ในงานใหญ่ของทาง Apple วันที่ 30 เดือนตุลาคมนั้น Apple เองได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาหลายรุ่นด้วยกันไม่ว่าจะเป็น MacBook Air, Mac mini และ iPad Pro รุ่นใหม่ครับ แน่นนอนว่า Mac mini นั้นมีการเจาะจงกลุ่มผู้ใช้งานอย่างชัดเจนในขณะที่ MacBook Air และ iPad Pro นั้นกลับกลายมาเป็นปัญหา
เพราะลักษณะของการใช้งานนั้นเหมือนกันมากขึ้นแถมยังสร้างความสับสนในการเลือกซื้อให้่กับผู้ใช้ได้อีกต่างหาก วันนี้นั้นเราจึงอยากขอนำเสนอรูปแบบการใช้งานของผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ว่าจริงๆ แล้วคุณควรที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ไหนเพื่อนำมาใช้งานให้ตรงกับความต้องการของคุณครับ
อย่างที่บอกไปในตอนต้นครับว่า MacBook Air และ iPad Pro รุ่นใหม่นั้นมีลักษณะการใช้งานที่ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้วนั้นตัวระบบปฎิบัติการ macOS และ iOS จะค่อนข้างมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนอยู่ทว่าทั้ง MacBook Air และ iPad Pro ก็ยังคงสามารถใช้งานเพื่อการทำงานในรูปแบบเดียวกันได้อยู่ดี ก่อนอื่นแล้วนั้นเรามาดูในส่วนของ MacBook Air กันก่อนครับด้วยการใช้ระบบปฎิบัติการ macOS นั้นทำให้ MacBook Air ดูจะเหนือกว่าในเรื่องของการใช้ในการทำงานอย่างจริงจังเพราะเราต้องไม่ลืมว่า MacBook Air นั้นยังอยู่ในรูปแบบของโน๊ตบุ๊คอยู่นั้นเองครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ MacBook Air แตกต่างไปจาก iPad Pro ก็คือหน่วยประมวลผลและฮาร์ดแวร์ต่างๆ ที่ใช้งานนั้นทำให้ MacBook Air สามารถที่จะใช้งานในหลากหลายรูปแบบได้มากกว่าโดยเฉพาะงานที่เจาะจงอย่างเช่นงานทางด้านกราฟิกที่เชื่อเหลือเกินว่าด้วยขนาดของหน้าจอและความสามารถใช้เมาส์และคีย์บอร์ดอย่างเต็มรูปแบบนั้นน่าจะเหมาะกับผู้ใช้ที่ทำงานปกติทั่วไปมากกว่า iPad Pro และต้องไม่ลืมว่าโปรแกรมต่างๆ ที่ macOS สามารถติดตั้งได้นั้นก็มีฟีเจอร์มากกว่าบน iOS ของ iPad Air ครับ(ตัวอย่างเช่นโปรแกรม Alfred และ Flycut ที่ติดตั้งอยู่บน MacBook Pro ซึ่งในการใช้งานระดับเริ่มต้นนั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้วครับ)
ยังไม่หมดแค่เพียงเท่านั้นนะครับ ในเรื่องของพอร์ตในการเชื่อมต่อที่อยู่บน MacBook Air นั้นก็ยังสามารถช่วยให้ผู้ใช้สามารถที่จะทำงานกับอุปกรณ์ต่อพ่วงได้ในปริมาณมาณที่มากกว่า แถมทาง Apple เองนั้นยังได้ให้สัญญาเอาไว้ในงานเปิดตัวด้วยครับว่า MacBook Air นั้นสามารถใช้งานได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 12 ชั่วโมงแบบสบายๆ ซึ่งนั่นน่าจะทำให้ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ชื่นชอบเพราะคุณแทบจะไม่จำเป็นที่จะต้องพกที่ชาร์จออกไปข้างนอกเพื่อทำงานในแต่ละวันเลยครับ
กลับมาดูกันที่ iPad Pro 2018 บ้างครับ โดยสำหรับ iPad Pro นั้นก็เรียกได้ว่าได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอที่มาพร้อมกับ refresh rate มากกว่าแท็บเล็ตทั่วไป แถมมาด้วยการแสดงสีสันแบบ True Tone color adjustment ที่น่าจะรองรับกับผู้ใช้งานทางด้านกราฟิกได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญเลยก็คืออุปกรณ์เสริมอย่าง Apple Pencil 2 ที่ต้องบอกว่าได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมากจนทำให้คุณสามารถทำงานได้หลากหลายรูปแบบที่แตกต่างออกไปจาก MacBook Air และ magnetically docks ที่เปลี่ยนให้ iPad Pro สามารถทำงานได้เหมือนกับรูปแบบโน๊ตบุ๊ค
ยังไม่หมดแค่เพียงเท่านั้นครับ iPad Pro ยังมาพร้อมกับความสามารถในการชาร์จแบบไร้สายได้ด้วยและจุดที่สำคัญที่สุดเลยก็คือการรองรับการใช้งานกับเครือข่ายแบบ LTE ซึ่งทำให้คุณไม่จำเป็นต้องง้อ WiFi ฟรีเวลาที่คุณพก iPad Pro ไปทำงานนอกสถานที่อีกต่อไปครับ(ซึ่งการที่ iPad Pro มาพร้อมกับการเชื่อมต่อแบบ LTE นั้นจะทำให้คุณสามารถทำงานได้เหนือกว่า MacBook Air เมื่อต้องทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตแล้วเกิดเหตุ WiFi ล่ม ตัวเครื่องก็จะเปลี่ยนไปใช้อินเทอร์เน็ตจาก LTE แทนแบบต่อเนื่องแน่นอนครับว่านั่นย่อมทำให้การทำงานของคุณไม่เกิดอาการสะดุดล่ะครับ)
อีกจุดหนึ่งซึ่งทำให้ iPad Pro นั้นมีจุดแข็งที่ใหญ่ มากๆ ก็คือความสามารถในการใช้งานที่เสมือนเป็นสมาร์ทโฟนที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ครับ iPad Pro นั้นช่วยให้คุณสามารถทำงานได้แบบต่อเนื่อง(จากระบบการใช้งานต่อเนื่องที่ออกแบบมาเป็นอย่างดีโดย Apple) ซึ่งนั่นจะช่วยให้คุณสามารถลดเวลาในการใช้งานสมาร์ทโฟนไปแล้วทำงานไปได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจริงๆ แล้ว macOS เองก็มีความสามารถดังกล่าวนี้ด้วยเช่นเดียวกันแต่ประสบการณ์ในการใช้งานสำหรับผู้ใช้นั้นเชื่อได้เลยครับว่า iPad Pro สามารถใช้งานแบบต่อเนื่องได้ดีกว่าที่คุณคาดเอาไว้อย่างมากเลยทีเดียวครับ
ดูเหมือนกับว่าทาง Apple นั้นเริ่มจะมาถูกทางกับระบบปฎิบัติการ iOS ที่นับวันแล้วนั้นจะยิ่งพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทำงานได้เป็นอย่างดีครับ iOS นั้นเริ่มที่จะมีแอปพลิเคชันสำหรับการทำงานอย่างเต็มรูปแบบเข้ามาให้ผู้ใช้ได้เลือกแล้วตัวอย่างเช่น iA Writer หรือแม้กระทั่ง Photoshop เป็นต้น อีกสิ่งหนึ่งที่จะลืมไปไม่ได้เลยนั้นก็คือ iPad Pro มาพร้อมกับทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังที่มีคุณภาพสูงซึ่งนั่นทำให้คุณสามารถใช้งานกับแอปแชทเพื่อที่จะทำการประชุมแบบออนไลน์แล้วเห็นหน้าไปด้วยได้ รวมไปถึงคุณยังสามารถที่จะถ่ายรูปภาพต่างๆ เพื่อที่จะนำมาใช้งานได้อย่างทันทีอีกด้วยครับ
ทั้งหมดทั้งมวลแล้วนั้นหากจะพูดว่าระบบปฎิบัติการ iOS เป็นระบบปฎิบัติการแห่งอนาคตก็คงจะไม่ผิดมากครับเพราะต้องยอมรับจริงๆ ครัวว่า Apple ทำออกมาได้ดีจริงๆ ทว่ากับ macOS เองนั้นก็ปฎิเสธไม่ได้เหมือนกันครับว่ามันรองรับกับการใช้งานในรูปแบบที่กว้างกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลายๆ โปรแกรมที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบบน macOS นั้นก็มีจำนวนที่มากกว่า iOS อย่างเห็นได้ชัด(โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลายๆ โปรแกรมการใช้งานเฉพาะทางที่คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าที่จะสามารถใช้งานหรือมีการพอร์ทมาให้ใช้งานได้อย่างเต็มที่บน iOS)
ท้ายที่สุดแล้วนั้นก็คือเรื่องของราคาครับ แน่นอนว่าในระดับเริ่มต้นนั้น iPad Pro 2018 จะมีราคาที่ถูกกว่า MacBook Air เป็นอย่างมาก แต่ถ้าเทียบตัวเครื่องในระดับที่มาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ใกล้เคียงกันแล้วนั้น MacBook Air ก็จะมีราคาอยู่ที่ $1,599 หรือประมาณ 52,860 บาทซึ่งตัวเครื่องจะมาพร้อมกับแหล่งเก็บข้อมูลที่ความจุ 512 GB ส่วน iPad Pro ที่มีราคาและฮาร์ดแวร์ใกล้ๆ กันนั้นก็จะเป็นรุ่นขนาดจอ 11 นิ้วที่มาพร้อมกับแหล่งเก็บข้อมูล 512 GB โดยมีราคาอยู่ที่ $1,498 หรือประมาณ 49,520 บาท ซึ่งแตกต่างกันไม่ค่อยมากเท่าไรนัก ที่เหลือก็คือคุณแล้วหล่ะครับว่าต้องการใช้งานในรูปแบบไหน
ที่มา : theverge