
โน๊ตบุ๊คเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าและทำงานด้วยการเสียบปลั๊กใช้งานหรือใช้พลังงานจากแบตโน๊ตบุ๊ค แต่พอใช้งานไปราว 1~2 ปี แม้จะต่อชาร์จอยู่แทบจะตลอดเวลาแบตก็จะเสื่อมเป็นปกติอยู่แล้ว แต่กว่าจะรู้ว่าต้องเอาเข้าศูนย์ไปก็จะมาสังเกตเห็นกันตอนแบตบวมจนดันตัวเครื่องออกมาแล้ว ดังนั้นถ้าเราสามารถเช็คและรู้ได้ก่อนว่าแบตในเครื่องเสื่อมแล้วหรือยังจะได้เตรียมตัวเตรียมเงินได้ถูก
ด้านวิธีเช็คสภาพแบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คจะแตกต่างกันไปตามระบบปฏิบัติการ อย่าง macOS ก็จะดูได้ง่ายเพียงไม่กี่คลิ๊กก็ตัดสินใจได้แล้วแต่ข้อมูลก็จะไม่ละเอียดเท่ากับฝั่ง Windows ซึ่งเก็บข้อมูลทุกซอกมุมว่าต่อชาร์จตั้งแต่เมื่อไหร่ นานกี่ชั่วโมงแล้วความจุสูงสุดลดลงเหลือเท่าไหร่แล้ว แลกกับการเปิดดูได้ยากกว่านิดหน่อยแต่ก็ไม่เกินความสามารถของผู้ใช้อย่างแน่นอน
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแบตโน๊ตบุ๊ค
- เราไม่จำเป็นต้องถอดปลั๊กโน๊ตบุ๊คทิ้งตอนแบตชาร์จเต็ม 100% อีกต่อไป เพราะตัวเครื่องจะตรวจจับแล้วตัดการชาร์จแล้วหันไปใช้พลังงานไฟฟ้าจากสายชาร์จโดยอัตโนมัติ
- การใช้งานมือถือหรือโน๊ตบุ๊คจนแบตหมดแล้วเครื่องดับจะทำให้แบตฯ เสื่อมเร็ว เพราะแบตฯ ในปัจจุบันเป็นแบบใหม่ที่เรียกว่าลิเธียมไอออน จะทำงานได้ดีและเสื่อมสภาพช้าหากเลี้ยงแบตฯ ไว้ช่วง 20~80%
- หากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพจนเก็บประจุได้ราว 80% หรือต่ำกว่านั้นก็แนะนำให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เลย

แบตโน๊ตบุ๊คของเราเสื่อมหรือยัง เช็คกันง่ายๆ ตามนี้ได้เลย!
- วิธีเช็คแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊ค Windows ง่ายๆ
- เช็คแบตฯ MacBook ทำง่ายไม่กี่ขั้นตอนก็รู้แล้ว!
- ใช้เว็บคำนวณเลยว่าแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเหลือกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว!
- Pure Battery Analytics แอปฯ ดูสภาพแบตได้ง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอน
วิธีเช็คแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊ค Windows ง่ายๆ


เริ่มต้นจากระบบปฏิบัติการยอดนิยมอย่าง Windows เริ่มต้นโดยเปิด Command Prompt ในโหมด Run as administrator สังเกตตรงบรรทัดพิมพ์คำสั่งจะขึ้น C:\Windows\System32> จากนั้นให้พิมพ์คำสั่งว่า
powercfg /batteryreport
ในบรรทัดถัดลงมา ระบบของ Command Prompt จะแจ้งว่า Battery life report saved to file path … บอกตำแหน่งเก็บไฟล์ battery report เอาไว้ โดยปกติระบบปฏิบัติการจะบันทึกเอาไว้ใน C:\Windows\System32\battery-report.html ซึ่งเปิดในเบราเซอร์ได้ทันที
ภายในโฟลเดอร์ System32 ทั้งหมดเป็นไฟล์สำคัญของระบบปฏิบัติการ Windows ดังนั้นเมื่อเปิดเข้าโฟลเดอร์นี้มาแล้วไม่ควรไปยุ่งหรือลบไฟล์ใดๆ ไม่อย่างนั้นระบบปฏิบัติการอาจเสียหายหรือไม่ทำงานได้ อย่างไรก็ตามวิธีตามหาไฟล์ battery-report ยังง่ายเพราะภายในโฟลเดอร์นี้ถูกเรียงตามตัวอักษร จึงไล่ดูตรงกลุ่มตัว “B” แล้วสามารถดับเบิ้ลคลิกเปิดดูได้ทันที


วิธีการอ่านและดูข้อมูลทั้งหมดในไฟล์ Battery report จะแยกหลายส่วน โดยแต่ละบรรทัดจะให้ข้อมูลผู้ใช้ดังนี้
- Computer name – ชื่อของโน๊ตบุ๊ค
- System Product Name – ชื่อผลิตภัณฑ์ว่าเป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นและแบรนด์ใด
- BIOS – เวอร์ชั่นของ BIOS พร้อมวันอัปเดตเวอร์ชั่นล่าสุด
- OS Build – เวอร์ชั่นของระบบปฏิบัติการ Windows ในโน๊ตบุ๊ค
- Platform role – รูปแบบของอุปกรณ์ สำหรับโน๊ตบุ๊คคือ Mobile
- Connected Standby – สถานะการเชื่อมต่อ โดยแจ้งผู้ใช้ว่าโน๊ตบุ๊คยังเชื่อมต่อเครือข่ายไร้สาย (Wi-Fi) แม้จะทำงานใน Sleep mode เพื่ออัปเดตเฟิร์มแวร์และระบบปฏิบัติการให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดเสมอ
- Report time – บอกวันกับเวลาตอนสั่งเครื่องทำ Battery report
หมวดหมู่ถัดมาอย่าง Installed batteries จะรายงานข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับแบตโน๊ตบุ๊คเชิงลึกว่าแบตเตอรี่เป็นอย่างไรบ้าง โดยแต่ละหัวข้อจะบอกข้อมูลดังนี้
- Name – รหัสของแบตเตอรี่ภายในเครื่อง สามารถใช้อ้างอิงเพื่อซื้อแบตเตอรี่ตรงรุ่นมาเปลี่ยนได้
- Manufacturer – ผู้ผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวมาติดตั้งในเครื่อง
- Serial Number – เลขระบุข้อมูลแบตเตอรี่ลูกนั้นๆ
- Chemistry – ประเภทของแบตเตอรี่ ในภาพตัวอย่างเป็น LION คือ ลิเธียมไอออน นอกจากนี้จะมีแบตเตอรี่แบบลิเธียมโพลีเมอร์อีกประเภทด้วย
- Design Capacity – ความจุสูงสุดตามสเปกจากโรงงานของผู้ผลิต
- Full Charge Capacity – ความจุแบตเตอรี่สูงสุดตามสภาพแบตเตอรี่ในปัจจุบัน
- Cycle Count – จำนวณครั้งการชาร์จแบตเตอรี่จาก 0~100% ระบบจะนับจากการใช้งานรวมกัน เช่น ถ้าใช้งานจนแบตเตอรี่เหลือเท่าไหร่ก็ตามแล้วชาร์จไฟกลับ เมื่อระบบนับได้ว่าแบตเตอรี่ถูกชาร์จไฟจนเต็ม 100% เมื่อไหร่จะนับ 1 Cycle ทันที
ส่วนถัดลงมาอย่าง Battery usage จะเป็นหัวข้อกราฟรวมถึงตารางข้อมูลโดยละเอียด ว่ารูปแบบการใช้งานของเราใช้งานแบบใด การต่อสายชาร์จระบบจะแจ้งในตารางช่อง State ว่า Connected standby ถ้าใช้แบตเตอรี่จะเป็นคำว่า Active พร้อมนับเวลาและขึ้นข้อมูลว่าใช้แบตเตอรี่ไปกี่เปอร์เซ็นต์และนับเป็นมิลลิวัตต์ชั่วโมง (mWh) ในหัวข้อ Energy Drained ด้วย
ถัดลงมาใน Usage history จะแสดงข้อมูลเป็น 3 หมวดใหญ่ คือ
- Period – เป็นวันเวลาตอนเปิดใช้งานโน๊ตบุ๊คโดยจะนับระยะเวลาเป็นหลักสัปดาห์แล้วรวมมาแสดงผล
- Battery Duration – ว่าตัวเครื่องใช้แหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่นานเท่าไหร่
- AC Duration – ระยะเวลาใช้งานโดยต่อสายชาร์จเอาไว้
ในภาพตัวอย่าง พออ่านข้อมูลแล้วจะทราบว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ใช้งานแบบต่อสายชาร์จแทบจะตลอดเวลาเพราะนั่งทำงานในออฟฟิศเป็นหลัก ออกไปใช้งานนอกสถานที่บ้างแต่ก็ไม่นานมาก


ส่วนท้ายของ Battery report จะมีรายงานน่าสนใจอยู่ คือ หัวข้อ Battery capacity history ไว้แสดงประวัติการชาร์จแบตโน๊ตบุ๊คโดยละเอียดว่าตั้งแต่ใช้งานมา แบตเตอรี่ตอนชาร์จเต็ม (Full Charge Capacity) เทียบกับความจุสูงสุด (Design Capacity) เทียบแล้วลดลงกี่ mWh ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง
หัวข้อสุดท้ายอย่าง Battery life estimates จะประมาณระยะเวลาการใช้งานด้วยแบตเตอรี่ว่าจะใช้งานได้ได้นานกี่ชั่วโมง แต่กรณีโน๊ตบุ๊คแบบต่อสายชาร์จใช้งานตลอดเวลาจะแสดงระยะเวลาการใช้งานทั่วไปแทน
เช็คแบตฯ MacBook ทำง่ายไม่กี่ขั้นตอนก็รู้แล้ว!

ด้านของ macOS ใน MacBook นั้นสามารถเช็ค Cycle การชาร์จและสภาพของแบตเตอรี่ได้ในตัวระบบปฏิบัติการโดยตรงแถมทำได้ง่ายอีกด้วย โดยมีขั้นตอนการเปิดเช็คดังนี้
- กด Apple menu (โลโก้ Apple มุมบนซ้าย) คลิกคำว่า System Information
- macOS จะเปิดหน้าต่าง System information ขึ้นมา เลื่อนมาเลือกหัวข้อ Power
- ในหน้าต่างฝั่งขวามือตรงบรรทัด Health Information จะแสดงข้อมูล 3 อย่าง คือ
- Cycle Count บอกจำนวนรอบการชาร์จว่าชาร์จจาก 0% มา 100% กี่ครั้งแล้ว แม้จะชาร์จตอนแบตเตอรี่ยังเหลืออยู่ตัวระบบก็จะนับทบขึ้นไปเรื่อยๆ จนครบ 100% แล้วเพิ่ม 1 Cycle
- Condition สภาพของแบตเตอรี่ หากขึ้นว่า Normal แสดงว่ายังใช้งานได้ปกติ
- Maximum Capacity แสดงความจุสูงสุดว่าแบตเตอรี่ในเครื่องชาร์จได้มากเท่าไหร่ หากขึ้น 100% แสดงว่าสภาพยังใช้งานได้ตามปกติ
เมื่อทราบจำนวน Cycle การชาร์จแล้ว MacBook ของเราต้องชาร์จไปกี่ Cycle ถึงควรเปลี่ยนเป็นลูกใหม่? วิธีการตัดสินง่ายมาก ถ้า MacBook เครื่องนั้นเป็นโมเดลผลิตหลังจาก Late 2008 เป็นต้นไป แบตเตอรี่จะรองรับการชาร์จสูงสุด 1,000 Cycle แล้ว ส่วนโมเดลก่อนหน้านั้นจะรองรับราว 300~500 Cycle เท่านั้น
หลังจากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพแล้วหรือถ้ายังไม่ถึงเวลาแล้วเกิดปัญหาขึ้นมาระหว่างใช้งาน ก็สามารถติดต่อศูนย์บริการโน๊ตบุ๊คแต่ละแบรนด์เพื่อเข้าไปรับบริการได้ แต่แนะนำว่าก่อนเข้าไปใช้บริการควรโทรติดต่อกับทางศูนย์บริการว่าเปิดให้บริการและมีอะไหล่พร้อมให้บริการหรือไม่ โดยดูเบอร์โทรศูนย์บริการเจ้าต่างๆ ได้ในบทความนี้
ใช้เว็บคำนวณเลยว่าแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเหลือกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว!

เนื่องจากหน้า Battery report ของโน๊ตบุ๊ค Windows จะไม่บอกว่าแบตเตอรี่ในเครื่องเสื่อมไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้วแต่ยังมีตัวเลข mWh ให้ประมาณได้ จึงขอแนะนำให้เอาตัวเลขจาก Design Capacity กับ Full Charge Capacity มาคำนวณต่อในเว็บไซต์ Percentage Calculator ต่อเพื่อเช็คว่าสภาพแบตเตอรี่ในปัจจุบันเป็นอย่างไร โดยใช้ตัวคำนวณอันล่างสุด เพื่อดูว่าตัวเลขดังกล่าวเพิ่มหรือลดไปกี่เปอร์เซ็นต์

วิธีการคือ เอาตัวเลข Design Capacity กรอกช่องฝั่งซ้ายและ Full Charge Capacity กรอกช่องฝั่งขวาแล้วกด Calculate จะได้ผลลัพธ์ว่าแบตเตอรี่เก็บไฟได้น้อยลงกี่เปอร์เซ็นต์ จากตัวอย่างในภาพจะเห็นว่าแบตเตอรี่จากความจุสูงสุด 52976 mWh ลดเหลือ 47509 mWh หรือลดลง 10% หมายความว่าสภาพแบตโน๊ตบุ๊คตอนนี้เก็บไฟไว้ใช้งานได้ 90% เท่านั้น
นับจากวันเริ่มใช้งานโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ครั้งแรกในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2023 จนถึงเวลาปัจจุบัน วันที่ 25 เมษายน 2025 เป็นเวลาราว 1 ปี 5 เดือน (17 เดือน) สรุปโดยคร่าวได้ว่าแบตเตอรี่เสื่อมราว 10% ต่อปี ก็ยังสามารถใช้งานได้อีกราว 1~2 ปี ค่อยนำเครื่องไปเปลี่ยนแบตเตอรี่กับศูนย์บริการก็ได้
Pure Battery Analytics แอปฯ ดูสภาพแบตได้ง่ายๆ ไม่กี่ขั้นตอน



นอกจากวิธีเช็คผ่าน Command Prompt ด้วยคำสั่ง powercfg /batteryreport ข้างต้น ก็มีวิธีตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่แบบง่ายๆ โดยใช้โปรแกรม Pure Battery Analytics มาใช้แทนก็ได้ แถมยังมีฟังก์ชั่นวิเคราะห์และรายงานสภาพแบตเตอรี่ให้อ่านเข้าใจได้ง่าย ในหน้าแรกก็แสดงข้อมูลว่าปริมาณความจุจากโรงงาน (Design Capacity) มีตั้งต้นมาเท่าไหร่และปัจจุบันชาร์จจนเต็ม (Full Charge Capacity) ทำได้กี่ mWh เมื่อกดในหน้า Analytics แล้วเลื่อนลงมาเล็กน้อยก็สามารถดูได้ว่าแบตเตอรี่ในเครื่องเสื่อมไปกี่เปอร์เซ็นต์
ในหน้า System ตัวโปรแกรมจะรวมรายละเอียดตัวเครื่องทั้งหมดมาแสดงให้ผู้ใช้ดูข้อมูลได้ละเอียดจนถึง Unique Machine ID ทีเดียว ในส่วนนี้ข้อมูลค่อนข้างสำคัญจึงไม่แนะนำให้แชร์ข้อมูลดังกล่าวกับใครนัก ด้าน Settings จะรวมการตั้งค่าจิปาถะรวมถึงส่วนเสริม (Add-on) ไว้แสดงปริมาณแบตเตอรี่คงเหลือแบบสมาร์ทโฟนได้ด้วย นับว่าค่อนข้างครบเครื่อง ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด Pure Battery Analytics จาก Microsoft Store ได้ที่นี่

แบตโน๊ตบุ๊คเองก็มีความสำคัญไม่แพ้กับ SSD, RAM อย่างแน่นอน เพราะเป็นแหล่งพลังงานเวลาเปิดเครื่องใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะตอนไม่มีปลั๊กให้ต่อใช้งาน แต่ปัจจัยที่จะทำให้โน๊ตบุ๊คเครื่องนั้นใช้งานได้นานนั้นขึ้นอยู่กับสองปัจจัยหลัก คือ ความจุของแบตเตอรี่จะต้องเยอะในระดับหนึ่ง ซึ่งบรรดาโน๊ตบุ๊คบางเบาและกลุ่มราคาประหยัดมักมีความจุราว 50~65Whr ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตจะเลือกมาติดตั้งให้ ขึ้นมาเป็นกลุ่มพรีเมี่ยมก็จะมีความจุเพิ่มขึ้นเป็น 75~80Whr และแบตโน๊ตบุ๊คเกมมิ่งก็จะมีความจุ 80Whr ขึ้นไปจน 99.9Whr ทีเดียว
ปัจจัยที่ทำให้แบตโน๊ตบุ๊คมีความจุมากน้อยไม่เท่ากันอีกอย่าง คือ ซีพียูในเครื่องนั้นๆ หากเป็นชิปเซ็ตทั่วไปเน้นประหยัดพลังงานอย่าง Intel U-Series, V-Series หรือ AMD Ryzen U-Series, HS-Series ก็จะบริหารการใช้งานไฟจากแบตเตอรี่ได้ดี เน้นระยะเวลาใช้งานยาวนานเป็นหลัก กลับกันหากเป็น Intel H-Series, HX-Series กับ AMD Ryzen HX-Series ก็จะเป็นซีพียูในโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงหรือเกมมิ่ง จะไม่เน้นการประหยัดพลังงานแต่เน้นหนักทางประสิทธิภาพว่ามันจะต้องทำงานได้ดีรันโปรแกรมกินทรัพยากรหนักได้รวดเร็ว
นั่นหมายความว่าหากนำแบตเตอรี่ความจุ 80Whr ไปใช้กับซีพียูกลุ่มประหยัดพลังงาน อาจจะใช้มันทำงานได้นานหลัก 10 ชั่วโมงขึ้นไปได้สบาย แต่ถ้าเป็นซีพียูประสิทธิภาพสูงอาจอยู่ได้ราว 5~6 ชั่วโมง ก็ใช้งานไม่ได้แล้ว ยังไม่นับกรณีเรื่องพาเนลหน้าจอ, การสูญเสียกำลังไฟจากอุณหภูมิภายในเครื่อง, การใช้งานแล้วเสื่อมตามสภาพการใช้งาน, อัตราการกินไฟของ SSD และ RAM ฯลฯ ดังนั้นจะบอกว่าโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ใช้งานได้นานหรือไม่นานก็มีปัจจัยเข้ามาร่วมหลายอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม การถนอมใช้งานแบตโน๊ตบุ๊คให้อายุยืนนอกจากการชาร์จไฟเลี้ยงแบตเอาไว้ให้อยู่ในช่วง 20~80% แล้ว ก็ไม่ควรเล่นจนเครื่องดับเพราะพฤติกรรมเช่นนี้จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็วกว่าการต่อสายชาร์จเอาไว้ตลอดเวลาเสียอีก แทนที่จะใช้งานได้สัก 3 ปีค่อยนำไปเปลี่ยนกับศูนย์บริการ ก็อาจสั้นลงเหลือ 1 ปีครึ่ง หรือเร็วกว่านั้น
Photo Credits : Apple, Mika Baumeister via Unsplash
FAQ
1. แบตโน๊ตบุ๊คเปลี่ยนเองยากหรือเปล่า?
ตอบ เปลี่ยนได้ง่าย เพียงถอดขั้วแบตเตอรี่และขันน็อตออกแล้วเปลี่ยนเอาแบตก้อนใหม่ใส่ก็พร้อมใช้งานแล้ว แต่ความยากอยู่ตรงการหาแบตเตอรี่ตรงรุ่นหรือใกล้เคียงมาเปลี่ยน
2. แบตเตอรี่ของโน๊ตบุ๊คและสมาร์ทโฟนควรเปลี่ยนเมื่อเสื่อมสภาพไปกี่เปอร์เซ็นต์ดี?
ตอบ ปกติแนะนำให้เปลี่ยนเมื่อเสื่อมสภาพจนเก็บไฟเอาไว้ในแบตได้ราว 80% หรือต่ำกว่านั้น
3. วิธีการนับ Cycle การชาร์จแบตโน๊ตบุ๊คทำอย่างไร?
ตอบ การนับ 1 Cycle จะนับเมื่อชาร์จไฟจาก 0% ไปจนเต็ม 100% ไม่ว่าจะใช้จนแบตหมดเครื่องดับแล้วชาร์จกลับมา 100% ก็นับ หรือแบ่งชาร์จเป็น 10+20+30+40% ก็จะนับ 1 Cycle เหมือนกัน เพราะตัวระบบปฏิบัติการมีฟังก์ชั่นการนับชาร์จอยู่ในตัวแล้ว
4. เราจำเป็นต้องถอดสายชาร์จเมื่อแบตเต็ม 100% หรือไม่?
ตอบ ไม่จำเป็นแล้ว เพราะแบตเตอรี่ในปัจจุบันเปลี่ยนจากแบบนิกเกิลแคดเมียม (Ni-Cd) ที่ต้องทำตามขั้นตอนดังกล่าวเป็นลิเธียมไอออน (Li-ion) หรือลิเธียมโพลีเมอร์ (Li-Polymer) แถมตัวชิปเซ็ตซีพียูยังฝังระบบตรวจจับการชาร์จมาให้ เวลาแบตเต็มก็จะตัดไปดึงไฟจากอะแดปเตอร์โดยตรงแทน
5. แนะนำวิธีการใช้งานแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าให้หน่อย?
ตอบ กรณีดีสุดและป้องกันแบตเตอรี่เสื่อม คือใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าแบบมีแบตเตอรี่ในตัวอย่างโน๊ตบุ๊คหรือสมาร์ทโฟนโดยเลี้ยงแบตเตอรี่เอาไว้ในช่วง 20~80% จะดีสุด หากชาร์จมากเกินกว่านั้นไปจนถึง 100% ก็ได้เช่นกัน แต่แบตจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเสื่อมสภาพได้แต่ช้ากว่าการใช้จนเครื่องดับแบตเตอรี่เหลือ 0% แน่นอน
6. ทำไมเวลาเล่นเกมด้วยแบตเตอรี่โน๊ตบุ๊คแล้วเล่นไม่ลื่น?
ตอบ เพราะชิปเซ็ตตัดไปใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่และตัวเครื่องตัดเข้าโหมดประหยัดพลังงานเลือกใช้การ์ดจอในซีพียูแทนทำให้เฟรมเรทลดลง แนะนำว่าถ้าเล่นเกมควรต่อสายชาร์จเอาไว้เสมอ
7. จำเป็นต้องใช้งานจนแบตเตอรี่เหลือไฟน้อยหรือเครื่องดับเพื่อไล่ประจุเก่าไหม?
ตอบ ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ไม่มีการแยกประจุไฟเก่าหรือใหม่แต่นับเรื่องมีปริมาณไฟคงเหลือในแบตเท่าไหร่ ดังนั้นความเชื่อเรื่องต้องใช้งานจนแบตหมดไล่ประจุเก่าไม่เป็นความจริงและไม่ส่งผลต่อระยะเวลากับความเสื่อมของแบตเตอรี่แน่นอน
บทความที่เกี่ยวข้อง
