Connect with us

Hi, what are you looking for?

How to

แนะนำวิธีเช็คว่าแบตโน๊ตบุ๊คเสื่อมแล้วหรือยัง? ฉบับปี 2025 พร้อมโปรแกรมและวิธีคำนวณความเสื่อมแบตเตอรี่ด้วยตัวเอง ทำง่ายมือใหม่ก็ทำได้!

แบตโน๊ตบุ๊ค

โน๊ตบุ๊คเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าและทำงานด้วยการเสียบปลั๊กใช้งานหรือใช้พลังงานจากแบตโน๊ตบุ๊ค แต่พอใช้งานไปราว 1~2 ปี แม้จะต่อชาร์จอยู่แทบจะตลอดเวลาแบตก็จะเสื่อมเป็นปกติอยู่แล้ว แต่กว่าจะรู้ว่าต้องเอาเข้าศูนย์ไปก็จะมาสังเกตเห็นกันตอนแบตบวมจนดันตัวเครื่องออกมาแล้ว ดังนั้นถ้าเราสามารถเช็คและรู้ได้ก่อนว่าแบตในเครื่องเสื่อมแล้วหรือยังจะได้เตรียมตัวเตรียมเงินได้ถูก

ด้านวิธีเช็คสภาพแบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คจะแตกต่างกันไปตามระบบปฏิบัติการ อย่าง macOS ก็จะดูได้ง่ายเพียงไม่กี่คลิ๊กก็ตัดสินใจได้แล้วแต่ข้อมูลก็จะไม่ละเอียดเท่ากับฝั่ง Windows ซึ่งเก็บข้อมูลทุกซอกมุมว่าต่อชาร์จตั้งแต่เมื่อไหร่ นานกี่ชั่วโมงแล้วความจุสูงสุดลดลงเหลือเท่าไหร่แล้ว แลกกับการเปิดดูได้ยากกว่านิดหน่อยแต่ก็ไม่เกินความสามารถของผู้ใช้อย่างแน่นอน

Advertisement

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตโน๊ตบุ๊ค

  • เราไม่จำเป็นต้องถอดปลั๊กโน๊ตบุ๊คทิ้งตอนแบตชาร์จเต็ม 100% อีกต่อไป เพราะตัวเครื่องจะตรวจจับแล้วตัดการชาร์จแล้วหันไปใช้พลังงานไฟฟ้าจากสายชาร์จโดยอัตโนมัติ
  • การใช้งานมือถือหรือโน๊ตบุ๊คจนแบตหมดแล้วเครื่องดับจะทำให้แบตฯ เสื่อมเร็ว เพราะแบตฯ ในปัจจุบันเป็นแบบใหม่ที่เรียกว่าลิเธียมไอออน จะทำงานได้ดีและเสื่อมสภาพช้าหากเลี้ยงแบตฯ ไว้ช่วง 20~80%
  • หากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพจนเก็บประจุได้ราว 80% หรือต่ำกว่านั้นก็แนะนำให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เลย
แบตโน๊ตบุ๊ค

แบตโน๊ตบุ๊คของเราเสื่อมหรือยัง เช็คกันง่ายๆ ตามนี้ได้เลย!


วิธีเช็คแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊ค Windows ง่ายๆ

เริ่มต้นจากระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows เริ่มต้นโดยเปิด Command Prompt ในโหมด Run as administrator สังเกตตรงบรรทัดพิมพ์คำสั่งจะขึ้น C:\Windows\System32> จากนั้นให้พิมพ์คำสั่งว่า

powercfg /batteryreport

ในบรรทัดถัดลงมา ระบบของ Command Prompt จะแจ้งว่า Battery life report saved to file path … บอกตำแหน่งเก็บไฟล์ battery report เอาไว้ โดยปกติระบบปฏิบัติการจะบันทึกเอาไว้ใน C:\Windows\System32\battery-report.html ซึ่งเปิดในเบราเซอร์ได้ทันที

ภายในโฟลเดอร์ System32 ทั้งหมดเป็นไฟล์สำคัญของระบบปฏิบัติการ Windows ดังนั้นเมื่อเปิดเข้าโฟลเดอร์นี้มาแล้วไม่ควรไปยุ่งหรือลบไฟล์ใดๆ ไม่อย่างนั้นระบบปฏิบัติการอาจเสียหายหรือไม่ทำงานได้ อย่างไรก็ตามวิธีตามหาไฟล์ battery-report ยังง่ายเพราะภายในโฟลเดอร์นี้ถูกเรียงตามตัวอักษร จึงไล่ดูตรงกลุ่มตัว “B” แล้วสามารถดับเบิ้ลคลิกเปิดดูได้ทันที

วิธีการอ่านและดูข้อมูลทั้งหมดในไฟล์ Battery report จะแยกหลายส่วน โดยแต่ละบรรทัดจะให้ข้อมูลผู้ใช้ดังนี้

  • Computer name – ชื่อของโน๊ตบุ๊ค
  • System Product Name – ชื่อผลิตภัณฑ์ว่าเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นและแบรนด์ใด
  • BIOS – เวอร์ชั่นของ BIOS พร้อมวันอัปเดตเวอร์ชั่นล่าสุด
  • OS Build – เวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ Windows ในโน๊ตบุ๊ค
  • Platform role – รูปแบบของอุปกรณ์ สำหรับโน๊ตบุ๊คคือ Mobile
  • Connected Standby – สถานะการเชื่อมต่อ โดยแจ้งผู้ใช้ว่าโน๊ตบุ๊คยังเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย (Wi-Fi) แม้จะทำงานใน Sleep mode เพื่ออัปเดตเฟิร์มแวร์และระบบปฏิบัติการให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดเสมอ
  • Report time – บอกวันกับเวลาตอนสั่งเครื่องทำ Battery report

หมวดหมู่ถัดมาอย่าง Installed batteries จะรายงานข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับแบตโน๊ตบุ๊คเชิงลึกว่าแบตเตอรี่เป็นอย่างไรบ้าง โดยแต่ละหัวข้อจะบอกข้อมูลดังนี้

  • Name – รหัสของแบตเตอรี่ภายในเครื่อง สามารถใช้อ้างอิงเพื่อซื้อแบตเตอรี่ตรงรุ่นมาเปลี่ยนได้
  • Manufacturer – ผู้ผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวมาติดตั้งในเครื่อง
  • Serial Number – เลขระบุข้อมูลแบตเตอรี่ลูกนั้นๆ
  • Chemistry – ประเภทของแบตเตอรี่ ในภาพตัวอย่างเป็น LION คือ ลิเธียมไอออน นอกจากนี้จะมีแบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลีเมอร์อีกประเภทด้วย
  • Design Capacity – ความจุสูงสุดตามสเปกจากโรงงานของผู้ผลิต
  • Full Charge Capacity – ความจุแบตเตอรี่สูงสุดตามสภาพแบตเตอรี่ในปัจจุบัน
  • Cycle Count – จำนวณครั้งการชาร์จแบตเตอรี่จาก 0~100% ระบบจะนับจากการใช้งานรวมกัน เช่น ถ้าใช้งานจนแบตเตอรี่เหลือเท่าไหร่ก็ตามแล้วชาร์จไฟกลับ เมื่อระบบนับได้ว่าแบตเตอรี่ถูกชาร์จไฟจนเต็ม 100% เมื่อไหร่จะนับ 1 Cycle ทันที

ส่วนถัดลงมาอย่าง Battery usage จะเป็นหัวข้อกราฟรวมถึงตารางข้อมูลโดยละเอียด ว่ารูปแบบการใช้งานของเราใช้งานแบบใด การต่อสายชาร์จระบบจะแจ้งในตารางช่อง State ว่า Connected standby ถ้าใช้แบตเตอรี่จะเป็นคำว่า Active พร้อมนับเวลาและขึ้นข้อมูลว่าใช้แบตเตอรี่ไปกี่เปอร์เซ็นต์และนับเป็นมิลลิวัตต์ชั่วโมง (mWh) ในหัวข้อ Energy Drained ด้วย

ถัดลงมาใน Usage history จะแสดงข้อมูลเป็น 3 หมวดใหญ่ คือ

  • Period – เป็นวันเวลาตอนเปิดใช้งานโน๊ตบุ๊คโดยจะนับระยะเวลาเป็นหลักสัปดาห์แล้วรวมมาแสดงผล
  • Battery Duration – ว่าตัวเครื่องใช้แหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่นานเท่าไหร่
  • AC Duration – ระยะเวลาใช้งานโดยต่อสายชาร์จเอาไว้

ในภาพตัวอย่าง พออ่านข้อมูลแล้วจะทราบว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ใช้งานแบบต่อสายชาร์จแทบจะตลอดเวลาเพราะนั่งทำงานในออฟฟิศเป็นหลัก ออกไปใช้งานนอกสถานที่บ้างแต่ก็ไม่นานมาก

ส่วนท้ายของ Battery report จะมีรายงานน่าสนใจอยู่ คือ หัวข้อ Battery capacity history ไว้แสดงประวัติการชาร์จแบตโน๊ตบุ๊คโดยละเอียดว่าตั้งแต่ใช้งานมา แบตเตอรี่ตอนชาร์จเต็ม (Full Charge Capacity) เทียบกับความจุสูงสุด (Design Capacity) เทียบแล้วลดลงกี่ mWh ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง

หัวข้อสุดท้ายอย่าง Battery life estimates จะประมาณระยะเวลาการใช้งานด้วยแบตเตอรี่ว่าจะใช้งานได้ได้นานกี่ชั่วโมง แต่กรณีโน๊ตบุ๊คแบบต่อสายชาร์จใช้งานตลอดเวลาจะแสดงระยะเวลาการใช้งานทั่วไปแทน


เช็คแบตฯ MacBook ทำง่ายไม่กี่ขั้นตอนก็รู้แล้ว!

แบตโน๊ตบุ๊ค

ด้านของ macOS ใน MacBook นั้นสามารถเช็ค Cycle การชาร์จและสภาพของแบตเตอรี่ได้ในตัวระบบปฏิบัติการโดยตรงแถมทำได้ง่ายอีกด้วย โดยมีขั้นตอนการเปิดเช็คดังนี้

  1. กด Apple menu (โลโก้ Apple มุมบนซ้าย) คลิกคำว่า System Information
  2. macOS จะเปิดหน้าต่าง System information ขึ้นมา เลื่อนมาเลือกหัวข้อ Power
  3. ในหน้าต่างฝั่งขวามือตรงบรรทัด Health Information จะแสดงข้อมูล 3 อย่าง คือ
    • Cycle Count บอกจำนวนรอบการชาร์จว่าชาร์จจาก 0% มา 100% กี่ครั้งแล้ว แม้จะชาร์จตอนแบตเตอรี่ยังเหลืออยู่ตัวระบบก็จะนับทบขึ้นไปเรื่อยๆ จนครบ 100% แล้วเพิ่ม 1 Cycle
    • Condition สภาพของแบตเตอรี่ หากขึ้นว่า Normal แสดงว่ายังใช้งานได้ปกติ
    • Maximum Capacity แสดงความจุสูงสุดว่าแบตเตอรี่ในเครื่องชาร์จได้มากเท่าไหร่ หากขึ้น 100% แสดงว่าสภาพยังใช้งานได้ตามปกติ

เมื่อทราบจำนวน Cycle การชาร์จแล้ว MacBook ของเราต้องชาร์จไปกี่ Cycle ถึงควรเปลี่ยนเป็นลูกใหม่? วิธีการตัดสินง่ายมาก ถ้า MacBook เครื่องนั้นเป็นโมเดลผลิตหลังจาก Late 2008 เป็นต้นไป แบตเตอรี่จะรองรับการชาร์จสูงสุด 1,000 Cycle แล้ว ส่วนโมเดลก่อนหน้านั้นจะรองรับราว 300~500 Cycle เท่านั้น

หลังจากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพแล้วหรือถ้ายังไม่ถึงเวลาแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาระหว่างใช้งาน ก็สามารถติดต่อศูนย์บริการโน๊ตบุ๊คแต่ละแบรนด์เพื่อเข้าไปรับบริการได้ แต่แนะนำว่าก่อนเข้าไปใช้บริการควรโทรติดต่อกับทางศูนย์บริการว่าเปิดให้บริการและมีอะไหล่พร้อมให้บริการหรือไม่ โดยดูเบอร์โทรศูนย์บริการเจ้าต่างๆ ได้ในบทความนี้


ใช้เว็บคำนวณเลยว่าแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเหลือกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว!

แบตโน๊ตบุ๊ค

เนื่องจากหน้า Battery report ของโน๊ตบุ๊ค Windows จะไม่บอกว่าแบตเตอรี่ในเครื่องเสื่อมไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้วแต่ยังมีตัวเลข mWh ให้ประมาณได้ จึงขอแนะนำให้เอาตัวเลขจาก Design Capacity กับ Full Charge Capacity มาคำนวณต่อในเว็บไซต์ Percentage Calculator ต่อเพื่อเช็คว่าสภาพแบตเตอรี่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร โดยใช้ตัวคำนวณอันล่างสุด เพื่อดูว่าตัวเลขดังกล่าวเพิ่มหรือลดไปกี่เปอร์เซ็นต์

แบตโน๊ตบุ๊ค

วิธีการคือ เอาตัวเลข Design Capacity กรอกช่องฝั่งซ้ายและ Full Charge Capacity กรอกช่องฝั่งขวาแล้วกด Calculate จะได้ผลลัพธ์ว่าแบตเตอรี่เก็บไฟได้น้อยลงกี่เปอร์เซ็นต์ จากตัวอย่างในภาพจะเห็นว่าแบตเตอรี่จากความจุสูงสุด 52976 mWh ลดเหลือ 47509 mWh หรือลดลง 10% หมายความว่าสภาพแบตโน๊ตบุ๊คตอนนี้เก็บไฟไว้ใช้งานได้ 90% เท่านั้น

นับจากวันเริ่มใช้งานโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ครั้งแรกในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2023 จนถึงเวลาปัจจุบัน วันที่ 25 เมษายน 2025 เป็นเวลาราว 1 ปี 5 เดือน (17 เดือน) สรุปโดยคร่าวได้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมราว 10% ต่อปี ก็ยังสามารถใช้งานได้อีกราว 1~2 ปี ค่อยนำเครื่องไปเปลี่ยนแบตเตอรี่กับศูนย์บริการก็ได้


Pure Battery Analytics แอปฯ ดูสภาพแบตได้ง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอน

แบตโน๊ตบุ๊ค

นอกจากวิธีเช็คผ่าน Command Prompt ด้วยคำสั่ง powercfg /batteryreport ข้างต้น ก็มีวิธีตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่แบบง่ายๆ โดยใช้โปรแกรม Pure Battery Analytics มาใช้แทนก็ได้ แถมยังมีฟังก์ชั่นวิเคราะห์และรายงานสภาพแบตเตอรี่ให้อ่านเข้าใจได้ง่าย ในหน้าแรกก็แสดงข้อมูลว่าปริมาณความจุจากโรงงาน (Design Capacity) มีตั้งต้นมาเท่าไหร่และปัจจุบันชาร์จจนเต็ม (Full Charge Capacity) ทำได้กี่ mWh เมื่อกดในหน้า Analytics แล้วเลื่อนลงมาเล็กน้อยก็สามารถดูได้ว่าแบตเตอรี่ในเครื่องเสื่อมไปกี่เปอร์เซ็นต์

ในหน้า System ตัวโปรแกรมจะรวมรายละเอียดตัวเครื่องทั้งหมดมาแสดงให้ผู้ใช้ดูข้อมูลได้ละเอียดจนถึง Unique Machine ID ทีเดียว ในส่วนนี้ข้อมูลค่อนข้างสำคัญจึงไม่แนะนำให้แชร์ข้อมูลดังกล่าวกับใครนัก ด้าน Settings จะรวมการตั้งค่าจิปาถะรวมถึงส่วนเสริม (Add-on) ไว้แสดงปริมาณแบตเตอรี่คงเหลือแบบสมาร์ทโฟนได้ด้วย นับว่าค่อนข้างครบเครื่อง ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด Pure Battery Analytics จาก Microsoft Store ได้ที่นี่


แบตโน๊ตบุ๊ค

แบตโน๊ตบุ๊คเองก็มีความสำคัญไม่แพ้กับ SSD, RAM อย่างแน่นอน เพราะเป็นแหล่งพลังงานเวลาเปิดเครื่องใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะตอนไม่มีปลั๊กให้ต่อใช้งาน แต่ปัจจัยที่จะทำให้โน๊ตบุ๊คเครื่องนั้นใช้งานได้นานนั้นขึ้นอยู่กับสองปัจจัยหลัก คือ ความจุของแบตเตอรี่จะต้องเยอะในระดับหนึ่ง ซึ่งบรรดาโน๊ตบุ๊คบางเบาและกลุ่มราคาประหยัดมักมีความจุราว 50~65Whr ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตจะเลือกมาติดตั้งให้ ขึ้นมาเป็นกลุ่มพรีเมี่ยมก็จะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 75~80Whr และแบตโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งก็จะมีความจุ 80Whr ขึ้นไปจน 99.9Whr ทีเดียว

ปัจจัยที่ทำให้แบตโน๊ตบุ๊คมีความจุมากน้อยไม่เท่ากันอีกอย่าง คือ ซีพียูในเครื่องนั้นๆ หากเป็นชิปเซ็ตทั่วไปเน้นประหยัดพลังงานอย่าง Intel U-Series, V-Series หรือ AMD Ryzen U-Series, HS-Series ก็จะบริหารการใช้งานไฟจากแบตเตอรี่ได้ดี เน้นระยะเวลาใช้งานยาวนานเป็นหลัก กลับกันหากเป็น Intel H-Series, HX-Series กับ AMD Ryzen HX-Series ก็จะเป็นซีพียูในโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงหรือเกมมิ่ง จะไม่เน้นการประหยัดพลังงานแต่เน้นหนักทางประสิทธิภาพว่ามันจะต้องทำงานได้ดีรันโปรแกรมกินทรัพยากรหนักได้รวดเร็ว

นั่นหมายความว่าหากนำแบตเตอรี่ความจุ 80Whr ไปใช้กับซีพียูกลุ่มประหยัดพลังงาน อาจจะใช้มันทำงานได้นานหลัก 10 ชั่วโมงขึ้นไปได้สบาย แต่ถ้าเป็นซีพียูประสิทธิภาพสูงอาจอยู่ได้ราว 5~6 ชั่วโมง ก็ใช้งานไม่ได้แล้ว ยังไม่นับกรณีเรื่องพาเนลหน้าจอ, การสูญเสียกำลังไฟจากอุณหภูมิภายในเครื่อง, การใช้งานแล้วเสื่อมตามสภาพการใช้งาน, อัตราการกินไฟของ SSD และ RAM ฯลฯ ดังนั้นจะบอกว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ใช้งานได้นานหรือไม่นานก็มีปัจจัยเข้ามาร่วมหลายอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม การถนอมใช้งานแบตโน๊ตบุ๊คให้อายุยืนนอกจากการชาร์จไฟเลี้ยงแบตเอาไว้ให้อยู่ในช่วง 20~80% แล้ว ก็ไม่ควรเล่นจนเครื่องดับเพราะพฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าการต่อสายชาร์จเอาไว้ตลอดเวลาเสียอีก แทนที่จะใช้งานได้สัก 3 ปีค่อยนำไปเปลี่ยนกับศูนย์บริการ ก็อาจสั้นลงเหลือ 1 ปีครึ่ง หรือเร็วกว่านั้น

Photo Credits : Apple, Mika Baumeister via Unsplash


FAQ

1. แบตโน๊ตบุ๊คเปลี่ยนเองยากหรือเปล่า?

ตอบ เปลี่ยนได้ง่าย เพียงถอดขั้วแบตเตอรี่และขันน็อตออกแล้วเปลี่ยนเอาแบตก้อนใหม่ใส่ก็พร้อมใช้งานแล้ว แต่ความยากอยู่ตรงการหาแบตเตอรี่ตรงรุ่นหรือใกล้เคียงมาเปลี่ยน

2. แบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คและสมาร์ทโฟนควรเปลี่ยนเมื่อเสื่อมสภาพไปกี่เปอร์เซ็นต์ดี?

ตอบ ปกติแนะนำให้เปลี่ยนเมื่อเสื่อมสภาพจนเก็บไฟเอาไว้ในแบตได้ราว 80% หรือต่ำกว่านั้น

3. วิธีการนับ Cycle การชาร์จแบตโน๊ตบุ๊คทำอย่างไร?

ตอบ การนับ 1 Cycle จะนับเมื่อชาร์จไฟจาก 0% ไปจนเต็ม 100% ไม่ว่าจะใช้จนแบตหมดเครื่องดับแล้วชาร์จกลับมา 100% ก็นับ หรือแบ่งชาร์จเป็น 10+20+30+40% ก็จะนับ 1 Cycle เหมือนกัน เพราะตัวระบบปฏิบัติการมีฟังก์ชั่นการนับชาร์จอยู่ในตัวแล้ว

4. เราจำเป็นต้องถอดสายชาร์จเมื่อแบตเต็ม 100% หรือไม่?

ตอบ ไม่จำเป็นแล้ว เพราะแบตเตอรี่ในปัจจุบันเปลี่ยนจากแบบนิกเกิลแคดเมียม (Ni-Cd) ที่ต้องทำตามขั้นตอนดังกล่าวเป็นลิเธียมไอออน (Li-ion) หรือลิเธียมโพลีเมอร์ (Li-Polymer) แถมตัวชิปเซ็ตซีพียูยังฝังระบบตรวจจับการชาร์จมาให้ เวลาแบตเต็มก็จะตัดไปดึงไฟจากอะแดปเตอร์โดยตรงแทน

5. แนะนำวิธีการใช้งานแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าให้หน่อย?

ตอบ กรณีดีสุดและป้องกันแบตเตอรี่เสื่อม คือใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าแบบมีแบตเตอรี่ในตัวอย่างโน๊ตบุ๊คหรือสมาร์ทโฟนโดยเลี้ยงแบตเตอรี่เอาไว้ในช่วง 20~80% จะดีสุด หากชาร์จมากเกินกว่านั้นไปจนถึง 100% ก็ได้เช่นกัน แต่แบตจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเสื่อมสภาพได้แต่ช้ากว่าการใช้จนเครื่องดับแบตเตอรี่เหลือ 0% แน่นอน

6. ทำไมเวลาเล่นเกมด้วยแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คแล้วเล่นไม่ลื่น?

ตอบ เพราะชิปเซ็ตตัดไปใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่และตัวเครื่องตัดเข้าโหมดประหยัดพลังงานเลือกใช้การ์ดจอในซีพียูแทนทำให้เฟรมเรทลดลง แนะนำว่าถ้าเล่นเกมควรต่อสายชาร์จเอาไว้เสมอ

7. จำเป็นต้องใช้งานจนแบตเตอรี่เหลือไฟน้อยหรือเครื่องดับเพื่อไล่ประจุเก่าไหม?

ตอบ ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ไม่มีการแยกประจุไฟเก่าหรือใหม่แต่นับเรื่องมีปริมาณไฟคงเหลือในแบตเท่าไหร่ ดังนั้นความเชื่อเรื่องต้องใช้งานจนแบตหมดไล่ประจุเก่าไม่เป็นความจริงและไม่ส่งผลต่อระยะเวลากับความเสื่อมของแบตเตอรี่แน่นอน


บทความที่เกี่ยวข้อง

Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

How to

ปฏิเสธไม่ได้ว่าไอโฟนคือมือถือยอดนิยมของผู้คนทั่วโลกเพราะใช้ได้ง่าย ไม่ว่าจะใช้ในชีวิตประจำวันหรือเอาไว้ใช้ทำงานจริงจังก็ได้ แต่พอถึงระยะหนึ่งแบตไอโฟนก็ต้องเสื่อมสภาพเก็บประจุเอาไว้ในตัวแบตเตอรี่ได้ไม่เท่าตอนซื้อมาใหม่ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่เริ่มใช้จนแบตเสื่อมกินเวลาราว 1~2 ปี ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร แต่พอถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้วราคาแบตแท้จากศูนย์ Apple เองก็ไม่ได้แพงมากนัก แถมบางครั้งยังมีส่วนลดเพื่อให้เจ้าของไอโฟนเลือกใช้แบตแท้ต่อไป นอกจากเจ้าของจะสบายใจแล้วจะขายต่อก็ง่ายเพราะประวัติดีอีกด้วย สารพัดเรื่องว่าด้วยแบตไอโฟน แบตไอโฟนเสื่อมดูยังไงดี? แล้วเปลี่ยนราคาเท่าไหร่นะ? แบตเสื่อมเกิดจากอะไร? ใช้ยังไงแบตถึงจะเสื่อมช้า? ก่อนจะถามว่าแบตเตอรี่เสื่อมจะต้องดูอย่างไรและอาการแบบไหนถึงเรียกว่าแบตเตอรี่เสื่อม ต้องเข้าใจพื้นฐานของอุปกรณ์เก็บประจุไฟฟ้าชิ้นนี้ก่อนว่าภายในตัวของมันจะมีขั้วบวกเรียกว่าแคโทด (Cathode), ขั้วลบแอโนด (Anode) กับอีเล็กโทรไลต์...

Buyer's Guide

15 powerbank ขึ้นเครื่องได้ ชาร์จไว 2025 รับ QC, PD พกพาสะดวก ดีไซน์สวย สำหรับคนที่ต้องเดินทางบ่อยๆ หรือใช้งานอุปกรณ์หนักตลอดวัน Powerbank หรือ แบตเตอรี่สำรอง คือฮีโร่ตัวจริงในสถานการณ์เหล่านี้ แต่การจะเลือกซื้อ ไม่ใช่แค่ดูที่ความจุหรือดีไซน์เท่านั้น ยังต้องคำนึงถึงคุณสมบัติสำคัญอื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การนำขึ้นเครื่องบินได้” และ “ความสามารถในการชาร์จเร็ว” บทความนี้จึงได้รวบรวม powerbank ขึ้นเครื่องได้ ชาร์จไว...

Tips & Tricks

แบตเสื่อม ดูแล แก้ปัญหาแบตโน๊ตบุ๊คเสื่อมฉบับปี 2025 รักษาโน๊ตบุ๊คตัวโปรดให้ใช้งานได้ยาวนาน โน๊ตบุ๊คคู่ใจ ใช้งานไปนานๆ สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือปัญหา แบตเสื่อม ชาร์จแบตไม่เข้าอาการยอดฮิตที่ทำให้หลายคนปวดหัว แบตหมดไว ใช้งานได้ไม่นานเหมือนเดิม แถมบางทีอาจจะบวมจนเครื่องเสียหายได้อีกด้วย บทความนี้เราจะมาเจาะลึกทุกเรื่องเกี่ยวกับ แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คเสื่อม ตั้งแต่สาเหตุ อาการ แนวทางการป้องกัน ไปจนถึงวิธีแก้ไขและเลือกซื้อแบตเตอรี่ใหม่ เพื่อให้คุณสามารถดูแลโน๊ตบุ๊คสุดรักให้อยู่กับคุณไปนานๆ ไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนเครื่องใหม่บ่อยๆ ครับ แบตเสื่อม แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คเสื่อมไม่เก็บไฟทำไงดี? สาเหตุและวิธีดูแลแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คเสื่อม ไม่ควรให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนสูง ชาร์จบ่อยเกินไปอาจทำให้แบตเสื่อม? การปล่อยแบตเตอรี่ทิ้งไว้นานๆ...

Buyer's Guide

ถ้าซื้อสมาร์ทโฟนราคาครึ่งแสน, โน๊ตบุ๊คระดับพรีเมี่ยมหรือแกดเจ็ตราคาแพงมาใช้ ก็ควรซื้อหัวชาร์จ Type C คุณภาพดีมาใช้คู่กันด้วย แม้ราคาจะเริ่มต้นหลัก 3-4 ร้อยบาท แต่ก็อุ่นใจว่าระบบภายในสามารถชาร์จไฟกลับให้อุปกรณ์ของเราได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวเรื่องการชาร์จไฟเกินหรือเกิดไฟรั่วจนเป็นอันตรายต่อผู้ใช้อย่างแน่นอน เพราะนอกจากฟีเจอร์ร้อยแปดก็ยังมีระบบรักษาความปลอดภัยทางไฟฟ้าเสริมเข้ามาให้มากมายและมีพอร์ตติดมาให้อย่างน้อยก็ต้องมี USB-C สักช่องและอาจเสริม USB-A มาด้วย ทำให้ชาร์จอุปกรณ์ได้ 2-3 ชิ้นพร้อมกันแน่นอน วิธีการเลือกซื้อนอกจากดูจำนวนพอร์ตและกำลังชาร์จแล้ว ก็แนะนำให้ดูขาปลั๊กเป็นแบบกลม 2 ขา อิงตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก