เมื่อไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์จาก University of Central Florida (UCF) ได้เปิดเผยงานวิจัยที่น่าสนใจเกี่ยวกับแบตเตอรี่แบบใหม่ที่สามารถอยู่นานได้เป็นวันๆ โดยใช้เวลาชาร์จเพียงไม่กี่ครั้งนอกไปจากนั้นแล้วอายุการใช้งานยังยาวนานอีกต่างหากเพราพถึงแม้จะถูกชาร์จไปมากกว่า 30,000 ครั้งแล้วก็ตามทว่ามันก็ยังสามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้เต็มความจุอยู่ ซึ่งแบตเตอรี่จากงานวิจัยนี้นั้นถือได้ว่าใช้ได้ยาวนานกว่าแบตเตอรี่แบบ Lithium-ion ที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ถึง 20 เท่าตัวครับ
นักวิจัยได้เรียกแบตเตอรี่ดังกล่าวนี้ว่า Supercapacitors ซึ่งในตอนนี้นั้นมันยังคงเป็นตัวต้นแบบอยู่เท่านั้นนะครับ นักวิจัยที่เป็นเจ้าของงานวัจัยดังกล่าวนี้มีชื่อว่า Yeonwoong “Eric” Jung ครับ คุณ Eric ได้อธิบายเอาไว้ว่าที่แบตเตอรี่นี้สามารถที่จะชาร์จได้เร็วมานั้นก็เนื่องมาจากว่าการเก็บประจุของแบตเตอรี่นี้นั้นจะเก็บประจุเอาไว้บนพื้นผิวของวัสดุที่ใช้แทนการใช้ปฎิกิริยาเคมีเหมือนกับแบตเตอรี่ที่เราใช้ในปัจุบัน ซึ่งการที่จะทำให้แบตเตอรี่แบบ Supercapacitors สามารถเก็บประจุได้เร็วนั้นต้องการแผ่นวัสดุแบบ 2 มิติที่มีพื้นผิวสัมผัสที่ใหญ่
หมายเหตุ – แบตเตอรี่ที่เราใช้ในปัจจุบันนั้นต้องมีขั้น Cathode กับ Anode และ Electrolyte อยู่ตรงกลางเพื่อใช้ในการส่งผ่านประจุไฟฟ้าโดยอาศัยปฎิกิริยาเคมีซึ่งหากต้องการเก็บประจุไห้ได้มากๆ ขั้น Cathode กับ Anode ก็ต้องใหญ่ตามเพื่อที่จะเก็บประจุได้เยอะทำให้ขนาดของแบตเตอรี่จะต้องใหญ่ตามไปด้วยครับ
ปกติแล้วงานวิจัยอื่นๆ อย่างเช่น EV-make ของ Henrik Fisker จาก UCLA จะนิยัมใช้ graphene เป็นวัสดุของแผ่นเก็บประจุ 2 มิตินั้น เพื่อที่ Eric จะเอาชนะงานวิจับเดิมด้วยจึงใช้วัสดุอื่นในคู่กับ graphene ใน supercapacitors หลังจากนั้นก็ทำการห้อวัสดุทั้ง 2 เข้าเป็นวัสดุที่อยู่ในรูปแบบ 2 มิติตามกรรมวิธีที่เรียกว่า TMDs จนได้วัสดุสำหรับที่จะเอามาทำแบตเตอรี่ supercapacitors ที่บางมากในระดับอะตอมหลังจากนั้นก็ทำการเชื่อมต่อวัสดุดังกล่าวเป็นเส้นในระดับ 1D nanowires ซึ่งทำให้อิเล็กตรอนสามารถเคลื่อนที่ไปได้ในทุกอนูวัสดุครับ
อย่างไรก็ตามแต่งานวิจัยแบตเตอรี่ของ Eric นั้นยังถือว่าเป็นแค่ตัวต้นแบบและยังถือว่าเป็นวิธีการอะไรใหม่มากๆ ซึ่งการจะนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์จริงๆ ได้นั้นคงต้องรอเวลาไปก่อนเพราะต้องมีการพัฒนาและทดสอบใช้งานในห้องทดลองอีกหลายๆ อย่าง(ขืนไม่ทดสอบก่อนอาจจะเจอปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ระเบิดได้หล่ะครับ) แต่นี่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีครับเพราะจะว่าไปเทคโนโลยีแบตเตอรี่ของเรานั้นหยุดนิ่งมาค่อนข้างที่จะนานแล้วหล่ะครับ
ที่มา : engadget