวเครื่องมีความบางเพียง 18 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักที่ 2.02 กิโลกรัมเท่านั้น ในส่วนของมิติเครื่องก็ยังมีขนาดที่เท่าเดิม และที่ขาดไม่ได้เลยของ MacBook ก็คือโลโก้ Apple ที่สามารถเปล่งแสงได้ตามความสว่างของหน้าจอ (อาศัยไฟ Backlight จากหลอด LED ในจอ)?
มาต่อกันที่ด้านล่างตัวเครื่องของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] จะเห็นว่า เหมือนกับ MacBook Pro Retina 15 รุ่นปี 2012 และแทบไม่ต่างจาก MacBook Air หรือ MacBook Pro เลย แต่ถ้ามามองกันให้ดีๆ จะเห็นความแตกต่างอยู่บ้าง อย่างการที่ย้ายคำว่า MacBook Pro มาอยู่ด้านล่าง โดยส่วนที่เป็นสี่ดำกลมจะเป็นยางรองตัวเครื่องทั้ง 4 ด้าน สำหรับส่วนของน็อตก็เป็นแบบพิเศษเช่นเดียวกับตัว MacBook Air, MacBook Pro Retina 13
นอกเหนือจากนี้ MacBook Pro Retina 15 บริเวณใต้เครื่องด้านข้างซ้ายและขวา ยังมีการออกแบบให้มีช่องทางของการดูดอากาศเย็นเข้า เพื่อเป็นตัวช่วยในการระบายความร้อนให้ดียิ่งขึ้น ประกอบกับใช้พัดลมระบายความร้อนข้างในเครื่องจำนวน 2 ตัว ในการท่ายเทความร้อนออกไปจากช่องทางใต้หน้าจอ เรียกได้ว่า MacBook Pro Retina 15 รุ่นนี้เป็นตัวแรกที่ทาง Apple ส่งระบบระบายความแบบนี้ออกมา จากที่ก่อนหน้านี้จะใช้ระบบดูดอากาศเย็นจากช่องทางใต้คีย์บอร์ด อีกทั้งพัดลมระบายความร้อนยังมีการออกแบบมาพิเศษเพื่อนช่วยลดเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นเมื่อเครื่องอยู่ในสถานะการการทำงานหนักจากการที่พัดลมทำงานรอบสูง ที่โดยปกติแล้วถ้าใช้งานทั่วไปพัดลมจะอยู่ที่ 2,000 รอบต่อนาที และถ้าทำงานหนักจะอยู่ที่สูงสุดคือ 6,000 รอบต่อนาที ซึ่งเมื่อใช้งานจริงในเรื่องของเสียงรบกวนถือว่าลดลงไปพอสมควร (แต่ยังได้ยินขัดเจนอยู่)
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ด MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ยังได้คงรูปแบบเดิมไว้ซึ่งก็ถือว่าทำไว้ดีอยู่แล้วเช่นกันตามสไตล์ของ Mac กับคีย์บอร์ด 4 แถวขนาด Full Size อีกทั้งด้านการใช้งานในการพิมพ์ ก็ยังตอบสนองได้เป็นอย่างดีทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วและช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำในการกด รวมทั้งแป้นก็เด้งกับนิ้วเมื่อกดลงไปอย่างพอดี ที่สำคัญมาพร้อมกับไฟส่องสว่างคีย์บอร์ด หรือหลายๆ คนอาจจะเรียกว่า Backlit Keyboard ที่สามารถใช้งานจริงได้สมบูรณ์แบบ ไม่แยงตาอย่างโน๊ตบุ๊คบางรุ่นบางยี่ห้อ
และสามารถปรับระดับไฟได้ตามต้องการของลักษณะแสงและ Ambient light sensor คอยปรับความสว่างไปอัตโนมัติอย่างนุ่มนวลทั้ง Backlit Keyboard และความสว่างของหน้าจอ ส่วนด้านบนของแป้นคีย์บอร์ดที่เป็นปุ่ม F1-F12 จะเป็นปุ่มฟังก์ชุ่นการทำงานพิเศษ อาทิเช่น การปรับความสว่างหน้าจอ เพิ่มเสียงลดเสียง และเรียกใช้งาน Mission Control, Launchpad & Dock ซึ่งมีข้อสังเกตอยู่ว่าปุ่ม Power ได้ย้ายมาอยู่ตำแหน่งของ Eject เดิม (มุมซ้ายบนสุดของคีย์บอร์ด) จากการที่ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ่ม Eject แล้วในตัวของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ไม่มี Super Drive
ทัชแพด หรือใน Mac จะเรียกว่า Trackpad ยังคงมีลักษณะรูปแบบหน้าตาเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งในเรื่องของสัดส่วนขนาด ที่เป็นวัสดุที่ทำออกมาได้ดี สามารถลากนิ้วได้ลื่น ไม่เกิดอาการสะดุดหรือหน่วงใดๆ ซึ่งจากการใช้งานจริง พบว่าสามารถตอบสนองการใข้งานได้เป็นอย่างดี ทั้งในการใช้งานแบบปกติหรือใช้งานฟังก์ชันการทำงานแบบ Multi-Touch Gesture จริงๆ อย่างที่ทัชแพดควรจะเป็นในโน๊ตบุ๊คทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานตั้งแต่ 1 นิ้ว ไปจนถึง 5 นิ้ว ก็มีให้ใช้งานได้ครบถ้วนในระบบปฏิบัติการ OS X
Screen / Speaker
MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] เป็นหน้าจอแบบไร้ขอบ ซึ่งมีข้อดีก็คือไม่มีฝุ่นผงอะไรไปติดตามขอบจอทำให้ดูสกปรกง่ายๆ อีกทั้งขอบจอยังมีการเลือกใช้เป็นสีดำ นั่นก็เป็นเพราะว่าทาง Apple อยากให้หน้าจอนั้นดูว่ามีพื้นที่ใหญ่กว่าความเป็นจริง ประกอบกับหน้าจอของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] นี้เป็นแบบ Glare หรือจอกระจกด้วยการใช้กระจกเพียงชิ้นเดียวกั้นหน้าจอเอาไว้ ที่ให้มีสีสันที่สดใสและแสงสะท้อนที่เกิดขึ้นมีน้อย เทียบกับโน๊ตบุ๊คที่เป็นจอกระจกด้วยกันจะเห็นได้ชัดว่า มีการสะท้อนแสงที่น้อยกว่าพอสมควร ซึ่งถ้าใครกังวลเรื่องแสงสะท้อน ก็สามารถไปชมตัวจริงกันก่อนได้เลย
กล้องเว็บแคมหรือที่ทาง Apple เรียกว่า FaceTime HD camera มาพร้อมกับความละเอียด 720P ที่ให้ความคมชัดกว่า MacBook รุ่นก่อนๆ เรียกได้ว่าสามารถรองรับการใช้งานในเรื่องของ VDO Call หรือถ่ายรูปตัวเองจากกล้องเว็บแคมใน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ได้เป็นอย่างดีทีเดียว ที่น่าสนใจก็คือด้านข้างของกล้องยังได้มีการติดตั้ง Ambient light sensor ไว้ทำหน้าที่ในการตรวจสภาพปริมาณแสงรอบๆ เพื่อคอยปรับความสว่างหน้าจอและคีย์บอร์ดให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ อย่างที่กล่าวไปแล้วในส่วนของคีย์บอร์ด
สำหรับบานพับของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ดูแล้วค่อนข้างเหมือนเดิมก็คือเป็นแบบแกนเดียวที่ให้ความแข็งแรงเมื่อใช้งานและไม่หลวมหรือคลอนง่ายๆ เมื่อใช้งานไปนานๆ แต่ความจริงแล้วในเรื่องของการออกแบบดีไซน์ได้เปลี่ยนไปนิดหน่อยจาด MacBook Pro 15 สังเกตุได้ว่ามีขนาดเล็กลงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มพื้นที่ในช่องว่างของช่องทางระบายความร้อนให้มีมากกว่าเดิม แต่ในการใช้งานจริงเรื่องการปิดเปิดบานพับก็ยังคงแน่นไม่ต่างไปจากเดิมเลย ประกอบกับทาง Apple ยังได้มีการติดตั้งแม่เหล็กไว้บริเวณขอบฝาด้านบนไว้สองตำแหน่งทั้งซ้ายและขวา เพื่อให้ตัวเครื่องและฝาประกบกันสนิท แต่ก็ไม่ถืงกับทำให้เปิดฝาขึ้นมาใช้งานลำบากแต่อย่างใด
รูปแบบตำแหน่งลำโพงในตัวเครื่องก็เหมือนเดิม คือจะเป็นลำโพงแบบสเตอริโอซ้ายขวาข้างๆ คีย์บอร์ด ที่จากการทดลองใช้งานจริง พบว่าเป็นลำโพงที่มีคุณภาพให้เสียงที่ค่อนข้างดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมทีเดียว จะบอกว่าเป็นลำโพงของ MacBook ที่ให้เสียงที่ดีที่สุดก็ว่าได้ เพราะทั้งเสียงแหลม เสียงกลางสามารถทำได้ดี รวมไปถึงเสียงทุ้มที่ก็มีมาให้ ถือว่าอาจจะไม่หนักแน่นมากแต่ก็ครบถ้วน ลักษณะเสียงออกไปแนวกว้างๆ โดยส่วนตัวแล้วชอบมากๆ ทีเดียว ซึ่งในลำโพงทางด้านซ้ายจะมีการติดตั้งชุดไมค์ไว้พร้อมใช้งานแล้ว
Screen Angle
คุณภาพหน้าจอของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?เครื่องนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นการติดตั้งพาเนลจอแบบ IPS มาให้ ซึ่งถือว่าเป็นพาเนลมาตรฐานสำหรับโน๊ตบุ๊คหรือ Ultrabook ระดับสูงในปัจจุบัน โดยการเลือกใช้พาเนลหน้าจอคุณภาพสูงระดับมืออาชีพอย่าง IPS (In-Plane Switching) ที่จัดได้ว่าพาเนลหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีคุณภาพดีที่สุด ที่ให้ทั้งสีสันที่ตรง ความกว้างของช่วงสีสันที่มาก ส่งผลให้สีสันที่แสดงออกมาจากหน้าจอนั้นมีความสมจริงอย่างที่สุด ประกอบกับการที่มีมุมมองที่กว้างมากๆ เกือบ 180 องศาเลยทีเดียว รวมไปถึงด้วยความที่เป็นหน้าจอ Retina Display ความละเอียด 2880 x 1800 พิกเซล บนขนาดหน้าจอ 15.4 นิ้ว ทำให้รอยยักต่างๆ ที่เกิดขึ้นแทบจะมองไม่เห็นทีเดียว?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ???
ด้านของมุมมองจากฝั่งซ้ายและขวาจะเห็นว่ายังสามารถมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนแต่ความสว่างหน้าจอจะลดลงไปบ้างเล็กน้อยแต่ผู้ใช้คนที่สองและสามก็ยังสามารถมองเห็นหน้าจอได้ดีไม่แพ้ผู้ใช้คนแรกที่อยู่ตรงกลางหน้าจอ ถือว่าหน้าจอที่ติดตั้งมาให้ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?เครื่องนี้มีมุมมองที่กว้างใช้ได้ทีเดียว แต่ก็อาจจะมีลักษณะที่แสงจะลดลงไปบ้าง
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ??
รวมถึงแบบมุมก้มมุมเงยหน้าจอของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ผลที่ได้ก็คือ สีสันที่เรามองเห็นนั้นให้สีสันที่ตรง ไม่เกิดอาการสีเพี้ยนที่หน้าจอแต่อย่างใดเลย (แต่ก็มีปริมาณแสงลดลงไปเช่นกัน) แน่นอนว่าโน๊ตบุ๊คน้อยเครื่องน้อยรุ่นนักที่จะสามารถทำได้แบบนี้ และเรียกได้ว่าประสิทธิภาพในการแสดงผลนั้นเหนือกว่าโน๊ตบุ๊คหรือ Ultrabook ที่มีจำหน่ายในตลาดตอนนี้ทีเดียว
Retina Display
สำหรับในส่วนของเทคโนโลยี Retina Display ก็จะยังมีในเรื่องของความละเอียดที่สูง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือมีความหนาแน่นของพิกเซลที่สูง โดย MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] มีความละเอียดหน้าจอที่สูงถึง 2880 x 1800 พิกเซล หรือถ้าให้เทียบเป็นจำนวนพิกเซลก็จะอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล (ความละเอียด Full HD อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล เทียบได้คือ 2 ล้านพิกเซล) ในขนาดหน้าจอ 15.4 นิ้ว ส่งผลให้มีความหนาแน่นของพิกเซลที่สูงถึง 220 ppi (Pixels per inch) หรือเรียกง่ายๆ คือ มี 220 จุดต่อหนึ่งตารางนิ้ว ส่งผลให้การใช้งานมีความคมชัดที่สูงกว่าหน้าจอปกติทั่วไป ลักษณะคล้ายๆ กับการที่เราใช้ iPhone 5, 5S หรือ iPad Air, iPad mini Retina ที่แทบไม่เห็นเม็ดพิกเซล หรือรอยหยักเลย ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการขยายภาพที่มีความละเอียดสูงๆ และการขยายตัวอักษรก็ทำให้มีความคมชัดอย่างที่สุด
ซึ่งในส่วนหลักการของการแสดงผลบน?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] จะเป็นการแสดงผลความละเอียดเสมือนสเกลที่ 1440 x 900 พิกเซล เหมือน MacBook Pro 15 ซึ่งความจริงแล้วใช้ความละเอียดที่ 2880 x 1800 พิกเซล หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการเพิ่มความหนาแน่นเข้าไปถึง 4 เท่าในความละเอียดของหน้าจอที่เท่าเดิม?ถ้าเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ก็คงยกตัวอย่าง อย่างเกม 3 มิติ ที่ใช้ความละเอียดที่ต่างกัน ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อปรับความละเอียดให้สูงกว่าปกติ (จาก HD เป็น Full HD) ภาพในเกมนั้นจะมีความคมชัดมายิ่งขึ้น ลดหยักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครหรือฉากจะลดลงไป แต่ขนาดของภาพเองจะมีขนาดเท่าเดิมนั่นเองครับ
ซึ่งวิธีการที่ระบบใช้ในการปรับสเกลภาพนั้น ไม่ได้ใช้การอัพสเกลภาพแบบปกติ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาพแตกและไม่สวยงาม?แต่ Apple ได้เลือกใช้อีกวิธีหนึ่ง ในที่นี้ขอยกตัวอย่างในกรณีของการปรับความละเอียดการสเกลเป็น 1920 x 1200 พิกเซล ที่ตัวกราฟิกการ์ดจะใช้การเรนเดอร์ภาพขึ้นไปที่ความละเอียดสูงถึง 3840 x 2400 พิกเซล (9.2 ล้านพิกเซล) จากนั้นก็ดาวน์สเกลลงมาให้พอดีกับความละเอียดจอ 2880 x 1800 พิกเซล เพื่อให้สามารถแสดงผลภาพได้อย่างชัดเจน?ถ้านำมาเทียบกับการเรนเดอร์ภาพที่ความละเอียด 1920 x 1200 พิกเซล จะพบว่าการ์ดจอต้องทำงานหนักขึ้นถึง 4 เท่าด้วยกัน แต่เมื่อทดลองใช้งานก็ยังให้ความที่ลื่นไหลอยู่ เรียกได้ว่า Apple เองได้รีดการทำงานของกราฟิกแบบสุดๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Apple ถนัดและทำมาโดยตลอดมาอยู่แล้ว
แน่นอนการใช้งานจริงๆ ของ Retina Display จะเห็นผลได้ชัดเจนเมื่อมีซอฟต์แวร์มารองรับ อย่างในตอนนี้เว็บเบราเซอร์อย่าง Safari ของ Apple เอง และ Chrome ของ Google ก็ได้รองรับในส่วนนี้แล้ว ซึ่งทำให้ตัวอักษรที่แสดงออกมามีความคมชัดกว่าหน้าจอปกติ และยิ่งเมื่อขยายก็จะเห็นว่าความคมกริบ เพราะหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดจะเป็นการเรนเดอร์ภาพขึ้นมาสดๆ ณ ตอนนั้น แต่สำหรับในส่วนของภาพอาจจะมีความเบลอหรือแตกไปบ้าง จากการที่ภาพในเว็บไซต์ส่วนมากจะมีขนาดที่ไม่ใหญ่โตมากนัก ซึ่งก็ถือว่าให้ประสบการณ์ใช้งานได้ค่อยข้างน่าประทับใจ
โดยถ้าจะพูดกันตามการใช้งานจริงๆ แล้วนั้น?เทคโนโลยี Retina Display อาจจะไม่ได้มีประโยชน์มากมายอะไรนักในการใช้เว็บบราวเซอร์ นอกเหนือจากการให้ประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป แต่มีประโยชน์สำหรับงานบางประเภทอย่างเช่นการตกแต่งภาพ การตัดต่อวีดีโอ หรืองานด้านเขียนแบบ ที่ถ้าใครซื้อไปใช้งานประเภทนี้รับรองว่าได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จาก Retina Display แน่นอน?หรือใครมีงบประมาณในการซื้อที่สูง รวมไปถึงอยากได้เทคโนโลยีการแสดงผลสุดล้ำ แต่เอาไปแค่ใช้งานทั่วไป อันนี้ถ้าจะซื้อจริงๆ ก็คงไม่มีใครว่าอะไรนะครับ ซึ่งจากการถามคนรอบข้างบอกคนที่เป็นผู้ใช้งานทั่วไป (ย้ำว่าทั่วไปจริงๆ) ก็พบว่าเทคโนโลยี Retina Display ไม่มีผลอะไรเลยกับการใช้งาน นอกเสียจากจอที่สีสวยขึ้นเท่านั้น (เพราะพาเนลเป็น IPS)
ใน OS X 10.9 Mavericks จะมีส่วนของซอฟต์แวร์ไว้ปรับค่าสเกลของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ตัวนี้กัน โดยราคาสามารถเลือกว่าให้เป็น Best for Retina display ได้ทันที ซึ่งในการแสดงผล ก็จะเป็นสเกลความละเอียดที่ 1440 x 900 พิกเซล แต่ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าความละเอียดจริงๆ ก็คือ 2880 x 1800 พิกเซลครับ
หรือกรณีถ้าเราต้องการย่อขยายสเกลด้วยตนเองก็สามารถทำได้ง่ายๆ ซึ่งถ้าเลือกเป็น Best (Retina) สเกลความละเอียดก็จะเป็น 1440 x 900 พิกเซล โดยสามารถปรับสเกลความละเอียดได้ตั้งแต่ 1024 x 640 พิกเซล ไปจนถึง 1920 x 1200 พิกเซลเลยทีเดียว
ตัวอย่างการแสดงสเกลตามหน้าเว็บไซต์ notebookspec.com ก็จะเป็นไปตามนี้ที่สเกลความละเอียด 1440 x 900 พิกเซล
หรือถ้าปรับสเกลให้เสมือนการแสดงผลที่ความละเอียด 1024 x 600 พิกเซล ก็จะเป็นอย่างภาพซ้าย และภาพขวาก็จะเป็นการสเกลที่ความละเอียด 1280 x 800 พิกเซลครับ
ต่อมาภาพทางซ้ายก็จะเป็นการสเกลที่ความละเอียด 1680 x 1050 พิกเซล และภาพขวาก็จะเป็นความละเอียด 1920 x 1200 พิกเซล ในส่วนของสเกลความละเอียดนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะงานที่ใช้นะครับ ถ้าต้องการขยายใหญ่ก็เลือกที่สเกลความละเอียดต่ำ และถ้าต้องการใช้พื้นที่มากๆ ก็ให้เลือกเป็นสเกลความละเอียดสูงๆ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามความละเอียดที่แท้จริงแล้วจะเป็น 2880 x 1800 พิกเซลเสมอครับ
ไหนๆ ก็เป็น MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอแบบสุดยอดแล้วทางทีมงานเลยถือโอกาสทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง?Spyder3Elite?พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งเมื่อคาลิเบรตแล้วเราก็เลือกโปรไฟล์ที่เราได้คาลิเบรทเอาไว้ (ตามภาพใช้ชื่อว่า Apple Color LCD-1)
ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น แต่ในส่วนของสีสันหรืออุณหภูมิสีไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด (หรือเปลี่ยนแปลงน้อยมากจนมองไม่เห็นความต่างที่เกิดขึ้น) สำหรับผลทดสอบอื่นๆ สามารถชมได้ตามภาพด้านล่างนี้เลยครับ
ภาพนี้จะแสดงให้เห็นถึงหน้าจอ Retina Display ใน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ตัวนี้ ให้ความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับ มาตรฐาน sRGB ที่ 16.7 ล้านสีจริงๆ ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง ?นั้นทาบกับเส้นที่เขียวของ sRGB เลยทีเดียว เรียกได้ว่าหน้าจอโน๊ตบุ๊คทั่วไปน้อยเครื่องนักที่จะแสดงสีสันได้มาตรฐานขนาดนี้ (ถ้าจะมีคงเป็นโน๊ตบุ๊คระดับ Work Station)
ภาพนี้จะแสดงเป็นตารางที่จะบ่งบอกถึงค่าความสว่างต่อคอนทราสต์ที่ได้ อย่างแรกที่เห็นก็คือความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 nits ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊ค ต่อมาก็จะแสดงให้เห็นถึงการแสดงสีดำที่ไม่มีความดำสนิทตั้งแต่ปรับความสว่างที่ 50% ขึ้นไป โดยจริงๆ แล้วคงเป็นของจำกัดของเทคโนโลยีหน้าจอ LED ดี ?ถัดมากับค่าของคอนทราสต์ ที่จะแสดงได้ดีที่สุดเมื่อปรับค่าความสว่างที่ 50% ขึ้นไป โดยมีค่าคอนทราสตเรโช (Contrast Ratio) อยู่ที่ 760 : 1 ที่อยู่ในเกณฑ์ของมาตรฐานหน้าจอระดับสูง สุดท้ายกับอุณหภูมิสี (สมดุลย์แสงสีขาว) ที่ให้สีขาวที่ขาวจริงๆ ที่ 6500 องศาเคลวิน แต่ก็มีเพี้ยนบ้างเมื่อปรับไปที่ความสว่างสูงสุดที่ 100%
ปิดท้ายกับการทดสอบหน้าจอของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ด้วยการวัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด นับเป็นความเพี้ยนของความสว่างที่ 0% ที่จะเห็นได้ว่าขอบจอด้านบนและด้านข้างมีความเพี้ยนของความสว่างที่เล็กน้อยอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ แต่สำหรับขอบจอด้านล่างเหมือนจะมีมากไปซะหน่อย ยิ่งในส่วนของขอบจอล่างด้านข้างยิ่งอาการหนัก เพราะความสว่างลดลงไปถึง 13% ที่ต้องบอกก่อนว่าทุกๆ หน้าจอมอนิเตอร์ย่อมเป็นปัญหานี้อยู่แล้ว ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ครับ (แต่ละเครื่องของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ก็คงให้ค่าที่ไม่เท่ากัน แต่ก็คงใกล้เคียงกัน ถ้าอยากรู้ว่าหน้าจอโน๊ตบุ๊คของเรานั้นมีสถานะแบบใด คงต้องหาอุปกรณ์มาทำการทดสอบกันดู)
Connector / Thin And Weight
MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] จากด้านข้าง เราจะเห็นถือความบางเฉียบที่มีมากกว่าโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้วทั่วไปพอสมควร เรียกได้ว่าเทียบกับ MacBook Air หรือ Ultrabook ในบางรุ่นได้อย่างสบายๆ ทีเดียว ซึ่งในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อของตัว MacBook Pro Retina 13 ที่ตามภาพจะเป็นด้านซ้าย ประกอบไปด้วย ช่องเสียบสายชาร์จไฟ Magsafe 2 ที่มีรูปแบบที่บางลงกว่า MacBook Pro และ MacBook Air ตัวก่อนปัจจุบัน มีลักษณะพิเศษคือ เป็นแม่เหล็กดูดติดกับเครื่อง เรียกได้ว่ามีความปลอดภัยในการใช้งานสูงหากเราไม่สะดุดสายไฟ ตัวเครื่องก็จะไม่ตกลงมา ซึ่ง Magsafe เป็นสิทธิบัตรของ Apple เพียงรายเดียว ฉะนั้นแล้วเราจะเห็นที่ชาร์จแบบนี้ได้ ก็จะมีเพียง MacBook เท่านั้น ในการใช้งานหากไฟแบตเตอรี่เต็มจะมีไฟแสดงสถานะเป็นสีเขียว แต่ถ้าหากกำลังชาร์จไฟก็จะเป็นสีส้ม
ถัดมาก็จะเป็นช่องเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt เวอร์ชั่น 2 ที่มีการติดตั้งมาให้ถึง 2 ช่องทางด้วยกัน ที่นอกเหนือจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นช่องทางการแสดงผล Display Port ได้อีกด้วย สำหรับพอร์ต USB 3.0 ด้านซ้ายนี้ได้มีใส่มาจำนวน 1 ช่อง และพอร์ตหูฟังที่รองรับการเชื่อมต่อไมค์ขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตรในตัวอีกหนึ่งช่องด้วยกัน นอกเหนือจากนี้ไมโครโฟนจำนวน 2 ตัวยังได้อยู่ติดตั้งบริเวณนี้อีกด้วย
ด้านข้างทางขวาก็จะเป็นในส่วนของช่องอ่านการ์ดที่รองรับการ์ดความจำยอดนิยมอย่าง SD Card, SDXC Card ที่ใช้ในกล้องดิจิตอลปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นคอมแพ็คหรือ DSLR อีกทั้ง Apple ยังได้ติดตั้งพอร์ตแสดงภาพดิจิตอล HDMI มาให้เหมือนอย่างโน๊ตบุ๊คทั่วๆ ไป ส่งผลให้ MacBook Pro Retina [Late 2013] นี้มีช่องทางการแสดงผลดิจิตอลถึง 3 ช่องทางด้วยกัน สุดท้ายกับพอร์ต USB 3.0 อีกหนึ่งพอร์ต รวมกับด้านซ้ายก็จะมีทั้งหมดทั้งเครื่องอยู่ 2 พอร์ตด้วยกัน ตามสไตล์ของ MacBook ที่ไม่ต้องการให้มีมากจนเกินไป เพราะจะมีผลต่อรูปแบบดีไซน์
สำหรับตัวเครื่องด้านหน้าก็ยังได้มีการเว้าบริเวณตรงกลาง ลักษณะคล้ายๆ เดิมตามสไตล์ของ MacBook ที่ดูสวยงามลงตัว แต่ก็มีหน้าตาที่เปลี่ยนเล็กน้อย ด้วยการที่มีรูปแบบที่เว้าเข้าไปในเครื่องที่น้อยลง และด้านหลังก็ยังคงรูปแบบเดิมเอาไว้ นั่นก็คือโล่งๆ เราจะเห็นเป็นเพียงแกนฝาพับที่หุ้มด้วยพลาสติกสีดำเท่านั้น?
เมื่อปิดฝาเครื่องลงจะเห็นว่าตัวเครื่องโดยรอบประกบกันอย่างสนิทพอดี ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ขึ้นชื่อของ Apple อยู่แล้ว นอกเหนือจากดีไซน์ที่สวยงาม ยังให้งานประกอบระดับคุณภาพสูง ดูแล้วมีความประณีตใส่ในทุกรายละเอียด จึงทำให้หลายๆ คนติดใจกับผลิตภัณฑ์ Apple ไม่ว่าจะเป็น MacBook จนไปถึง iPhone และ iPad อีกด้วยครับ
มิติของตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] อยู่ที่ความหนา (ความสูง) 1.8 เซนติเมตร / กว้าง 35.89 เซนติเมตร / ยาว 24.71 เซนติเมตร ที่เรียกได้ว่าความกว้างความยาวไม่แตกต่างไปจาก MacBook Pro Retina 15 รุ่นเดิมเลย ฉะนั้นพวกซอฟต์เคสหรือกระเป๋าที่ใว้ใช้กับ MacBook Pro 15 ก็สามารถใช้กับ MacBook Pro Retina 13 ได้อย่างสบายๆ เช่นกัน ซึ่งถ้านำไปเทียบกับนิตสารขนาดมาตรฐานจะเห็นได้ว่ามีด้านกว้างที่ยาวเลยออกไปเท่านั้น ส่วนอแดปเตอร์ก็มีขนาดที่เล็กกว่าอแดปเตอร์โน๊ตบุ๊คทั่วไปพอสมควร
ตามสเปกของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] น้ำหนักจะอยู่ที่ 2.02 กิโลกรัม?แน่นอนว่าในการใช้งานจริงบางครั้งเราจำเป็นต้องพกพาอแดปเตอร์ไปด้วย ซึ่งในส่วนนี้ทางทีมงานก็เลยลองชั่งน้ำหนักเมื่อรวมตัวเครื่องกับอแดปเตอร์ดู โดยน้ำหนักก็จะอยู่ที่ 2.4 กิโลกรัม ที่ก็จัดว่ามีน้ำหนักรวมกันไม่สูงมากนัก อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ หรือไม่ก็ถือว่าน้ำหนักเบาเท่ากับโน๊ตบุ๊คทั่วไปขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว และจากการลองพกพาใข้งานจริงดูแล้วก็ไม่แต่ต่างจาการพกพา MacBook Pro 13 มากนัก (เครื่องเดิมของผู้เขียนเอง)
Performance / Software
ด้านซอฟต์แวร์แน่นอนว่า Mac ทุกเครื่องนั้นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการของตัวเองอย่าง?OS X ซึ่งในตอนนี้เวอร์ชั่นล่าสุดก็เป็นในส่วนของ 10.9 ที่มีชื่อว่า Mavericks?สำหรับฟีเจอร์เต็มๆ ?อย่างใน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] เครื่องนี้ก็จะเป็น OS X 10.9
OS X เองสามารถตรวจสเปกของ Mac เครื่องนั้นๆ ได้ง่ายๆ ผ่านทาง?About This Mac?ซึ่งจากภาพก็แสดงให้เห็นถึงว่า Mac รุ่นนี้คือรุ่นอะไร ปีไหน และสเปกคร่าวๆ อย่าง ชิปประมวลผล, แรม, กราฟิกการ์ด, ซีเรียลนับเบอร์ ?และเวอร์ชั่นของ OS X โดยถ้าใครต้องการชมแบบละเอียดๆ ก็สามารถกดเข้าไปชมกันได้ที่ปุ่ม System Report ได้เลยครับ ซึ่งเรียกว่าเราจะพบกับข้อมูลและสเปกแบบละเอียดสุดๆ ไปเลย ว่าชิ้นส่วนไหนใช้อะไร ของแบรนด์ไหนบ้าง อันนี้คงไม่เจาะลงไปนะครับ เพราะมันยิบย่อยมากๆ
มาต่อกันที่ส่วนของ?Mission Control?เป็นหนึ่งหน้าที่ถูกใช้งานเป็นประจำ เพราะความสะดวกในการเรียกใช้งาน รวมไปถึงความสามารถในการสลับเปลี่ยนโปรแกรมได้ค่อนข้างง่าย แถมยังมีความสวยงามและลื่นไหลอย่างนุ่มนวล โดยในหนึ่งหน้า Desktop สามารถใช้งานได้หลายโปรแกรม อีกทั้งยังสามารถเพิ่มหน้า Desktop ได้หลาย Desktop ด้วยกัน ซึ่งในการใช้งานส่วนตัวจะเปิดโปรแกรม Activity Monitor ไว้ซักหน้าหนึ่งเพื่อคอยมอนิเตอร์ระบบ (แบบเดียวกับ Task Manager)
นอกจากนี้ยังมีส่วนหน้าริมซ้ายสุด จะเป็นหน้าที่เรียกว่า?Dashboard?ที่มีหน้าที่สำหรับวางวิดเจ็ตต่างที่หลากหลายคล้ายๆ กับใน Windows แต่ต่างตรงที่ Windows จะใช้การวางวิดเจ็ตในหน้า Desktop หลักเลย ส่วนของใน Mac จะแยกหน้าออกมา ทำให้ดูเป็นระเบียบยิ่งขึ้น แถมยังจัดตำแหน่งได้อิสระดีด้วย แต่ก็มีจุดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ นั่นคือถ้าไม่ได้เข้ามาหน้า Dashboard ก็จะไม่ทราบเลยว่าเราเขียนอะไรไว้บน Sticky Note หรือเปล่า อาจจะทำให้ลืมได้ ต่างจากใน Windows ที่อยู่บนหน้า Desktop ที่ยังไงๆ ก็เห็นแน่นอน
และขอแนะนำกับหนึ่งในวิดเจ็ตที่น่าสนใจ ซึ่งมีหลายๆ คนติดประจำเครื่องไว้ก็คือ iStat Pro เพราะมันสามารถแสดงข้อมูลสถานะการทำงานแต่ละส่วนของเครื่องได้ครบครันในตัวเดียว ซึ่งวิดเจ็ตตัวนี้เป็นวิดเจ็ตฟรี สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้เลย
Launchpad ก็จัดได้ว่าอีกหนึ่งคุณสมบัติของ OS X ตัวปัจจุบัน กับการแสดงถึงโปรแกรมที่ถูกติดตั้งไว้ในเครื่องที่เราได้ติดตั้งไว้ตรง Application โดยมีการแสดงผลคล้ายๆ ในหน้าจอ iPad, iPhone ที่ใช้ระบบปฏิบัติการเป็น iOS เรียกได้ว่าใครเคยใช้พวกอุปกรณ์ iDevice อยู่แล้วก็คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีทีเดียว
System Preference ที่ไว้ใช้ปรับแต่งค่าทั้งหมดในเครื่อง หรือถ้าจะเทียบในฝั่งของ Windows ก็จะเป็นส่วนของ Control Panel นั่นเอง ที่มีลักษณะที่ดูเรียบง่ายสวยงาม แต่ใช้งานสะดวกและมีการแบ่งหมวดหมู่ที่เข้าใจได้ง่าย
นอกเหนือจากนี้ในตัวของ OS X ยังได้มีส่วนของ Mac App Store ที่ทำให้สามารถหาซื้อโปรแกรมแอพพลเคชั่นต่างๆ เพื่อมาใช้งานในเครื่อง Mac ของเราได้อย่างสะดวก โดยอาศัยการเชื่อมต่อหลักการเดียว App Store ในระบบปฏิบัติการ iOS ที่อยู่ใน iPad, iPhone ก็คือต้องใช้ Apple ID เป็น Account เรียกได้ว่าใครชอบเล่นแอพพลิเคชั่นไม่ว่าจะฟรีหรือแบบสียเงินซื้อ ที่ Mac App Store ก็มีมารองรับอย่างครบถ้วนครับ
Benchmark (OS X)
โปรแกรมทดสอบเครื่องที่นิยมในฝั่ง Mac ก็คือ GeekBench ที่มีตัวเลือกให้เทสได้ทั้ง 32 และ 64 bit ซึ่งคะแนนที่ได้ออกมาก็สามารถนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลคะแนนเฉลี่ยนของ GeekBench เองได้ครับ มาดูส่วนของ 32 bit ก่อนแล้วกัน
จากนั้นมาชมกันที่ 64 bit ก็จะพบว่าผลคะแนนที่ออกมานั้นมีใกล้เคียงกับ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ทีเดียว ซึ่งเทียบกันในด้านของการประมวลก็คงไม่มีความแตกต่างกันจนเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการทดสอบที่ 64 bit นั้นให้ผลคะแนนที่มากกว่าถึงจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็เรียกได้ว่าในส่วนของคะแนนนั้นมากกว่า MacBook Pro Retina 15 [Mid 2012] ที่เคยรีวิวไปแล้ว กว่า 30% ทีเดียว
อีกส่วนที่หลายๆ คนอยากทราบทดสอบกันที่สุดก็คือความเร็วของ SSDโดยเครื่องที่ทดสอบได้ติดตั้ง SSD เป็นของ Samsung ขนาดความจุ 512GB สามารถทำความเร็วเฉลี่ยในการอ่านได้ที่ประมาณ 720 MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนจะอยู่ช่วงประมาณ 710 MB/s ด้วยกัน ซึ่งก็คงเป็นผลมาจากการใช้การเชื่อต่อแบบ PCIe ที่โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ระดับสูงจะนิยมใช้กัน รวมไปถึงความที่เป็น SSD ประสิทธิภาพสูงจากทาง Samsung อีกด้วย โดยเทียบกับรุ่นเดิมเรียกได้ว่าแรงกว่าเก่าเกือบเท่าตัวทีเดียว
ตัวอย่างการทำงานที่โดยส่วนตัวใช้เป็นประจำก็คือการโปรเซสภาพถ่ายด้วยโปรแกรม Aperture ของ Apple เองที่เมื่อทำงานบน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ทำออกมารองรับการแสดงภาพแบบ Retina Display ได้เต็มรูปแบบ ไม่ว่าเป็นตัวอักษร หรือภาพถ่ายก็มีความคมชัด ซึ่งกรณีที่ขยายภาพก็ยังมีความคมชัดอยู่ แน่นอนว่าด้านการประมวลผลตัวโปรแกรมเองก็ได้ดึงประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องอย่างเต็มที่เช่นกัน ที่ดูจากภาพจะเห็นถึงการใช้งานแรมไปจนเกือบหมด จากที่ตัวเครื่องมีอยู่ 16GB ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงระบบการทำงานของโปรแกรมและระปฏิบัติการว่าสามารถดึงความสามารถจากสเปกที่มีมาให้อย่างเต็มที่ เพื่อการทำงานให้รวดเร็วสุงสุด เรียกได้ว่าไม่ต้องกลัวว่าแรมบนเครื่องที่มีขนาด 16GB จะไม่ได้ใช้ รับรองว่ามีสเปกเท่าไหร่ ระบบปฏิบัติการ OS X ก็จะรีดนำมาใช้เท่านั้นครับ
Benchmark (Windows 8)
มาถึงส่วนที่หลายๆ คนน่าจะให้ความสนใจกัน นั่นคือการทดสอบ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ในระบบปฏิบัติการ Windows 8 ลิขสิทธิ์ (ซื้อเพิ่มเองต่างหาก) ที่ติดตั้งผ่านทางซอฟต์แวร์ Bootcamp ซึ่งการติดตั้ง Bootcamp นั้นก็เหมือนกับการติดตั้ง Windows ในโน๊ตบุ๊คทั่วไปเลย ไม่มีการลดทอนประสิทธิภาพการทำงานลง เพราะมันก็คือการใช้งาน Windows บนเครื่องตรงๆ นั่นเอง แถมยังสะดวกกว่าด้วย เพราะสามารถโหลดไฟล์รวมไดร์วเวอร์จาก Apple มาเป็นชุดเดียวเลย คลิกติดตั้งครั้งเดียว แล้วก็รอจนเสร็จซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก เอาเป็นว่าเรามาดูกันเลยดีกว่าครับว่าผลจะเป็นอย่างไร
CPU ของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?เลือกใช้เป็น Intel Core i7-4850HQ ตัวแรงบนเครื่องโน๊ตบุ๊ค สถาปัตยกรรม Haswell ที่มีความเร็วในการประมวลผล 2.3 GHz ที่สามารถเร่งความเร็วด้วย Turbo Boost ได้สูงสุด 3.5 GHz มีหน่วยความจำ L3 Cache 6 MB โดยเป็นแบบ 4 Core 8 Threads พร้อมทั้งมีค่าอัตราการกินไฟสูงสุดแค่ 47W ?ส่วนระดับสถาปัตยกรรมก็อยู่ที่ 22nm แต่ยังคงใช้คอร์ประมวลผลแบบเดิมอยู่?
หน่วยความจำแรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 16GB DDR3 Bus 1600MHz แบบ Dual Channel ที่เรียกว่าจัดเต็มที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
ด้านของหน่วยประมวลผลกราฟิกก็จะเป็น NVIDIA GT 750M ที่มีหน่วยความจำแรมภายในตัวขนาด 2GB แบบ DDR5 (จัดว่าเป็นกราฟิกการ์ดตัวหนึ่งที่โน๊ตบุ๊คในปัจุบันนิยมใช้กัน) ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนความละเอียดหน้าจอระดับ 2880 x 1800 พิกเซล บน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ที่จากการตรวจสอบ ไม่เห็นถึงการทำงานของ Intel Iris Pro graphics 5200?ใน Windows เลย เข้าใจว่าเมื่อใช้งานบน Windows คงบังคับให้ใช้กราฟิกการ์ดแยกเพียงอย่างเดียว
Windows ที่ใช้ในการทดสอบก็คือ Windows 8 แบบ 64bit ลิขสิทธิ์ ที่ทำการอัพเดทล่าสุดแล้ว ซึ่งก็ทำคะแนนไปได้ตามในภาพคือแตะระดับ 7 – 8 ขึ้นไปทั้งหมด (คะแนนเต็ม 9.9) ที่น่าประทับใจก็คือ SSD นี่ที่เรียกคะแนนไปเต็ม 8.2 คะแนน ส่วนกราฟิกการ์ดคะแนนดูเหมือนจะน้อยสุดโดยอยู่ที่ 7.2 (แต่ในการใช้งานจริงก็ถือง่าเล่นเกมหรือทำงาน 3 มิติได้สบายๆ แล้วล่ะ)
Cinebench R11.5 เทียบกันกับ MacBook Pro Retina 15 [Mid 2012]?ตัวเดิม ในเรื่องของคะแนน?OpenGL ซึ่งใช้กราฟิกการ์ดเป้นตัวช่วย ฝั่ง MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ทำผลคะแนนได้ดีกว่าพอสมควร โดยมากกว่าเดิมถึง 20% ส่วนคะแนนซีพียูนั้น Windows ทำได้ดีกว่าพอสมควรเหมือนกัน แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเข้าใจว่า ชิปประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง?Intel Core i7-4850HQ คงเน้นเรื่องการประหยัดพลังงานมากกว่าประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
สำหรับการทดสอบความเร็วในการอ่านเขียน SSD ได้ใช้โปรแกรม AS SSD ทดสอบ ผลที่ได้ออกมาก็คือมีความเร็วที่สูงมาก โดยเทียบกับทางฝั่ง OS X ที่ทดสอบไปแล้วนั้นการทำงานในเรื่องของการอ่านตกลงไปพอสมควรทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการทำงาน SSD PCIe ใช้บน OS X จะได้ผลดีมากกว่า (สำหรับ ?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013])
ตามติดกันมาด้วย Performance Test ที่ได้คะแนนไป 3000.1 คะแนน ซึ่งคะแนนที่ได้ถือว่าสูงกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปกที่ใกล้เคียงกัน และมากกว่ารุ่นก่อนหน้าที่เคยรีวิวไปแล้วกว่า 600 คะแนนทีเดียว
เมื่อทดสอบรัน Street Fighter IV Benchmark ซึ่งเป็นตัวแทนของเกมดังในอดีต ได้คะแนนที่ 19,090 คะแนน มีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยที่ 179 FPS ด้วยกัน ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูง ซึ่งถ้าใครจะนำโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ไปเล่นเกมแนวไฟท์ติ้งที่ไม่เน้นการประมวลผลฉากในเกมมากนักล่ะก็ ถือได้ว่า MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?เครื่องนี้ก็พร้อมตอบสนองความสุขของทุกคนได้อย่างดีเยี่ยม (เหลือเฟือ)
ทดสอบเกมกินสเปกตลอดกาลอย่าง?Resident Evil 6?ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1360 x 768 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับที่ High ทั้งหมด ก็ต้องยอมรับว่าเกมส์นี้กินสเปกมากจริงๆ แต่แค่ Medium ภาพก็สวยจนน่าประทับใจแล้วครับ จากเกมส์ที่ทดสอบมาทั้งหมดจะเห็นว่า MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?มีประสิทธิภาพในการเล่นเกมส์ที่ค่อนข้างสูงไม่แพ้เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คในปัจจุบันทีเดียว เพราะส่วนใหญ่จะไปวัดกันตรงกราฟิกการ์ดเป็นส่วนมาก และใช้ Intel Core i7 ในการขับเคลื่อนอยู่แล้ว ซึ่งเชื่อได้ว่าสำหรับเกม?Resident Evil 6 นี้เล่นจริงๆ ต้องอยู่ในระดับ Rank A อย่างแน่นอน
อีกเกมหนึ่งที่โดยส่วนตัวเล่นเป็นประจำอย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบให้ด้วยเช่นกัน?โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1200 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ แน่นอนว่าที่ความละเอียด Native 2800 x 1800 พิกเซล ไม่สามารถเล่นอย่างลื่นๆ ได้?สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เปิดทุกอัน ที่สามารถดูได้ตามภาพด้านบน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่น ระดับเฟรมเรทอยู่ที่ประมาณ 50-60 แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 30 ขึ้นไปตลอด (รุ่นก่อนหน้าปรับความละเอียดได้แค่ 1680 x 1050 พิกเซล เพราะถ้ามากกว่านี้จะกระตุก)
สรุปโดยรวมแล้วคือเล่นได้สบายๆ แถมให้ภาพที่สวยงาม แต่ก็ไม่ถึงขั้นคมชัดมากมาย เพราะไม่สามารถปรับความละเอียดไปที่ค่าสูงสุดได้ ซึ่งในการทดลองเล่นเกม DOTA2 ใน Windows นะครับ เพราะเกมนี้เวอร์ชัน Windows ทำได้กว่าบน OS X ส่งผลให้เวลาจะเล่นเกมก็ต้องสลับไปทาง Windows แทน จากที่ปกติจะทำงานใน OS X เป็นหลัก แต่ก็ถือว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะตัว OS X และ Windows 7 ใช้เวลาในการเปิดปิดเครื่องที่เร็วมากๆ อยู่แล้ว?(เปิดใช้เวลาประมาณ 10 วินาที และปิดใช้เวลาไม่เกิน 2-5 วินาทีเท่านั้น)
ที่สำคัญในตอนนี้หน้าจอความละเอียดสูงอย่าง Retina Display บน MacBook เครื่องนี้ก็สามารถใช้งานได้สมบูรณ์แบบบนระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 แล้ว เรียกได้ว่าสามารถสเกลขนาดให้ใหญ่พอดีไม่แพ้ในส่วนของ OS X ของ Mac เองทีเดียว โดยเมื่อติดตั้ง Windows 8.1 ระบบจะทำการปรับสเกลให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ซึ่งถือได้ว่าน่าประทับใจมากๆ ไม่เหมือนตอนที่ใช้งาน Windows 7 ที่ผิดหวังมากๆ เพราะมันไม่รองรับหน้าจอความละเอียดสูง
Battery / Heat / Noise
ในการทดสอบเรื่องของการใช้งานแบตเตอรี่ที่มีความจุ 8440 mAh นั้น แน่นอนว่าเราก็ต้องทำการทดสอบทั้งในฝั่งของ Windows และ OS X โดยมาดูจากฝั่งของ OS X กันก่อน ?ด้วยความที่เป็นระบบปฏิบัติการของตัวเองจึงสามารถจัดการพลังงานได้อย่างสมบูรณ์กว่า โดยในสถานะเครื่องเปิดไว้เฉยในสถานะแบตเตอรี่ 100% โดยทดสอบตามสถานะตามการใข้งานจริงด้วยการปรับความสว่างบนหน้าจออยู่ที่ 50% และไฟคีย์บอร์ด Backlit ปรับไว้ที่ 50% เช่นกัน ผลเวลาที่ได้ออกมาจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 ชั่วโมง ตามที่ Apple บอกไว้ในสเปกและรายละเอียดของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] พอดี?
จากการประเมินระยะเวลาด้วยโปรแกรม BatteryMon ก็พบว่าจะสามารถใช้งานเครื่องได้ราวๆ 5 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับในการใช้งานทั่วไปโดยเปิดความสว่างไว้ 50% และไฟคีย์บอร์ด Backlit 50%เหมือนกัน ซึ่งระยะเวลาก็ลดลงมาจากใน OS X พอสมควรเหมือนกัน (ประมาณ 3 ชั่วโมง) แสดงให้เห็นว่าเวลาใช้งานจริงอัตราการกินพลังงานใน Windows มีสูงกว่าใน OS X ที่ก็น่าจะเป็นผลมาจากการที่ OS X สามารถจัดการพลังงานได้ดีกว่าฝั่งของ Windows (เป็นอะไรที่ปกติมากๆ ไม่ต้องสงสัยกันไป)?
เรื่องความร้อนของเครื่องนั้น ในภาพด้านบนเป็นการวัดในขณะเครื่องไม่ได้เปิดโปรแกรมอื่น (ดูที่ค่า Min) ซึ่งก็คืออยู่ในสถานะ idle อุณหภูมิที่ออกมาจัดได้ว่าค่อนข้างเย็น ส่วนตัวเครื่องอุณหภูมิโดนรอบตัวเครื่องทั้งหมดก็ถือว่ามีอุณหภูมิที่ต่ำ เนื่องด้วยความสามารถของตัววัสดุที่ช่วยถ่ายเทความร้อนออกไปได้เร็ว รวมไปถึงพัดลมระบายความร้อนก้มีถึงสองตัว
เรื่องอุณหภูมิบริเวณตัวเครื่อง เมื่อทำการเบิร์นในทำงานให้ 100% (อุณหภูมิ CPU ภายในอยู่ที่ประมาณ 100 องศา จากค่า Max) เพื่อที่จะได้ทำเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพที่สุด จากนั้นใช้เครื่องวัดความร้อนที่มีประสิทธิภาพในการยิงดูความร้อนภายในของแต่ละตำแหน่งตามตัวเครื่อง ในอุณหภูมิห้องที่ 28 องศาโดยประมาณ ชี้ไปที่จุดต่างๆ ตามภาพข้าง ก็จะเป็นส่วนของที่พักมือกับ Trackpad ที่เป็นส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าแทบไม่มีความร้อนออกเลย นั่นก็เพราะบริเวณส่วนนี้ไม่มีอะไรนอกเหนือจากแบตเตอรี่
เมื่อชี้เครื่องวัดอุณหภูมิไปตำแหน่งบริเวณของกลางเครื่องที่เป็นที่อยู่ของชิปประมวลผลจะเห็นว่ามีอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง แต่การใช้งานจริงเพียงแค่รู้สึกร้อนๆ นิดหน่อยเท่านั้น ต่อกันที่ตำแหน่งของช่องระบายความร้อนซึ่งมีอยู่ 2 ข้างด้วยกัน อุณหภูมิถือว่าไม่สูงมากนักทั้ง 2 ข้างเกือบเท่าๆ กัน แต่ส่วนของบริเวณตรงกลางเครื่องจะมีอุณหภูมิสูงหน่อย จากการที่ไม่มีพัดลมระบายความร้อน แถมยังเป็นตำแหน่งที่สะสมความร้อนจากการที่ตัวเครื่องเป็นโลหะอีกด้วยครับ
สรุปรวมๆ แล้วความร้อนภายในตัวเครื่องที่วัดมาทั้ง 6 ตำแหน่งไม่มีผลกับการใข้งานแต่อย่างใดครับ ที่สำคัญพัดลมยังมีเสียงที่ค่อยข้างเงียบไม่รบกวนเลยแม้แต่น้อยในกรณีที่ใช้งานไม่หนัก (ถ้าใช้งานหนักๆ ประมวลผลเยอะๆ ก็ดังเอาเรื่องเหมือนกัน) แต่ก็ขอแนะนำว่าหากจำเป็นต้องใช้งานหนักหรือประมวลผลสูงๆ ก็ให้มาใช้ในห้องที่เย็นหน่อย นอกจากนี้เครื่องของ MacBook Pro Retina 15 ยังสามารถคลายความร้อนได้อย่างรวดเร็วจากพัดลมระบายความร้อน 2 ตัว และบอดี้ที่เป็นวัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยด์อีกด้วย ที่สำคัญยังเหนือกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปด้วยช่องดูดอากาศเย็นแบบคู่
นอกจากนี้ในส่วนของอัตราการใช้งานพลังงานของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] กรณีใช้งานปกติทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 50 Watt และเมื่อใช้งานประสิทธิภาพสูงสุดก็จะอยูที่ 91 Watt เลยทีเดียว ถือได้ว่ามีการกินไฟที่ค่อนข้างสูงทีเดียว แม้ว่าจะเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 4 ก็ตาม แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่จะใช้งานจริงได้ยาวนานกว่า 8 ชั่วโมงตามที่ทาง Apple ได้คุยเอาไว้ เพราะใส่แบตเตอรี่ความจุสูงมาให้นั่นเอง
Inside
ด้วยการถอดฝาอะลูมิเนียมด้านล่างของตัวเครื่องออก ก็จะเห็นส่วนประกอบด้านในของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?แสดงให้เห็นถึงชิ้นส่วนต่างๆ ที่มีการจัดวางที่สวยงามและปราณีตลงตัว เรียกได้ว่าสวยตั้งแต่ข้างในทีเดียว แต่ก็เป็นข้อจำกัดเหมือนกัน ก็คือ ไม่สามารถซ่อมแซมหรืออัพเกรดอุปกรณ์ได้ง่ายๆ อย่างแรมนี่ไม่สามารถถอดเองได้อย่างแน่นอน เพราะเป็นแรมเป็นเม็ดฝังบอร์ด ซึ่งเมื่อเราเทียบกับ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?รุ่นก่อนหน้า ก็จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบภายในไปเล็กน้อย อย่างการมีแผ่นยางรองก้อนแบตเตอรี่ไม่ให้โดนฝาหลังโดยตรง และแกนกลางของพัดลมมีการเล่นสีเป็นสีเงิน (เหมือน MacBook Pro Retina 13) รวมไปถึงการ์ดไวเลสยังเปลี่ยนมาใช้มาตรฐาน?802.11ac มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แน่นอนว่าในส่วนของคุณสมบัติก็รองรับความเร็วในการส่งข้อมูลไร้สายมากยิ่งขึ้นด้วย
แบตเตอรี่มีด้วยกันทั้งหมด 6 ก้อนที่ใช้กาวเพื่อยึดติดกับเครื่อง แต่ถึงแม้จะใช้กาวเช่นเดียวกันกับ MacBook หลายๆ รุ่น แต่พบว่าสามารถแกะออกมาได้ โดยแบตเตอรี่ที่ใช้มีความจุ ?8440 mAh ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถถอดประกอบแล้วเหมือนเดิมอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ผู้ใช้งานที่คิดจะแกะเป็นไปได้คือถอดฝาหลังมาทำความสะอาดหรือเป่าฝุ่นก็พอแล้ว
ส่วนของฮาร์ดดิสก์ SSD แบบรุ่นใหม่ที่มีลักษณะเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อ PCI Express (PCIe)?ก็ยังไม่มีจำหน่ายทั่วไปและนับได้ว่าเป็น MacBook รุ่นสองรองจาก MacBook Air [Mid 2013] ที่มีการใช้เป็น SSD แบบ?PCI Express (PCIe) เลยทีเดียว?ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมจากที่เป็น mSATA ทั้งในส่วนของรูปร่างที่มีขนาดสั้นลง พอร์ตเชื่อมต่อที่เปลี่ยนไปไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ นอกจากนี้ยังมีความเร็วที่เพิ่มมาขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวอีกด้วย โดยเมื่อเทียบขนาดของ SSD?PCI Express (PCIe) จะเห็นว่ามีขนาดที่สั้นกว่า ที่ดูแล้ว SSD นี้จะเป็นเพียงอุปกรณ์ภายในชิ้นเดียวที่เราสามารถเปลี่ยนอัพเกรดได้ด้วยตนเองแบบง่ายๆ เพราะใช้น๊อตเพียงตัวเดียวยึดไว้เท่านั้น แต่ก็คาดว่าราคานั้นก็คงเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะถ้าจำไม่ผิด?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ตัวนี้เป็น SSD ความจุ 512GB อยู่แล้ว ซึ่งหากต้องการความจุ 1TB ต้องเพิ่มเงินประมาณ 16,000 บาททีเดียว
Conclusion / Award
MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?หรือจะเรียกว่าชื่อเต็มๆ เป็น MacBook Pro with Retina Display 15 [Late 2013] ก็ได้ ถือว่า Apple ได้มีการอัพเดท MacBook Pro Retina 15 อย่างเป็นทางการในปีนี้ หลังจากที่การอัพเดทสเปกเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งก็เป็นการปรับเปลี่ยนให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น กับการมาของโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้ว ที่มีความบางเบาโดยใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7 Gen 4 สถาปัตยกรรม Haswell ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ และประหยัดพลังงานขึ้นนิดๆ รวมไปถึงได้มีการเลือกใช้หน่วยความจำสำรองเป็นแบบ SSD ความเร็วสูงแบบ PCIe ที่ส่งผลให้สามารถรีดประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้ โดยยังมีเทคโนโลยี Retina Display ที่ให้ทั้งภาพที่สวยสมจริงและมีความคมชัดอย่างที่สุด เท่าที่หน้าจอของคอมพิวเตอร์เคยมีมา เรียกได้ว่าเป็น?MacBook Pro Retina 15 ที่ยกระดับความสามารถขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ในเครื่องที่ทีมงานเราได้รีวิวนั้นเป็น?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?รุ่นท๊อปสุด มาพร้อมชิปประมวลผลเป็น Intel Core?i7-4850HQ?ความเร็ว 2.3GHz อีกทั้งยังอัพความแรงไปได้ถึง 3.5GHz ทีเดียว แรมแบบถอดเปลี่ยนเองไม่ได้ติดเครื่องมาให้จำนวน 16GB ที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปอย่างสบายๆ นอกจากนี้ยังติดตั้งกราฟิกการ์ดตัวล่าสุดของทาง NVIDIA อย่าง GT750M ที่มีหน่วยความจำภายในขนาด 2GB DDR5 ซึ่งถ้าจะทำงานที่เน้นการประมวลผลกราฟิกก็ทำได้อย่างเต็มสมรรถณะแบบที่ MacBook Pro ไม่เคยมีมาก่อน รวมไปถึงยังมีฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ความเร็วสูง มาตรฐานการเชื่อมต่อ PCIe ความจุ 512GB
อีกทั้งด้วยระบบปฏิบัติการ OS X 10.9 Mavericks ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดพร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้มีการเข้ากันทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้เป็นอย่างดี มีความสเถียรแบบไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะแฮงค์หรือค้าง แบบที่เจอในโน๊ตบุ๊ค Windows ทั่วไป แถมยังมีการแสดงภาพ User Interface ที่ดูแล้วสวยงามลงตัว พูดง่ายๆ ก็คือให้ประสบการณ์ในการใช้งานจริงๆ ได้เป็นอย่างสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญในเรื่องของการตื่นจาก Sleep ก็ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ซึ่งจริงๆ แล้วถึงแม้ว่า MacBook Pro ที่เป็นฮาร์ดดิสก์แบบปกติ อีกทั้งใช้เวลา Boot เครื่องเพียง 10 วินาทีเท่านั้นเอง ที่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลมาจาก SSD ที่ติดตั้งมาให้
ด้านงานประกอบของ Apple หลายๆ คนคงทราบเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่ามีความสมบูรณ์แค่ไหน รวมไปถึงวัสดุที่ใช้เป็นส่วนประกอบก็จัดได้ว่าเป็นชั้นดีทั้งสิ้น จวบจนการดีไซน์ออกแบบของตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?นั้น เชื่อได้ว่าทุกคนที่ได้เห็นต้องชอบมันอย่างแน่นอน ด้วยการเน้นแนวทางการอกแบบที่ดูเรียบๆ แต่หรูหรา ยิ่งมีในส่วนของฝาหลังรูป Apple มีแสงไฟเปล่งออกมา ยิ่งทำให้น่าจับจองมาใช้งานเพิ่มขึ้นไปอีก รวมไปถึงความบางและน้ำหนักที่น้อย ทำให้สะดวกในการพกพากว่าโน๊ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปขนาดหน้าจอ 15 นิ้ว อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานสูงสุดประมาณ 8 ชั่วโมงด้วยกัน?
นอกเหนือจากนั้นตัวคีย์บอร์ดเองก็มีไฟ Backlit ทำให้เพิ่มความสะดวกในการใช้งานที่มีแสงน้อยยิ่งขึ้น เรื่องของสัมผัส Trackpad และคีย์บอร์ดก็ให้ความรู้สึกที่ดีในการใช้งานแบบรู้สึกได้ไม่ยาก เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คตัวอื่นๆ อีกทั้งยังมีช่องเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt เวอร์ชั่น 2 จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต และ Bluetooth เวอร์ชั่น 4.0 ที่มีเอาไว้เผื่อใช้ในอนาคต รวมถึง WiFi?802.11ac ที่เป็นมาตรฐานล่าสุดของการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สาย
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะดูเป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องหนึ่งที่ดูสมบูรณ์แบบในเรื่องของความบาง น้ำหนัก การพกพา ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ แต่ก็ยังมีข้อสังเกตเรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อที่มีอยู่อย่างจำกัด สำหรับในการตัด Super Drive อันนี้คงเป็นเรื่องของความบางและน้ำหนักของเครื่องที่ต้องลดลง ซึ่งใครจะใช้การอ่านเขียนแผ่น DVD คงต้องซื้อไดร์ฟ DVD ภายนอกติดเอาไว้ รวมไปถึงพอร์ตต่างๆ ที่ทาง Apple คงเห็นว่าคงจะใช้ไม่ค่อยบ่อยอย่าง Ethenet (RJ-45) และ Firewire 800 ที่ปกติมีใน MacBook Pro ทุกรุ่น แต่อย่างไรก็ตามคนที่ต้องจำเป็นใช้งานอยู่ก็สามารถหาซื้อสายแปลงได้ จาก Thunderbolt ไป Ethenet หรือ Thunderbolt ไป Firewire 800 สนนราคาอยู่ที่เส้นละ 990 บาท (จัดว่าไม่ถูกและก็ไม่แพงจนเกินไป)
สรุปปิดท้าย MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?สำหรับใครที่สนใจจะซื้อโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15 นิ้ว บางๆ เบาๆ ที่ให้ประสิทธิภาพสูง มีวัสดุและการออกแบบพรีเมียมพร้อมหน้าจอที่มีความเป็นที่สุดด้านการแสดงผล แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน แบบที่ไม่เกี่ยงงบประมาณแล้วนั้น บอกได้เลยว่าให้เลือกเป็น MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?เป็นตัวเลือกแรกๆ ครับ ซึ่งอาจจะเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้งานเฉพาะระบบปฏิบัติการ Windows บ่อยๆ หรือจะใช้บางครั้งบางคราวก็ได้ เพราะเราสามารถติดตั้ง Windows ผ่านทาง Bootcamp ได้ (รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 ได้สมบูรณ์แบบด้วย)
ซึ่งถ้าให้เลือกก็ขอแนะนำว่าให้เลือกรุ่นท็อปที่สเปกเป็น Intel Core i7-4850HQ / Iris Pro graphics 5200 + GeForce GT 750M / RAM 16GB / SSD 512GB ราคา 86,900 บาท?หรือถ้างบไม่ถึงก็ให้ลองดูเป็นสเปกเริ่มต้นอย่าง Intel Core i7-4702MQ / Iris Pro graphics 5200 / RAM 8GB / SSD 256GB ราคา 66,900 บาท (แม้ว่าน่าเสียดายที่ไม่มีกราฟิกการ์ดแยกติดตั้งมาให้ แต่ก็พอเพียงกับการใช้งานแล้วล่ะ)?ซึ่งเราสามารถใช้เป็นเครื่องหลักในการทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างครบถ้วน ส่วนถ้าใครต้องการความแรงแบบสุดๆ ก็แนะนำให้เลือกอัพเกรดในส่วนของ CPU ที่แรงกว่านี้ และ SSD ความจุ 1TB ที่ต้องสั่งผ่านเว็บไซต์ Apple Store Thailand หรืออีกทางคือสั่งผ่านทางหน้าร้านตัวแทนจำหน่ายอย่าง iStudio ครับ
จุดเด่น
- เป็นโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้ว ที่ตัวเครื่องบางและน้ำหนักเบา สามารถพกพาไปได้สะดวก?
- มีประสิทธิภาพในการใช้งานได้เป็นอย่างดี มีความสเถียรสูง ด้วยชิปประมวลผล, แรม, กราฟิกการ์ด และ SSD
- Retina Display กับจอความละเอียดสูง ภาพคมชัด พาเนล IPS ให้สีสันที่ดี มุมมองกว้าง
- เปิดเครื่องหรือตื่นจากโหมด Sleep, Boot เครื่อง และเชื่อมต่อ WiFi ได้อย่างรวดเร็ว
- ดีไซน์การออกแบบสวยและงานประกอบมีความประณีต ด้วยวัสดุชั้นดีอย่างอะลูมิเนียมแบบ Unibody ตัวเครื่องแข็งแรง
- คีย์บอร์ดทำงานได้ดี มีไฟ Backlit Keyboard ที่ใช้งานได้อย่างสบายตา?
- TrackPad (ทัชแพด) สามารถตอบสนองการใช้งานได้ดี รองรับมัลติทัชเต็มรูปแบบ
- มีช่องทางเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt เวอร์ชั่น 2 จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.0 อีก 2 พอร์ต
- เป็น MacBook ที่มีการติดตั้งพอร์ตแสดงผลอย่าง HDMI มาให้
- ลำโพงมีคุณภาพเสียงที่ดี เมื่อเทียบกับ MacBook Pro Retina 15 รุ่นก่อน
- ระบายความร้อนทำออกมาได้ดี พร้อมพัดลมที่ออกแบบพิเศษที่ลดเสียงรบกวน
- ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานประมาณ 8 ชั่วโมง
- มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Mac OS X 10.9 Mavericks
- มีอุปกรณ์เสริมให้เลือกใช้มาก ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดเคส ซอฟต์เคส หรืออื่นๆ ที่ออกแบบมาเฉพาะ
- สามารถสั่งอัพเกรดสเปกได้โดยตรงตั้งแต่ตอนสั่งซื้อ
- รองรับการใช้งาน Windows 8.1 ได้สมบูรณ์ผ่านทาง Boot Camp
ข้อสังเกต
- พอร์ตเชื่อมต่อในตัวเครื่องค่อนมีจำกัด หากต้องการใช้ Ethernet หรือ Firewire 800 ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม
- ด้วยวัสดุเป็นอะลูมิเนียม ถ้าปลั๊กไม่มีการเดินสายดินไว้ อาจเกิดไฟดูดบ้างเล็กน้อย
- ไม่สามารถอัพเกรดใดๆ ได้เลยในภายหลัง (อย่างน้อยก็ในขณะนี้)
- ในการแกะฝาใต้เครื่องทำได้ยาก เพราะต้องใช้ไขควงเฉพาะ
- ราคาของอุปกรณ์ที่ใช้งานกับพอร์ต Thunderbolt ยังมีราคาที่ค่อนข้างแพงอยู่ จึงอาจใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพในขณะนี้
- เป็นโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้วที่ไม่มีออฟติคอลไดร์ฟ
- มีราคาสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน
- หน้าจอ Retina Display อาจจะไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
- ดีไซน์เหมือน MacBook Pro Retina 15 ตัวก่อนทุกประการ
- ตัวเครื่องเป็นโลหะทำให้เมื่อใช้งานหนักๆ บางส่วนอาจจะมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง
- พัดลมค่อนข้างดังรบกวนเวลาใช้งานหนักๆ แม้จะออกแบบให้เสียงเบาลงแล้วก็ตามที
- MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] รุ่นเริ่มต้นมีเฉพาะกราฟิกการ์ดออนบอร์ดเท่านั้น
- ราคาค่าตัวยังจัดว่าสูงอยู่ แต่เข้าใจว่าของเค้าดีจริงและไม่มีคู่แข่งเลยตั้งราคาไว้สูงได้
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Apple มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดใน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรู ประกอบการงานการประกอบระดับคุณภาพ ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้วในตลาดขณะนี้จะเห็นว่าเป็นโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้วประสิทธิภาพสูง ที่มีความบางของตัวเครื่องมากที่สุดด้วยครับ ฉะนั้นในเรื่องของรางวัล Best Design จงทำให้ได้ไปอย่างไม่ยากเย็น
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดีตามสไตล์ของ MacBook อยู่เช่นเดิม ทั้งในความบางเพียง 18 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบา 2.02 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะมีปัญหาอีกด้วย เพราะระบบไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับถือมากนัก สามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที อแดปเตอร์ก็ทำออกมาให้มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก พกพาสะดวก จึงทำให้ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ได้รับรางวัล Best Mobility ไปอย่างง่ายดาย
Best Performance
ด้วยสเปกชิปประมวลผล Intel Core i7 ตัวล่าสุด ที่มาพร้อมกับแรมขนาด 16GB (ตัวท๊อป) แบบ DDR3 และกราฟิกการ์ดยอดนิยมอย่าง NVIDIA GeForce GT 650M ขนาด 2GB DDR5 รวมไปถึง SSD คาวมเร็วสูงด้วย PCIe ก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสเปกโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผลคะแนนที่ออกมานั้นทำได้อยู่ในช่วงเดียวกัน หรือบางจุดก็มากกว่าซะด้วย
Best Graphic
ในส่วนของเทคโนโลยี Retina Display ก็จะยังมีในเรื่องของความละเอียดที่สูง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือมีความหนาแน่นของพิกเซลที่สูง โดย MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] มีความละเอียดหน้าจอที่สูงถึง 2880 x 1800 พิกเซล หรือถ้าให้เทียบเป็นจำนวนพิกเซลก็จะอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล (ความละเอียด Full HD อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล เทียบได้คือ 2 ล้านพิกเซล) ในขนาดหน้าจอ 15.4 นิ้ว ส่งผลให้มีความหนาแน่นของพิกเซลที่สูงถึง 220 ppi (Pixels per inch) หรือเรียกง่ายๆ คือ มี 220 จุดต่อหนึ่งตารางนิ้ว ส่งผลให้การใช้งานมีความคมชัดที่สูงกว่าหน้าจอปกติทั่วไป อีกทั้งยังเป็นพาเนล IPS ทำให้รองรับงานกราฟิก วีดีโอ หรือโปรเซสภาพได้อย่างดีเยี่ยม
Best Technology
นอกเหนือจากสเปกตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?จะมีความใหม่สดแล้ว แถมยังเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD PCIe ยังมีในส่วนของพอร์ตความเร็วสูง Thunderbolt เวอร์ชั่น 2 ที่ให้มาถึง 2 พอร์ตการใช้งาน อีกทั้งในเรื่องของหน้าจอและความละเอียดจอก็มาในระดับที่สูงยังมาเป็นแบบ Retina Display ที่เป็นพาเนลจอคุณภาพสูงระดับมืออาชีพอย่าง IPS กับความละเอียด 2880 x 1800 พิกเซล จึงทำให้คว้ารางวัล Best Technology ไป
Best Battery Life
แม้ว่าในตัวของ MacBook Pro with Retina Display จะอัดแน่นไปด้วยสเปกหรือเทคโนโลยีต่างๆ แต่ในเรื่องของการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉลี่ยแล้วถ้าใช้งานทั่วไปจะอยู่ได้นานถึงประมาณ 8 ชั่วโมงด้วยกัน ส่งผลให้ได้รางวัล Best Battery Life ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นผลมาจากการที่ Apple ได้ใส่แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลิเมอร์ความจุ 8440 mAh เข้าไป อีกทั้งระบบปฏิบัติการ OS X 10.9 Mavericks ก็เป็นตัวช่วยจัดการพลังงานได้เป็นอย่างดี โดยที่เราไม่จำเป็นต้องปรับค่าเองแต่อย่างใดเลย
Introducing VDO
วีดีโอแนะนำ?MacBook Pro Retina 15 อย่างเป็นทางการจากทาง Apple เมื่อปี 2012 ยังไงสามารถดูประกอบได้ครับ เพราะโดยรวมแล้ว MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ?ยังคงรูปแบบเดิมไว้อยู่ จะเปลี่ยนก็แค่สเปกและประสิทธิภาพภายในเท่านั้น
?
Specification
MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] หรือชื่อเต็มๆ ก็คือ MacBook Pro with Retina Display 15 [Late 2013] ที่ถือได้ว่าเป็น MacBook Pro Retina 15 รุ่นที่ 3 แล้ว โดยหลักๆ แล้วเป็นการเปลี่ยนสเปกหรือคุณสมบัติข้างใน ซึ่งก็คือเปลี่ยนมาใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 4 ?(Haswell) รวมไปถึงในส่วนของ SSD ก็เปลี่ยนมาใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อที่เร็วยิ่งขึ้นกว่าเท่าตัว จากเดิมที่เป็น mSATA ก็เป็น PCIe ที่สำคัญพอร์ตความเร็วสูง Thunderbolt ก็หันมาใช้เป็นเวอร์ขั่น 2 และการเชื่อมต่อไร้สายก็เป็น?802.11ac แบบมาตรฐานล่าสุดอีกด้วย
โดย MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ยังมีความละเอียดสูงที่ 2880 x 1800 พิกเซล แต่เวลาใช้งานจริงจะมีพื้นที่ 1440 x 900 พิกเซลเหมือนรุ่นก่อนหน้า (ปรับได้เองตามความเหมาะสม) ซึ่งผลที่ได้ก็คือหน้าจอได้ให้ทั้งความคมชัดที่เหนือกว่าหน้าจอทั่วๆ ไป รวมไปถึงสีสันที่สวยจริงอย่างที่สุดด้วยพาเนลคุณภาพสูง IPS เพราะที่ผ่านมา MacBook Air หรือ MacBook Pro รุ่นก่อนๆ ได้ใช้เพียงพาเนลแบบ TN ที่คุณภาพสูงเท่านั้นแน่นอนว่ายังสู้ IPS ไม่ได้ และส่วนของ iMac เองถึงว่าจะใช้พาเนลหน้าจอ IPS อยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีเทคโนโลยี Retina Display อยู่ดี จึงเรียกได้ว่า MacBook Pro Retina นั้น ปัจจุบันเป็นผลิตภัณฑ์ Mac รวมไปถึงเป็นคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15 นิ้ว ที่มีความสมบูรณ์แบบที่สุดในเรื่องของการแสดงผลก็ว่าได้ ซึ่งมีอยู่ 2 สเปกด้วยกันคือ?
- Intel Core i7-4702MQ?/ Iris Pro graphics 5200 /?RAM 8GB / SSD 256GB?ราคา 66,900 บาท
- Intel Core i7-4850HQ?/?Iris Pro graphics 5200 + GeForce GT 750M?/?RAM 16GB / SSD 512GB?ราคา 86,900 บาท
รุ่นที่ทีมงานของเรานำมารีวิวนั้นเป็น MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] รุ่นท๊อป ราคา 86,900 บาท โดยเป็นเครื่องที่ผู้เขียนซื้อมาใช้งานเอง จากการสั่งออนไลน์ Apple Store ที่มีการติดตั้งชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7-4850HQ?ความเร็ว 2.3GHz ที่มีความสามารถในการเร่งความเร็วไปได้ถึง 3.5GHz ซึ่งเป็นซีพียูแบบ 4 คอร์ 8 เทรด ที่มีประสิทธิภาพการใช้งานที่จัดได้อยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม รองรับการใช้งานทุกประเภท นอกจากนี้กราฟิกการ์ดยังเป็นแบบออนบอร์ดที่ติดมากับชิปประมวลผลอย่าง Iris Pro graphics 5200?ที่จัดได้ว่ามีสมรรถนะพอตัว (ระดับกราฟิกการ์ดแบบแยก) ที่สำคัญยังมีกราฟิกการ์ดแบบแยกจริงๆ อย่าง NVIDIA GeForce GT 750M แรมขนาด 2GB มาให้ ในส่วนของ?SSD มีความจุ 512GB และแรมขนาด 16GB อีกทั้งในส่วนของการเชื่อมต่อก็ยังครบครัน (ตามสไตล์ Mac ) ทั้ง USB 3.0, Thunderbolt 2, WiFi 802.11ac?และ Bluetooth 4.0 ซึ่งถ้าใครต้องการอัพเกรดซีพียู แรม และ SSD อีก ก็สามารถทำได้ แต่แน่นอนว่าราคาก็ต้องเพิ่มขึ้น
Hardware / Design
โดยด้านดีไซน์การออกแบบ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปมาก ถ้าเทียบจาก MacBook Pro Retina รุ่นปีที่แล้ว หรือเรียกง่ายๆ ว่าถอดแบบมาจาก MacBook Pro Retina 15 เดิมๆ ก็ว่าได้ โดยมีความบางเกือบจะเท่า MacBook Air และน้ำหนักเบากว่า MacBook Pro 15 พอสมควร วัสดุในการผลิตอย่างอะลูมิเนียมอัลลอยด์แบบเดิมที่ให้ความสวยงามและผิวสัมผัสที่ดี
รวมทั้งยังใช้เทคโนโลยีการผลิตรูปแบบ Unibody อย่าง MacBook Pro รุ่นผ่านๆ มา โดยทั้งเครื่องประกอบจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์เพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ซึ่งก็ถือได้ว่า Unibody เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เหนือกว่าคู่แข่งในเรื่องของการออกแบบให้มีความบางแต่ยังคงมีความแข็งแรงอยู่ ด้วยความที่ว่าต้องลงทุนสูงด้วยค่าเครื่องจักรตัดโลหะด้วยคอมพิวเตอร์ CNC ประกอบกับปริมาณในการผลิตต่อวัน ไม่สามารถผลิตได้จำนวนมาก ทำให้จำเป็นต้องวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม ซึ่งทาง Apple เองก็สามารถบริหารจัดการได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตมีต้นทุนที่ไม่สูงมากแต่สามารถจำหน่ายได้ราคา ซึ่งเป็นอะไรที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ นำไปทำตามได้ยาก
ดีไซน์การออกแบยังคงเน้นในเรื่องของความบางเบากว่าโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้วทั่วๆ ไป ด้วยความบางและน้ำหนักที่ถือว่าเท่าเดิมเหมือนเดิมซึ่งทำได้ดีอยู่แล้ว โดยตัวเครื่องมีความบางเพียง 18 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักที่ 2.02 กิโลกรัมเท่านั้น ในส่วนของมิติเครื่องก็ยังมีขนาดที่เท่าเดิม และที่ขาดไม่ได้เลยของ MacBook ก็คือโลโก้ Apple ที่สามารถเปล่งแสงได้ตามความสว่างของหน้าจอ (อาศัยไฟ Backlight จากหลอด LED ในจอ)?
มาต่อกันที่ด้านล่างตัวเครื่องของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] จะเห็นว่า เหมือนกับ MacBook Pro Retina 15 รุ่นปี 2012 และแทบไม่ต่างจาก MacBook Air หรือ MacBook Pro เลย แต่ถ้ามามองกันให้ดีๆ จะเห็นความแตกต่างอยู่บ้าง อย่างการที่ย้ายคำว่า MacBook Pro มาอยู่ด้านล่าง โดยส่วนที่เป็นสี่ดำกลมจะเป็นยางรองตัวเครื่องทั้ง 4 ด้าน สำหรับส่วนของน็อตก็เป็นแบบพิเศษเช่นเดียวกับตัว MacBook Air, MacBook Pro Retina 13
นอกเหนือจากนี้ MacBook Pro Retina 15 บริเวณใต้เครื่องด้านข้างซ้ายและขวา ยังมีการออกแบบให้มีช่องทางของการดูดอากาศเย็นเข้า เพื่อเป็นตัวช่วยในการระบายความร้อนให้ดียิ่งขึ้น ประกอบกับใช้พัดลมระบายความร้อนข้างในเครื่องจำนวน 2 ตัว ในการท่ายเทความร้อนออกไปจากช่องทางใต้หน้าจอ เรียกได้ว่า MacBook Pro Retina 15 รุ่นนี้เป็นตัวแรกที่ทาง Apple ส่งระบบระบายความแบบนี้ออกมา จากที่ก่อนหน้านี้จะใช้ระบบดูดอากาศเย็นจากช่องทางใต้คีย์บอร์ด อีกทั้งพัดลมระบายความร้อนยังมีการออกแบบมาพิเศษเพื่อนช่วยลดเสียงรบกวนที่เกิดขึ้นเมื่อเครื่องอยู่ในสถานะการการทำงานหนักจากการที่พัดลมทำงานรอบสูง ที่โดยปกติแล้วถ้าใช้งานทั่วไปพัดลมจะอยู่ที่ 2,000 รอบต่อนาที และถ้าทำงานหนักจะอยู่ที่สูงสุดคือ 6,000 รอบต่อนาที ซึ่งเมื่อใช้งานจริงในเรื่องของเสียงรบกวนถือว่าลดลงไปพอสมควร (แต่ยังได้ยินขัดเจนอยู่)
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ด MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ยังได้คงรูปแบบเดิมไว้ซึ่งก็ถือว่าทำไว้ดีอยู่แล้วเช่นกันตามสไตล์ของ Mac กับคีย์บอร์ด 4 แถวขนาด Full Size อีกทั้งด้านการใช้งานในการพิมพ์ ก็ยังตอบสนองได้เป็นอย่างดีทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วและช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำในการกด รวมทั้งแป้นก็เด้งกับนิ้วเมื่อกดลงไปอย่างพอดี ที่สำคัญมาพร้อมกับไฟส่องสว่างคีย์บอร์ด หรือหลายๆ คนอาจจะเรียกว่า Backlit Keyboard ที่สามารถใช้งานจริงได้สมบูรณ์แบบ ไม่แยงตาอย่างโน๊ตบุ๊คบางรุ่นบางยี่ห้อ
และสามารถปรับระดับไฟได้ตามต้องการของลักษณะแสงและ Ambient light sensor คอยปรับความสว่างไปอัตโนมัติอย่างนุ่มนวลทั้ง Backlit Keyboard และความสว่างของหน้าจอ ส่วนด้านบนของแป้นคีย์บอร์ดที่เป็นปุ่ม F1-F12 จะเป็นปุ่มฟังก์ชุ่นการทำงานพิเศษ อาทิเช่น การปรับความสว่างหน้าจอ เพิ่มเสียงลดเสียง และเรียกใช้งาน Mission Control, Launchpad & Dock ซึ่งมีข้อสังเกตอยู่ว่าปุ่ม Power ได้ย้ายมาอยู่ตำแหน่งของ Eject เดิม (มุมซ้ายบนสุดของคีย์บอร์ด) จากการที่ไม่จำเป็นต้องใช้ปุ่ม Eject แล้วในตัวของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ไม่มี Super Drive
ทัชแพด หรือใน Mac จะเรียกว่า Trackpad ยังคงมีลักษณะรูปแบบหน้าตาเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งในเรื่องของสัดส่วนขนาด ที่เป็นวัสดุที่ทำออกมาได้ดี สามารถลากนิ้วได้ลื่น ไม่เกิดอาการสะดุดหรือหน่วงใดๆ ซึ่งจากการใช้งานจริง พบว่าสามารถตอบสนองการใข้งานได้เป็นอย่างดี ทั้งในการใช้งานแบบปกติหรือใช้งานฟังก์ชันการทำงานแบบ Multi-Touch Gesture จริงๆ อย่างที่ทัชแพดควรจะเป็นในโน๊ตบุ๊คทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานตั้งแต่ 1 นิ้ว ไปจนถึง 5 นิ้ว ก็มีให้ใช้งานได้ครบถ้วนในระบบปฏิบัติการ OS X
Screen / Speaker
MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] เป็นหน้าจอแบบไร้ขอบ ซึ่งมีข้อดีก็คือไม่มีฝุ่นผงอะไรไปติดตามขอบจอทำให้ดูสกปรกง่ายๆ อีกทั้งขอบจอยังมีการเลือกใช้เป็นสีดำ นั่นก็เป็นเพราะว่าทาง Apple อยากให้หน้าจอนั้นดูว่ามีพื้นที่ใหญ่กว่าความเป็นจริง ประกอบกับหน้าจอของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] นี้เป็นแบบ Glare หรือจอกระจกด้วยการใช้กระจกเพียงชิ้นเดียวกั้นหน้าจอเอาไว้ ที่ให้มีสีสันที่สดใสและแสงสะท้อนที่เกิดขึ้นมีน้อย เทียบกับโน๊ตบุ๊คที่เป็นจอกระจกด้วยกันจะเห็นได้ชัดว่า มีการสะท้อนแสงที่น้อยกว่าพอสมควร ซึ่งถ้าใครกังวลเรื่องแสงสะท้อน ก็สามารถไปชมตัวจริงกันก่อนได้เลย
กล้องเว็บแคมหรือที่ทาง Apple เรียกว่า FaceTime HD camera มาพร้อมกับความละเอียด 720P ที่ให้ความคมชัดกว่า MacBook รุ่นก่อนๆ เรียกได้ว่าสามารถรองรับการใช้งานในเรื่องของ VDO Call หรือถ่ายรูปตัวเองจากกล้องเว็บแคมใน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ได้เป็นอย่างดีทีเดียว ที่น่าสนใจก็คือด้านข้างของกล้องยังได้มีการติดตั้ง Ambient light sensor ไว้ทำหน้าที่ในการตรวจสภาพปริมาณแสงรอบๆ เพื่อคอยปรับความสว่างหน้าจอและคีย์บอร์ดให้เหมาะสมแบบอัตโนมัติ อย่างที่กล่าวไปแล้วในส่วนของคีย์บอร์ด
สำหรับบานพับของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ดูแล้วค่อนข้างเหมือนเดิมก็คือเป็นแบบแกนเดียวที่ให้ความแข็งแรงเมื่อใช้งานและไม่หลวมหรือคลอนง่ายๆ เมื่อใช้งานไปนานๆ แต่ความจริงแล้วในเรื่องของการออกแบบดีไซน์ได้เปลี่ยนไปนิดหน่อยจาด MacBook Pro 15 สังเกตุได้ว่ามีขนาดเล็กลงเล็กน้อย เพื่อเพิ่มพื้นที่ในช่องว่างของช่องทางระบายความร้อนให้มีมากกว่าเดิม แต่ในการใช้งานจริงเรื่องการปิดเปิดบานพับก็ยังคงแน่นไม่ต่างไปจากเดิมเลย ประกอบกับทาง Apple ยังได้มีการติดตั้งแม่เหล็กไว้บริเวณขอบฝาด้านบนไว้สองตำแหน่งทั้งซ้ายและขวา เพื่อให้ตัวเครื่องและฝาประกบกันสนิท แต่ก็ไม่ถืงกับทำให้เปิดฝาขึ้นมาใช้งานลำบากแต่อย่างใด
รูปแบบตำแหน่งลำโพงในตัวเครื่องก็เหมือนเดิม คือจะเป็นลำโพงแบบสเตอริโอซ้ายขวาข้างๆ คีย์บอร์ด ที่จากการทดลองใช้งานจริง พบว่าเป็นลำโพงที่มีคุณภาพให้เสียงที่ค่อนข้างดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมทีเดียว จะบอกว่าเป็นลำโพงของ MacBook ที่ให้เสียงที่ดีที่สุดก็ว่าได้ เพราะทั้งเสียงแหลม เสียงกลางสามารถทำได้ดี รวมไปถึงเสียงทุ้มที่ก็มีมาให้ ถือว่าอาจจะไม่หนักแน่นมากแต่ก็ครบถ้วน ลักษณะเสียงออกไปแนวกว้างๆ โดยส่วนตัวแล้วชอบมากๆ ทีเดียว ซึ่งในลำโพงทางด้านซ้ายจะมีการติดตั้งชุดไมค์ไว้พร้อมใช้งานแล้ว
Screen Angle
คุณภาพหน้าจอของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?เครื่องนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นการติดตั้งพาเนลจอแบบ IPS มาให้ ซึ่งถือว่าเป็นพาเนลมาตรฐานสำหรับโน๊ตบุ๊คหรือ Ultrabook ระดับสูงในปัจจุบัน โดยการเลือกใช้พาเนลหน้าจอคุณภาพสูงระดับมืออาชีพอย่าง IPS (In-Plane Switching) ที่จัดได้ว่าพาเนลหน้าจอมอนิเตอร์ที่มีคุณภาพดีที่สุด ที่ให้ทั้งสีสันที่ตรง ความกว้างของช่วงสีสันที่มาก ส่งผลให้สีสันที่แสดงออกมาจากหน้าจอนั้นมีความสมจริงอย่างที่สุด ประกอบกับการที่มีมุมมองที่กว้างมากๆ เกือบ 180 องศาเลยทีเดียว รวมไปถึงด้วยความที่เป็นหน้าจอ Retina Display ความละเอียด 2880 x 1800 พิกเซล บนขนาดหน้าจอ 15.4 นิ้ว ทำให้รอยยักต่างๆ ที่เกิดขึ้นแทบจะมองไม่เห็นทีเดียว?
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ???
ด้านของมุมมองจากฝั่งซ้ายและขวาจะเห็นว่ายังสามารถมองเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนแต่ความสว่างหน้าจอจะลดลงไปบ้างเล็กน้อยแต่ผู้ใช้คนที่สองและสามก็ยังสามารถมองเห็นหน้าจอได้ดีไม่แพ้ผู้ใช้คนแรกที่อยู่ตรงกลางหน้าจอ ถือว่าหน้าจอที่ติดตั้งมาให้ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?เครื่องนี้มีมุมมองที่กว้างใช้ได้ทีเดียว แต่ก็อาจจะมีลักษณะที่แสงจะลดลงไปบ้าง
? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ? ??
รวมถึงแบบมุมก้มมุมเงยหน้าจอของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ผลที่ได้ก็คือ สีสันที่เรามองเห็นนั้นให้สีสันที่ตรง ไม่เกิดอาการสีเพี้ยนที่หน้าจอแต่อย่างใดเลย (แต่ก็มีปริมาณแสงลดลงไปเช่นกัน) แน่นอนว่าโน๊ตบุ๊คน้อยเครื่องน้อยรุ่นนักที่จะสามารถทำได้แบบนี้ และเรียกได้ว่าประสิทธิภาพในการแสดงผลนั้นเหนือกว่าโน๊ตบุ๊คหรือ Ultrabook ที่มีจำหน่ายในตลาดตอนนี้ทีเดียว
Retina Display
สำหรับในส่วนของเทคโนโลยี Retina Display ก็จะยังมีในเรื่องของความละเอียดที่สูง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือมีความหนาแน่นของพิกเซลที่สูง โดย MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] มีความละเอียดหน้าจอที่สูงถึง 2880 x 1800 พิกเซล หรือถ้าให้เทียบเป็นจำนวนพิกเซลก็จะอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล (ความละเอียด Full HD อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล เทียบได้คือ 2 ล้านพิกเซล) ในขนาดหน้าจอ 15.4 นิ้ว ส่งผลให้มีความหนาแน่นของพิกเซลที่สูงถึง 220 ppi (Pixels per inch) หรือเรียกง่ายๆ คือ มี 220 จุดต่อหนึ่งตารางนิ้ว ส่งผลให้การใช้งานมีความคมชัดที่สูงกว่าหน้าจอปกติทั่วไป ลักษณะคล้ายๆ กับการที่เราใช้ iPhone 5, 5S หรือ iPad Air, iPad mini Retina ที่แทบไม่เห็นเม็ดพิกเซล หรือรอยหยักเลย ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการขยายภาพที่มีความละเอียดสูงๆ และการขยายตัวอักษรก็ทำให้มีความคมชัดอย่างที่สุด
ซึ่งในส่วนหลักการของการแสดงผลบน?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] จะเป็นการแสดงผลความละเอียดเสมือนสเกลที่ 1440 x 900 พิกเซล เหมือน MacBook Pro 15 ซึ่งความจริงแล้วใช้ความละเอียดที่ 2880 x 1800 พิกเซล หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็นการเพิ่มความหนาแน่นเข้าไปถึง 4 เท่าในความละเอียดของหน้าจอที่เท่าเดิม?ถ้าเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ก็คงยกตัวอย่าง อย่างเกม 3 มิติ ที่ใช้ความละเอียดที่ต่างกัน ซึ่งจะเห็นว่าเมื่อปรับความละเอียดให้สูงกว่าปกติ (จาก HD เป็น Full HD) ภาพในเกมนั้นจะมีความคมชัดมายิ่งขึ้น ลดหยักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวละครหรือฉากจะลดลงไป แต่ขนาดของภาพเองจะมีขนาดเท่าเดิมนั่นเองครับ
ซึ่งวิธีการที่ระบบใช้ในการปรับสเกลภาพนั้น ไม่ได้ใช้การอัพสเกลภาพแบบปกติ ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาพแตกและไม่สวยงาม?แต่ Apple ได้เลือกใช้อีกวิธีหนึ่ง ในที่นี้ขอยกตัวอย่างในกรณีของการปรับความละเอียดการสเกลเป็น 1920 x 1200 พิกเซล ที่ตัวกราฟิกการ์ดจะใช้การเรนเดอร์ภาพขึ้นไปที่ความละเอียดสูงถึง 3840 x 2400 พิกเซล (9.2 ล้านพิกเซล) จากนั้นก็ดาวน์สเกลลงมาให้พอดีกับความละเอียดจอ 2880 x 1800 พิกเซล เพื่อให้สามารถแสดงผลภาพได้อย่างชัดเจน?ถ้านำมาเทียบกับการเรนเดอร์ภาพที่ความละเอียด 1920 x 1200 พิกเซล จะพบว่าการ์ดจอต้องทำงานหนักขึ้นถึง 4 เท่าด้วยกัน แต่เมื่อทดลองใช้งานก็ยังให้ความที่ลื่นไหลอยู่ เรียกได้ว่า Apple เองได้รีดการทำงานของกราฟิกแบบสุดๆ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ Apple ถนัดและทำมาโดยตลอดมาอยู่แล้ว
แน่นอนการใช้งานจริงๆ ของ Retina Display จะเห็นผลได้ชัดเจนเมื่อมีซอฟต์แวร์มารองรับ อย่างในตอนนี้เว็บเบราเซอร์อย่าง Safari ของ Apple เอง และ Chrome ของ Google ก็ได้รองรับในส่วนนี้แล้ว ซึ่งทำให้ตัวอักษรที่แสดงออกมามีความคมชัดกว่าหน้าจอปกติ และยิ่งเมื่อขยายก็จะเห็นว่าความคมกริบ เพราะหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดจะเป็นการเรนเดอร์ภาพขึ้นมาสดๆ ณ ตอนนั้น แต่สำหรับในส่วนของภาพอาจจะมีความเบลอหรือแตกไปบ้าง จากการที่ภาพในเว็บไซต์ส่วนมากจะมีขนาดที่ไม่ใหญ่โตมากนัก ซึ่งก็ถือว่าให้ประสบการณ์ใช้งานได้ค่อยข้างน่าประทับใจ
โดยถ้าจะพูดกันตามการใช้งานจริงๆ แล้วนั้น?เทคโนโลยี Retina Display อาจจะไม่ได้มีประโยชน์มากมายอะไรนักในการใช้เว็บบราวเซอร์ นอกเหนือจากการให้ประสบการณ์การใช้งานที่เหนือกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป แต่มีประโยชน์สำหรับงานบางประเภทอย่างเช่นการตกแต่งภาพ การตัดต่อวีดีโอ หรืองานด้านเขียนแบบ ที่ถ้าใครซื้อไปใช้งานประเภทนี้รับรองว่าได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ จาก Retina Display แน่นอน?หรือใครมีงบประมาณในการซื้อที่สูง รวมไปถึงอยากได้เทคโนโลยีการแสดงผลสุดล้ำ แต่เอาไปแค่ใช้งานทั่วไป อันนี้ถ้าจะซื้อจริงๆ ก็คงไม่มีใครว่าอะไรนะครับ ซึ่งจากการถามคนรอบข้างบอกคนที่เป็นผู้ใช้งานทั่วไป (ย้ำว่าทั่วไปจริงๆ) ก็พบว่าเทคโนโลยี Retina Display ไม่มีผลอะไรเลยกับการใช้งาน นอกเสียจากจอที่สีสวยขึ้นเท่านั้น (เพราะพาเนลเป็น IPS)
ใน OS X 10.9 Mavericks จะมีส่วนของซอฟต์แวร์ไว้ปรับค่าสเกลของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ตัวนี้กัน โดยราคาสามารถเลือกว่าให้เป็น Best for Retina display ได้ทันที ซึ่งในการแสดงผล ก็จะเป็นสเกลความละเอียดที่ 1440 x 900 พิกเซล แต่ก็อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าความละเอียดจริงๆ ก็คือ 2880 x 1800 พิกเซลครับ
หรือกรณีถ้าเราต้องการย่อขยายสเกลด้วยตนเองก็สามารถทำได้ง่ายๆ ซึ่งถ้าเลือกเป็น Best (Retina) สเกลความละเอียดก็จะเป็น 1440 x 900 พิกเซล โดยสามารถปรับสเกลความละเอียดได้ตั้งแต่ 1024 x 640 พิกเซล ไปจนถึง 1920 x 1200 พิกเซลเลยทีเดียว
ตัวอย่างการแสดงสเกลตามหน้าเว็บไซต์ notebookspec.com ก็จะเป็นไปตามนี้ที่สเกลความละเอียด 1440 x 900 พิกเซล
หรือถ้าปรับสเกลให้เสมือนการแสดงผลที่ความละเอียด 1024 x 600 พิกเซล ก็จะเป็นอย่างภาพซ้าย และภาพขวาก็จะเป็นการสเกลที่ความละเอียด 1280 x 800 พิกเซลครับ
ต่อมาภาพทางซ้ายก็จะเป็นการสเกลที่ความละเอียด 1680 x 1050 พิกเซล และภาพขวาก็จะเป็นความละเอียด 1920 x 1200 พิกเซล ในส่วนของสเกลความละเอียดนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะงานที่ใช้นะครับ ถ้าต้องการขยายใหญ่ก็เลือกที่สเกลความละเอียดต่ำ และถ้าต้องการใช้พื้นที่มากๆ ก็ให้เลือกเป็นสเกลความละเอียดสูงๆ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามความละเอียดที่แท้จริงแล้วจะเป็น 2880 x 1800 พิกเซลเสมอครับ
ไหนๆ ก็เป็น MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอแบบสุดยอดแล้วทางทีมงานเลยถือโอกาสทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง?Spyder3Elite?พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งเมื่อคาลิเบรตแล้วเราก็เลือกโปรไฟล์ที่เราได้คาลิเบรทเอาไว้ (ตามภาพใช้ชื่อว่า Apple Color LCD-1)
ผลที่ได้หลังจากที่คาลิเบรทก็คือคอนทราสต์มีการไล่โทนที่กว้างขึ้น แต่ในส่วนของสีสันหรืออุณหภูมิสีไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด (หรือเปลี่ยนแปลงน้อยมากจนมองไม่เห็นความต่างที่เกิดขึ้น) สำหรับผลทดสอบอื่นๆ สามารถชมได้ตามภาพด้านล่างนี้เลยครับ
ภาพนี้จะแสดงให้เห็นถึงหน้าจอ Retina Display ใน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ตัวนี้ ให้ความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับ มาตรฐาน sRGB ที่ 16.7 ล้านสีจริงๆ ดูจากที่เส้นสีของหน้าจอจะเป็นสีแดง ?นั้นทาบกับเส้นที่เขียวของ sRGB เลยทีเดียว เรียกได้ว่าหน้าจอโน๊ตบุ๊คทั่วไปน้อยเครื่องนักที่จะแสดงสีสันได้มาตรฐานขนาดนี้ (ถ้าจะมีคงเป็นโน๊ตบุ๊คระดับ Work Station)
ภาพนี้จะแสดงเป็นตารางที่จะบ่งบอกถึงค่าความสว่างต่อคอนทราสต์ที่ได้ อย่างแรกที่เห็นก็คือความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 nits ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊ค ต่อมาก็จะแสดงให้เห็นถึงการแสดงสีดำที่ไม่มีความดำสนิทตั้งแต่ปรับความสว่างที่ 50% ขึ้นไป โดยจริงๆ แล้วคงเป็นของจำกัดของเทคโนโลยีหน้าจอ LED ดี ?ถัดมากับค่าของคอนทราสต์ ที่จะแสดงได้ดีที่สุดเมื่อปรับค่าความสว่างที่ 50% ขึ้นไป โดยมีค่าคอนทราสตเรโช (Contrast Ratio) อยู่ที่ 760 : 1 ที่อยู่ในเกณฑ์ของมาตรฐานหน้าจอระดับสูง สุดท้ายกับอุณหภูมิสี (สมดุลย์แสงสีขาว) ที่ให้สีขาวที่ขาวจริงๆ ที่ 6500 องศาเคลวิน แต่ก็มีเพี้ยนบ้างเมื่อปรับไปที่ความสว่างสูงสุดที่ 100%
ปิดท้ายกับการทดสอบหน้าจอของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ด้วยการวัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด นับเป็นความเพี้ยนของความสว่างที่ 0% ที่จะเห็นได้ว่าขอบจอด้านบนและด้านข้างมีความเพี้ยนของความสว่างที่เล็กน้อยอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ แต่สำหรับขอบจอด้านล่างเหมือนจะมีมากไปซะหน่อย ยิ่งในส่วนของขอบจอล่างด้านข้างยิ่งอาการหนัก เพราะความสว่างลดลงไปถึง 13% ที่ต้องบอกก่อนว่าทุกๆ หน้าจอมอนิเตอร์ย่อมเป็นปัญหานี้อยู่แล้ว ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ครับ (แต่ละเครื่องของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ก็คงให้ค่าที่ไม่เท่ากัน แต่ก็คงใกล้เคียงกัน ถ้าอยากรู้ว่าหน้าจอโน๊ตบุ๊คของเรานั้นมีสถานะแบบใด คงต้องหาอุปกรณ์มาทำการทดสอบกันดู)
Connector / Thin And Weight
MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] จากด้านข้าง เราจะเห็นถือความบางเฉียบที่มีมากกว่าโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้วทั่วไปพอสมควร เรียกได้ว่าเทียบกับ MacBook Air หรือ Ultrabook ในบางรุ่นได้อย่างสบายๆ ทีเดียว ซึ่งในเรื่องของพอร์ตการเชื่อมต่อของตัว MacBook Pro Retina 13 ที่ตามภาพจะเป็นด้านซ้าย ประกอบไปด้วย ช่องเสียบสายชาร์จไฟ Magsafe 2 ที่มีรูปแบบที่บางลงกว่า MacBook Pro และ MacBook Air ตัวก่อนปัจจุบัน มีลักษณะพิเศษคือ เป็นแม่เหล็กดูดติดกับเครื่อง เรียกได้ว่ามีความปลอดภัยในการใช้งานสูงหากเราไม่สะดุดสายไฟ ตัวเครื่องก็จะไม่ตกลงมา ซึ่ง Magsafe เป็นสิทธิบัตรของ Apple เพียงรายเดียว ฉะนั้นแล้วเราจะเห็นที่ชาร์จแบบนี้ได้ ก็จะมีเพียง MacBook เท่านั้น ในการใช้งานหากไฟแบตเตอรี่เต็มจะมีไฟแสดงสถานะเป็นสีเขียว แต่ถ้าหากกำลังชาร์จไฟก็จะเป็นสีส้ม
ถัดมาก็จะเป็นช่องเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt เวอร์ชั่น 2 ที่มีการติดตั้งมาให้ถึง 2 ช่องทางด้วยกัน ที่นอกเหนือจากนั้นยังทำหน้าที่เป็นช่องทางการแสดงผล Display Port ได้อีกด้วย สำหรับพอร์ต USB 3.0 ด้านซ้ายนี้ได้มีใส่มาจำนวน 1 ช่อง และพอร์ตหูฟังที่รองรับการเชื่อมต่อไมค์ขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตรในตัวอีกหนึ่งช่องด้วยกัน นอกเหนือจากนี้ไมโครโฟนจำนวน 2 ตัวยังได้อยู่ติดตั้งบริเวณนี้อีกด้วย
ด้านข้างทางขวาก็จะเป็นในส่วนของช่องอ่านการ์ดที่รองรับการ์ดความจำยอดนิยมอย่าง SD Card, SDXC Card ที่ใช้ในกล้องดิจิตอลปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นคอมแพ็คหรือ DSLR อีกทั้ง Apple ยังได้ติดตั้งพอร์ตแสดงภาพดิจิตอล HDMI มาให้เหมือนอย่างโน๊ตบุ๊คทั่วๆ ไป ส่งผลให้ MacBook Pro Retina [Late 2013] นี้มีช่องทางการแสดงผลดิจิตอลถึง 3 ช่องทางด้วยกัน สุดท้ายกับพอร์ต USB 3.0 อีกหนึ่งพอร์ต รวมกับด้านซ้ายก็จะมีทั้งหมดทั้งเครื่องอยู่ 2 พอร์ตด้วยกัน ตามสไตล์ของ MacBook ที่ไม่ต้องการให้มีมากจนเกินไป เพราะจะมีผลต่อรูปแบบดีไซน์
สำหรับตัวเครื่องด้านหน้าก็ยังได้มีการเว้าบริเวณตรงกลาง ลักษณะคล้ายๆ เดิมตามสไตล์ของ MacBook ที่ดูสวยงามลงตัว แต่ก็มีหน้าตาที่เปลี่ยนเล็กน้อย ด้วยการที่มีรูปแบบที่เว้าเข้าไปในเครื่องที่น้อยลง และด้านหลังก็ยังคงรูปแบบเดิมเอาไว้ นั่นก็คือโล่งๆ เราจะเห็นเป็นเพียงแกนฝาพับที่หุ้มด้วยพลาสติกสีดำเท่านั้น?
เมื่อปิดฝาเครื่องลงจะเห็นว่าตัวเครื่องโดยรอบประกบกันอย่างสนิทพอดี ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ขึ้นชื่อของ Apple อยู่แล้ว นอกเหนือจากดีไซน์ที่สวยงาม ยังให้งานประกอบระดับคุณภาพสูง ดูแล้วมีความประณีตใส่ในทุกรายละเอียด จึงทำให้หลายๆ คนติดใจกับผลิตภัณฑ์ Apple ไม่ว่าจะเป็น MacBook จนไปถึง iPhone และ iPad อีกด้วยครับ
มิติของตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] อยู่ที่ความหนา (ความสูง) 1.8 เซนติเมตร / กว้าง 35.89 เซนติเมตร / ยาว 24.71 เซนติเมตร ที่เรียกได้ว่าความกว้างความยาวไม่แตกต่างไปจาก MacBook Pro Retina 15 รุ่นเดิมเลย ฉะนั้นพวกซอฟต์เคสหรือกระเป๋าที่ใว้ใช้กับ MacBook Pro 15 ก็สามารถใช้กับ MacBook Pro Retina 13 ได้อย่างสบายๆ เช่นกัน ซึ่งถ้านำไปเทียบกับนิตสารขนาดมาตรฐานจะเห็นได้ว่ามีด้านกว้างที่ยาวเลยออกไปเท่านั้น ส่วนอแดปเตอร์ก็มีขนาดที่เล็กกว่าอแดปเตอร์โน๊ตบุ๊คทั่วไปพอสมควร
ตามสเปกของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] น้ำหนักจะอยู่ที่ 2.02 กิโลกรัม?แน่นอนว่าในการใช้งานจริงบางครั้งเราจำเป็นต้องพกพาอแดปเตอร์ไปด้วย ซึ่งในส่วนนี้ทางทีมงานก็เลยลองชั่งน้ำหนักเมื่อรวมตัวเครื่องกับอแดปเตอร์ดู โดยน้ำหนักก็จะอยู่ที่ 2.4 กิโลกรัม ที่ก็จัดว่ามีน้ำหนักรวมกันไม่สูงมากนัก อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ หรือไม่ก็ถือว่าน้ำหนักเบาเท่ากับโน๊ตบุ๊คทั่วไปขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว และจากการลองพกพาใข้งานจริงดูแล้วก็ไม่แต่ต่างจาการพกพา MacBook Pro 13 มากนัก (เครื่องเดิมของผู้เขียนเอง)
Performance / Software
ด้านซอฟต์แวร์แน่นอนว่า Mac ทุกเครื่องนั้นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการของตัวเองอย่าง?OS X ซึ่งในตอนนี้เวอร์ชั่นล่าสุดก็เป็นในส่วนของ 10.9 ที่มีชื่อว่า Mavericks?สำหรับฟีเจอร์เต็มๆ ?อย่างใน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] เครื่องนี้ก็จะเป็น OS X 10.9
OS X เองสามารถตรวจสเปกของ Mac เครื่องนั้นๆ ได้ง่ายๆ ผ่านทาง?About This Mac?ซึ่งจากภาพก็แสดงให้เห็นถึงว่า Mac รุ่นนี้คือรุ่นอะไร ปีไหน และสเปกคร่าวๆ อย่าง ชิปประมวลผล, แรม, กราฟิกการ์ด, ซีเรียลนับเบอร์ ?และเวอร์ชั่นของ OS X โดยถ้าใครต้องการชมแบบละเอียดๆ ก็สามารถกดเข้าไปชมกันได้ที่ปุ่ม System Report ได้เลยครับ ซึ่งเรียกว่าเราจะพบกับข้อมูลและสเปกแบบละเอียดสุดๆ ไปเลย ว่าชิ้นส่วนไหนใช้อะไร ของแบรนด์ไหนบ้าง อันนี้คงไม่เจาะลงไปนะครับ เพราะมันยิบย่อยมากๆ
มาต่อกันที่ส่วนของ?Mission Control?เป็นหนึ่งหน้าที่ถูกใช้งานเป็นประจำ เพราะความสะดวกในการเรียกใช้งาน รวมไปถึงความสามารถในการสลับเปลี่ยนโปรแกรมได้ค่อนข้างง่าย แถมยังมีความสวยงามและลื่นไหลอย่างนุ่มนวล โดยในหนึ่งหน้า Desktop สามารถใช้งานได้หลายโปรแกรม อีกทั้งยังสามารถเพิ่มหน้า Desktop ได้หลาย Desktop ด้วยกัน ซึ่งในการใช้งานส่วนตัวจะเปิดโปรแกรม Activity Monitor ไว้ซักหน้าหนึ่งเพื่อคอยมอนิเตอร์ระบบ (แบบเดียวกับ Task Manager)
นอกจากนี้ยังมีส่วนหน้าริมซ้ายสุด จะเป็นหน้าที่เรียกว่า?Dashboard?ที่มีหน้าที่สำหรับวางวิดเจ็ตต่างที่หลากหลายคล้ายๆ กับใน Windows แต่ต่างตรงที่ Windows จะใช้การวางวิดเจ็ตในหน้า Desktop หลักเลย ส่วนของใน Mac จะแยกหน้าออกมา ทำให้ดูเป็นระเบียบยิ่งขึ้น แถมยังจัดตำแหน่งได้อิสระดีด้วย แต่ก็มีจุดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ นั่นคือถ้าไม่ได้เข้ามาหน้า Dashboard ก็จะไม่ทราบเลยว่าเราเขียนอะไรไว้บน Sticky Note หรือเปล่า อาจจะทำให้ลืมได้ ต่างจากใน Windows ที่อยู่บนหน้า Desktop ที่ยังไงๆ ก็เห็นแน่นอน
และขอแนะนำกับหนึ่งในวิดเจ็ตที่น่าสนใจ ซึ่งมีหลายๆ คนติดประจำเครื่องไว้ก็คือ iStat Pro เพราะมันสามารถแสดงข้อมูลสถานะการทำงานแต่ละส่วนของเครื่องได้ครบครันในตัวเดียว ซึ่งวิดเจ็ตตัวนี้เป็นวิดเจ็ตฟรี สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้เลย
Launchpad ก็จัดได้ว่าอีกหนึ่งคุณสมบัติของ OS X ตัวปัจจุบัน กับการแสดงถึงโปรแกรมที่ถูกติดตั้งไว้ในเครื่องที่เราได้ติดตั้งไว้ตรง Application โดยมีการแสดงผลคล้ายๆ ในหน้าจอ iPad, iPhone ที่ใช้ระบบปฏิบัติการเป็น iOS เรียกได้ว่าใครเคยใช้พวกอุปกรณ์ iDevice อยู่แล้วก็คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีทีเดียว
System Preference ที่ไว้ใช้ปรับแต่งค่าทั้งหมดในเครื่อง หรือถ้าจะเทียบในฝั่งของ Windows ก็จะเป็นส่วนของ Control Panel นั่นเอง ที่มีลักษณะที่ดูเรียบง่ายสวยงาม แต่ใช้งานสะดวกและมีการแบ่งหมวดหมู่ที่เข้าใจได้ง่าย
นอกเหนือจากนี้ในตัวของ OS X ยังได้มีส่วนของ Mac App Store ที่ทำให้สามารถหาซื้อโปรแกรมแอพพลเคชั่นต่างๆ เพื่อมาใช้งานในเครื่อง Mac ของเราได้อย่างสะดวก โดยอาศัยการเชื่อมต่อหลักการเดียว App Store ในระบบปฏิบัติการ iOS ที่อยู่ใน iPad, iPhone ก็คือต้องใช้ Apple ID เป็น Account เรียกได้ว่าใครชอบเล่นแอพพลิเคชั่นไม่ว่าจะฟรีหรือแบบสียเงินซื้อ ที่ Mac App Store ก็มีมารองรับอย่างครบถ้วนครับ
Benchmark (OS X)
โปรแกรมทดสอบเครื่องที่นิยมในฝั่ง Mac ก็คือ GeekBench ที่มีตัวเลือกให้เทสได้ทั้ง 32 และ 64 bit ซึ่งคะแนนที่ได้ออกมาก็สามารถนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลคะแนนเฉลี่ยนของ GeekBench เองได้ครับ มาดูส่วนของ 32 bit ก่อนแล้วกัน
จากนั้นมาชมกันที่ 64 bit ก็จะพบว่าผลคะแนนที่ออกมานั้นมีใกล้เคียงกับ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ทีเดียว ซึ่งเทียบกันในด้านของการประมวลก็คงไม่มีความแตกต่างกันจนเห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการทดสอบที่ 64 bit นั้นให้ผลคะแนนที่มากกว่าถึงจะเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็เรียกได้ว่าในส่วนของคะแนนนั้นมากกว่า MacBook Pro Retina 15 [Mid 2012] ที่เคยรีวิวไปแล้ว กว่า 30% ทีเดียว
อีกส่วนที่หลายๆ คนอยากทราบทดสอบกันที่สุดก็คือความเร็วของ SSDโดยเครื่องที่ทดสอบได้ติดตั้ง SSD เป็นของ Samsung ขนาดความจุ 512GB สามารถทำความเร็วเฉลี่ยในการอ่านได้ที่ประมาณ 720 MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนจะอยู่ช่วงประมาณ 710 MB/s ด้วยกัน ซึ่งก็คงเป็นผลมาจากการใช้การเชื่อต่อแบบ PCIe ที่โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆ ระดับสูงจะนิยมใช้กัน รวมไปถึงความที่เป็น SSD ประสิทธิภาพสูงจากทาง Samsung อีกด้วย โดยเทียบกับรุ่นเดิมเรียกได้ว่าแรงกว่าเก่าเกือบเท่าตัวทีเดียว
ตัวอย่างการทำงานที่โดยส่วนตัวใช้เป็นประจำก็คือการโปรเซสภาพถ่ายด้วยโปรแกรม Aperture ของ Apple เองที่เมื่อทำงานบน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่ทำออกมารองรับการแสดงภาพแบบ Retina Display ได้เต็มรูปแบบ ไม่ว่าเป็นตัวอักษร หรือภาพถ่ายก็มีความคมชัด ซึ่งกรณีที่ขยายภาพก็ยังมีความคมชัดอยู่ แน่นอนว่าด้านการประมวลผลตัวโปรแกรมเองก็ได้ดึงประสิทธิภาพการทำงานของตัวเครื่องอย่างเต็มที่เช่นกัน ที่ดูจากภาพจะเห็นถึงการใช้งานแรมไปจนเกือบหมด จากที่ตัวเครื่องมีอยู่ 16GB ซึ่งก็แสดงให้เห็นถึงระบบการทำงานของโปรแกรมและระปฏิบัติการว่าสามารถดึงความสามารถจากสเปกที่มีมาให้อย่างเต็มที่ เพื่อการทำงานให้รวดเร็วสุงสุด เรียกได้ว่าไม่ต้องกลัวว่าแรมบนเครื่องที่มีขนาด 16GB จะไม่ได้ใช้ รับรองว่ามีสเปกเท่าไหร่ ระบบปฏิบัติการ OS X ก็จะรีดนำมาใช้เท่านั้นครับ
Benchmark (Windows 8)
มาถึงส่วนที่หลายๆ คนน่าจะให้ความสนใจกัน นั่นคือการทดสอบ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ในระบบปฏิบัติการ Windows 8 ลิขสิทธิ์ (ซื้อเพิ่มเองต่างหาก) ที่ติดตั้งผ่านทางซอฟต์แวร์ Bootcamp ซึ่งการติดตั้ง Bootcamp นั้นก็เหมือนกับการติดตั้ง Windows ในโน๊ตบุ๊คทั่วไปเลย ไม่มีการลดทอนประสิทธิภาพการทำงานลง เพราะมันก็คือการใช้งาน Windows บนเครื่องตรงๆ นั่นเอง แถมยังสะดวกกว่าด้วย เพราะสามารถโหลดไฟล์รวมไดร์วเวอร์จาก Apple มาเป็นชุดเดียวเลย คลิกติดตั้งครั้งเดียว แล้วก็รอจนเสร็จซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก เอาเป็นว่าเรามาดูกันเลยดีกว่าครับว่าผลจะเป็นอย่างไร
CPU ของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?เลือกใช้เป็น Intel Core i7-4850HQ ตัวแรงบนเครื่องโน๊ตบุ๊ค สถาปัตยกรรม Haswell ที่มีความเร็วในการประมวลผล 2.3 GHz ที่สามารถเร่งความเร็วด้วย Turbo Boost ได้สูงสุด 3.5 GHz มีหน่วยความจำ L3 Cache 6 MB โดยเป็นแบบ 4 Core 8 Threads พร้อมทั้งมีค่าอัตราการกินไฟสูงสุดแค่ 47W ?ส่วนระดับสถาปัตยกรรมก็อยู่ที่ 22nm แต่ยังคงใช้คอร์ประมวลผลแบบเดิมอยู่?
หน่วยความจำแรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 16GB DDR3 Bus 1600MHz แบบ Dual Channel ที่เรียกว่าจัดเต็มที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ
ด้านของหน่วยประมวลผลกราฟิกก็จะเป็น NVIDIA GT 750M ที่มีหน่วยความจำแรมภายในตัวขนาด 2GB แบบ DDR5 (จัดว่าเป็นกราฟิกการ์ดตัวหนึ่งที่โน๊ตบุ๊คในปัจุบันนิยมใช้กัน) ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนความละเอียดหน้าจอระดับ 2880 x 1800 พิกเซล บน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ที่จากการตรวจสอบ ไม่เห็นถึงการทำงานของ Intel Iris Pro graphics 5200?ใน Windows เลย เข้าใจว่าเมื่อใช้งานบน Windows คงบังคับให้ใช้กราฟิกการ์ดแยกเพียงอย่างเดียว
Windows ที่ใช้ในการทดสอบก็คือ Windows 8 แบบ 64bit ลิขสิทธิ์ ที่ทำการอัพเดทล่าสุดแล้ว ซึ่งก็ทำคะแนนไปได้ตามในภาพคือแตะระดับ 7 – 8 ขึ้นไปทั้งหมด (คะแนนเต็ม 9.9) ที่น่าประทับใจก็คือ SSD นี่ที่เรียกคะแนนไปเต็ม 8.2 คะแนน ส่วนกราฟิกการ์ดคะแนนดูเหมือนจะน้อยสุดโดยอยู่ที่ 7.2 (แต่ในการใช้งานจริงก็ถือง่าเล่นเกมหรือทำงาน 3 มิติได้สบายๆ แล้วล่ะ)
Cinebench R11.5 เทียบกันกับ MacBook Pro Retina 15 [Mid 2012]?ตัวเดิม ในเรื่องของคะแนน?OpenGL ซึ่งใช้กราฟิกการ์ดเป้นตัวช่วย ฝั่ง MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ทำผลคะแนนได้ดีกว่าพอสมควร โดยมากกว่าเดิมถึง 20% ส่วนคะแนนซีพียูนั้น Windows ทำได้ดีกว่าพอสมควรเหมือนกัน แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งเข้าใจว่า ชิปประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง?Intel Core i7-4850HQ คงเน้นเรื่องการประหยัดพลังงานมากกว่าประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น
สำหรับการทดสอบความเร็วในการอ่านเขียน SSD ได้ใช้โปรแกรม AS SSD ทดสอบ ผลที่ได้ออกมาก็คือมีความเร็วที่สูงมาก โดยเทียบกับทางฝั่ง OS X ที่ทดสอบไปแล้วนั้นการทำงานในเรื่องของการอ่านตกลงไปพอสมควรทีเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการทำงาน SSD PCIe ใช้บน OS X จะได้ผลดีมากกว่า (สำหรับ ?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013])
ตามติดกันมาด้วย Performance Test ที่ได้คะแนนไป 3000.1 คะแนน ซึ่งคะแนนที่ได้ถือว่าสูงกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปกที่ใกล้เคียงกัน และมากกว่ารุ่นก่อนหน้าที่เคยรีวิวไปแล้วกว่า 600 คะแนนทีเดียว
เมื่อทดสอบรัน Street Fighter IV Benchmark ซึ่งเป็นตัวแทนของเกมดังในอดีต ได้คะแนนที่ 19,090 คะแนน มีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยที่ 179 FPS ด้วยกัน ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมสำหรับโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูง ซึ่งถ้าใครจะนำโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ไปเล่นเกมแนวไฟท์ติ้งที่ไม่เน้นการประมวลผลฉากในเกมมากนักล่ะก็ ถือได้ว่า MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?เครื่องนี้ก็พร้อมตอบสนองความสุขของทุกคนได้อย่างดีเยี่ยม (เหลือเฟือ)
ทดสอบเกมกินสเปกตลอดกาลอย่าง?Resident Evil 6?ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1360 x 768 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับที่ High ทั้งหมด ก็ต้องยอมรับว่าเกมส์นี้กินสเปกมากจริงๆ แต่แค่ Medium ภาพก็สวยจนน่าประทับใจแล้วครับ จากเกมส์ที่ทดสอบมาทั้งหมดจะเห็นว่า MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?มีประสิทธิภาพในการเล่นเกมส์ที่ค่อนข้างสูงไม่แพ้เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คในปัจจุบันทีเดียว เพราะส่วนใหญ่จะไปวัดกันตรงกราฟิกการ์ดเป็นส่วนมาก และใช้ Intel Core i7 ในการขับเคลื่อนอยู่แล้ว ซึ่งเชื่อได้ว่าสำหรับเกม?Resident Evil 6 นี้เล่นจริงๆ ต้องอยู่ในระดับ Rank A อย่างแน่นอน
อีกเกมหนึ่งที่โดยส่วนตัวเล่นเป็นประจำอย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบให้ด้วยเช่นกัน?โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1200 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ แน่นอนว่าที่ความละเอียด Native 2800 x 1800 พิกเซล ไม่สามารถเล่นอย่างลื่นๆ ได้?สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เปิดทุกอัน ที่สามารถดูได้ตามภาพด้านบน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่น ระดับเฟรมเรทอยู่ที่ประมาณ 50-60 แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 30 ขึ้นไปตลอด (รุ่นก่อนหน้าปรับความละเอียดได้แค่ 1680 x 1050 พิกเซล เพราะถ้ามากกว่านี้จะกระตุก)
สรุปโดยรวมแล้วคือเล่นได้สบายๆ แถมให้ภาพที่สวยงาม แต่ก็ไม่ถึงขั้นคมชัดมากมาย เพราะไม่สามารถปรับความละเอียดไปที่ค่าสูงสุดได้ ซึ่งในการทดลองเล่นเกม DOTA2 ใน Windows นะครับ เพราะเกมนี้เวอร์ชัน Windows ทำได้กว่าบน OS X ส่งผลให้เวลาจะเล่นเกมก็ต้องสลับไปทาง Windows แทน จากที่ปกติจะทำงานใน OS X เป็นหลัก แต่ก็ถือว่าไม่มีปัญหาอะไร เพราะตัว OS X และ Windows 7 ใช้เวลาในการเปิดปิดเครื่องที่เร็วมากๆ อยู่แล้ว?(เปิดใช้เวลาประมาณ 10 วินาที และปิดใช้เวลาไม่เกิน 2-5 วินาทีเท่านั้น)
ที่สำคัญในตอนนี้หน้าจอความละเอียดสูงอย่าง Retina Display บน MacBook เครื่องนี้ก็สามารถใช้งานได้สมบูรณ์แบบบนระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 แล้ว เรียกได้ว่าสามารถสเกลขนาดให้ใหญ่พอดีไม่แพ้ในส่วนของ OS X ของ Mac เองทีเดียว โดยเมื่อติดตั้ง Windows 8.1 ระบบจะทำการปรับสเกลให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ซึ่งถือได้ว่าน่าประทับใจมากๆ ไม่เหมือนตอนที่ใช้งาน Windows 7 ที่ผิดหวังมากๆ เพราะมันไม่รองรับหน้าจอความละเอียดสูง
Battery / Heat / Noise
ในการทดสอบเรื่องของการใช้งานแบตเตอรี่ที่มีความจุ 8440 mAh นั้น แน่นอนว่าเราก็ต้องทำการทดสอบทั้งในฝั่งของ Windows และ OS X โดยมาดูจากฝั่งของ OS X กันก่อน ?ด้วยความที่เป็นระบบปฏิบัติการของตัวเองจึงสามารถจัดการพลังงานได้อย่างสมบูรณ์กว่า โดยในสถานะเครื่องเปิดไว้เฉยในสถานะแบตเตอรี่ 100% โดยทดสอบตามสถานะตามการใข้งานจริงด้วยการปรับความสว่างบนหน้าจออยู่ที่ 50% และไฟคีย์บอร์ด Backlit ปรับไว้ที่ 50% เช่นกัน ผลเวลาที่ได้ออกมาจะอยู่ที่ประมาณ 7-8 ชั่วโมง ตามที่ Apple บอกไว้ในสเปกและรายละเอียดของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] พอดี?
จากการประเมินระยะเวลาด้วยโปรแกรม BatteryMon ก็พบว่าจะสามารถใช้งานเครื่องได้ราวๆ 5 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับในการใช้งานทั่วไปโดยเปิดความสว่างไว้ 50% และไฟคีย์บอร์ด Backlit 50%เหมือนกัน ซึ่งระยะเวลาก็ลดลงมาจากใน OS X พอสมควรเหมือนกัน (ประมาณ 3 ชั่วโมง) แสดงให้เห็นว่าเวลาใช้งานจริงอัตราการกินพลังงานใน Windows มีสูงกว่าใน OS X ที่ก็น่าจะเป็นผลมาจากการที่ OS X สามารถจัดการพลังงานได้ดีกว่าฝั่งของ Windows (เป็นอะไรที่ปกติมากๆ ไม่ต้องสงสัยกันไป)?
เรื่องความร้อนของเครื่องนั้น ในภาพด้านบนเป็นการวัดในขณะเครื่องไม่ได้เปิดโปรแกรมอื่น (ดูที่ค่า Min) ซึ่งก็คืออยู่ในสถานะ idle อุณหภูมิที่ออกมาจัดได้ว่าค่อนข้างเย็น ส่วนตัวเครื่องอุณหภูมิโดนรอบตัวเครื่องทั้งหมดก็ถือว่ามีอุณหภูมิที่ต่ำ เนื่องด้วยความสามารถของตัววัสดุที่ช่วยถ่ายเทความร้อนออกไปได้เร็ว รวมไปถึงพัดลมระบายความร้อนก้มีถึงสองตัว
เรื่องอุณหภูมิบริเวณตัวเครื่อง เมื่อทำการเบิร์นในทำงานให้ 100% (อุณหภูมิ CPU ภายในอยู่ที่ประมาณ 100 องศา จากค่า Max) เพื่อที่จะได้ทำเครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพที่สุด จากนั้นใช้เครื่องวัดความร้อนที่มีประสิทธิภาพในการยิงดูความร้อนภายในของแต่ละตำแหน่งตามตัวเครื่อง ในอุณหภูมิห้องที่ 28 องศาโดยประมาณ ชี้ไปที่จุดต่างๆ ตามภาพข้าง ก็จะเป็นส่วนของที่พักมือกับ Trackpad ที่เป็นส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่าแทบไม่มีความร้อนออกเลย นั่นก็เพราะบริเวณส่วนนี้ไม่มีอะไรนอกเหนือจากแบตเตอรี่
เมื่อชี้เครื่องวัดอุณหภูมิไปตำแหน่งบริเวณของกลางเครื่องที่เป็นที่อยู่ของชิปประมวลผลจะเห็นว่ามีอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง แต่การใช้งานจริงเพียงแค่รู้สึกร้อนๆ นิดหน่อยเท่านั้น ต่อกันที่ตำแหน่งของช่องระบายความร้อนซึ่งมีอยู่ 2 ข้างด้วยกัน อุณหภูมิถือว่าไม่สูงมากนักทั้ง 2 ข้างเกือบเท่าๆ กัน แต่ส่วนของบริเวณตรงกลางเครื่องจะมีอุณหภูมิสูงหน่อย จากการที่ไม่มีพัดลมระบายความร้อน แถมยังเป็นตำแหน่งที่สะสมความร้อนจากการที่ตัวเครื่องเป็นโลหะอีกด้วยครับ
สรุปรวมๆ แล้วความร้อนภายในตัวเครื่องที่วัดมาทั้ง 6 ตำแหน่งไม่มีผลกับการใข้งานแต่อย่างใดครับ ที่สำคัญพัดลมยังมีเสียงที่ค่อยข้างเงียบไม่รบกวนเลยแม้แต่น้อยในกรณีที่ใช้งานไม่หนัก (ถ้าใช้งานหนักๆ ประมวลผลเยอะๆ ก็ดังเอาเรื่องเหมือนกัน) แต่ก็ขอแนะนำว่าหากจำเป็นต้องใช้งานหนักหรือประมวลผลสูงๆ ก็ให้มาใช้ในห้องที่เย็นหน่อย นอกจากนี้เครื่องของ MacBook Pro Retina 15 ยังสามารถคลายความร้อนได้อย่างรวดเร็วจากพัดลมระบายความร้อน 2 ตัว และบอดี้ที่เป็นวัสดุอะลูมิเนียมอัลลอยด์อีกด้วย ที่สำคัญยังเหนือกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปด้วยช่องดูดอากาศเย็นแบบคู่
นอกจากนี้ในส่วนของอัตราการใช้งานพลังงานของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] กรณีใช้งานปกติทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 50 Watt และเมื่อใช้งานประสิทธิภาพสูงสุดก็จะอยูที่ 91 Watt เลยทีเดียว ถือได้ว่ามีการกินไฟที่ค่อนข้างสูงทีเดียว แม้ว่าจะเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 4 ก็ตาม แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่จะใช้งานจริงได้ยาวนานกว่า 8 ชั่วโมงตามที่ทาง Apple ได้คุยเอาไว้ เพราะใส่แบตเตอรี่ความจุสูงมาให้นั่นเอง
Inside
ด้วยการถอดฝาอะลูมิเนียมด้านล่างของตัวเครื่องออก ก็จะเห็นส่วนประกอบด้านในของ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?แสดงให้เห็นถึงชิ้นส่วนต่างๆ ที่มีการจัดวางที่สวยงามและปราณีตลงตัว เรียกได้ว่าสวยตั้งแต่ข้างในทีเดียว แต่ก็เป็นข้อจำกัดเหมือนกัน ก็คือ ไม่สามารถซ่อมแซมหรืออัพเกรดอุปกรณ์ได้ง่ายๆ อย่างแรมนี่ไม่สามารถถอดเองได้อย่างแน่นอน เพราะเป็นแรมเป็นเม็ดฝังบอร์ด ซึ่งเมื่อเราเทียบกับ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?รุ่นก่อนหน้า ก็จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบภายในไปเล็กน้อย อย่างการมีแผ่นยางรองก้อนแบตเตอรี่ไม่ให้โดนฝาหลังโดยตรง และแกนกลางของพัดลมมีการเล่นสีเป็นสีเงิน (เหมือน MacBook Pro Retina 13) รวมไปถึงการ์ดไวเลสยังเปลี่ยนมาใช้มาตรฐาน?802.11ac มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แน่นอนว่าในส่วนของคุณสมบัติก็รองรับความเร็วในการส่งข้อมูลไร้สายมากยิ่งขึ้นด้วย
แบตเตอรี่มีด้วยกันทั้งหมด 6 ก้อนที่ใช้กาวเพื่อยึดติดกับเครื่อง แต่ถึงแม้จะใช้กาวเช่นเดียวกันกับ MacBook หลายๆ รุ่น แต่พบว่าสามารถแกะออกมาได้ โดยแบตเตอรี่ที่ใช้มีความจุ ?8440 mAh ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถถอดประกอบแล้วเหมือนเดิมอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ผู้ใช้งานที่คิดจะแกะเป็นไปได้คือถอดฝาหลังมาทำความสะอาดหรือเป่าฝุ่นก็พอแล้ว
ส่วนของฮาร์ดดิสก์ SSD แบบรุ่นใหม่ที่มีลักษณะเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อ PCI Express (PCIe)?ก็ยังไม่มีจำหน่ายทั่วไปและนับได้ว่าเป็น MacBook รุ่นสองรองจาก MacBook Air [Mid 2013] ที่มีการใช้เป็น SSD แบบ?PCI Express (PCIe) เลยทีเดียว?ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากรุ่นเดิมจากที่เป็น mSATA ทั้งในส่วนของรูปร่างที่มีขนาดสั้นลง พอร์ตเชื่อมต่อที่เปลี่ยนไปไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ นอกจากนี้ยังมีความเร็วที่เพิ่มมาขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวอีกด้วย โดยเมื่อเทียบขนาดของ SSD?PCI Express (PCIe) จะเห็นว่ามีขนาดที่สั้นกว่า ที่ดูแล้ว SSD นี้จะเป็นเพียงอุปกรณ์ภายในชิ้นเดียวที่เราสามารถเปลี่ยนอัพเกรดได้ด้วยตนเองแบบง่ายๆ เพราะใช้น๊อตเพียงตัวเดียวยึดไว้เท่านั้น แต่ก็คาดว่าราคานั้นก็คงเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะถ้าจำไม่ผิด?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] ตัวนี้เป็น SSD ความจุ 512GB อยู่แล้ว ซึ่งหากต้องการความจุ 1TB ต้องเพิ่มเงินประมาณ 16,000 บาททีเดียว
Conclusion / Award
MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?หรือจะเรียกว่าชื่อเต็มๆ เป็น MacBook Pro with Retina Display 15 [Late 2013] ก็ได้ ถือว่า Apple ได้มีการอัพเดท MacBook Pro Retina 15 อย่างเป็นทางการในปีนี้ หลังจากที่การอัพเดทสเปกเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งก็เป็นการปรับเปลี่ยนให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น กับการมาของโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้ว ที่มีความบางเบาโดยใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7 Gen 4 สถาปัตยกรรม Haswell ที่ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่สูงขึ้นกว่ารุ่นก่อนๆ และประหยัดพลังงานขึ้นนิดๆ รวมไปถึงได้มีการเลือกใช้หน่วยความจำสำรองเป็นแบบ SSD ความเร็วสูงแบบ PCIe ที่ส่งผลให้สามารถรีดประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้ โดยยังมีเทคโนโลยี Retina Display ที่ให้ทั้งภาพที่สวยสมจริงและมีความคมชัดอย่างที่สุด เท่าที่หน้าจอของคอมพิวเตอร์เคยมีมา เรียกได้ว่าเป็น?MacBook Pro Retina 15 ที่ยกระดับความสามารถขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ในเครื่องที่ทีมงานเราได้รีวิวนั้นเป็น?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?รุ่นท๊อปสุด มาพร้อมชิปประมวลผลเป็น Intel Core?i7-4850HQ?ความเร็ว 2.3GHz อีกทั้งยังอัพความแรงไปได้ถึง 3.5GHz ทีเดียว แรมแบบถอดเปลี่ยนเองไม่ได้ติดเครื่องมาให้จำนวน 16GB ที่เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปอย่างสบายๆ นอกจากนี้ยังติดตั้งกราฟิกการ์ดตัวล่าสุดของทาง NVIDIA อย่าง GT750M ที่มีหน่วยความจำภายในขนาด 2GB DDR5 ซึ่งถ้าจะทำงานที่เน้นการประมวลผลกราฟิกก็ทำได้อย่างเต็มสมรรถณะแบบที่ MacBook Pro ไม่เคยมีมาก่อน รวมไปถึงยังมีฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ความเร็วสูง มาตรฐานการเชื่อมต่อ PCIe ความจุ 512GB
อีกทั้งด้วยระบบปฏิบัติการ OS X 10.9 Mavericks ที่เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดพร้อมคุณสมบัติใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้มีการเข้ากันทั้งส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ได้เป็นอย่างดี มีความสเถียรแบบไม่ต้องกังวลว่าเครื่องจะแฮงค์หรือค้าง แบบที่เจอในโน๊ตบุ๊ค Windows ทั่วไป แถมยังมีการแสดงภาพ User Interface ที่ดูแล้วสวยงามลงตัว พูดง่ายๆ ก็คือให้ประสบการณ์ในการใช้งานจริงๆ ได้เป็นอย่างสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญในเรื่องของการตื่นจาก Sleep ก็ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ซึ่งจริงๆ แล้วถึงแม้ว่า MacBook Pro ที่เป็นฮาร์ดดิสก์แบบปกติ อีกทั้งใช้เวลา Boot เครื่องเพียง 10 วินาทีเท่านั้นเอง ที่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นผลมาจาก SSD ที่ติดตั้งมาให้
ด้านงานประกอบของ Apple หลายๆ คนคงทราบเป็นอย่างดีอยู่แล้วว่ามีความสมบูรณ์แค่ไหน รวมไปถึงวัสดุที่ใช้เป็นส่วนประกอบก็จัดได้ว่าเป็นชั้นดีทั้งสิ้น จวบจนการดีไซน์ออกแบบของตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?นั้น เชื่อได้ว่าทุกคนที่ได้เห็นต้องชอบมันอย่างแน่นอน ด้วยการเน้นแนวทางการอกแบบที่ดูเรียบๆ แต่หรูหรา ยิ่งมีในส่วนของฝาหลังรูป Apple มีแสงไฟเปล่งออกมา ยิ่งทำให้น่าจับจองมาใช้งานเพิ่มขึ้นไปอีก รวมไปถึงความบางและน้ำหนักที่น้อย ทำให้สะดวกในการพกพากว่าโน๊ตบุ๊คธรรมดาทั่วไปขนาดหน้าจอ 15 นิ้ว อีกทั้งยังสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานสูงสุดประมาณ 8 ชั่วโมงด้วยกัน?
นอกเหนือจากนั้นตัวคีย์บอร์ดเองก็มีไฟ Backlit ทำให้เพิ่มความสะดวกในการใช้งานที่มีแสงน้อยยิ่งขึ้น เรื่องของสัมผัส Trackpad และคีย์บอร์ดก็ให้ความรู้สึกที่ดีในการใช้งานแบบรู้สึกได้ไม่ยาก เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คตัวอื่นๆ อีกทั้งยังมีช่องเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt เวอร์ชั่น 2 จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.0 จำนวน 2 พอร์ต และ Bluetooth เวอร์ชั่น 4.0 ที่มีเอาไว้เผื่อใช้ในอนาคต รวมถึง WiFi?802.11ac ที่เป็นมาตรฐานล่าสุดของการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สาย
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะดูเป็นโน๊ตบุ๊คเครื่องหนึ่งที่ดูสมบูรณ์แบบในเรื่องของความบาง น้ำหนัก การพกพา ระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ แต่ก็ยังมีข้อสังเกตเรื่องพอร์ตการเชื่อมต่อที่มีอยู่อย่างจำกัด สำหรับในการตัด Super Drive อันนี้คงเป็นเรื่องของความบางและน้ำหนักของเครื่องที่ต้องลดลง ซึ่งใครจะใช้การอ่านเขียนแผ่น DVD คงต้องซื้อไดร์ฟ DVD ภายนอกติดเอาไว้ รวมไปถึงพอร์ตต่างๆ ที่ทาง Apple คงเห็นว่าคงจะใช้ไม่ค่อยบ่อยอย่าง Ethenet (RJ-45) และ Firewire 800 ที่ปกติมีใน MacBook Pro ทุกรุ่น แต่อย่างไรก็ตามคนที่ต้องจำเป็นใช้งานอยู่ก็สามารถหาซื้อสายแปลงได้ จาก Thunderbolt ไป Ethenet หรือ Thunderbolt ไป Firewire 800 สนนราคาอยู่ที่เส้นละ 990 บาท (จัดว่าไม่ถูกและก็ไม่แพงจนเกินไป)
สรุปปิดท้าย MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?สำหรับใครที่สนใจจะซื้อโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15 นิ้ว บางๆ เบาๆ ที่ให้ประสิทธิภาพสูง มีวัสดุและการออกแบบพรีเมียมพร้อมหน้าจอที่มีความเป็นที่สุดด้านการแสดงผล แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน แบบที่ไม่เกี่ยงงบประมาณแล้วนั้น บอกได้เลยว่าให้เลือกเป็น MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?เป็นตัวเลือกแรกๆ ครับ ซึ่งอาจจะเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้งานเฉพาะระบบปฏิบัติการ Windows บ่อยๆ หรือจะใช้บางครั้งบางคราวก็ได้ เพราะเราสามารถติดตั้ง Windows ผ่านทาง Bootcamp ได้ (รองรับระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 ได้สมบูรณ์แบบด้วย)
ซึ่งถ้าให้เลือกก็ขอแนะนำว่าให้เลือกรุ่นท็อปที่สเปกเป็น Intel Core i7-4850HQ / Iris Pro graphics 5200 + GeForce GT 750M / RAM 16GB / SSD 512GB ราคา 86,900 บาท?หรือถ้างบไม่ถึงก็ให้ลองดูเป็นสเปกเริ่มต้นอย่าง Intel Core i7-4702MQ / Iris Pro graphics 5200 / RAM 8GB / SSD 256GB ราคา 66,900 บาท (แม้ว่าน่าเสียดายที่ไม่มีกราฟิกการ์ดแยกติดตั้งมาให้ แต่ก็พอเพียงกับการใช้งานแล้วล่ะ)?ซึ่งเราสามารถใช้เป็นเครื่องหลักในการทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างครบถ้วน ส่วนถ้าใครต้องการความแรงแบบสุดๆ ก็แนะนำให้เลือกอัพเกรดในส่วนของ CPU ที่แรงกว่านี้ และ SSD ความจุ 1TB ที่ต้องสั่งผ่านเว็บไซต์ Apple Store Thailand หรืออีกทางคือสั่งผ่านทางหน้าร้านตัวแทนจำหน่ายอย่าง iStudio ครับ
จุดเด่น
- เป็นโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้ว ที่ตัวเครื่องบางและน้ำหนักเบา สามารถพกพาไปได้สะดวก?
- มีประสิทธิภาพในการใช้งานได้เป็นอย่างดี มีความสเถียรสูง ด้วยชิปประมวลผล, แรม, กราฟิกการ์ด และ SSD
- Retina Display กับจอความละเอียดสูง ภาพคมชัด พาเนล IPS ให้สีสันที่ดี มุมมองกว้าง
- เปิดเครื่องหรือตื่นจากโหมด Sleep, Boot เครื่อง และเชื่อมต่อ WiFi ได้อย่างรวดเร็ว
- ดีไซน์การออกแบบสวยและงานประกอบมีความประณีต ด้วยวัสดุชั้นดีอย่างอะลูมิเนียมแบบ Unibody ตัวเครื่องแข็งแรง
- คีย์บอร์ดทำงานได้ดี มีไฟ Backlit Keyboard ที่ใช้งานได้อย่างสบายตา?
- TrackPad (ทัชแพด) สามารถตอบสนองการใช้งานได้ดี รองรับมัลติทัชเต็มรูปแบบ
- มีช่องทางเชื่อมต่อความเร็วสูงอย่าง Thunderbolt เวอร์ชั่น 2 จำนวน 2 พอร์ต, USB 3.0 อีก 2 พอร์ต
- เป็น MacBook ที่มีการติดตั้งพอร์ตแสดงผลอย่าง HDMI มาให้
- ลำโพงมีคุณภาพเสียงที่ดี เมื่อเทียบกับ MacBook Pro Retina 15 รุ่นก่อน
- ระบายความร้อนทำออกมาได้ดี พร้อมพัดลมที่ออกแบบพิเศษที่ลดเสียงรบกวน
- ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานประมาณ 8 ชั่วโมง
- มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Mac OS X 10.9 Mavericks
- มีอุปกรณ์เสริมให้เลือกใช้มาก ไม่ว่าจะเป็นฮาร์ดเคส ซอฟต์เคส หรืออื่นๆ ที่ออกแบบมาเฉพาะ
- สามารถสั่งอัพเกรดสเปกได้โดยตรงตั้งแต่ตอนสั่งซื้อ
- รองรับการใช้งาน Windows 8.1 ได้สมบูรณ์ผ่านทาง Boot Camp
ข้อสังเกต
- พอร์ตเชื่อมต่อในตัวเครื่องค่อนมีจำกัด หากต้องการใช้ Ethernet หรือ Firewire 800 ต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม
- ด้วยวัสดุเป็นอะลูมิเนียม ถ้าปลั๊กไม่มีการเดินสายดินไว้ อาจเกิดไฟดูดบ้างเล็กน้อย
- ไม่สามารถอัพเกรดใดๆ ได้เลยในภายหลัง (อย่างน้อยก็ในขณะนี้)
- ในการแกะฝาใต้เครื่องทำได้ยาก เพราะต้องใช้ไขควงเฉพาะ
- ราคาของอุปกรณ์ที่ใช้งานกับพอร์ต Thunderbolt ยังมีราคาที่ค่อนข้างแพงอยู่ จึงอาจใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพในขณะนี้
- เป็นโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้วที่ไม่มีออฟติคอลไดร์ฟ
- มีราคาสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ที่สเปกใกล้เคียงกัน
- หน้าจอ Retina Display อาจจะไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป
- ดีไซน์เหมือน MacBook Pro Retina 15 ตัวก่อนทุกประการ
- ตัวเครื่องเป็นโลหะทำให้เมื่อใช้งานหนักๆ บางส่วนอาจจะมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง
- พัดลมค่อนข้างดังรบกวนเวลาใช้งานหนักๆ แม้จะออกแบบให้เสียงเบาลงแล้วก็ตามที
- MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] รุ่นเริ่มต้นมีเฉพาะกราฟิกการ์ดออนบอร์ดเท่านั้น
- ราคาค่าตัวยังจัดว่าสูงอยู่ แต่เข้าใจว่าของเค้าดีจริงและไม่มีคู่แข่งเลยตั้งราคาไว้สูงได้
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง?MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Apple มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดใน MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรู ประกอบการงานการประกอบระดับคุณภาพ ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกันอยู่ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้วในตลาดขณะนี้จะเห็นว่าเป็นโน๊ตบุ๊คขนาด 15 นิ้วประสิทธิภาพสูง ที่มีความบางของตัวเครื่องมากที่สุดด้วยครับ ฉะนั้นในเรื่องของรางวัล Best Design จงทำให้ได้ไปอย่างไม่ยากเย็น
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดีตามสไตล์ของ MacBook อยู่เช่นเดิม ทั้งในความบางเพียง 18 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบา 2.02 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมไม่ต้องกลัวว่าเครื่องจะมีปัญหาอีกด้วย เพราะระบบไม่ได้ใช้ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการจับถือมากนัก สามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที อแดปเตอร์ก็ทำออกมาให้มีขนาดที่ไม่ใหญ่มากนัก พกพาสะดวก จึงทำให้ MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?ได้รับรางวัล Best Mobility ไปอย่างง่ายดาย
Best Performance
ด้วยสเปกชิปประมวลผล Intel Core i7 ตัวล่าสุด ที่มาพร้อมกับแรมขนาด 16GB (ตัวท๊อป) แบบ DDR3 และกราฟิกการ์ดยอดนิยมอย่าง NVIDIA GeForce GT 650M ขนาด 2GB DDR5 รวมไปถึง SSD คาวมเร็วสูงด้วย PCIe ก็ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในสเปกโน๊ตบุ๊คเครื่องอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน ผลคะแนนที่ออกมานั้นทำได้อยู่ในช่วงเดียวกัน หรือบางจุดก็มากกว่าซะด้วย
Best Graphic
ในส่วนของเทคโนโลยี Retina Display ก็จะยังมีในเรื่องของความละเอียดที่สูง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือมีความหนาแน่นของพิกเซลที่สูง โดย MacBook Pro Retina 15 [Late 2013] มีความละเอียดหน้าจอที่สูงถึง 2880 x 1800 พิกเซล หรือถ้าให้เทียบเป็นจำนวนพิกเซลก็จะอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล (ความละเอียด Full HD อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล เทียบได้คือ 2 ล้านพิกเซล) ในขนาดหน้าจอ 15.4 นิ้ว ส่งผลให้มีความหนาแน่นของพิกเซลที่สูงถึง 220 ppi (Pixels per inch) หรือเรียกง่ายๆ คือ มี 220 จุดต่อหนึ่งตารางนิ้ว ส่งผลให้การใช้งานมีความคมชัดที่สูงกว่าหน้าจอปกติทั่วไป อีกทั้งยังเป็นพาเนล IPS ทำให้รองรับงานกราฟิก วีดีโอ หรือโปรเซสภาพได้อย่างดีเยี่ยม
Best Technology
นอกเหนือจากสเปกตัวเครื่อง MacBook Pro Retina 15 [Late 2013]?จะมีความใหม่สดแล้ว แถมยังเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์แบบ SSD PCIe ยังมีในส่วนของพอร์ตความเร็วสูง Thunderbolt เวอร์ชั่น 2 ที่ให้มาถึง 2 พอร์ตการใช้งาน อีกทั้งในเรื่องของหน้าจอและความละเอียดจอก็มาในระดับที่สูงยังมาเป็นแบบ Retina Display ที่เป็นพาเนลจอคุณภาพสูงระดับมืออาชีพอย่าง IPS กับความละเอียด 2880 x 1800 พิกเซล จึงทำให้คว้ารางวัล Best Technology ไป
Best Battery Life
แม้ว่าในตัวของ MacBook Pro with Retina Display จะอัดแน่นไปด้วยสเปกหรือเทคโนโลยีต่างๆ แต่ในเรื่องของการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉลี่ยแล้วถ้าใช้งานทั่วไปจะอยู่ได้นานถึงประมาณ 8 ชั่วโมงด้วยกัน ส่งผลให้ได้รางวัล Best Battery Life ซึ่งในส่วนนี้ก็เป็นผลมาจากการที่ Apple ได้ใส่แบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลิเมอร์ความจุ 8440 mAh เข้าไป อีกทั้งระบบปฏิบัติการ OS X 10.9 Mavericks ก็เป็นตัวช่วยจัดการพลังงานได้เป็นอย่างดี โดยที่เราไม่จำเป็นต้องปรับค่าเองแต่อย่างใดเลย