Connect with us

Hi, what are you looking for?

Buyer's Guide

แนะนำ iPad Gen 9th สุดยอดไอแพดราคาประหยัดจาก Apple

แนะนำ iPad Gen 9th สุดยอดไอแพดราคาประหยัด จาก Apple เริ่มต้น 11,400 บาท

iPad Gen 9th

iPad Gen 9th นั้นเปิดตัวในช่วงเดือนกันยายน 2021 มาพร้อมกับฟีเจอร์ต่างๆ ที่ได้รับการอัพเดต ถ้าถามว่าดีตรงไหน ก็บอกได้เลยว่า ดีตรงที่ราคาและประสิทธิภาพการทำงานนั่นเอง ซึ่งไอแพดรุ่นนี้ อาจจะไม่ได้เป็น iPad ที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงที่สุด สำหรับผลิตภัณฑ์ของ Apple แต่ถือว่าคุ้มค่าที่สุด แถมยังมีราคาที่ย่อมเยาอีกด้วย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ iPad รุ่นนี้กัน พร้อมกับเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องเลือก iPad Gen 9th มากกว่า iPad รุ่นอื่นๆ


ซื้อ iPad ต้องดูอะไรบ้าง

iPad 10.2 นิ้ว ถือว่าเป็นแท็บเล็ตราคาเบาๆ ของ Apple ที่นักเรียน นักศึกษา นิยมนำไปใช้กับการเรียนออนไลน์ รวมถึงผู้ที่ทำงานแล้ว ก็อาจซื้อ iPad สักเครื่องเพื่อรองรับการค้นคว้าข้อมูล และงานด้านบันเทิง

Advertisement

ถ้าพูดถึงการทำงาน หรือการเรียนในปัจจุบันนั้น บอกได้เลยว่าตอนนี้ก็ต้องเป็นการเรียนออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับการเรียน การทำงาน หรือใช้ในไลฟ์สไตล์ทั่วไปนั้น ก็คงหนีไม่พ้นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง Tablets ซึ่งทีมงานเชื่อว่าผู้ใช้งานจำนวนมากที่เลือกใช้ iPad โดย iPad นั้น ก็มีด้วยกันหลากหลายรุ่น ทั้งเก่าและใหม่ ซึ่งก็สามารถเลือกได้ตามต้องการ แต่การซื้อไอแพดสักเครื่องนั้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่เราเดินไปซื้อเองด้วยตัวเองที่ร้านค้า หรือจะเป็นการสั่งออนไลน์ สิ่งที่เราต้องดูต้องตรวจสอบนั้น มีอะไรบ้าง

  • ภายนอกเครื่อง หรือตั้งแต่กล่อง เริ่มจากการตรวจเช็คกล่องต้องไม่มีการแกะซีลใดๆ เมื่อแกะกล่องให้ตรวจเช็คตัวเครื่อง ดูริ้วรอยต่างๆ อุปกรณ์ต้องไม่มีรอยแตก และเช็คดูว่าอุปกรณ์ภายในครบหรือไม่
  • สำหรับใครที่สั่งเครื่องผ่านเว็บไซต์ หรือช้อปปิ้งออนไลน์นั้น จะต้องไม่พลาดข้อนี้เลย คือ การตรวจสอบประกัน และหมายเลขต่างๆ นั่นเอง
    • ดูเลข Serial No. หลังกล่อง iPad กับเลข Serial No. ในเครื่อง (เมนูการตั้งค่า (Settings) > ทั่วไป (General) > เกี่ยวกับ (About)) ต้องตรงกัน หลังจากนั้นก็ให้นำเลข Serial No. ไปตรวจเช็คประกันความคุ้มครองได้ที่ https://checkcoverage.apple.com/th/th/ หรือจะดาวน์โหลดแอป Apple Support ก็ได้ (แต่ต้องตั้งค่า Apple ID ให้เรียบร้อยก่อน) ถ้าเป็นเครื่องใหม่จากศูนย์มือหนึ่ง ประกันเครื่องต้องหมดในอีก 1 ปี นับจากวันที่เปิดใช้เครื่อง ประกันต้องไม่เดินไปก่อน
    • กรณีที่เราซื้อเครื่องศูนย์ไทย เราวามารถตรวจสอบได้โดยไปที่ เมนูการตั้งค่า (Settings) > ทั่วไป (General) > เกี่ยวกับ (About) > เช็คโมเดล (Model) ถ้าเป็น iPad เครื่องศูนย์ไทย เลขโมเดลจะต้องลงท้ายด้วย TH เสมอ เช่น MR7F2TH/A
  • เช็คปุ่มทั้งหมด โดยไล่กดและเช็คการทำงานทีละปุ่ม ว่าหลวมไปหรือไม่ และเช็คการทำงานของปุ่ม อาจจะเริ่มจากปุ่ม Power เปิด-ปิดเครื่อง และปิดหน้าจอ, ปุ่มโฮม เมื่อกดแล้วต้องกลับมาหน้าจอโฮม, ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงต้องทำงานได้ถูกต้อง
  • ทดสอบหาจุดเสียของหน้าจอ LCD ของ iPad โดยเข้าผ่านแอป YouTube (ต้องดาวน์โหลดแอป YouTube จาก AppStore ก่อน) และเปิดวิดีโอ Dead Pixel Test for iPad หมุนหน้าจอเป็นแนวนอนและเปิดหน้าจอวิดีโอให้เต็มจอ พร้อมกับเช็คหาจุดเสีย ถ้าหน้าจอปกติดี จะต้องไม่มีจุดดำโผล่ขึ้นมาบนหน้าจอ
  • ตรวจสอบการทำงานของ Touch ID โดยไปที่ตั้งค่ารหัสผ่านด้วยการสแกนนิ้วที่ การตั้งค่า (Settings) > Touch ID และรหัส (TouchID & Passcode) > และเปิด ปลดล็อค iPad ในส่วนของการใช้ Touch ID และตั้งค่าสแกนนิ้วให้เรียบร้อย จากนั้นก็ลองแตะสแกนนิ้วที่ปุ่มโฮม เพื่อปลดล็อคเครื่อง
  • ทดสอบเชื่อมต่อ Wi-Fi โดยการเปิด Wi-Fi และเข้าใช้ Wi-Fi ของร้านดูว่าสามารถเชื่อมต่อและใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ปกติหรือไม่
    • ทดสอบการเชื่อม Bluetooth โดยไปที่การตั้งค่า (Settings) > บลูทูธ (Bluetooth) > แตะเปิด และดูว่า Bluetooth สามารถค้นหาอุปกรณ์ใกล้เคียงเจอหรือไม่ (หากซื้อ Apple Pencil ด้วยก็ลองเชื่อมต่อดูหรือทางร้านมีอุปกรณ์บลูทูธอื่นๆ ก็อาจจะลองนำไปเชื่อมต่อดู)
    • สำหรับ iPad รุ่นที่มี Cellular ก็ให้ลองเปิดเซลลูลาร์ และดูสัญญาณโทรศัพท์ด้านมุมบนซ้ายของหน้าจอว่าสามารถเชื่อมต่อได้หรือไม่ พร้อมกับลองเข้า Safari เพื่อลองเข้าเว็บไซต์
  • ตรวจเช็คว่ามีเสียงดังจากลำโพงด้านล่างของ iPad หรือไม่ โดยการลองเข้าไปที่ การตั้งค่า (Settings) > เสียง (Sounds) > เสียงเรียกเข้า (Ringtone) > เลือกฟังเสียงดูว่ามีเสียงดังออกจากลำโพงหรือไม่ และลองปรับเพิ่มลด-เสียงดู
  • ลองแตะหน้าจอ ปัดขึ้น ปัดลง เข้าแอปแล้วขยับท่าทางต่างๆ เช่น ขยับนิ้วทั้ง 5 เข้าหากัน เพื่อออกจากแอป, ปัดขึ้นเพื่อเปิด Control Center, ปัดลงเพื่อเข้าหน้าการแจ้งเตือน, แตะค้างเพื่อลบแอป เป็นต้น เพื่อดูการทำงานว่าการใช้ท่าทางและการสัมผัสหน้าจอทำงานได้ปกติหรือไม่
  • เช็คการใช้งานของไมโครโฟน ว่าทำงานได้ปกติหรือไม่ โดยเข้าเข้าแอปกล้อง (Camera) แล้วลองอัดวิดีโอดู เมื่ออัดเสร็จแล้ว ลองกดเล่นวิดีโอและฟังเสียง
  • ลองเปิดแอปแผนที่ (Maps) บน iPad ดู และอนุญาตการเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้งให้เรียบร้อย และลองแตะระบุตำแหน่งที่ตั้งด้านบนขวา เพื่อเช็คดูว่า GPS สามารถบอกตำแหน่งถูกต้องหรือไม่ อาจจะลองค้นหาสถานที่หรือตำแหน่งอื่นๆ ดูด้วยก็ได้
  • ตั้งค่าเปิดใช้งาน Siri ที่ การตั้งค่า (Settings) > Siri และการค้นหา (Siri & Search) > เปิดใช้งาน ฟัง “หวัดดี Siri” และตั้งค่าให้เรียบร้อย และเปิดใช้งาน กดปุ่มโฮมเพื่อคุยกับ Siri ด้วย ที่สำคัญต้องเปิดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและเช็คการทำงานของ Siri ด้วยการทดสอบก็ลองเรียก หวัดดี Siri และตอบโต้พูดคุยดูว่าทำงานได้ปกติหรือไม่ จากนั้นลองกดปุ่มโฮมค้างไว้ เพื่อเรียก Siri ดู
  • ทดสอบการทำงานของกล้องหน้าและกล้องหลัง สำหรับกล้องหน้า ลองทดสอบถ่ายรูปด้วยกล้องหน้า ลองเปิด Retina Flash สำหรับกล้องหลัง ทดสอบการแตะหน้าจอเพื่อโฟกัส การปรับแสงโฟกัส และลองเปิดแฟลชถ่ายรูป เพื่อเช็คการทำงาน
  • เช็คเซ็นเซอร์การหมุนหน้าจอ ด้วยการหมุนหน้าจอทั้งแนวตั้งและแนวนอน อย่าลืมตรวจสอบด้วยว่าเราได้ปิดฟีเจอร์การหมุนหน้าจอไว้หรือไม่
  • ทดสอบการชาร์จแบตเตอรี่กับอุปกรณ์ชาร์จที่มาพร้อมกล่อง iPad ว่ามีไฟเข้าและสามารถชาร์จได้ปกติหรือไม่ และให้ลองเสียงหัวชาร์จ Lightning ทั้ง 2 ด้านว่าสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้หรือไม่
  • นอกจากนี้ก็ยังมีการทดสอบ ระบบ Gyroscope, เข็มทิศ รวมไปถึงการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ อย่างคอมพิวเตอร์ด้วย

สเปคของ iPad Gen 9th

สำหรับ iPad Gen 9th แล้วล่ะก็ สิ่งที่ทำให้รุ่นนี้มีความโดดเด่นเลยก็คือ ราคา เพราะเปิดตัวมาในราคาเริ่มต้นที่ ประมาณ 11,xxx บาท ทำให้ใครหลายคนเกิดความสนใจขึ้น เพราะไม่เพียงแต่จะราคาย่อมเยา (ที่สุดในบรรดา iPad) แล้ว ยังมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่ได้รับการพัฒนาจาก Apple อีกด้วย ทั้งตั้วเครื่องยังออกแบบมาให้มีดีไซน์ที่ไม่หนาเกินไป และไม่บางจนเกินไป ด้วยหน้าจอขนาดค่อนข้างใหญ่ ทำให้ง่ายต่อการรับชมคอนเทนต์ รวมไปถึงในการใช้งานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์ ทำการบ้าน การทำงาน การอ่านหนังสือ หรือเล่นเกม ก็ครอบคลุมทุกการใช้งาน สำหรับสเปคที่ได้รับการพัฒนาจาก Apple นั้น มาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรกันบ้าง

pad1
credit: Apple
  • ตัวเครื่องมีด้วยกัน 2 สี ได้แก่ เทาสเปซเกรย์ และสีเงิน
  • หน้าจอเป็นแบบ Retina Display จอภาพ Multi‑Touch แบ็คไลท์แบบ LED ขนาด 10.2 นิ้ว ปรับความสว่างได้สูงสุด 500 nits มาพร้อมการแสดงผลแบบ True Tone
  • มีด้วยกัน 2 ความจุ ได้แก่ 64GB และ 256GB
  • ชิปประมวลผล A13 Bionic
  • ระบบปฏิบัติการ iPadOS 15
  • กล้องหลังเป็นเลนส์ไวด์ ความละเอียด 8MP, รูรับแสงขนาด ƒ/2.4, ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่า
  • กล้องหน้าอัลตร้าไวด์ ความละเอียด 12MP, รูรับแสงขนาด ƒ/2.4 มุมมองภาพ 122 องศา
  • รองรับ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.2 และรองรับสัญญาณ 4G ในรุ่น Wi‑Fi + Cellular
  • ปลดล็อกผ่าน Touch ID ที่ปุ่ม Home
  • รองรับฟีเจอร์ Center Stage เหมาะสำหรับการ FaceTime
  • รองรับการชาร์จผ่านพอร์ตการเชื่อมต่อ Lightning
  • รองรับปากกา Apple Pencil 1
  • ราคาเปิดตัว
    • รุ่น WiFi ความจุ 64GB ราคา 11,400 บาท
    • รุ่น WiFi ความจุ 256GB ราคา 16,900 บาท
    • รุ่น WiFi + Cellular ความจุ 64GB ราคา 16,400 บาท
    • รุ่น WiFi + Cellular ความจุ 256GB ราคา 21,900 บาท

iPad 9 กับ iPad 8 แตกต่างกันอย่างไร

f1600191751

สำหรับ iPad Gen 9th ที่เปิดตัวมามีราคาสูงกว่ารุ่นก่อนอย่าง iPad Gen 8th อยู่ประมาณ 500 บาทนั้น ความแตกต่างระหว่าง iPad Gen 9 และ iPad Gen 8 มีดังนี้

  • ราคาเปิดตัว โดย iPad Gen 8th นั้น เปิดตัวอยู่ที่ 10,900 บาท ส่วนรุ่นที่ 9 นั้น เปิดตัวอยู่ที่ 11,400 บาท
  • ความแตกต่างทางด้านชิปประมวลผล โดย iPad รุ่นที่ 8 จะใช้ชิปประมวลผล A12 Bionic แต่รุ่นที่ 9 นั้นจะใช้ชิปประมวลผล A13 Bionic ที่ใหม่กว่า มีประสิทธิภาพในการทำงานและการประหยัดพลังงานที่ทำได้ดีกว่า ทำให้ประสิทธิภาพดีขึ้นกว่า 20%
  • ความแตกต่างในด้านความจุ โดยใน iPad Gen 8th นั้นมีความจุมาให้เลือก 2 ขนาด คือ 32GB และ 128GB แต่ในรุ่นที่ 9 นั้น ให้ความจุมามากกว่า คือ 64GB และ 256GB ถือว่ามากกว่าถึง 2 เท่าเลยทีเดียว
  • ความแตกต่างในส่วนของกล้อง กล้องหลังมีความละเอียดที่เท่ากัน แต่ความแตกต่างจะอยู่ที่กล้องหน้า เพราะ iPad 9 นั้น ให้ความละเอียดของกล้องหน้าถึง 12MP ส่วนรุ่นที่ 8 กล้องหน้านั้นมีความละเอียดเพียง 1.2MP เท่านั้น มีความแตกต่างกันถึง 10 เท่าเลย แถมรุ่นที่ 9 ยังเป็นเลนส์อัลตราไวลด์ด้วย มาพร้อม Center Stage
  • ส่วนของหน้าจอ ทั้งสองรุ่น มีขนาดหน้าจอที่เท่ากัน ในรุ่นที่ 9 รองรับการแสดงผลแบบ True Tone ด้วย คือ มีฟีเจอร์ที่รับแสงบริเวณรอบๆ ทำให้การมองเห็นนั้น เหมาะสมกับสภาพแสง ณ ขณะนั้น

ในส่วนที่เหมือนกันนั่นก็คือ ปากกา การรองรับปากกา และสมาร์ทคีย์บอร์ด ก็ยังคงเหมือนกัน มีปุ่ม Touch ID เหมือนกัน ถือเป็น iPad รุ่นเดียวที่มีปุ่ม Home ในปัจจุบัน สัญญาณ Bluetooth ก็ยังคงเป้น 4.2 เช่นเดิม


เปรียบเทียบ iPad Gen 9th, iPad Mini 6 และ iPad Air 4

ipad mini 6 air4 9

สำหรับใครที่สนใจซื้อเจ้าไอแพดมินิรุ่นใหม่ล่าสุดตัวนี้อยู่ ก็คงจะอดเปรียบเทียบไม่ได้ สำหรับในสเปคที่ไม่ได้ทิ้งห่างกันมาก หรือในช่วงราคาใกล้ๆ กัน ว่าทั้งสามรุ่นอย่าง iPad Mini 6, iPad Gen 9th และ iPad Air 4 นั้น มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เพราะจะเสียเงินทั้งที ก็ต้องเลือกสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด เรามาดูความแตกต่างของทั้ง 3 รุ่นนี้กันเลย

สเปคiPad mini 6iPad Gen 9thiPad Air 4
ปีที่เปิดตัว202120212020
ดีไซน์และขนาดขนาด 195.4 x 134.8 x 6.3 มม.
ไม่มีปุ่ม Home
ขนาด 250.6 x 174.1 x 7.5 มม.
มีปุ่ม Home
ขนาด 247.6 x 178.5 x 6.1 มม.
ไม่มีปุ่ม Home
สีเทาสเปซเกรย์, ชมพู, ม่วง, สตาร์ไลท์เทาสเปซเกรย์, เงินเทาสเปซเกรย์, เงิน, โรสโกลด์, เขียว, สกายบลู
จอภาพLiquid Retina ขนาด 8.3 นิ้ว
ความละเอียด 2266 x 1488 พิกเซล
รีเฟรชเรท 60Hz
ความสว่าง 500 นิต
รองรับเทคโนโลยี True Tone
Retina Display ขนาด 10.2 นิ้ว
ความละเอียด 1620 x 2160 พิกเซล
รีเฟรชเรท 60Hz
ความสว่าง 500 นิต
รองรับเทคโนโลยี True Tone
Liquid Retina Display ขนาด 10.9 นิ้ว
ความละเอียด 1640 x 2390 พิกเซล
รีเฟรชเรท 60Hz
ความสว่าง 500 นิต
รองรับเทคโนโลยี True Tone
ปากการองรับปากกา Apple Pencil 2รองรับปากกา Apple Pencil 1รองรับปากกา Apple Pencil 2
ชิปประมวลผลApple A15 BionicApple A13 BionicApple A14 Bionic
ความจุ64GB
256GB
64GB
256GB
64GB
256GB
กล้องหลัง12MP, f/1.8
แฟลช 4 ดวง
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่ 60 fps
8MP, f/2.4
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p ที่ 25fps และ 30 fps
12MP f/1.8
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 4K ที่ 24 fps, 30 fps หรือ 60 fps
กล้องหน้า12MP, f/2.4
มุมกว้าง 122 องศา
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p ที่ 60 เฟรมต่อวินาที
12MP f/2.4
มุมกว้าง 122 องศา
ถ่ายวิดีโอสูงสุด 1080p ที่ 30 เฟรมต่อวินาที
7MP f/2.2
ถ่ายวิดีโอสูงสุด HD 1080p ที่ 60 fps
ลำโพงสเตอรีโอคู่สเตอรีโอเดี่ยว
สเตอรีโอคู่
การเชื่อมต่อWi‑Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax
Bluetooth 5.0
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac
Bluetooth 4.2
Wi‑Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax
Bluetooth 5.0
เครือข่ายที่รองรับ5G
ในรุ่น Wi-Fi + Cellular รองรับ Nano-SIM, eSIM
4G
ในรุ่น Wi-Fi + Cellular รองรับ Nano-SIM, eSIM
4G
ในรุ่น Wi-Fi + Cellular รองรับ Nano-SIM, eSIM
เซ็นเซอร์ปลดล็อกTouch ID ที่ปุ่ม Power ด้านข้างTouch ID ที่ปุ่ม HomeTouch ID ที่ปุ่ม Power ด้านข้าง
พอร์ตUSB Type-CLightningUSB Type-C
แบตเตอรี่19.3 วัตต์ต่อชั่วโมง32.4 วัตต์ต่อชั่วโมง28.6 วัตต์ต่อชั่วโมง
ราคาเปิดตัวรุ่น Wi-Fi ความจุ 64GB ราคา 17,900 บาท
รุ่น Wi-Fi ความจุ 256GB ราคา 23,400 บาท
รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 64GB ราคา 23,400 บาท
รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 256GB ราคา 28,900 บาท
รุ่น Wi-Fi ความจุ 64GB ราคา 11,400 บาท
รุ่น Wi-Fi ความจุ 256GB ราคา 16,400 บาท
รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 64GB ราคา 16,900 บาท
รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 256GB ราคา 21,900 บาท

รุ่น Wi-Fi ความจุ 64GB ราคา 19,900 บาท
รุ่น Wi-Fi ความจุ 256GB ราคา 24,900 บาท
รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 64GB ราคา 24,400 บาท
รุ่น Wi-Fi + Cellular ความจุ 256GB ราคา 29,400 บาท

สรุป

iPad Gen 9th นั้น ถือว่าเป็นไอแพดที่มีประสิทธิภาพการทำงานที่สูง เพราะใช้ชิปประมวลผล A13 Bionic ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นชิปตัวใหม่ล่าสุดจากทาง Apple แต่ประสิทธิภาพในการทำงานนั้นยังคงทำได้ดีเยี่ยม ไม่แพ้รุ่นอื่นๆ ในเรื่องของเราคา บอกเลยว่าได้เปรียบมากๆ เพราะถูกที่สุดในบรรดา iPad ที่ทาง Apple วางจำหน่าย ณ ขณะนี้แล้ว แถมยังมีฟีเจอร์อื่นๆ มากมาย เหมาะแก่ทั้งการดูหนัง ฟังเพลง การเรียน รวมไปถึงการทำงานด้วย ถ้าถามว่าแล้วใครเหมาะกับ iPad Gen 9th ก็ต้องบอกเลยว่าได้ทุกเพศทุกวัยจริงๆ ด้วยทั้งดีไซน์ที่ยังคงเอกลักษณ์ มีปุ่ม Home สามารถใช้งานได้ง่าย ราคาที่สามารถเอื้อมถึงได้ รองรับการใช้งานปากกาอย่าง Apple Pencil ด้วย แถมตัวเครื่องยังพกพาไปไหนมาไหนได้ง่าย ทำให้ถือว่าคุ้มสุดๆ ที่จะเลือกซื้อ iPad Gen 9th มาใช้งาน แต่สำหรับใครที่ยังลังเลระหว่างรุ่นนี้กับรุ่นอื่นๆ ทีมงานก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยเป็นหนึ่งในเหตุผลสำหรับการตัดสินใจซื้อได้ว่า เราเหมาะกับไอแพดรุ่นไหน ต้องการการทำงานที่มีประสิทธิภาพแต่ราคาประหยัด หรืออยากเปลี่ยนไปเลือกรุ่นอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่าแต่ราคาก็สูงตามไปด้วย


อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง/บทความเพิ่มเติม

iPad Mini 6
แอพคำนวณสารอาหาร แอพนับแคล
แอพฝึกพูดภาษาอังกฤษ
แอพบัญชีรายรับรายจ่าย
แอพล้างขยะ เคลียร์แรม
Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

Accessories review

ถ้าคุณเป็นครีเอเตอร์ Lexar Portable SSD SL400 คือไอเท็มสำคัญควรมีติดกระเป๋า! ในวงการหน่วยความจำแล้ว Lexar ก็เป็นผู้ผลิตหน่วยความจำระดับโลกซึ่งมีสินค้าหลากหลายแบบให้เลือกใช้ เช่น Lexar Portable SSD SL400 สำหรับครีเอเตอร์ยุคใหม่เจ้าของ iPhone 15 Pro และ 16 Pro Series ได้ถ่ายคลิปเก็บไอเดียสร้างสรรค์ไว้ทำงานต่อได้หรือพกคู่มือถือ Android...

Mac Corner

ขึ้นชื่อว่าเป็นไอโฟนเป็นใครอยากได้ ว่าด้วยราคาเครื่องจะจ่ายเงินสดรอบเดียวก็ยังได้แต่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องใช้เงินก้อนเมื่อไหร่ หลายคนจึงเลือกวิธีผ่อนไอโฟนทีละงวดไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 10 ถึง 30 เดือนก็มี ตามที่ร้านค้ากับธนาคารเจ้าของบัตรจะทำข้อตกลงกันไว้ ทำให้ลูกค้าได้เปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ได้ง่ายขึ้น และยังไม่รวมแคมเปญอื่นๆ จาก Apple กับตัวแทนจำหน่ายแต่ละเจ้าเอามาเป็นจุดจูงใจเพิ่มเติมอีกด้วย ข้อดีของการจ่ายเงินผ่อน นอกจากไม่ต้องลงเงินก้อนครั้งเดียวแต่เฉลี่ยจ่ายไปเรื่อยๆ จนครบได้แล้ว ยังมีเครื่องมือทางการเงินอีกหลายอย่างเข้ามาช่วยแบ่งเบาผู้ใช้ได้อีกมาก ไม่ว่าจะใช้แต้มในบัตรเครดิตหักลดราคาเครื่องก่อนผ่อนชำระได้, กดส่งโค้ดเอาแต้มกับเงินคืนไว้ใช้ในโอกาสอื่นได้ไม่พอ ในยุคนี้บางร้านค้ายังให้ผ่อนด้วยบัตรประชาชนใบเดียวได้อีก เป็นทางเลือกเพื่อคนไม่มีบัตรเครดิตแต่มีเงินในกระเป๋าแบ่งจ่ายค่าเครื่องได้สะดวกไม่แพ้กัน Advertisement ผ่อนไอโฟนวิธีไหนได้บ้าง?...

Mac Corner

พอ Apple เปิดตัว iPhone 16 Series เปิดตัว iPhone 15 ราคาก็ถูกลงตามกลไกการตลาด หลีกทางให้สินค้ารุ่นใหม่และเคลียร์สต็อกสินค้าเก่าไปด้วย ถึงจะตกรุ่นแล้วแต่ถ้าเป็นผู้ใช้ทั่วไปเน้น Social network, ถ่ายวิดีโอเก็บภาพความทรงจำและเล่นเกมบ้าง ไม่เน้น Apple Intelligence (AI) ตามสมัยนิยมเอาความแรงตัวชิปเซ็ตเข้าว่า ก็พูดได้ว่าราคาไอโฟน 15 ตอนนี้ก็คุ้มดีแล้วใช้เป็นมือถือเครื่องหลักไปได้อีกหลายปีก่อนจะหมดรอบการอัปเดต iOS...

Accessories review

VOLTME Revo 140 กับ VOLTME RUGG CTC 100W คอมโบสายและอะแดปเตอร์สุดเจ๋ง ชาร์จได้หมดทั้งโน๊ตบุ๊ค, แท็บเล็ตและมือถือ!! ถ้าเปิดกระเป๋ามานอกจากโน๊ตบุ๊คแล้ว หลายคนก็มีแท็บเล็ตกับสมาร์ทโฟนติดกระเป๋ากันแน่ๆ ดังนั้นอะแดปเตอร์อย่าง VOLTME Revo 140 กับสายชาร์จ VOLTME RUGG CTC 100W เลยเป็นไอเท็มคู่สำคัญควรมีติดกระเป๋าเอาไว้ให้อุ่นใจ ยิ่งใครใช้โน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงหรือ MacBook...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก