หนึ่งในเกมที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ลากยาวมาจนถึงต้นปีนี้ โดยเฉพาะคอเกมตั้งแต่สมัยเครื่อง PlayStation 1 ก็คือเกมสยองขวัญอย่าง Resident Evil 2 หรือชื่อเวอร์ชันญี่ปุ่นคือ Biohazard 2 ที่ทาง Capcom นำกลับมารีเมคจนแทบจะกลายเป็นเกมใหม่ ทำให้กลายเป็นที่จับตามองว่าจะออกมาดีขนาดไหน จะยังคงความสยองขวัญต่อเนื่องมาจาก Resident Evil 7 อยู่หรือไม่
ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีเดโมออกมาให้ลองเล่นเป็นระยะเวลาสั้น ๆ และก็ได้กระแสตอบรับที่ดี สมการรอคอยของหลาย ๆ คน ทาง NotebookSPEC เราก็ขอหยิบมารีวิวกันให้ชม เพื่อช่วยให้หลาย ๆ ท่านที่ยังลังเลอยู่ว่าจะซื้อเกมนี้มาเล่นดีหรือไม่ครับ
รูปแบบ แนวเกมโดยรวม
Resident Evil 2 Remake ยังคงยึดมั่นในแนวทางของการเป็นเกม survival horror แบบดั้งเดิม เสริมด้วยกราฟิก และการสร้างบรรยากาศให้มีความรู้สึกกดดันยิ่งขึ้นกว่าเวอร์ชันดั้งเดิมบน PS1 ที่มีข้อจำกัดด้านกราฟิกอยู่ ซึ่งผมขอแยกการรีวิวแนวเกมออกเป็น 2 ประเด็นแล้วกันครับ
Survival: ตัวเกมถูกออกแบบมาให้ผู้เล่นต้องใช้ทักษะในการเอาชีวิตรอดในโลกแห่งซอมบี้อย่างเต็มที่ ด้วยศัตรูที่มีหลากหลายประปรายตลอดเส้นทาง แถมในบางบริเวณยังมีพื้นที่ที่ค่อนข้างแคบ ทำให้ต้องใช้ไหวพริบในการเอาตัวรอดขึ้นไปอีกระดับ ว่าคุณจะยิงสู้ คุณจะถอย หรือคุณจะพุ่งชนเพื่อรอโอกาสใช้มีดปักสวนไปก็ได้เช่นกัน นอกเหนือจากนี้ อีกสิ่งที่บ่งชี้ถึงการใช้ทักษะในการจัดการเพื่อเอาตัวรอดในโลกของเกม Resident Evil 2 Remake ก็คือการเลือกหยิบสิ่งของไปในระหว่างการเดินทาง ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่เก็บของในกระเป๋า ทำให้ผู้เล่นจำเป็นต้องเลือกเฉพาะสิ่งของที่จำเป็น เช่น ปืน กระสุน ยาฟื้นพลัง รวมถึงของที่ต้องใช้ในการเดินทางและคีย์ไอเท็ม ซึ่งบางครั้งก็อาจจะต้องเดาล่วงหน้าอยู่เหมือนกันว่าตอนนี้ควรหยิบอะไรไปบ้าง เพราะคุณคงไม่อยากเดินไปเจอของสำคัญระหว่างทาง แต่พื้นที่ในกระเป๋าเต็มจนเก็บของไม่ได้ จะเลือกทิ้งของที่มีก็ไม่ได้ จนอาจต้องเดินย้อนกลับไปหาหีบเก็บของ ซึ่งการเดินย้อนไป ก็เสี่ยงที่จะเจอซอมบี้ระหว่างทางอีกด้วย
Horror: ความสยองขวัญนับเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อยู่คู่กับเกมในซีรีส์ Resident Evil มายาวนาน (แม้จะหายไปเยอะในภาคหลัง ๆ และเริ่มกลับมาในภาค 7 ก็ตาม) แต่สำหรับ Resident Evil 2 Remake นี้เรียกว่าทำออกมาได้สมใจอยากของแฟนเดนตายซีรีส์นี้อย่างแน่นอน ด้วยบรรยากาศในเกมที่ค่อนข้างมืด เสียงเดินของศัตรูในเกมที่ให้ความรู้สึกกดดันได้ดี ซอมบี้ที่สามารถลุกจากพื้นมาสร้างความลำบากให้กับผู้เล่นได้ตลอด รวมถึงฉากต่าง ๆ ในเกมที่มีทั้งคราบเลือดสาดเต็มผนัง ตับไตไส้พุงของซอมบี้ที่เปิดให้เห็นเต็ม ๆ แบบไม่เซ็นเซอร์ ส่วนการยิงศัตรู ก็ก่อให้เกิดความเสียหายกับร่างกายของศัตรูส่วนนั้นได้สมจริง เช่น หากยิงหัว หัวของศัตรูก็จะแหว่งไป เผยให้เห็นเนื้อภายในอย่างชัดเจน ส่วนเลือดนั้น เต็มเกมเลยครับ ไม่ต้องกังวล ทั้งสาดเต็มผนัง นองเต็มพื้นเลยทีเดียว
เนื้อเรื่องภายในเกม Resident Evil 2 Remake
โครงเรื่องของเกม Resident Evil 2 Remake ก็ยังคงยึดตามโครงของภาคดั้งเดิมเอาไว้ครับ โดยในการเริ่มเกมใหม่ ผู้เล่นจะได้เลือกว่าจะเลือกเล่นตัวละครใด ระหว่างฝ่ายชาย Leon นายตำรวจหนุ่มที่เดินทางเข้ามาประจำการที่สถานีตำรวจในเมืองแรคคูน กับฝ่ายหญิง Claire ที่เข้ามาตามหาพี่ชายซึ่งเป็นตำรวจอยู่ที่สถานีเดียวกัน ซึ่งด้วยเหตุการณ์บังเอิญ ทำให้ทั้ง Leon และ Claire ได้มาพบกัน และได้ผจญภัยอยู่ในเมืองแรคคูนตั้งแต่ต้นจนจบเกม ด้วยจุดมุ่งหมายคือการค้นหาสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้น พร้อมกับพยายามเอาตัวรอดออกจากเมืองนี้ไปให้ได้ โดยตัวเกมจะแบ่งเป็นเนื้อเรื่องของรอบแรกกับรอบสอง หรือที่หลายคนคุ้นเคยว่าเป็นเนื้อเรื่อง A กับ B โดยความสัมพันธ์ของเนื้อเรื่องของทั้งสองตัวละครจะเป็นลักษณะนี้
- Leon A จะคู่กับ Claire B
- Claire A จะคู่กับ Leon B
อย่างในการเล่นของผมรอบแรกนี้ ผมเลือกเล่นเป็น Claire ก่อน ซึ่งหลังจากเล่นจบแล้ว ตัวเกมก็จะปลดล็อกเนื้อเรื่องของ Leon B ที่เป็นการเล่าเรื่องในส่วนของ Leon ซึ่งสอดคล้องกับเนื้อเรื่องของ Claire A ที่ผมเล่นไปในรอบแรกนั่นเอง ส่วนถ้าผมต้องการจะเล่น Claire B ตัวเกมก็จะบังคับว่าผมต้องไปเริ่มเล่นเนื้อเรื่อง Leon A ก่อน ดังนั้น ถ้าอยากเล่นเกมนี้ให้คุ้ม ก็คงต้องเล่นเนื้อเรื่องหลักจบอย่างน้อย 4 รอบกันละนะ (หลังจากเล่นเนื้อเรื่องจบ ก็จะปลดล็อกโหมดต่าง ๆ มาให้เล่นอีกด้วย)
ซึ่งการเล่นตัวละครที่แตกต่างกันในลักษณะของรอบ 1 และรอบ 2 เหตุการณ์ที่เกิด ตัวละครประกอบที่พบก็จะมีความแตกต่างกัน อาวุธที่ต่างกัน รวมถึงปริศนาในบางจุด คีย์ไอเท็มบางชิ้นก็จะมีความแตกต่างกันด้วย ทำให้แม้ว่าสถานที่ในเกมจะเป็นสถานที่เดียวกัน แต่ผู้เล่นจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น ตำแหน่งของจุดเซฟและหีบเก็บของที่แตกต่างกันในบางจุด เป็นต้น ซึ่งความแตกต่างแม้จะเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ แต่ก็ยอมรับเลยว่ามันส่งผลไปถึงแนวทางการเล่น และการปรับเปลี่ยนแผนในการรับมือสถานการณ์แต่ละจุดใหม่ ทำให้เสมือนว่ากำลังเล่นอีกเกมหนึ่งไปเลย
ส่วนพวกเนื้อเรื่อง เรื่องเล่าในเกม อันนี้แนะนำว่าลองไปหาบทความ หรือคลิปวิดีโอที่มีคนทำไว้ของภาคดั้งเดิมไว้อยู่แล้วก็ได้ แล้วมาลองสัมผัสกับเนื้อเรื่องในภาครีเมคดูครับ เพราะโครงเนื้อเรื่องจะใกล้เคียงของเดิมมาก เลยไม่ขอสปอยล์ในนี้แล้วกัน
ระดับความยากของเกม Resident Evil 2 Remake
เกม Resident Evil 2 Remake จะมีระดับความยากด้วยกัน 3 ระดับ ได้แก่ Assisted ง่ายสุด Standard คือปานกลาง และ Hardcore คือระดับยาก ที่นอกเหนือจากศัตรูจะอึดขึ้นแล้ว ยังมีการนำระบบเซฟเกมโดยใช้ตลับหมึกแบบในภาคดั้งเดิมมาใช้อีกด้วย เรียกว่าน่าจะสมใจแฟนซีรีส์นี้แน่นอน ส่วนถ้าเราเล่นแล้วตายบ่อย ๆ ตัวเกมจะมีตัวเลือกให้สามารถปรับลดระดับความยากลง เพื่อให้เกมง่ายขึ้นได้ด้วยเช่นกัน (ปรับลงแล้ว ไม่สามารถปรับขึ้นได้)
เส้นทาง สถานที่ และปริศนาในเกม Resident Evil 2 Remake
อย่างที่รีวิวไปข้างต้น และในบทความพรีวิวว่าตัวเกมยังคงยึดเอาโครงของ Resident Evil 2 ภาคดั้งเดิมอยู่ พอได้สัมผัสเกมเต็ม ก็พบว่ายังคงมีสถานที่ในหลาย ๆ จุด ที่นำเอาโครงสร้างของเดิมมาดัดแปลงได้อย่างลงตัว นับตั้งแต่บริเวณสถานีตำรวจ RPD พื้นที่รอบ ๆ ไล่ไปจนถึงห้องแล็ปในช่วงท้ายของเกม โดยโครงสร้างทางเดิน ตำแหน่งของห้องต่าง ๆ ก็ยังคงมีไว้อย่างครบถ้วนแทบทุกจุด รวมถึงมีการเพิ่มเส้นทาง เพิ่มห้อง เพิ่มจุดที่ต้องใช้คีย์ไอเท็มเพื่อผ่านทาง ต้องใช้คีมตัดโซ่เพื่อเปิดประตู และที่สำคัญ คราวนี้สถานีตำรวจ RPD มีห้องน้ำแล้วจ้าาาาาา
ปริศนาในเกม Resident Evil 2 Remake ส่วนใหญ่จะได้รับการออกแบบใหม่ โดยอิงจากคีย์ไอเท็มเดิม ผสมกับแนวการแก้ปริศนาในสไตล์ของเกม Resident Evil ที่ต้องอาศัยการสังเกตจากพื้นที่รอบตัวมากยิ่งขึ้น ดูคำใบ้จากฟิล์มที่ล้าง รวมถึงยังต้องอ่านไฟล์ที่เก็บได้ระหว่างทางมากขึ้นด้วย เนื่องจากบางไฟล์ก็มาพร้อมคำใบ้ในการแก้ปริศนา รหัสปลดล็อกตู้เซฟมาให้ด้วย (หรือถ้าอยากจะผ่านได้เร็ว ๆ ก็สามารถหารหัสปลดล็อกจาก Google ได้เหมือนกันนะ)
โดยรวมแล้ว เรื่องเส้นทางเดิน พื้นที่และปริศนาในเกม ถือว่าทำออกมาได้ลงตัวครับ มีบางจุดที่ต้องอาศัยความคิดอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับซับซ้อนเกินไป
การเก็บของภายในเกม Resident Evil 2 Remake
เมื่อเริ่มเกมมา ผู้เล่นจะมีช่องเก็บของกับตัวแค่ 8 ช่องเท่านั้น แต่ก็สามารถเก็บกระเป๋าเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของติดตัวได้จากระหว่างทาง โดยไอเท็มส่วนใหญ่จะใช้พื้นที่ในการเก็บของ 1 ช่อง จะมีแค่คีย์ไอเท็มบางชิ้น ปืนบางกระบอกเท่านั้นที่ใช้พื้นที่ 2 ช่อง สำหรับกระสุน ก็จะอาศัยการผสมจำนวนจนเต็มความจุของกล่อง เช่น กระสุนปืนกลเบาที่สามารถเก็บได้สูงสุด 200 นัดต่อกล่อง หากเกินจากนั้น ก็จะต้องใช้ช่องเก็บของอีกช่องเพื่อเก็บ ส่วนการผสมสมุนไพรก็ยังทำได้เช่นเคย ไม่ว่าจะเป็น เขียว+เขียว / เขียว+เขียว+เขียว / เขียว+แดง เป็นต้น ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งหนทางในการจัดสรรพื้นที่เก็บของในกระเป๋า (และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาด้วย) และท้ายที่สุด สิ่งที่จำเป็นในการจัดเก็บของก็คือหีบเก็บของที่มีอยู่ในหลาย ๆ สถานที่ ซึ่งแต่ละหีบจะลิงค์กันทั้งหมดเหมือนในภาคดั้งเดิมครับ นับว่ายังไม่ใจร้ายเกินไป
แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เล่นจะต้องให้การสังเกตมากขึ้นก็คือเหล่าคีย์ไอเท็ม เพราะในเกมเวอร์ชันรีเมคนี้ จะไม่มีตัวเลือกขึ้นมาถามว่า “ดูเหมือนคุณคงไม่ต้องใช้ของชิ้นนี้อีกต่อไปแล้ว คุณจะทิ้งของชิ้นนี้เลยหรือไม่?” แบบในภาคเก่าอีกแล้ว แต่ตัวเกมจะใช้การใส่เครื่องหมายติ๊กถูกสีแดงขึ้นมาตรงมุมขวาล่างของไอเท็มชิ้นนั้นแทน (ตามภาพด้านบน) ซึ่งถ้ามีขึ้นมา หมายความว่าไอเท็มชิ้นนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องใช้อีกต่อไปแล้ว ผู้เล่นจะเลือกทิ้งจากในกระเป๋าเลยก็ได้ หรือจะเก็บไว้เพื่อไปโยนใส่หีบเก็บของในภายหลังก็ได้
อีกสิ่งที่สำคัญคือการกดสำรวจ (Examine) ไอเท็มที่อยู่ในกระเป๋า เพราะบางชิ้นจะมีลูกเล่นซ่อนอยู่ เช่น ไอเท็มประเภทกล่อง มักจะสามารถสำรวจเพื่อเปิดกล่องและเก็บไอเท็มที่ซ่อนอยู่ในกล่องได้ รวมถึงบางครั้งมันก็เป็นคีย์ไอเท็มที่ต้องใช้ในการผ่านทางอีกด้วย ดังนั้น หลังจากเก็บของใด ๆ มา แนะนำว่าลองกดสำรวจให้ทั่ว ๆ ด้วยนะครับ
การควบคุม และเกมเพลย์ของ Resident Evil 2 Remake
ตัวเกมจะมีการใช้เกมเพลย์ในลักษณะที่มีความเป็นเกมสมัยใหม่มากยิ่งขึ้น เริ่มตั้งแต่การใช้ปุ่มสั่งการ อย่างผมเองที่เล่นโดยใช้จอย PS4 พบว่าได้กดใช้แทบทุกปุ่มเลยทีเดียว แม้กระทั่งปุ่มทิศทาง 4 ปุ่ม ตัวเกมก็ออกแบบมาให้เป็นปุ่มลัดสำหรับสลับอาวุธที่ตั้งค่าไว้ได้ ช่วยให้การสลับอาวุธตามสถานการณ์ที่เจอทำได้ฉับไว ไม่ต้องมากดเข้ากระเป๋าเก็บของเพื่อเปลี่ยนอาวุธให้วุ่นวาย
ด้านของอาวุธในเกม จะมีการแบ่งเป็นอาวุธหลักก็คือปืนต่าง ๆ และอาวุธเสริม เช่น มีด ระเบิด ระเบิดแฟลช ซึ่งตัวของอาวุธหลักจะสามารถอัพเกรดโดยชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่เก็บได้ระหว่างทาง เพื่อให้แม็กกาซีนบรรจุกระสุนได้มากขึ้น รีโหลดกระสุนเร็วขึ้น และสามารถเลือกติดตั้งพร้อมกันได้สูงสุด 4 กระบอก (ตามปุ่มลัด 4 ปุ่มข้างต้น) ส่วนอาวุธเสริมก็สามารถใช้โดยตรงได้ แต่ที่ส่วนตัวผมมองว่ามีประโยชน์กว่าคือเอาไว้ใช้ตอนที่โดนศัตรูจับ ซึ่งถ้าในกระเป๋าเรามีมีด ระเบิดอยู่ ก็จะมีปุ่มมาให้กดเพื่อใช้มีดแทง หรือเอาระเบิดยัดปากศัตรู เพื่อทำให้ตัวเราหลุดจากการจับได้โดยไม่เสียพลังชีวิต ซึ่งถ้าหากคิดว่ามีมีดแล้ว จะทำให้สามารถหนีจากการจับของศัตรูได้ตลอด อันนี้บอกเลยว่าผิดถนัดครับ เนื่องจากมีดในภาคนี้มันดันมีหลอดสถานะความทนทานของมันเอง ซึ่งยิ่งใช้งานมากขึ้น ความทนทานก็จะยิ่งลดลง เมื่อลดลงจนหมด มีดก็จะหักและต้องทิ้งทันที จนกว่าจะเก็บมีดเล่มใหม่ได้
ต่อมาที่เรื่องของกระสุนปืน ตัวเกม Resident Evil 2 Remake จะมีกระสุนให้เก็บที่ค่อนข้างจำกัดจำเขี่ยมาก บางทีเจอกระสุนปืนสั้นตกอยู่ให้เก็บแค่ 5 นัดเท่านั้นเอง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าอยากยิงซอมบี้ธรรมดา ๆ ซักตัวให้ตายด้วยการยิงหัว ก็ต้องใช้อย่างต่ำ 2 นัดเข้าไปแล้ว บางตัวก็ต้องใช้ร่วม 5-7 นัด (นาน ๆ ทีจะเจอแบบยิงนัดเดียวตาย) แต่ก็มีอีกวิธีหนึ่งในการหากระสุนปืน นั่นคือการผสมผงดินปืนที่เก็บได้จากระหว่างทางครับ โดยเมื่อผสมผงตามสูตรแล้ว เช่น ผสมผงดินปืน 2 กระปุกเข้าด้วยกัน ก็จะได้กระสุนปืนสั้นออกมาให้ใช้ได้ทันที อย่างไรก็ตาม จำนวนของผงดินปืนในเกมก็ไม่ได้มีให้เก็บจนเหลือเฟือ แถมยังต้องเอาไว้ใช้ผสมเพื่อสร้างกระสุนสำหรับปืนแรง ๆ ที่ใช้จัดการกับบอสในภายหลังด้วย ทำให้แนวทางการเล่นเกม Resident Evil 2 Remake จะกลายเป็นเน้นยิงเพื่อเปิดทางเอาตัวรอดซะมากกว่า
ส่วนการดำเนินเกมนั้น ผู้เล่นจะได้รับภารกิจหลักมา เช่น ให้หนีออกจากสถานที่แห่งนี้ ซึ่งผู้เล่นก็ต้องอาศัยการสำรวจพื้นที่ เช็คกับแผนที่ว่ายังมีบริเวณใดที่ยังไม่ได้ไปอีกบ้าง หรือเมื่อไปเจอประตูนี้ปิดอยู่ จะต้องใช้อะไร ต้องผ่านเงื่อนไขใดจึงจะสามารถเปิดประตูได้ แล้วผู้เล่นก็ต้องไปทำตามเงื่อนไขที่เกมกำหนด ซึ่งในระหว่างทางก็จะพบกับเนื้อเรื่องต่าง ๆ ไปตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งตัวช่วยเร่งการเดินเกมก็คือเจ้า Mr.X หรือที่หลายคนคุ้นเคยในชื่อว่า Tyrant ที่ภาคนี้ได้รับการออกแบบมาให้คอยตามรังควานแบบถึงไหนถึงกันแบบสุด ๆ แถมยังไม่สามารถฆ่าได้อีกด้วย ผู้เล่นทำได้มากสุดแค่เพียงยิงให้ Mr.X ก้มตัวลงนั่งเท่านั้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เล่นวิ่งหนีไปตามทางที่ต้องการ ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน Mr.X ก็จะฟื้นกลับขึ้นมาไล่ล่าเราใหม่อีกครั้ง ดังนั้น ทางที่ดีในการรับมือกับมันก็คือ พยายามเลี่ยงออกไปบริเวณที่กว้าง ๆ แล้วยิงหัว หรือใช้อาวุธหนักยิงให้ทรุด แล้วก็วิ่งหนีไป ส่วนถ้าหากต้องการหนีไปทำใจ ก็แนะนำว่าให้หนีไปยังห้องที่มีจุดเซฟ เพราะ Mr.X จะไม่ตามเข้ามาในห้องนั่นเอง (ยกเว้นห้องโถงกลางของสถานีตำรวจ) ยังดีที่ผู้เล่นสามารถรับรู้ได้ว่า Mr.X ตามมา หรืออยู่ในบริเวณใกล้ ๆ ได้โดยการฟังเสียงฝีเท้าซึ่งเสียงดังจนสังเกตได้ง่ายมาก
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือเรื่องมุมกล้อง ที่ในภาคนี้เลือกใช้มุมมองจากด้านหลังของตัวละคร และเมื่อเล็งปืน ก็จะเปลี่ยนไปเป็นแบบมุมมองข้ามหัวไหล่ไป ใกล้เคียงกับในภาค 6 ต่างจากภาคดั้งเดิมที่เป็นมุมมองแบบกล้องวงจรปิดที่ถูกกำหนดไว้ตายตัว ซึ่งโดยรวมแล้วทำออกมาได้ลงตัวดี ไม่เหมือนกับในภาค 6 ที่มุมมองค่อนข้างแคบจนอึดอัดเกินไปนิด
ความคุ้มค่าในการเล่นซ้ำและ DLC
อย่างที่รีวิวไปแล้วในส่วนของเนื้อเรื่องในเกมนะครับ ว่าตัวเกมจะแบ่งการเล่นเป็นแบบ A-B ของทั้ง 2 ตัวละคร ทำให้ถ้าผู้เล่นอยากจะเคลียร์เนื้อเรื่องให้ครบ ก็จำเป็นต้องเล่นเกมจบอย่างต่ำ 4 รอบแล้ว ยังไม่รวมถึงโหมดพิเศษที่เพิ่มเข้ามาให้ได้สัมผัสเนื้อเรื่องของตัวละครอื่น ได้แก่
- The Fourth Survivor mode ที่ให้เล่นเป็นตัวละครชื่อว่า Hunk ซึ่งจะปลดล็อกหลังจากเคลียร์เนื้อเรื่องหลักรอบสองของคนใดคนหนึ่งแล้ว
- Tofu Survivor mode ที่ให้เล่นเป็นเต้าหู้แท่งที่ชื่อว่า Tofu ซึ่งจะปลดล็อกหลังจากเคลียร์โหมด The Fourth Survivor ผ่านแล้ว
นอกจากโหมดพิเศษแล้ว ตัวเกมยังมีรางวัลให้กับผู้เล่นที่เคลียร์เนื้อเรื่องหลักของเกมได้ตามเงื่อนไขอีกด้วย เช่น การปลดล็อกมีดที่ใช้งานได้โดยไม่มีวันพัง ซึ่งจะได้ก็ต่อเมื่อผู้เล่นทำลายหุ่นของเล่น Mr. Raccoon ได้ครบ หรือจะเป็นการปลดล็อกปืนกลเบา LE-5 ที่กระสุนไม่จำกัด ซึ่งจะได้มาก็ต่อเมื่อผู้เล่นสามารถเคลียร์เนื้อเรื่องหลักที่ความยากระดับ Hardcore ได้ระดับ S โดยพวกของรางวัลเหล่านี้ จะมองว่าเป็นสิ่งดึงดูดที่อยากให้ผู้เล่นทำได้ตามเงื่อนไข รวมถึงเมื่อได้มาแล้ว ก็อยากจะเอาไปลองเล่นในเนื้อเรื่องจริงดูด้วยเหมือนกัน ว่ามันจะเปลี่ยนอารมณ์การเล่นเกมได้ขนาดไหน ซึ่งก็เป็นแนวทางที่เกม Resident Evil ใช้มาตลอดอยู่แล้ว
ส่วนด้านของ DLC นั้น ถ้าอ้างอิงจากใน Steam เบื้องต้นจะมี DLC ให้เลือกซื้อก็แค่ชุดตัวละคร ปืนพิเศษ และก็ไฟล์เสียงของตัวเกมเวอร์ชันดั้งเดิม ที่ให้ผู้เล่นสามารถนำไปสลับกับเสียงในเกมเวอร์ชันรีเมคได้ นอกจากนี้ ทาง Capcom เองก็ประกาศเตรียมอัพเดตเพิ่มโหมด The Ghost Survivor มาให้เจ้าของเกมทุกคนได้เล่นฟรี ๆ ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้อีกด้วย และก็จะมี DLC ฟรีมาให้อีก 2 ตัวในภายหลัง ก็คงต้องรอดูรายละเอียดกันอีกทีครับ ว่าจะเป็นรูปแบบใด
กราฟิก และการกินสเปคเครื่องของตัวเกม
เครื่องที่ผมใช้ในการเล่นเกม Resident Evil 2 Remake ครั้งนี้ ผมเลือกใช้เครื่องสเปคระดับกลาง-บนตามนี้ครับ
- CPU: AMD Ryzen 5 2600 (6c/12t) โอเวอร์คล็อกความเร็วไปที่ 4.0 GHz
- RAM: 16 GB DDR4-3133
- GPU: Gigabyte GTX1070 Gaming OC (VRAM 8 GB)
- SSD ที่ลงเกม: Deva 120 GB SATA 3
- จอ LG Ultrawide 21:9 ความละเอียด 2560×1080 75Hz
ซึ่งตอนที่ผมเล่นเดโมก็ใช้เครื่องเดียวกันนี้เลย ตามบทความพรีวิวที่เคยลงไปก่อนหน้านี้ จะมีปรับก็แค่คราวนี้ผมเปลี่ยน SSD ที่ใช้ลงเกมจาก NVMe มาเป็น SSD ที่ต่อเข้าทาง SATA 3 แทน ซึ่งความเร็วมันเหลือเฟือสำหรับการเล่น การโหลดเกมอยู่แล้ว
สำหรับกราฟิกในเกม รอบนี้ผมก็ยังคงเล่นและทดสอบด้วยการใช้ DirectX12 ความละเอียดจอ 2560 x 1080 เต็มตามความละเอียดหน้าจอจริง แต่อาศัยปรับลดคุณภาพของเงาและค่าบางอย่างจาก Max ลงมาเหลือแค่ High แล้วปรับ Texture Quality ขึ้นจาก High (1 GB) ตอนเล่นเดโม ขึ้นมาเป็น High (3 GB) เพื่อให้วัตถุในเกมดูละเอียด สวยงามมากยิ่งขึ้น โดยที่การตั้งค่าส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับ Max
ผลก็คือได้ภาพระหว่างการเล่นเกมในอัตราส่วน 21:9 ที่กว้างขวางเต็มตา แสงเงาต่าง ๆ ในเกม โดยเฉพาะแสงสะท้อนจากผิวน้ำนั้นทำออกมาได้ดี เปลวไฟ ควันดำ ฝุ่นละอองต่าง ๆ ก็ทำได้สมกับเป็นเกมในปี 2019 ช่วยสร้างบรรยากาศให้ดูกดดันได้จริง ๆ จะติดก็แค่เส้นผมของ Claire ที่มันดูจับเป็นก้อนไปหน่อย ส่วนเฟรมเรตระหว่างการเล่นเกม เท่าที่ผมสังเกตดูจากตัวเลข มันจะแกว่งอยู่ในช่วง 60-80 fps และเกิดอาการภาพฉีกขาดอยู่บ้าง ผมก็เลยจัดการเปิด V-Sync เพื่อจำกัดเฟรมเรตให้สัมพันธ์กับรีเฟรชเรตของจอ ผลก็คือช่วงของการแกว่งลดลงมาเหลือ 60-75 fps ตามการซิงค์กับจอ
ด้านของ CPU นั้น Ryzen 5 2600 สามารถรับมือได้สบายมากครับ ทั้ง ๆ ที่ในเบื้องหลัง ผมยังเปิดโปรแกรมอื่นเช่น Chrome, Line, Outlook, Powerpoint ค้างไว้อยู่ แต่ในระหว่างการเล่นเกม CPU ก็มีเปอร์เซ็นต์การใช้งานรวมไม่ถึง 70% เท่านั้นเอง และยังสามารถกด alt+tab สลับหน้าจอออกมาได้เร็วอีกด้วย ส่วนแรม ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณมีแรมอยู่ 8 GB ก็แนะนำว่าควรปิดโปรแกรมอื่น ๆ ก่อนจะเปิดเกมขึ้นมาจะดีกว่าครับ เพื่อที่ตัวเกมจะได้จัดสรรทรัพยากรได้เต็มที่ ส่วนถ้าเครื่องมีแรมซัก 16 GB บอกเลยว่าสบาย ๆ ขนาดผมเปิดโปรแกรมไว้พร้อมกับเล่นเกมด้วย แรมเครื่องยังใช้ไปมากสุดแค่ประมาณ 10 GB เอง
แต่ถ้าเป็นฉากมูฟวี่คัตซีนแบบนี้ ภาพจะเป็นแบบอัตราส่วน 16:9 ตามปกตินะครับ
โดยรวมแล้ว เกม Resident Evil 2 Remake ถือเป็นเกมที่ออกมาได้สมการรอคอย เมื่อผสมกับหลาย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการที่อยู่ดี ๆ Capcom ก็ประกาศว่าเรากำลังทำภาครีเมคขึ้นมาอยู่จริง แบบไม่ได้เป็นการขายฝันให้รอกันนานเกินไป รวมถึงการนำความเห็นของผู้เล่นในภาคเก่ามาปรับปรุงในภาคใหม่ เช่น การเพิ่มห้องน้ำเข้ามาในสถานีตำรวจ (ฮา) และการผสานเอาเนื้อเรื่องแบบภาคดั้งเดิม บวกด้วยแนวทางความสยองขวัญในแบบภาค 7 และก็เกมเพลย์ที่ดูทันสมัย ฉับไวมากขึ้น ทำให้ Resident Evil 2 Remake เป็นเกมที่คู่ควรแก่การหามาเล่นจริง ๆ ครับ ไม่ว่าคุณจะเคยเล่นภาคดั้งเดิมมาก่อนหรือไม่ก็ตาม และก็คาดหวังว่า Capcom จะรีเมคภาค 3 กลับมาให้เล่นกันในอนาคตด้วยนะ
ส่วนกราฟิกในเกม ถ้าเครื่องของคุณสามารถเล่นเกม Resident Evil 7 ได้ ก็สามารถเล่นภาคนี้ได้แน่นอนครับ หรือถ้าไม่เคยเล่นมาก่อน แต่คอมประกอบที่ใช้มีสเปคขั้นต่ำเป็นซัก Core i5 4th Gen / AMD FX-6300 การ์ดจอขั้นต่ำ GTX 760 หรือ AMD R7 260x พร้อมแรมเครื่องซัก 8 GB ก็สามารถเล่นได้แล้ว แถมตัวปรับกราฟิกในเกมยังทำออกมาได้ดีมาก สามารถปรับได้ละเอียด และเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีอีก ก็น่าจะช่วยให้คุณสามารถปรับกราฟิกในเกมให้เหมาะสมกับเครื่องได้สบาย ๆ เพราะผมเองก็ลองทดสอบกับโน๊ตบุ๊ค Core i7 8th Gen รุ่นประหยัดพลังงาน ที่ใช้การ์ดจอ MX150 กับแรมเครื่อง 8 GB ก็ยังเล่นได้เลย
ก็หวังว่า Resident Evil 2 Remake จะเป็นเกมที่โดนใจหลาย ๆ คนนะครับ แล้วก็อย่าลืมหาเกมแบบถูกลิขสิทธิ์มาเล่นนะ เพื่อที่จะได้มีเกมใหม่ ๆ ดี ๆ ออกมาให้เล่นกันแบบนี้อีก