สินค้าใน Apple Ecosystem นอกจาก iPhone ก็มีแท็บเล็ตอย่าง iPad ซึ่งมีรุ่นย่อยมากมาย แต่รุ่นที่ใครก็อยากได้อย่าง iPad Pro ราคาเริ่มต้นตอนนี้ก็ค่อนข้างสูง เริ่มต้นตอนนี้ก็ต้องมีเงินหลักสามหมื่นบาทแล้ว แม้ราคาจะสูงแต่ก็เป็นอุปกรณ์ทำงานอีกชิ้นที่คนใช้อุปกรณ์ Apple มีเอาไว้แล้วทำงานสะดวกขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอเสริมให้ MacBook, เซ็นเอกสาร, ตัดต่อคลิป ฯลฯ ได้สะดวกมาก ยิ่งถ้ามี Apple Pencil กับ Magic Keyboard ด้วยยิ่งใช้งานได้ดีไม่แพ้กับโน๊ตบุ๊คเลย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ iPad Pro ทำงานได้ดีเช่นนี้ เพราะระบบปฏิบัติการในแท็บเล็ตตัวนี้เปลี่ยนจาก iOS แบบในอดีตมาเป็น iPadOS แยกเอกเทศออกมาโดยเฉพาะ แม้จะมีพื้นฐานเหมือนกันแต่จะเน้นการใช้งานแบบ Multitasking เปิดใช้ทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกันได้ดียิ่งขึ้นรวมทั้งดีไซน์วิดเจ็ตต่างๆ ให้เข้ากับอุปกรณ์หน้าจอใหญ่เช่นนี้โดยเฉพาะ จึงใช้ทำงานได้สะดวกมาก ยิ่งตอนนี้ได้ชิปเซ็ต Apple M-Series จึงทำงานกับซอฟท์แวร์ต่างๆ ได้เร็วขึ้นกว่าชิป Apple A-Series อย่างชัดเจน
iPad Pro ราคาสูงแบบนี้แล้วน่าใช้อย่างไร?
- หน้าจอ Retina Display ของ iPad Pro ชิป Apple M4 รุ่นล่าสุดเป็น Ultra Retina XDR มีความสว่างและอัตราส่วนคอนทราสต์สูงมาก แต่จำกัดไว้เฉพาะรุ่นความจุ 1TB ขึ้นไป
- Apple เคลมว่า CPU ของชิป M4 สามารถประมวลผลคำสั่งได้ดีกว่า M2 ที่ประมวลผลได้ 15.8 ล้านล้านคำสั่ง/วินาที ราว 1.5 เท่า หมายความว่าชิปใหม่นี้ทำได้ราว 23.7 ล้านล้านคำสั่ง/วินาที
- วิธีเลือก Apple Pencil ถ้าเน้นแค่ใช้งานทั่วไปอย่างเขียนจดงานอย่างเดียวก็ใช้รุ่น USB-C ได้ แต่ถ้าเป็นศิลปินเน้นการวาดภาพ แนะนำให้ซื้อ Apple Pencil Pro
- จุดสังเกตของ Apple Pencil USB-C คือ ไม่รองรับการกดลงน้ำหนัก, แตะจับคู่และชาร์จไม่ได้ (แต่ยังยึดเข้ากับแม่เหล็กข้างเครื่องได้) รวมถึงฟีเจอร์บีบปากกา, แตะสองครั้งเปลี่ยนเครื่องมือ, บีบสลับเครื่องมือและตอบสนองผู้ใช้แบบสั่นไม่ได้ แต่ราคาถูกกว่า 1,500 บาท
iPad Pro ราคาสูงแบบนี้มีอะไรเป็นจุดขายบ้าง?
ถ้าเดินไปถามใครสักคนว่าจะซื้อแท็บเล็ตรุ่นไหนถึงจะใช้งานได้ดี? เป็นใครก็ต้องตอบว่า iPad อย่างแน่นอน แต่จะซื้อรุ่นราคาประหยัดแต่ฟีเจอร์เพียงพอใช้งานอย่าง Air ก็ได้ แต่ถ้าเป็น iPad Pro ราคาจะสูงกว่าแล้วได้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและปรับดีไซน์เพิ่มเติมด้วย ซึ่งจุดเด่นน่าสนใจของ iPad Pro รุ่นล่าสุดในมุมของผู้เขียนมีดังนี้
- เปลี่ยนจุดติดตั้งกล้องหน้าจากขอบบนแนวตั้งมาติดอยู่ในแนวนอนตรงกลางเครื่อง (Center Stage) ใช้งานได้เหมือนกับ MacBook มากยิ่งขึ้น และมี Face ID ไว้สแกนใบหน้ายืนยันตัวได้
- รองรับ Apple Pencil Pro ที่ให้ฟีเจอร์เน้นการวาดภาพมากยิ่งขึ้น เพิ่มเซนเซอร์ตรวจจับแรงกดปากกาเข้ามาให้เปลี่ยนเส้นหนักเบาตามแรงมือ, แตะด้ามใกล้ปลายปากกาเพื่อเปลี่ยนเครื่องมือ (ซึ่งมีใน Apple Pencil รุ่นก่อน), ฟังก์ชั่นลากพร้อมหมุนปากกาเพื่อเปลี่ยนเครื่องมือวาด, บีบด้ามใกล้ปลายปากกาเพื่อสลับเครื่องมือ/น้ำหนัก/เส้น/สี ได้ตามการตั้งค่า รวมทั้งสั่นเพื่อตอบสนองผู้ใช้
- ได้ชิปเซ็ต Apple M4 ประสิทธิภาพสูงแบบเดียวกับ MacBook รุ่นใหม่
- หน้าจอพาเนล OLED “Ultra Retina XDR” แบบซ้อนสองชั้น ทำให้หน้าจอสว่างมากเป็นพิเศษและค่า Contrast สูง ขอบเขตสีกว้าง P3
- มีหน่วยความจำในเครื่องเริ่มต้น 256GB แล้ว ทำให้ติดตั้งแอพฯ และเก็บไฟล์งานได้มากขึ้น
กลับกัน นอกจากเรื่อง iPad Pro ราคาสูงจนไล่เลี่ยกับ MacBook แล้ว ถ้าเทียบกับ iPad Pro (6th Gen) รุ่นก่อนหน้าจะมีจุดสังเกตอยู่บ้าง ซึ่งจุดสำคัญจะมีดังนี้
- ตัดกล้องหลัง Ultrawide 10 ล้านพิกเซลออกไป เวลาถ่ายภาพมุมกว้างในพื้นที่จำกัดจะไม่สะดวกหรือต้องใช้ Panorama mode ถ่ายแทน
- ใช้ Magic Keyboard รุ่นก่อนและ Smart Keyboard Folio ไม่ได้ ต้องซื้อเฉพาะรุ่นเท่านั้น
- รุ่น Cellular จะไม่มีช่อง Nano-SIM แล้ว ต้องใช้ eSIM เท่านั้น
- กระจกจอภาพ Nano-texture จำกัดเอาไว้เฉพาะรุ่นความจุ 1TB / 2TB เท่านั้น
เทียบสเปกกับ iPad Air ชิป M2 จะไปทางไหนดี?
พอเห็นข้อดีและข้อสังเกตของ iPad Pro ชิป Apple M4 แล้ว เชื่อว่าใครหลายคนจะตัดสินใจซื้อมันแน่นอนเพราะต้องการใช้ชิปรุ่นใหม่ที่ทำงานได้เร็วกว่าเดิมแน่นอน แต่กลับกัน iPad Pro 12.9″ (6th Gen) แม้จะใส่ชิป Apple M2 มาให้ก็จริง แต่มันก็ยังทำงานได้รวดเร็วดี ยิ่งใครใช้งานทั่วไปอย่างเปิดเว็บไซต์, พิมพ์เอกสารหรือแม้แต่วาดภาพกับตัดต่อวิดีโอความละเอียดสูงก็ทำได้ดีไม่แพ้กันแน่นอน แถม Apple ก็มีรุ่นทางเลือกอย่าง iPad Air 13″ (M2) ให้เลือกด้วย แต่ถ้านำสเปกมาเทียบกันจะเป็นดังนี้
รุ่น/สเปก | iPad Pro (M4) | iPad Pro 12.9″ (6th Gen) | iPad Air 13″ (M2) |
Display | 13″ Ultra Retina XDR (2752*2064) OLED 11″ Ultra Retina XDR (2420*1668) OLED ProMotion ขอบเขตสีหน้าจอ P3 True Tone เคลือบสารกันแสงสะท้อน หน้าจอ Nano-texture สำหรับรุ่น 1TB / 2TB | 12.9″ Liquid Retina XDR (2732*2048) IPS ProMotion ขอบเขตสีหน้าจอ P3 True Tone เคลือบสารกันแสงสะท้อน | 13″ Liquid Retina (2732*2048) IPS ขอบเขตสีหน้าจอ P3 True Tone เคลือบสารกันแสงสะท้อน |
Chipset | Apple M4 CPU 10 Cores GPU 10 Cores Neural Engine 16 Cores RAM 16GB | Apple M2 CPU 8 Cores GPU 10 Cores Neural Engine 16 Cores RAM 8GB / 16GB | Apple M2 CPU 8 Cores GPU 9 Cores Neural Engine 16 Cores RAM 8GB |
Camera | กล้องหลัง Wide camera 12MP รองรับวิดีโอ 4K, ProRes กล้องหน้าแนวนอน 12MP Center Stage TrueDepth Face ID | กล้องหลัง Wide camera 12MP Ultrawide camera 10MP รองรับวิดีโอ 4K, ProRes กล้องหน้าแนวตั้ง Ultrawide 12MP TrueDepth Face ID | กล้องหลัง Wide camera 12MP รองรับวิดีโอ 4K กล้องหน้าแนวนอน 12MP Center Stage Touch ID |
Connectivity | USB-C 4 รองรับ Thunderbolt Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 5G Cellular (sub-6 GHz) eSIM | USB-C 4 รองรับ Thunderbolt Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 5G Cellular (sub-6 GHz) eSIM Nano-SIM | USB-C Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 5G Cellular (sub-6 GHz) eSIM |
Capacity | 256GB 512GB 1TB 2TB | 128GB 256GB 512GB 1TB 2TB | 128GB 256GB 512GB 1TB |
Accessories | Magic Keyboard สำหรับ iPad Pro (ชิป M4) เชื่อมต่อด้วย Smart Connector Apple Pencil Pro Apple Pencil (USB-C) | Magic Keyboard Smart Keyboard Folio เชื่อมต่อด้วย Smart Connector Apple Pencil (รุ่นที่ 2) Apple Pencil (USB-C) | Magic Keyboard เชื่อมต่อด้วย Smart Connector Apple Pencil Pro Apple Pencil (USB-C) |
ถ้าเทียบกันระหว่าง iPad ทั้ง 3 รุ่น จะเห็นว่า iPad Pro ทั้งรุ่นเก่าและใหม่มีสเปคใกล้เคียงกันแต่รุ่นใหม่จะถูกตัดบางอย่างออกไป เช่น กล้อง Ultrawide 10MP ซึ่งมีประโยชน์มากเวลาต้องการถ่ายภาพข้อมูลการประชุมหรือเลคเชอร์บนกระดานกว้างและช่องใส่ Nano-SIM เปลี่ยนไปใช้ eSIM แทน ถ้าซื้อผ่านทางศูนย์บริการเครือข่ายมือถือก็ไม่มีปัญหา
ในแง่ของพลังประมวลผลชิปเซ็ต Apple M-Series ถ้าอิงจากข้อมูลเปิดตัวของทาง Apple แล้ว จะเป็นดังนี้
- Apple M2 สามารถประมวลผลได้ 15.8 ล้านล้านคำสั่ง/วินาที
- Apple M4 แจ้งเพียงว่า CPU มีประสิทธิภาพสูงกว่า Apple M2 ถึง 1.5 เท่า หากคำนวณแล้ว หมายความว่าชิปเซ็ตนี้สามารถประมวลผลได้ 23.7 ล้านล้านคำสั่ง/วินาที
ซึ่งถ้าใช้งานทั่วไปในออฟฟิศหรือจะใช้ตัดคลิปวิดีโอความละเอียดสูง ชิปเซ็ต Apple M2 ก็ทำงานให้เสร็จได้รวดเร็วดีอยู่แล้ว แม้จะเปลี่ยนมาใช้ Apple M4 ก็อาจทำงานเสร็จเร็วขึ้นแต่ก็ไม่มากจนดูจะไม่คุ้มตัวเลขจำนวนเงินที่จ่ายไปก็เป็นได้ ยกเว้นกลุ่มคนที่ทำงานกับ AR/VR หรือโมเดล 3D การอัปเกรดมาใช้รุ่น M4 ก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดี
นอกจากเรื่องสเปคแล้ว อุปกรณ์เสริมอย่าง Magic Keyboard กับ Apple Pencil ก็ต้องซื้อใหม่ด้วย ไม่สามารถเอา Apple Pencil (2nd Generation), Magic Keyboard รุ่นเก่าของ iPad Pro (M2) หรือ Smart Keyboard Folio มาใช้ร่วมได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
ดังนั้นนอกจาก iPad Pro ราคาเริ่มต้น 37,900 บาทแล้วจะซื้ออุปกรณ์เสริมให้ครบพร้อมใช้ก็ต้องเตรียมเงินซื้อ Magic Keyboard เฉพาะรุ่นอีก 10,990 บาท ส่วนของ Apple Pencil ถ้าอยากได้สไตลัสเอาไว้เขียนจดเซ็นสิ่งต่างๆ ก็ยังซื้อรุ่น USB-C ราคา 2,990 บาทได้ แต่ถ้าเป็นศิลปินนักวาดออกแบบ ต้องลงเส้นหนักเบาและอยากแตะข้างสไตลัสเปลี่ยนปลายปากกาไปมา ก็ต้องเพิ่มเงินไปซื้อ Apple Pencil Pro ราคา 4,490 บาท นั่นหมายความว่าต้องเตรียมเงินค่าอุปกรณ์เสริมอีก 13,980~15,480 บาททีเดียว
กรณีของผู้ใช้ที่ไม่พร้อมจะจ่ายค่าอุปกรณ์เสริมจาก Apple ก็ยังมีทางเลือกอย่างซื้อเคสคู่กับคีย์บอร์ดบลูทูธสักตัวก็ใช้พิมพ์งานได้ดีไม่แพ้กัน ด้านสไตลัสยังมีรุ่นทางเลือกจากแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมให้ซื้อในราคาย่อมเยาก็จริง แต่จากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนซึ่งทดลองทำเช่นนี้มาก่อนจะขออธิบายเช่นนี้
- Bluetooth keyboard : สามารถใช้งานกับ iPad ได้เป็นอย่างดี พิมพ์งานได้เหมือน Magic Keyboard ของ Apple ก็จริง แต่เวลาถือคู่กับ iPad Pro ไปไหนมาไหนจะไม่สะดวกเท่าไหร่และอาจมีเลื่อนหลุดมือแล้วตกเสียหายได้ถ้าไม่ระวัง
- สไตลัสจากแบรนด์ทางเลือก (ยกเว้น Wacom Stylus) : รุ่นราคาประหยัดที่ทำมาให้เหมือนกับ Apple Pencil เวลาใช้ต้องกดเปิด/ปิดเวลาใช้หรือไม่ใช้งานเสมอ ไม่มีฟังก์ชั่นตัดการทำงานเวลาติดเข้ากับแม่เหล็กข้าง iPad แถมไม่มีลูกเล่นอย่างการเอียงด้ามปากกาเพื่อแรเงา, ไม่รองรับการกดลงน้ำหนัก ฯลฯ หากซื้อมาเขียนจดหรือเซ็นเอกสารแบบฉาบฉวยยังพอใช้ได้ แต่คาดหวังให้แทน Apple Pencil ไม่ได้เลย อย่างน้อยก็อยากแนะนำให้ซื้อ Apple Pencil (USB-C) มาใช้จะดีกว่า ยังไม่นับกรณีเกิดเหตุสุดวิสัยดึงปากกาออกแล้วแตะชาร์จใหม่ซ้ำไปมาแล้ววงจรภายในด้ามช็อตเสียหายด้วย
หากต้องการใช้ iPad Pro แต่ไม่อยากให้งบประมาณบานปลายมากหรือเผื่อว่าจะซื้ออุปกรณ์เสริมตรงรุ่นให้ครบเซ็ตในอนาคต อยากแนะนำให้ลงทุนซื้อเคสกับ Apple Pencil ก่อน แล้วใช้คีย์บอร์ด Bluetooth พิมพ์งานก็ได้ แล้วจะซื้อ Magic Keyboard มาเพิ่มก็แล้วแต่ต้องการได้เลย
ส่วนคุณสมบัติของหน้าจอ Nano-texture สำหรับ iPad Pro ความจุ 1TB / 2TB จะช่วยลดแสงสะท้อนและแสงสว่างจ้าในสถานการณ์ต่างๆ และปรับโทนสีให้เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยอัตโนมัติ ทำให้สีสันบนหน้าจอมีความเที่ยงตรงเสมอ ซึ่ง Apple ระบุเอาไว้ในหน้าเลือกซื้อสินค้าว่าเหมาะกับคนทำงานด้านสีสันโดยเฉพาะ สีจะไม่เพี้ยนด้วยปัจจัยภายนอกอย่างแสงกระทบหน้าจออย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามหน้าจอรุ่นนี้ต้องจ่ายเงินเพิ่ม 4,000 บาท
อย่างไรก็ตามหน้าจอ Nano-texture เป็นพาเนลแบบพิเศษซึ่งต้องใช้ผ้าเฉพาะจากทาง Apple ราคา 790 บาท เช็ดทำความสะอาดเท่านั้นให้หน้าจอยังคงสภาพเดิมไม่เสียหาย แต่กรณีใช้งานก็มีผู้ใช้มารีวิวหน้าจอนี้ว่ามันช่วยตัดแสะสะท้อนได้มาก ลดโอกาสเกิดสีเพี้ยนได้จริงแต่กลับกัน ก็ทำให้สีสันจืดลงไปและสีดำยังไม่มืดสนิทนัก ไม่สดใสอย่างที่พาเนล OLED ควรเป็น ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับโจทย์การใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนว่าพาเนลนี้จำเป็นไหม หรือซื้อรุ่นธรรมดาคู่กับ iCloud แล้วติดฟิล์มกันรอยแทนจะดีกว่า?
แนะนำ iPad Pro ราคาน่าซื้อ 4 รุ่น เมมเยอะเก็บงานได้เต็มอิ่ม!
- iPad Pro 11″ Wi-Fi 256GB (37,900 บาท)
- iPad Pro 11″ Wi-Fi+Cellular 256GB (44,900 บาท)
- iPad Pro 12.9″ Wi-Fi 256GB (46,900 บาท)
- iPad Pro 13″ Wi-Fi 256GB (49,900 บาท)
1. iPad Pro 11″ Wi-Fi 256GB (37,900 บาท)
Chipset & Memory | Apple M4 หน่วยความจำ 256GB |
Display | 11″ Ultra Retina XDR (2420*1668) OLED ProMotion ขอบเขตสีหน้าจอ P3 True Tone เคลือบสารกันแสงสะท้อน |
Camera | กล้องหลัง Wide camera 12MP รองรับวิดีโอ 4K, ProRes กล้องหน้าแนวนอน 12MP Center Stage TrueDepth Face ID |
Connectivity | USB-C 4 รองรับ Thunderbolt Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 |
Price | 37,900 บาท (BaNANA) |
ถ้าจะเริ่มต้นใช้ iPad Pro ราคาไม่แพงเกินไปและมี iPhone เป็นมือถือเครื่องหลักอยู่แล้ว รุ่นหน้าจอ 11″ Wi-Fi จัดว่าน่าสนใจมาก เพราะเราสามารถกดสั่งให้มือถือแชร์ Wi-Fi จากหน้าแท็บเล็ตได้ทันที ไม่ต้องซื้อรุ่น Cellular ก็ได้หากไม่จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ยิ่งใครไม่ได้เดินทางไปทำงานนอกสถานที่หรือไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ ก็ซื้อรุ่น Wi-Fi ใช้งานก็เพียงพอแล้ว
ข้อดี
- เป็น iPad Pro ราคาถูกสุดพร้อมชิป Apple M4
- พอร์ต USB-C รองรับ Thnunderbolt ต่อหน้าจอแยกใช้งานได้ดี
- หน้าจอ ProMotion 120Hz ขอบเขตสีหน้าจอ P3 เหมาะกับการทำงานด้านสีสัน
- รองรับ Apple Intelligence ในอนาคต
ข้อสังเกต
- ต้องใช้ Magic Keyboard กับ Apple Pencil รุ่นใหม่เท่านั้น
- หน้าจอ Nano-texture ต้องเลือกรุ่นความจุ 1TB / 2TB เท่านั้น
2. iPad Pro 11″ Wi-Fi+Cellular 256GB (44,900 บาท)
Chipset & Memory | Apple M4 หน่วยความจำ 256GB |
Display | 11″ Ultra Retina XDR (2420*1668) OLED ProMotion ขอบเขตสีหน้าจอ P3 True Tone เคลือบสารกันแสงสะท้อน |
Camera | กล้องหลัง Wide camera 12MP รองรับวิดีโอ 4K, ProRes กล้องหน้าแนวนอน 12MP Center Stage TrueDepth Face ID |
Connectivity | USB-C 4 รองรับ Thunderbolt Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 5G Cellular (sub-6 GHz) eSIM |
Price | 44,900 บาท (BaNANA) |
กลับกันถ้าต้องเดินทางไปทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ หรือต้องรับส่งงานกับลูกค้าเป็นประจำ จะซื้อ iPad Pro 11″ Wi-Fi+Cellular เอาไว้ใช้ก็น่าสนใจ ถ้าเวลาหาเครือข่าย Wi-Fi ใช้งานไม่ได้หรือสัญญาณไม่เสถียร ก็มีเครือข่าย 5G ไว้เสริมอีกต่อได้ด้วย แต่ก็จะมีค่าบริการ Multi SIM รายเดือนเพิ่มอีกเล็กน้อย เหมาะกับคนต้องการใช้ iPad Pro ควบคู่กับมือถืออื่นนอกจาก iPhone พอควร
3. iPad Pro 12.9″ Wi-Fi 256GB (46,900 บาท)
Chipset & Memory | Apple M2 หน่วยความจำ 256GB |
Display | 12.9″ Liquid Retina XDR (2732*2048) IPS ProMotion ขอบเขตสีหน้าจอ P3 True Tone เคลือบสารกันแสงสะท้อน |
Camera | กล้องหลัง Wide camera 12MP Ultrawide camera 10MP รองรับวิดีโอ 4K, ProRes กล้องหน้าแนวตั้ง Ultrawide 12MP TrueDepth Face ID |
Connectivity | USB-C 4 รองรับ Thunderbolt Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 |
Price | 46,900 บาท |
กรณีอยากได้ iPad Pro ราคาต่อสเปคคุ้มค่า ได้หน้าจอใหญ่และแรงพอใช้ตัดต่อคลิปความละเอียดสูงได้ ก็มีรุ่น 6th Gen ชิป Apple M2 ให้เลือกซื้อได้ ยิ่งใครมี MacBook อยู่แล้วเปิดเป็นโหมด Sidecar ทำเป็นหน้าจอเสริมได้ดีทีเดียว และยังมีกล้อง Ultrawide ติดมาให้ใช้ด้วย เผื่อกรณีต้องถ่ายภาพมุมกว้างจะใช้ได้สะดวกกว่า iPad Pro (M4) อย่างแน่นอน แม้จะเก่าไปบ้างแต่ถือว่ายังน่าใช้ไม่แพ้รุ่นใหม่แน่นอน
ข้อดี
- มีกล้อง Ultrawide camera ความละเอียด 10MP ติดตั้งมาให้ใช้
- ใช้ Magic Keyboard, Smart Keyboard Folio และ Apple Pencil รุ่นเก่าได้
- หน้าจอมีขนาดและความละเอียดไล่เลี่ยกับ iPad Pro 13″ (M4)
ข้อสังเกต
- ชิปเซ็ตยังเป็น Apple M2 มีประสิทธิภาพน้อยกว่า M4 เล็กน้อยแต่ยังเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป
4. iPad Pro 13″ Wi-Fi 256GB (49,900 บาท)
Chipset & Memory | Apple M4 หน่วยความจำ 256GB |
Display | 13″ Ultra Retina XDR (2752*2064) OLED ProMotion ขอบเขตสีหน้าจอ P3 True Tone เคลือบสารกันแสงสะท้อน |
Camera | กล้องหลัง Wide camera 12MP รองรับวิดีโอ 4K, ProRes กล้องหน้าแนวนอน 12MP Center Stage TrueDepth Face ID |
Connectivity | USB-C 4 รองรับ Thunderbolt Wi-Fi 6E Bluetooth 5.3 |
Price | 49,900 บาท |
สุดท้ายถ้าเงินไม่ใช่ปัญหา iPad Pro ราคาจะแพงสักหน่อยก็ไม่ว่าแต่ต้องได้แท็บเล็ตรุ่นใหม่ล่าสุดจอใหญ่ก็ต้อง iPad Pro 13″ (M4) รุ่นนี้ เพราะราคายังไม่เกิน 50,000 บาท และแพงกว่ารุ่น 12.9″ ในข้อก่อนเพียง 3,000 บาทเท่านั้น ถ้าคิดในแง่การผ่อนชำระรายเดือนก็เพิ่มอีกไม่มากนัก แต่ด้วยสเปคแล้วสามารถใช้งานได้ดีอีกหลายปีแน่นอน ยิ่งถ้าใช้ iPhone เป็นเครื่องหลักอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องซื้อรุ่น Cellular แต่ใช้วิธีสั่งจากหน้าจอ iPad ให้ iPhone เปิดระบบ Hotspot แทนก็ได้
ซื้อ iPad Pro ราคาดีชิป Apple M4 ที่ไหนดี?
ถ้าคิดจะซื้อ iPad Pro สักเครื่องเรียกว่าไม่ยากเลย ไม่ว่าจะสั่งซื้อเครื่องเปล่ากับเว็บไซต์ Apple Thailand ก็ได้ แต่จะเป็นเครื่องเปล่าราคาเต็มอย่างเดียว ข้อดีของการเลือกซื้อกับทาง Apple โดยตรง คือการซื้อ iPad พ่วงอุปกรณ์เสริมอย่าง Magic Keyboard, Apple Pencil ควบกับประกัน Apple Care+ แล้ว ทั้งสามชิ้นจะเข้าเงื่อนไขการดูแลของประกันนี้ทันทีไม่ต้องมาซื้อแยกชิ้นให้วุ่นวาย เหมาะกับคนอยากจ่ายเงินก้อนเดียวจบ นอกจากนี้ยังเลือกสลักตัวอักษรเพิ่มบนหลัง iPad Pro ของเราได้ 2 บรรทัดละ 27 ตัวอักษร รวมถึง Apple Pencil อีก 17 ตัวอักษร สร้างความแปลกแตกต่างให้ของใช้ส่วนตัวเราได้เป็นอย่างดี
กลับกัน การซื้อผ่านหน้าเว็บ Apple มีข้อสังเกตอยู่ว่าไม่เข้าร่วมโครงการรัฐใดๆ และผ่อนชำระกับบัตรเครดิต 0% นาน 10 เดือน ได้เพียง 6 เจ้าเท่านั้น คือ Kbank, SCB, BBL, BAY, TTB และ UOB และถ้าไม่ได้ซื้อประกัน Apple Care+ ก็จะมีประกันในปีแรกอย่างเดียว ด้านราคาของ iPad Pro ทุกรุ่นและความจุจะเป็นดังนี้
- iPad Pro 11″
- รุ่น Wi-Fi ความจุ 256GB ราคา 37,900 บาท / ความจุ 512GB ราคา 44,900 บาท / ความจุ 1TB ราคา 59,900 บาท / ความจุ 2TB ราคา 74,900 บาท
- Wi-Fi+Cellular ความจุ 256GB ราคา 44,900 บาท / ความจุ 512GB ราคา 51,900 บาท / ความจุ 1TB ราคา 66,900 บาท / ความจุ 2TB ราคา 81,900 บาท
- กระจก Nano-texture เลือกได้เฉพาะรุ่น 1TB, 2TB ราคาเพิ่มขึ้นอีก 4,000 บาท
- iPad Pro 13″
- รุ่น Wi-Fi ความจุ 256GB ราคา 49,900 บาท / ความจุ 512GB ราคา 56,900 บาท / ความจุ 1TB ราคา 71,900 บาท / ความจุ 2TB ราคา 86,900 บาท
- Wi-Fi+Cellular ความจุ 256GB ราคา 56,900 บาท / ความจุ 512GB ราคา 63,900 บาท / ความจุ 1TB ราคา 78,900 บาท / ความจุ 2TB ราคา 93,900 บาท
- กระจก Nano-texture เลือกได้เฉพาะรุ่น 1TB, 2TB ราคาเพิ่มขึ้นอีก 4,000 บาท
ถ้าคิดถึงตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple ณ ตอนนี้ ร้านค้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ชั้นนำอย่าง Advice, BaNANA และ JIB ต่างก็มี iPad Pro ให้เลือกซื้อได้ทุกเจ้า มีประกันจาก Apple เหมือนกันทั้งหมด สามารถส่งเคลมกับ Apple Thailand ได้ ซึ่งข้อดีของการซื้อจากตัวแทนจำหน่ายแม้จะมีราคาเท่ากันกับการซื้อจากร้านประเภท iStudio ก็จริง แต่จุดเด่นในมุมของผู้เขียนจะมีดังนี้
- ผ่อนชำระ 0% กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการและทำ Cash back และใช้แต้มหักส่วนลดได้
- บางร้านมีประกันของทางร้านรับดูแลเพิ่มเติมเป็นพิเศษ
- บางครั้งเข้าร่วมกับโครงการของรัฐ เช่น Easy E-Receipt ซื้อแล้วนำไปหักลดหย่อนภาษีได้
นอกจาก iPhone แล้ว เครือข่ายมือถืออย่าง AIS กับ True ก็มี iPad Pro ให้เลือกซื้อและมีเครื่องเปล่าขายด้วย แต่ราคาจะเท่ากับการซื้อจากร้านคอมพิวเตอร์หรือ Apple Thailand ดังนั้นจะซื้อรุ่น Wi-Fi หรือเครื่องเปล่าไม่คุ้มอย่างแน่นอน แต่ถ้าต้องการใช้รุ่น Wi-Fi+Cellular จะสามารถพ่วงแพ็คเกจอินเทอร์เน็ตได้เหมือนกับการซื้อ iPhone ซึ่งจะได้ส่วนลดจากช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะใช้สิทธิ์ลูกค้าเก่า, ผูกแพ็คเกจรายเดือน, ย้ายค่าย ฯลฯ ได้ด้วย ถ้าจะซื้อ iPad Pro ราคาพิเศษเช่นนี้แนะนำให้ติดต่อกับทางศูนย์บริการเพื่อเช็คโปรโมชั่นกับส่วนลดต่างๆ เพิ่มเติมจะดีที่สุด
แม้หลายคนคิดว่าถ้าลงทุนซื้อ iPad Pro ราคาสูงสเปกแรงมาใช้แทน MacBook ก็คงจะได้ ความคิดนี้มีทั้งส่วนที่ถูกและผิดในเวลาเดียวกัน กรณีใช้ทำงานได้ต้องเข้าใจก่อนว่า iPadOS มีพื้นฐานมาจากระบบปฏิบัติการ iOS แต่แยกการพัฒนาออกมาเพื่อซีรีส์ iPad โดยเฉพาะ เพิ่มระบบการทำงานกับแอปฯ หลายตัวพร้อมกัน (Multifunction) และแบ่งหน้าจอได้ เวลาจะทำงานได้ดีสุดก็ควรผ่านแอปฯ ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะและ UI ของ iPadOS ก็มีข้อจำกัดอยู่พอสมควร ไม่ยืดหยุ่นเท่า macOS นัก จึงเหมาะกับการใช้แก้งานเร่งด่วน, ขึ้นโครงไอเดียงานต่างๆ เอาไว้แล้วมาจบใน MacBook จะเป็นอุปกรณ์เสริมที่ดีมาก ทั้งเซ็นเอกสาร, วาดเขียนและจดสิ่งต่างๆ ได้ง่ายขึ้นหลายเท่า