Connect with us

Hi, what are you looking for?

CONTENT

วิธีจัดการแรมของ macOS และวิธีดูว่าใช้อยู่เท่าไหร่ แรม Mac ที่มี พอใช้หรือเปล่า

ข้อถกเถียงที่เป็นกระแสใหญ่สำหรับแพลตฟอร์มแมคในช่วงที่ผ่านมา ก็คือการที่ VP  ด้านการตลาดของ Apple ออกมาบอกว่าแรม 8GB ของเครื่องแมคนั้นเพียงพอ และมีประสิทธิภาพในระดับที่เท่า ๆ  กับเครื่องแรม 16GB ของระบบอื่น ทั้งที่ในสถานการณ์จริง แม้กับผู้ใช้งานแมคเองจำนวนมากยังยอมรับเลยว่าแรม 8GB มันเพียงพอก็จริง แต่เป็นความพอดีแบบแทบจะถึงขั้นเกือบไม่พอแล้ว เว้นว่าจะนำมาใช้ทำงานพื้นฐาน เล่นเน็ตเบา ๆ ในบทความนี้เราคงไม่ได้ทดสอบกันจริงจังนะครับว่าแรม Mac ที่ให้มา 8GB จะพอจริงมั้ย แต่เราจะมาดูวิธีการจัดการแรมของ macOS เท่าที่มีการเปิดเผยออกมา และวิธีดูว่าตอนนี้เครื่องเราใช้แรมอยู่จริง ๆ  เท่าไหร่ และที่มีนี้พอใช้จริงหรือเปล่า

แรม Mac

Advertisement

วิธีจัดการแรมของ macOS

หากพูดในเชิงของหลักการ ตัวระบบ macOS จะพยายามนำแรมที่มีอยู่ในเครื่องมาใช้ให้เต็มที่แบบที่สุด เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดี ประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหล และมีการจัดสรรให้เหมาะสมกับปริมาณแรมที่มีอยู่ อย่างถ้ามีอยู่ 8GB มันก็จะพยายามกันส่วนที่ระบบจำเป็นต้องใช้งานไว้ส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็พยายามจัดให้แต่ละแอปแบบเพียงพอสำหรับการทำงาน ณ​ ขณะนั้น แต่ถ้ามีแรมซัก 64GB ตัว macOS ก็จะกันส่วนที่ให้ระบบได้มากขึ้น และยังเหลือแบ่งไปให้แต่ละแอปได้มากขึ้นด้วย เพื่อให้แอปสามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ รีดประสิทธิภาพได้สูงสุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้น ถ้าเราเช็คแรม Mac แล้วพบว่าเครื่องใช้ไปเกือบหมดจนแทบไม่เหลือแรมว่างเลย อันนี้ถือว่าปกติครับ เพราะคติคือ จะปล่อยให้เหลือว่างทำไม เอาไปทำประโยชน์ซะสิ

ลำดับต่อมา ถ้าระบบมองว่าจำเป็นต้องใช้แรมจำนวนมากจริง ๆ  ในการทำงานของบางแอปที่กำลัง active อยู่ในตอนนั้น และจำเป็นต้องจัดสรรแรมเพิ่มให้ทันที บวกกับแรมว่างในเครื่องเหลือน้อยด้วย ระบบก็จะไปไล่ดูว่ามีแอปใดบ้างที่ไม่ได้ถูกเรียกใช้งานอยู่ เช่น เป็นแอปที่ถูกย่อหน้าต่างลงไป หรือเป็นแอปที่หน้าต่างถูกซ้อนไว้อยู่ด้านหลัง และไม่ได้มีการทำงานอะไรอยู่ ตัวของ macOS ก็จะทำการ ‘บีบอัด’ ข้อมูลของแอปนั้นที่เก็บอยู่ในแรม (compress) เพื่อให้กินพื้นที่ในแรมน้อยลง แล้วนำแรมว่างที่ได้กลับคืนมาไปให้กับแอปที่จำเป็นต้องใช้แทน ส่วนถ้าผู้ใช้งานต้องกลับมาใช้แอปที่ถูกบีบไป ระบบก็จะคลายการบีบอัด (decompress) กลับคืนมาให้ทันที ซึ่งกระบวนการนี้ระบบจะจัดการให้เบื้องหลังด้วยความเร็วสูง จนผู้ใช้แทบจะไม่รู้สึกเลย

MR3C3

ทีนี้ถ้าบีบอัดไปแล้วก็ยังแรมไม่พออีก ระบบจะใช้ไม้ตายสุดท้ายคือการนำข้อมูลในแรมที่ยังไม่ได้ใช้งาน เช่นแอปที่เปิดขึ้นมา แต่ถูกย่อลงไปนาน ๆ เข้าไปเก็บไว้ใน SSD ส่วนที่กันพื้นที่ว่างไว้ วิธีนี้จะเรียกว่าเป็นการ Swap ซึ่งเป็นวิธีการพื้นฐานของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์มาอย่างยาวนานครับ ถ้าในอดีตอาจจะเป็นวิธีที่หลายท่านหลีกเลี่ยง เนื่องจากสตอเรจสมัยก่อนจะเป็นฮาร์ดดิสก์จานหมุนที่ค่อนข้างช้าหน่อย แต่ในปัจจุบันเป็น SSD ที่ความเร็วสูงมากแล้ว ทำให้พอจะปล่อยให้ OS ใช้วิธีนี้ได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ก็ยังมีข้อเสียอยู่คือ SSD มันมีปัจจัยเรื่องอายุการอ่านเขียนของชิปเข้ามาด้วย ทำให้การอ่านและเขียนไฟล์บ่อย ๆ  โดยไม่จำเป็นอาจจะไม่ใช่เรื่องดีนัก และอีกเรื่องก็คือความเร็ว เพราะถึงแม้ SSD ในปัจจุบันจะมีความเร็วสูงแล้วก็ตาม แต่ก็ยังช้ากว่าแรมอยู่ดี จึงทำให้การ Swap จะเป็นวิธีสุดท้ายที่ OS จะเลือกใช้ช่วยในการบริหารจัดการแรมในเครื่อง

Apple WWDC23 macOS Sonoma hero 230605 big.jpg.large

ถ้าให้สรุปวิธีจัดการแรมของ macOS ก็จะเป็นดังนี้ครับ

  • กันแรมให้ระบบ และจัดแรมให้เต็มที่สำหรับแต่ละแอป
  • ถ้าแรมว่างเยอะ ก็จัดแรมให้ระบบและแอปเพิ่มไปอีก เพื่อให้ทำงานได้ลื่น ๆ
  • ถ้าแรมเริ่มไม่พอ ก็บีบอัดข้อมูลในแรมที่ไม่ค่อยได้ใช้
  • ถ้ายังไม่พออีก ถึงจะคัดเอาข้อมูลที่ยังไม่ได้ใช้ ออกไปเก็บไว้ใน SSD

ดังนั้น ถ้าเราเปิดเครื่องมา แล้วพบว่าแรม Mac เครื่องนี้มันแทบไม่เหลือว่างเลย ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ แต่เราควรพิจารณาปัจจัยอื่นมากกว่า เพื่อดูว่าแรมที่มีอยู่มันเพียงพอสำหรับการใช้งานหรือเปล่า และในบางกรณี แรม 8GB ของเครื่องแมค มันอาจจะเพียงพอและให้ประสิทธิภาพโดยรวมที่ไม่แตกต่างกับเครื่องของแพลตฟอร์มอื่นที่มีแรม 16GB อย่างมีนัยสำคัญก็ได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งาน และแอปพลิเคชันที่เปิดขึ้นมา อันนี้ที่ VP ด้านการตลาดของ Apple พูดมาก็ถือว่าถูกในส่วนหนึ่ง แค่ไม่สามารถใช้อ้างอิงได้ในทุกกรณี

Vivaldi Browser multi tab stack feature image

แต่ก็อย่างที่หลายท่านทราบกันครับ ทุกวันนี้เราเปิดคอมมาก็มักจะเปิดหลายแอปพร้อมกันอยู่แล้ว อย่างน้อยก็ต้องมีเว็บเบราเซอร์ละ ที่ในแอปก็อาจมีเปิดหลายแท็บพร้อมกัน เปิด YouTube เปิดเว็บต่าง ๆ แอปอื่นที่มักเปิดขึ้นมาด้วยก็เช่นแอปแชท แอปสำหรับทำงาน ยังไม่รวมถึงเซอร์วิสเบื้องหลังของต่าง ๆ  ที่เรียกตัวเองขึ้นมาทำงาน แม้เราจะไม่ได้เปิดแอปนั้นขึ้นมาก็ตามอีก จึงไม่แปลกที่หลายท่านจะกังวลว่าแรม 8GB ในปี 2024 มันจะยังพออยู่จริงหรือเปล่า โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ใช้แมค ที่วางแผนจะซื้อแมคเครื่องใหม่เร็ว ๆ  นี้ แต่งบอาจจะจำกัดนิดนึง เพราะรุ่นเริ่มต้นของแต่ละซีรีส์ก็มักจะให้แรมมาแค่ 8GB ถ้าจะเพิ่มแรมก็ต้องบวกเงินอีกหลายพัน แถมต้องตัดสินใจตั้งแต่แรกด้วย เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นแรมแบบบัดกรีติดกับบอร์ด จะมาเพิ่มทีหลังก็ลำบากมาก

เราจะมาดูกันครับ ว่าวิธีในการพิจารณาว่าแรม Mac เครื่องปัจจุบันที่ใช้อยู่ มันพอหรือเปล่า เพื่อจะได้เป็นปัจจัยเสริมในการเลือกซื้อเครื่องใหม่ในอนาคตได้ด้วย

 

วิธีดูการใช้แรม Mac ด้วย Activity Monitor

Screenshot 2023 12 22 at 11.51.20 AM

ใน macOS จะมีแอปที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดูการทำงานของ CPU แรม ทั้งยังมีการแสดงค่าของแต่ละ process เหมือนกับ Task Manager ของฝั่ง Windows ด้วย นั่นคือแอปที่มีชื่อว่า Activity Monitor สามารถเรียกขึ้นมาใช้ได้ทั้งจากการค้นหาผ่าน Spotlight หรือจะหาในโฟลเดอร์ Applications > Utilities ก็ได้

เมื่อเปิดขึ้นมาก็จะพบกับหน้าต่างในแบบภาพข้างบนครับ ในบทความนี้เราจะมาดูส่วนของแรม Mac กันว่ามีการใช้งานอย่างไรบ้าง ก็ให้คลิกที่แถบ Memory ด้านบนได้เลย หน้าจอก็จะสลับมาแสดงรายละเอียดการใช้แรมแบบแยกแต่ละ process ให้ ซึ่งเราก็สามารถตรวจสอบได้เลยว่ามีอันไหนที่กินแรมเยอะผิดปกติหรือเปล่า และเป็น process จากแอปที่เราเปิดใช้เองหรือเป็นของระบบ แต่จุดที่เราจะโฟกัสในบทความนี้คือส่วนด้านล่างครับ

Screenshot 2023 12 22 at 11.52.44 AM

ตรงนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงการใช้แรมโดยรวมทั้งหมดว่ามีการใช้งาน มีการเก็บข้อมูลแบบไหนอยู่เท่าไหร่บ้าง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถประเมินได้ว่าแรมที่มีอยู่นั้นเพียงพอหรือไม่ ก่อนอื่นก็มาดูกันว่าแต่ละหัวข้อสื่อถึงอะไรบ้าง

กราฟ Memory Pressure

เป็นกราฟที่บ่งบอกถึงภาระการใช้แรมแบบเรียลไทม์ โดยจะใช้การบ่งบอกสถานะในสองรูปแบบการแสดงผล ได้แก่

  • ความสูงของกราฟ – แสดงถึงความหนาแน่นของภาระการใช้แรม ยิ่งกราฟเตี้ย ก็แสดงว่ามีโหลดน้อย มีแรมเหลือให้ใช้ได้สบาย ๆ เปิดแอปได้ตามปกติ
  • สีของกราฟ – จะมีด้วยกัน 3 สี
    • สีเขียว – สถานะการทำงานปกติ
    • สีเหลือง – กำลังทำการบีบอัด (compress) หรือคลายการบีบอัด (decompress) ข้อมูลในแรมอยู่
    • สีแดง – แรมเต็ม จนต้อง swap ข้อมูลบางส่วนไปเก็บใน SSD

จากทั้งสองรูปแบบสถานะข้างต้น แน่นอนว่าสถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือกราฟเป็นสีเขียว และมีความสูงไม่มากนัก สำหรับการตรวจสอบว่าแรม Mac ที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่ ถ้าในระหว่างที่ใช้งานเครื่อง แล้วกราฟยังคงเป็นสีเขียว แสดงว่าแรมยังพอ เหลือให้ใช้งานได้อีก ส่วนถ้าเป็นสีเหลือง หรือมีสีแดงพีคขึ้นมาเล็กน้อย ที่จริงก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะอาจเป็นแค่ช่วงสั้น ๆ  ท่านั้น แต่ถ้าเป็นสีเหลืองตลอดเวลา อาจต้องเริ่มพิจารณาปิดบางแอปที่ไม่ได้ใช้งานลงไปบ้าง เพื่อคืนพื้นที่ว่างของแรมไปให้ระบบใช้จัดสรรให้แอปอื่นแทน

act1

Physical Memory

แสดงจำนวนแรมจริง ๆ  ที่ติดตั้งอยู่ในเครื่องว่ามีกี่ GB อย่างในภาพข้างต้นก็คือมีอยู่ 16GB

Memory Used

แสดงจำนวนแรมที่ใช้งานอยู่ในขณะนั้น ตัวอย่างในภาพข้างต้นก็คือใช้อยู่ 13.31GB จากทั้งหมด 16GB เท่ากับเหลือแรมว่างแค่ 2.69GB เท่านั้น แต่ในหัวข้อนี้จะมีการแสดงข้อมูลย่อยลงมาอีก ดังนี้

  • App Memory – แสดงปริมาณแรมที่แอปทั้งหมดในเครื่องกำลังใช้งานอยู่
  • Wired Memory – แสดงปริมาณแรมที่ระบบกันไว้ สำหรับใช้ในการทำงานของระบบหลักโดยเฉพาะ และบังคับให้เก็บข้อมูลไว้ในแรมเท่านั้น ห้ามส่งไปเก็บในแคช และไม่เปิดให้แอปอื่นเข้ามาใช้งานได้
  • Compressed – ปริมาณแรมซึ่งใช้เก็บข้อมูลที่ได้รับการบีบอัดมาแล้ว

act2

Cached Files

ปริมาณของไฟล์ที่ถูกเก็บเป็นแคชไว้ในส่วนของแรมที่ว่างอยู่ เพื่อรอถูกนำมาใช้งานอีกครั้งในภายหลัง เช่นแอปที่เราเปิดมาใช้งานและปิดลงไปแล้ว ไม่ได้ใช้งานนานมาก ๆ หรือเป็นข้อมูลที่มักมีการนำกลับมาใช้งานบ่อย ๆ เพื่อให้ระบบสามารถทำงานได้เร็ว เปิดแอปกลับมาได้ทันใจ

ซึ่งถ้าเราจับตัวเลขของ Memory Used + Cached Files ก็จะได้เลขที่ใกล้เคียงกับปริมาณแรมจริง (Physical Memory) นั่นเอง เพราะมันคือการรวมพื้นที่แรมที่ใช้อยู่ กับพื้นที่แรมว่าง (ที่ถูกนำไปใช้เก็บแคชรอไปพลาง ๆ) แต่อาจจะมีเลขคลาดเคลื่อนบ้าง เพราะจริง ๆ แล้วมันจะมีแรมบางส่วนที่ไม่ได้ถูกนำมาแสดงใน Activity Monitor ด้วย หรือมีการปัดเศษและรวมกลุ่มข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถดูภาพรวมของระบบได้เข้าใจง่าย

Swap Used

แสดงปริมาณข้อมูลที่ถูกนำไป swap ลงใน SSD ลูกที่เป็น startup disk ที่เกิดจากแรมในเครื่องไม่พอ แน่นอนว่าตรงส่วนนี้ยิ่งน้อยยิ่งดี แต่ก็ไม่ต้องตื่นตกใจไปครับ เพราะบางทีถ้าจำเป็นก็ต้องปล่อยให้ระบบมันใช้ swap ไปบ้าง เพื่อให้ระบบทำงานได้ลื่น ไม่กระตุกขณะใช้งานหลายแอปพร้อมกัน

ทีนี้ถ้าหากว่าแรม Mac มีน้อยแล้ว SSD ในเครื่องก็ใกล้เต็มอีก อาจจะใช้พื้นที่ไปเกิน 90% ของทั้งหมด เช่นจาก 256 เหลือว่าง 25GB / 512 เหลือว่าง 50GB แล้วต้องทำงานหนักจนระบบต้อง swap จากแรมออกมาอีก กรณีนี้จะเกิดปัญหาเรื่องประสิทธิภาพแน่นอน เช่น เครื่องกระตุก ทำงานช้า เนื่องจากแรมเต็ม แถม SSD ก็เต็มเพราะเจอทั้ง swap และไฟล์ชั่วคราวที่แอปสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ทำงานอีก จนบางครั้งก็อาจมีข้อความขึ้นมาแจ้งเลยว่าพื้นที่ในเครื่องไม่พอ และอาจส่งผลให้แอปหยุดทำงานได้

ดังนั้นจึงควรดูแลพื้นที่ SSD ด้วยนะครับ ทางที่ดีก็คือไม่ควรเหลือพื้นที่ว่างน้อยกว่า 10% ของที่มีอยู่

Apple WWDC23 macOS Sonoma Safari profiles 230605 big.jpg.large

ทีนี้พอเข้าใจแล้วว่าแต่ละค่าใช้บ่งบอกถึงอะไร ก็จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถประเมินปริมาณแรมที่ต้องใช้จริง ๆ ของตนเองได้แล้ว โดยสิ่งที่ควรหยิบมาพิจารณาเป็นหลักคือ

  • สีกราฟ Memory Pressure เพื่อดูว่าแรม Mac ที่มีอยู่นั้นพอใช้งานหรือไม่ ต้อง swap เอาออกไปบ่อยขนาดไหน ถ้าส่วนใหญ่เป็นสีเขียวตลอด เท่ากับปกติ ใช้งานได้สบาย
  • ปริมาณแรมในหัวข้อ App Memory เพื่อดูว่าแอปที่เราใช้จริงอยู่ทั้งหมด ต้องการพื้นที่แรมเท่าไหร่
  • ปริมาณในหัวข้อ Swap Used เพื่อดูว่าระบบต้องเอาข้อมูลไปเก็บใน SSD เยอะขนาดไหน ถ้าเยอะมากระดับหลาย GB จะเป็นการบ่งบอกว่าแรมเครื่องเริ่มไม่ค่อยพอแล้วนะ

แต่ถ้าลองตรวจสอบเครื่องที่ใช้อยู่แล้วพบว่ากราฟมีช่วงสีแดงบ่อย ๆ เส้นกราฟค่อนข้างสูงตลอดเวลา และก็มี Swap เยอะ ซึ่งหมายถึงอาการแรมไม่พอ หากต้องการซื้อแมคเครื่องใหม่เพื่อแทนเครื่องปัจจุบัน และรูปแบบการทำงานก็คล้าย ๆ เดิม ก็ควรจะเลือกซื้อให้มีปริมาณแรมเพิ่มขึ้นไปอีกอย่างน้อยก็อีกเท่าตัว หรือยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ตามงบประมาณที่มีอยู่ เพราะแรมคือส่วนที่ยังอัปเกรดภายหลังไม่ได้ในขณะนี้สำหรับแมครุ่นใหม่ โดยเฉพาะตระกูล MacBook, iMac และ Mac mini รุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้ชิป M1 ขึ้นมา เนื่องจากแรมจะถูกติดตั้งมาไว้ข้างชิปประมวลผลเลย ทำให้ลูกค้าจำเป็นจะต้องซื้อให้จบไปตั้งแต่แรก ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ ส่วนของสเปคควรโฟกัสที่แรมเป็นหลักไว้ก่อน และใส่มากสุดเท่าที่เป็นไปได้ ตามที่เหมาะสมกับการใช้งาน ถ้าแนะนำสำหรับเครื่องที่อยากใช้ไปอีกหลายปี ก็ควรเริ่มที่ 16GB เถอะ แม้ว่า 8GB จะพอ แต่บอกเลยว่ามันคงตึงมากในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

Screenshot 2023 12 25 at 7.53.47 AM

แถมอีกนิด ส่วน SSD ก็ตามที่เหมาะสมและงบประมาณ ในยุคนี้อย่างต่ำสุดก็ 256GB ยังพอไหว แต่ถ้าใช้ทำงานเป็นเครื่องหลักก็ควรจะ 512GB ขึ้นไปถึงจะพอใช้ได้แบบยืดหยุ่นหน่อย แต่เรื่องพื้นที่เก็บข้อมูลนี้มันยังพอใช้ External SSD ช่วยถ่ายโอนข้อมูลบางอย่างออกมาได้ หรือในบางรุ่นก็มีร้านที่รับเพิ่ม SSD ภายหลังได้ด้วย โดยใช้การบัดกรีชิปติดกับบอร์ดไปเลย แต่ค่าใช้จ่ายก็จะสูงหน่อย และอาจจะยังทำไม่ได้ทุกรุ่น

ซึ่งนอกจากการใส่แรมเยอะ ๆ จะยังช่วยให้เครื่องทำงานได้ราบรื่น มีพื้นที่ให้แคชข้อมูลได้เยอะ ไม่ต้อง swap บ่อยแล้ว มันยังส่งผลถึงอายุการใช้งาน SSD ในระยะยาวด้วย เพราะแทบไม่ต้องนำพื้นที่ว่างบน SSD มาใช้เก็บข้อมูลชั่วคราวที่ถูกส่งมาจากแรมเลย

Screenshot 2023 12 25 at 7.55.23 AM

ส่วนใครที่ใช้แมคอยู่ แล้วเจอปัญหาแรมเต็ม มีการ swap บ่อย เครื่องกระตุกขณะทำงานหนัก ๆ แน่นอนว่าการแก้และป้องกันปัญหาที่ดีสุดคือการเพิ่มแรมใส่เข้าไป แต่จากข้อจำกัดของแมคเกือบทุกรุ่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่ไม่สามารถเพิ่มแรมเองได้ จึงตัดวิธีนี้ออกไปได้เลย

สิ่งเดียวที่ทำได้คือ พยายามปิดแอปที่ไม่ได้ใช้งานในขณะนั้นลงไป โดยเป็นการปิดแบบ quit (Command+Q) ไปเลย เพื่อให้ระบบดึงแรมกลับมา แล้วจัดสรรไปให้งานที่จำเป็นแทน อย่างเช่นถ้ากำลังเรนเดอร์คลิปอยู่ ก็อาจจะปิดเว็บเบราเซอร์ แอปแชท หรือแอปอื่นที่ไม่จำเป็นในตอนนั้นลงไป วิธีนี้น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง ประกอบกับควรเหลือพื้นที่ว่างใน SSD ไว้เผื่อการ swap ด้วย แม้จะไม่ค่อยดีกับอายุการใช้งานของ SSD แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็น มิฉะนั้นงานอาจจะไม่เสร็จเอา

Academy How to upgrade RAM memory in your Mac Hero

สรุปเรื่องการใช้แรมของ macOS

ถ้าแบบสั้น ๆ ก็คือ ระบบจะพยายามจัดสรรแรมที่มีทั้งหมดให้เป็นประโยชน์แบบเต็มที่ที่สุด แบบมีเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น ส่วนไหนที่แอปต้องใช้งานก็ให้ไป ถ้ามีแรมว่างเหลืออยู่ ก็พยายามจัดสรรให้ระบบและแอปก่อน เพื่อให้ทำงานได้ลื่ไหล ส่วนที่เหลือว่างจริง ๆ ก็จะใช้เก็บแคชรอไว้ เผื่อเรียกข้อมูลซ้ำในภายหลัง แต่ถ้ามีการใช้แรมที่มากจริง ๆ ก็จะใช้การ swap เพื่อโยกข้อมูลบางส่วนไปเก็บใน SSD ด้วย เพื่อให้ยังสามารถทำงานได้ตามปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ดังนั้น ถ้าหากเห็นว่าแมคเครื่องไหนแทบไม่เหลือแรมว่างเลย หรือใช้แรมแบบแทบจะเต็มจำนวน อันนี้คือเรื่องปกติครับ ถ้าแรมน้อยหน่อย ก็จะกระเบียดกระเสียรนิดนึง ซึ่งอาจส่งผลถึงประสิทธิภาพโดยรวมได้ หากมีการเปิดแอปเยอะ ๆ หรือมีแอปที่ใช้การประมวลผล ใช้พื้นที่แรมทำงานหนัก

ส่วนในการดูว่าเครื่องมีการใช้แรมหนักขนาดไหน ก็สามารถดูได้จากโปรแกรม Activity Monitor ได้เลย ซึ่งจะช่วยบอกว่าแรมมีพอมั้ย จำเป็นต้องใช้ SSD ทำ swap ขนาดไหน แต่ละ process ใช้แรมอย่างไรบ้าง

Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

Accessories review

ถ้าคุณเป็นครีเอเตอร์ Lexar Portable SSD SL400 คือไอเท็มสำคัญควรมีติดกระเป๋า! ในวงการหน่วยความจำแล้ว Lexar ก็เป็นผู้ผลิตหน่วยความจำระดับโลกซึ่งมีสินค้าหลากหลายแบบให้เลือกใช้ เช่น Lexar Portable SSD SL400 สำหรับครีเอเตอร์ยุคใหม่เจ้าของ iPhone 15 Pro และ 16 Pro Series ได้ถ่ายคลิปเก็บไอเดียสร้างสรรค์ไว้ทำงานต่อได้หรือพกคู่มือถือ Android...

Mac Corner

ขึ้นชื่อว่าเป็นไอโฟนเป็นใครอยากได้ ว่าด้วยราคาเครื่องจะจ่ายเงินสดรอบเดียวก็ยังได้แต่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องใช้เงินก้อนเมื่อไหร่ หลายคนจึงเลือกวิธีผ่อนไอโฟนทีละงวดไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 10 ถึง 30 เดือนก็มี ตามที่ร้านค้ากับธนาคารเจ้าของบัตรจะทำข้อตกลงกันไว้ ทำให้ลูกค้าได้เปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ได้ง่ายขึ้น และยังไม่รวมแคมเปญอื่นๆ จาก Apple กับตัวแทนจำหน่ายแต่ละเจ้าเอามาเป็นจุดจูงใจเพิ่มเติมอีกด้วย ข้อดีของการจ่ายเงินผ่อน นอกจากไม่ต้องลงเงินก้อนครั้งเดียวแต่เฉลี่ยจ่ายไปเรื่อยๆ จนครบได้แล้ว ยังมีเครื่องมือทางการเงินอีกหลายอย่างเข้ามาช่วยแบ่งเบาผู้ใช้ได้อีกมาก ไม่ว่าจะใช้แต้มในบัตรเครดิตหักลดราคาเครื่องก่อนผ่อนชำระได้, กดส่งโค้ดเอาแต้มกับเงินคืนไว้ใช้ในโอกาสอื่นได้ไม่พอ ในยุคนี้บางร้านค้ายังให้ผ่อนด้วยบัตรประชาชนใบเดียวได้อีก เป็นทางเลือกเพื่อคนไม่มีบัตรเครดิตแต่มีเงินในกระเป๋าแบ่งจ่ายค่าเครื่องได้สะดวกไม่แพ้กัน Advertisement ผ่อนไอโฟนวิธีไหนได้บ้าง?...

รีวิว Lenovo

Lenovo LOQ 15APH8 รุ่นคุ้มราคาประหยัด แต่ใส่สเปคมาจัดจ้านในราคาคุ้มเกินตัว!! Lenovo LOQ 15APH8 เกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นเล็กราคาประหยัดซึ่งแฟนคลับ Lenovo ก็ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นมาโดยตลอด เพราะรวมองค์ประกอบน่าใช้เอาไว้มากมายทั้งบอดี้สวยเรียบร้อยคล้ายกับพี่ใหญ่อย่าง Legion Series อยู่พอควร แถมยังให้สเปคต่อราคามาคุ้มค่าทั้งซีพียู AMD Ryzen กับจีพียู NVIDIA GeForce RTX 30 series...

Mac Corner

ถ้าใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ ไม่ว่าจะ Windows หรือ MacBook ทุกคนย่อมกดคีย์ลัดสั่งการให้คอมของตัวเองทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้นแน่นอน ถ้าใช้คอมมานานแล้ว คีย์ลัด Mac ก็ยังใช้วิธีกดปุ่มคำสั่ง 2-3 ปุ่มรวมกัน แค่เปลี่ยนชื่อกับภาพไอคอนปุ่มคำสั่ง (Modifier) บางปุ่มให้เป็นตามแบบฉบับของ Apple เอง คนที่ย้ายจาก Windows มาใช้ macOS ก็ใช้เวลาปรับตัวเรียนรู้คีย์ลัดสักระยะก็ใช้งานได้ถนัดอย่างแน่นอน ก่อนจะเริ่มใช้งานคีย์ลัด Mac...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก