
แฟลชไดร์ฟ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ USB Flash Drive เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่เปลี่ยนวิธีที่มนุษย์เก็บและเคลื่อนย้ายข้อมูลไปตลอดกาล เดิมทีโลกของการจัดเก็บข้อมูลพกพายังต้องพึ่งพาแผ่นฟล็อปปี้ขนาด 1.44MB, ซีดีที่เขียนได้ครั้งเดียว หรือฮาร์ดดิสก์พกพาหนักๆ ที่ต้องเสียบปลั๊กแยก แต่เมื่อเทคโนโลยีหน่วยความจำแฟลช (Flash Memory) และการเชื่อมต่อ USB (Universal Serial Bus) พัฒนาถึงจุดที่เหมาะสม อุปกรณ์เล็กๆ ที่เสียบแล้วใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งไดรเวอร์ก็ถือกำเนิดขึ้น
สิ่งที่ทำให้แฟลชไดร์ฟได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวก แต่เป็นความ “เสถียร, ทน, และคุ้มค่า” โดยสามารถบันทึกข้อมูลซ้ำๆ ได้หลายหมื่นครั้ง พกพาได้ง่าย และใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์ได้แทบทุกรุ่นที่มีพอร์ต USB
จุดเริ่มต้นของแฟลชไดร์ฟ
ก่อนที่แฟลชไดร์ฟ จะถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นยุค 2000s เทคโนโลยีพื้นฐานเบื้องหลังมันได้ผ่านกระบวนการพัฒนา และสะสมความพร้อมมาหลายทศวรรษ โดยประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญที่ต้อง “เจอกันในเวลาที่ใช่” ได้แก่ หน่วยความจำแฟลช และพอร์ต USB:
หน่วยความจำแฟลช (Flash Memory)
แนวคิดของหน่วยความจำที่สามารถ เขียนและลบซ้ำได้ โดยไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว ถูกคิดค้นขึ้นโดย ดร. ฟูจิโอะ มาสุโอกะ (Fujio Masuoka) แห่ง Toshiba ในปี 1984 โดยเขาใช้คำว่า “แฟลช” เพื่อสื่อถึงความรวดเร็วในการลบข้อมูล ซึ่งเกิดขึ้น “ในพริบตาเหมือนแฟลชกล้องถ่ายรูป”
หน่วยความจำแฟลชมี 2 ประเภทหลักคือ:
- NOR Flash: อ่านข้อมูลเร็ว มีโครงสร้างที่เข้าถึงข้อมูลแบบ Random Access คล้าย RAM แต่ต้นทุนสูงกว่า
- NAND Flash: เขียน/ลบเร็วกว่า ราคาถูกกว่า และเก็บข้อมูลได้หนาแน่นกว่า เหมาะกับการเก็บไฟล์จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง
ในยุคแรก NOR ถูกใช้ใน BIOS และอุปกรณ์ฝังตัว ส่วน NAND กลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับสื่อเก็บข้อมูลแบบพกพา เช่นการ์ด SD, SSD และแน่นอน… แฟลชไดร์ฟ

เครดิตภาพ: Nrbelex | wikipedia
พอร์ต USB (Universal Serial Bus)
ในยุค 1990s คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มีพอร์ตเชื่อมต่อหลากหลายแบบ เช่น PS/2, Serial, Parallel ซึ่งไม่เพียงยุ่งยาก ยังต้องติดตั้งไดรเวอร์แยก และไม่รองรับการเชื่อมต่อขณะเปิดเครื่อง
Ajay Bhatt วิศวกรจาก Intel คือหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการพัฒนา USB มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบใหม่ที่มีเป้าหมายคือ “ใช้ง่าย สะดวก และมาตรฐานเดียวจบ” USB เวอร์ชันแรกเปิดตัวในปี 1996 และเริ่มแพร่หลายจริงในช่วงปี 1998–1999 เมื่อผู้ผลิตอย่าง Compaq, IBM, Microsoft, Intel, NEC และ Northern Telecom ร่วมกันผลักดันมาตรฐานนี้
USB มีคุณสมบัติที่เหมาะกับการใช้งานแฟลชไดร์ฟเป็นอย่างยิ่ง เช่น:
- สามารถเชื่อมต่อได้หลายครั้งโดยไม่สึกหรอ
- เสียบแล้วใช้งานได้ทันที (Plug and Play)
- รับส่งข้อมูลรวดเร็วพอสำหรับไฟล์ทั่วไป
- ไม่ต้องใช้พลังงานเสริม (Bus-powered)

การบรรจบกันของสองเทคโนโลยีนี้
เมื่อนำ NAND Flash มารวมกับ USB และเสริมด้วย controller chip ที่ทำหน้าที่จัดการการอ่าน/เขียนข้อมูล แนวคิดของ “USB Flash Drive” ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย หากไม่มีความก้าวหน้าในด้าน:
- ขนาดชิปที่เล็กลง (ตามกฎของมัวร์)
- ต้นทุนการผลิต NAND ที่ลดลงต่อปี
- ความแพร่หลายของ USB พอร์ตในคอมพิวเตอร์เกือบทุกรุ่น
กล่าวคือ แฟลชไดร์ฟไม่ใช่นวัตกรรมที่เกิดจากไอเดียใหม่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “การประกอบร่างของเทคโนโลยีที่ถึงเวลาเหมาะสม” ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในประวัติศาสตร์เทคโนโลยี
แล้วใครคือผู้คิดค้นแฟลชไดร์ฟจริงๆ?
นี่เป็นหนึ่งในคำถามที่ก่อให้เกิดข้อถกเถียงและข้อพิพาททางสิทธิบัตรมากที่สุดในโลกไอทียุค 2000 เพราะมีหลายบริษัทจากหลายประเทศที่อ้างสิทธิ์ว่าเป็นผู้คิดค้นแฟลชไดร์ฟ “รายแรกของโลก” ได้แก่:
M-Systems (อิสราเอล) และ IBM (สหรัฐฯ)
บริษัท M-Systems ก่อตั้งโดย Dov Moran ในอิสราเอล โดยเขาและทีมงาน (Amir Ban และ Oron Ogdan) เป็นผู้คิดค้นแนวคิด “DiskOnKey” ซึ่งเป็น USB Flash Drive แบบเสียบใช้งานทันที พร้อมชิปควบคุมและหน่วยความจำภายใน พวกเขายื่นขอสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกาในเดือนเมษายน 1999
ปลายปี 2000 M-Systems ร่วมมือกับ IBM ทำตลาด DiskOnKey รุ่นแรก (ความจุ 8MB) ภายใต้แบรนด์ IBM Portable USB Flash Drive ซึ่งวางจำหน่ายในอเมริกาเหนือเป็นที่แรก และได้รับเสียงตอบรับดีจากภาคธุรกิจ
ข้อได้เปรียบของทีมนี้คือ มีสิทธิบัตรชัดเจน, มีชิปคอนโทรลเลอร์ที่ออกแบบเอง, และมีพันธมิตรอย่าง IBM ที่ทำให้สินค้าถูกยอมรับในระดับองค์กร

เครดิตภาพ: israel21c
Trek 2000 International (สิงคโปร์)
ในเวลาไล่เลี่ยกัน บริษัท Trek 2000 International จากสิงคโปร์ นำโดย CEO Henn Tan เปิดตัว “ThumbDrive” ครั้งแรกที่งาน CeBIT ประเทศเยอรมนี เดือนมีนาคม 2000 และได้กระแสตอบรับดีเกินคาด จนขายได้กว่า 100,000 ชิ้นในไม่กี่เดือนหลังเปิดตัว
Trek 2000 ไม่ได้มีสิทธิบัตรในระดับสากลแบบ M-Systems แต่ถือว่าเป็น “บริษัทแรกที่วางจำหน่ายเชิงพาณิชย์” ได้อย่างจริงจัง และสร้างตลาดแฟลชไดร์ฟในฝั่งเอเชียได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีหลายแบรนด์ เช่น TEAC, Toshiba, และ Verbatim ซื้อสิทธิ์การผลิตจาก Trek ไปใช้ในชื่อของตนเอง

เครดิตภาพ: trek2000
Phison Electronics (ไต้หวัน) และ Pua Khein-Seng (มาเลเซีย)
Pua Khein-Seng วิศวกรชาวมาเลเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัท Phison Electronics ที่ไต้หวัน ในปี 2000 เขาอ้างว่า Phison ได้พัฒนา USB Controller Chip ที่สำคัญที่สุดชิ้นแรกของโลกที่สามารถควบคุมการทำงานของหน่วยความจำแฟลชผ่าน USB ได้อย่างสมบูรณ์
แม้ Phison ไม่ได้เป็นผู้ผลิตแฟลชไดร์ฟรุ่นแรก แต่บทบาทในฐานะ “ผู้สร้างสมองของแฟลชไดร์ฟ” (controller chip) ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง และเป็นสาเหตุที่แฟลชไดร์ฟยุคหลังแทบทุกรุ่นใช้ชิปจาก Phison เป็นพื้นฐาน
Netac Technology (จีน)
บริษัท Netac จากจีนเป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่อ้างว่าตนเป็นผู้คิดค้นแฟลชไดร์ฟรายแรก โดยยื่นจดสิทธิบัตรในประเทศจีนไว้ตั้งแต่ก่อนปี 2000 และได้รับสิทธิบัตรในสหรัฐฯ ช่วงปี 2004 บริษัทเคยฟ้องร้องบริษัทอื่นหลายรายเรื่องการละเมิดสิทธิบัตร โดยเฉพาะในตลาดจีน
อย่างไรก็ตาม หลักฐานด้านเทคนิคและวันเปิดตัวจริงยังทำให้ Netac ไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างเท่าผู้เล่นรายอื่น
สรุป: USB Flash Drive ไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่จาก “การรวมพลังทางเทคโนโลยีระดับโลก”
แม้จะมีหลายบริษัทจากหลายประเทศที่ต่างก็อ้างว่าเป็น “ผู้คิดค้นแฟลชไดร์ฟคนแรกของโลก” ไม่ว่าจะเป็น M-Systems จากอิสราเอล, Trek 2000 จากสิงคโปร์, Phison จากไต้หวัน, หรือ Netac จากจีน แต่หากพิจารณาจากแง่มุมทางวิศวกรรมและบริบทของยุคนั้น จะพบว่า “ไม่มีบริษัทใดบริษัทหนึ่งที่สามารถสร้างนวัตกรรมนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว”
เหตุผลก็คือ USB Flash Drive เป็นผลลัพธ์ของการบรรจบกันของเทคโนโลยีหลายแขนงที่พัฒนามาพร้อมกันจากคนละทิศทาง ได้แก่:
- Flash Memory – คิดค้นโดย Dr. Fujio Masuoka ที่ Toshiba (ญี่ปุ่น) ในปี 1984 โดยเฉพาะ NAND Flash ซึ่งมีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลได้ในความจุสูงและราคาถูกลงอย่างต่อเนื่อง
- พอร์ต USB – พัฒนาโดย Intel (สหรัฐฯ) ร่วมกับบริษัทไอทีรายใหญ่ในปี 1996–1998 ซึ่งเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างแฟลชเมมโมรี่กับคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร้รอยต่อ (plug-and-play)
- USB Controller Chip – วิศวกรมาเลเซียชื่อ Pua Khein-Seng หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Phison Electronics (ไต้หวัน) ได้ออกแบบชิปควบคุมที่ช่วยให้ NAND Flash สามารถทำงานร่วมกับ USB ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงเรียกได้ว่าเขาเป็นผู้สร้าง “สมอง” ของแฟลชไดร์ฟ
- การจดสิทธิบัตรและกลยุทธ์เชิงพาณิชย์ – M-Systems ยื่นจดสิทธิบัตร DiskOnKey ในสหรัฐฯ Trek 2000 เปิดตัว ThumbDrive สู่สายตาชาวโลกเป็นรายแรกในงาน CeBIT ปี 2000 ส่วน Netac ก็จดสิทธิบัตรล่วงหน้าในจีนและสหรัฐฯ พร้อมดำเนินคดีละเมิดสิทธิบัตรในเวลาต่อมา
- ตลาดพร้อมใช้งาน – คอมพิวเตอร์ยุคนั้นเริ่มมีพอร์ต USB เป็นมาตรฐาน และผู้ใช้งานเริ่มต้องการวิธีพกพาข้อมูลที่สะดวกกว่าดิสก์เกตต์หรือซีดี จึงทำให้แฟลชไดร์ฟได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว
- ความร่วมมือข้ามชาติ – แฟลชไดร์ฟเครื่องหนึ่งในยุคแรกอาจมีหน่วยความจำจากญี่ปุ่น, ชิปจากไต้หวัน, ถูกประกอบในจีน, ทำการตลาดโดยบริษัทจากสิงคโปร์ และขายในอเมริกาโดยแบรนด์ใหญ่อย่าง IBM หรือ TEAC
ดังนั้น…
การถือกำเนิดของ USB Flash Drive จึงไม่ใช่ผลงานของ “อัจฉริยะคนเดียวในโรงรถ” แบบภาพจำของ Silicon Valley แต่เป็นผลงานของ เครือข่ายนวัตกรรมระดับโลก ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก โดยไม่ได้นัดหมายกันล่วงหน้า
ทุกคนมีส่วนเล็ก ๆ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งที่เราใช้กันจนกลายเป็น “ของธรรมดา” ในชีวิตประจำวัน และเป็นตัวอย่างที่ดีของนวัตกรรมแบบ “สะสมร่วม” (cumulative innovation) ที่ไม่ได้มีเจ้าของเพียงคนเดียว
วิวัฒนาการของแฟลชไดร์ฟ: ความจุและความเร็ว
จากความจุแค่ 8MB ในยุคแรก แฟลชไดร์ฟในปัจจุบันสามารถเก็บข้อมูลได้ระดับเทราไบต์ และความเร็วก็เพิ่มขึ้นตามมาตรฐาน USB ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง:
| ยุคของ USB | ปีเปิดตัว | ความเร็วสูงสุด |
|---|---|---|
| USB 1.1 | 1998 | 12 Mbps |
| USB 2.0 | 2000 | 480 Mbps |
| USB 3.0 | 2008 | 5 Gbps |
| USB 3.1 Gen 2 | 2013 | 10 Gbps |
| USB 3.2 Gen 2×2 | 2017 | 20 Gbps |
| USB4 | 2019 | 40 Gbps |
ด้านความจุ จาก 8MB ในยุคแรก มาวันนี้มีแฟลชไดร์ฟความจุ 2–4TB จำหน่ายในเชิงพาณิชย์แล้ว
การใช้งานและดีไซน์ที่หลากหลาย
แฟลชไดร์ฟถูกนำไปใช้ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการพกพาข้อมูล, การติดตั้งระบบปฏิบัติการ, การเข้ารหัสข้อมูล, ทำเป็น bootable disk, ไปจนถึงใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องโอนถ่ายข้อมูลจากเครื่องจักรแบบ offline
ดีไซน์ของแฟลชไดร์ฟก็หลากหลายขึ้น มีทั้งแบบหัวเดียว, หัวคู่ (USB-A + USB-C), มี Wi-Fi ในตัว, แบบป้องกันน้ำ/กันกระแทก และแบบเข้ารหัสในตัวระดับฮาร์ดแวร์
ยังจำเป็นอยู่ไหมในโลกของ Cloud และ SSD?
แม้วันนี้เราจะมี Cloud Storage, External SSD หรือแม้แต่ Wi-Fi Direct สำหรับแชร์ไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ แต่แฟลชไดร์ฟยังคงเป็น “เครื่องมือที่ง่ายที่สุด, ไวที่สุด และไม่ต้องพึ่งอินเทอร์เน็ต” สำหรับการโอนถ่ายข้อมูลอย่างเร่งด่วน
อนาคตของแฟลชไดร์ฟ
เทคโนโลยีใหม่อย่าง USB4, Thunderbolt 5 และการเข้ารหัสระดับฮาร์ดแวร์จะช่วยให้แฟลชไดร์ฟกลายเป็นอุปกรณ์ที่เร็ว ปลอดภัย และฉลาดขึ้น มีความเป็นไปได้ที่เราจะเห็นแฟลชไดร์ฟแบบ AI ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ที่สามารถจัดระเบียบไฟล์, แยกข้อมูลสำคัญ, หรือแม้กระทั่งตรวจไวรัสเบื้องต้นในตัวเองได้
แหล่งอ้างอิง





