ปัญหานี้อาจจะไม่เข้าถึงผู้ใช้ที่ใช้เบราน์เซอร์ตัวอื่นๆ อย่าง Chrome หรือ FireFox(รวมไปถึง Opera) กันมากสักเท่าไรครับ เป็นที่ทราบกันดีว่าเบราน์เซอร์ต่างๆ เหล่านี้พัฒนาอยู่ตลอดเวลาและเปิดกว้างทางด้าน API เป็นอย่างมาก ในขณะที่เบราน์เซอร์อย่าง Internet Explorer ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดแต่จากสอบถามนั้นก็กลายเป็นว่าผู้ใช้ส่วนมากใช้ IE ในการโหลดเบราน์เซอร์ตัวอื่นมาใช้แทน(เนื่องจากว่า IE เป็นเบราน์เซอร์เริ่มต้นบนระบบปฎิบัติการ Windows นั่นเอง)
สำหรับปัญหาของ Safari นั้น เริ่มจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่ของผู้พัฒนาเว็บไซต์ครับ เพราะะถึงแม้ว่า Apple จะปล่อยให้ Safari เป็น Open Source ที่ปล่อยให้ผู้พัฒนาสามารถนำเอา API ไปใช้งานได้ แต่ในเรื่องของการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ แล้ว Safari นั้นทำได้ช้ากว่าเบราน์เซอร์เจ้าอื่นมากครับ ตัวอย่างที่ชัดเจนเลยก็คือ IndexedDB ที่สามารถใข้งานบน IE, FireFox และ Chrome มาได้ตั้งแต่ปี 2012 แต่กับ Safari นั้นพึ่งจะมาใช้ได้ก็เมื่อช่วงกลางปี 2014 ที่ผ่านมาเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อมองในฝั่งของผู้ใช้ทั่วไปนั้นอาจจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก แต่ด้วยจำนวนเครื่อง Mac ที่มาพร้อมกับ Safari ที่เพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ แล้ว หาก Apple ยังปล่อยให้การพัฒนารองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ของ Safari (ซึ่งนั่นรวมไปถึง Safari ใน iOS) ช้าแบบนี้อยู่หล่ะก็ อีกไม่นาน Safari ก็จะเจริญรอยตาม IE ก่อนปี 2010 หรือกลายเป็นเบราน์เซอร์ที่เจ้าของเครื่องเอาไว้ใช้โหลดเบราน์เซอร์อื่นมาใช้งานแทนนั่นเองครับ
สำหรับฝั่งผู้พัฒนาเว็บไซต์แล้วจะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไรบ้างนั้นทาง Nolan Lawson ซึ่งเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ประจำอยู่ที่ Squarespace ได้แนะนำวิธีการแก้ไขเฉพาะหน้าไว้ 3 วิธีด้วยกันดังนี้ครับ
- ทำใจและออกแบบเว็บเหมือนกับที่ทำในปี 2010 เพื่อให้เว็บไซต์รองรับการใช้งาน Safari – ทางเลือกนี้อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเท่าไรนักเพราะนั่นหมายถึงคุณจะไม่สามารถใส่ลูกเล่นใหม่ๆ เข้าไปบนเว็บไซต์ของคุณได้มากนั่นเองครับ แต่ทว่าหากคุณเป็นนักพัณนาเว็บที่ต้องคำนึงถึงการรองรับการใช้งานเว็บไซต์บน Safari เป็นหลักแล้ววิธีการนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดครับ
- ใช้เทคโนโลยีอย่างเช่น Service Worker ที่ไม่รองรับการทำงานร่วมกับ Safari มากๆ และร่วมกับนักพัฒนาคนอื่นๆ เพื่อทำแผนการนี้เพื่อเป็นการกดดันให้ Apple พัฒนา API ของ Safari ให้รองรับการทำงานนั้นๆ ของคุณ อย่างไรก็ตามวิธีนี้ค่อนข้างที่จะเสี่ยงอยู่พอสมควรครับเพราะรู้ๆ กันอยู่ครับว่า Apple เป็นบริษัทที่มีความเป็นตัวของตัวเองมากแค่ไหน
- และกับข้อสุดท้ายที่เชื่อว่านักพัฒนาหลายๆ คนคงไม่เลือกที่จะทำเพราะเป็นทางเลือกที่เสียเวลามากที่สุด ซึ่งนั่นก็คือการใช้ข้อดีของการที่ Safari เป็น Open Source แล้วจัดการทำ WebKit ที่รองรองรับ API ที่คุณต้องการใช้งานขึ้นมาเองเลยครับ วิธีนี้นอกจากจะทำให้คุณสามารถที่จะทำงานได้ตามต้องการแล้ว(ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาเพิ่ม) คุณยังจะได้แบ่งปัน WebKit ของคุณให้คนอื่นๆ ใช้อีกทางหนึ่งด้วยครับ
ที่มา : arstechnica