คงมีคนให้ความสนใจในส่วนของ iPad รุ่นล่าสุดจากทาง Apple อย่าง iPad Pro กันพอสมควรทีเดียว จากความสดใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนกับในฝั่งของ Apple ซึ่งที่ผ่านมาเราคงเคยเห็นแต่แท็บเล็ตระบบปฏิบัติการ Android จอยักษ์ๆ อย่าง Samsung Galaxy Note Pro มาก่อน ที่ก็ไม่ค่อนจะประสบความสำเร็จมากนัก (และอีกหลายๆ รุ่น) กับในส่วนของกลุ่มตลาดแท็บเล็ตที่หน้าจอใหญ่กว่า 10 นิ้ว สนนราคาก็เปิดตัวที่เริ่มต้น 30,900 บาท เรียกได้ว่าราคาสูงพอตัว ถ้าเรามองในมุมแท็บเล็ต
แต่การมาของ iPad Pro นั้นได้รับความสนใจอย่างมากทีเดียว ความจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่การที่ iPad Air ขยายร่างหรือเปล่านั้น ในบทความนี้ทีมงาน NotebookSPEC ก็จะมานำเสนอ “5 ความเด่นที่ทำให้ iPad Pro น่าโดน” จากการที่ได้มีโอกาสพรีวิวเบาๆ iPad Pro ที่หน้าร้าน iStudio by Comseven สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว ซึ่งต้องขอบคุณมาก ณ ที่นี้ด้วย
VDO Preview
Specification
iPad Pro มาพร้อมกับชิปประมวลผลเป็น Apple A9X ทำงานแบบ 64-bit ที่แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอ Retina Display ขนาดใหญ่ ให้มีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความสวยงามมากกว่าเดิม และเปลี่ยนเป็นพอร์ต Lightning หน้าตาใหม่แล้ว รวมไปถึงยังเสริมด้วยชิปประมวลผล Apple M9 ที่ช่วยในการทำงานของเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวลักษณะต่างๆ เรียกได้ว่า iPad Pro นั้นแรงกว่า iPhone, iPad ทั้งหมด เท่าที่เคยมีมาทีเดียว แน่นอนว่าในส่วนของสี ก็มีให้เลือกเหมือน iPad อื่นๆ คือ ทอง เงิน เทา
โดย iPad Pro แบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 32GB และมีอีกความจุก็คือ 128GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน iPad Pro Wi-Fi + Cellular นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G (ใช้ 3G, 4G ในเมืองไทยได้แน่นอน) ซึ่งในส่วนของความจุนั้น จะมีเพียงความจุ 128GB เท่านั้น ซึ่งรวมแล้ว iPad Pro นี้แบ่งออกเป็น 3 รุ่นด้วยกัน โดยมีราคาดังนี้
- iPad Pro Wi-Fi ความจุ 32GB ราคา 30,900 บาท
- iPad Pro Wi-Fi ความจุ 128GB ราคา 36,900 บาท
- iPad Pro Wi-Fi + Cellular ความจุ 128GB ราคา 36,900 บาท
จอใหญ่ไซส์ยักษ์ขนาด 12.9 นิ้ว
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลของ iPad Pro มีขนาด 12.9 นิ้ว โดยพื้นที่แสดงผลมากกว่าจอภาพของ iPad Air 2 ถึง 78% เทียบได้พอๆ กับการนำ iPad Air 2 มาต่อกัน ซึ่งถ้าเทียบหน้าจอของ MacBook Pro Retina 13 จะเกือบๆ กัน แต่จะเล็กกว่า MacBook Pro Retina 15 อยู่พอสมควร บนความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซล หรือ 264 พิกเซลต่อตารางนิ้ว (PPI) สัดส่วนจอเป็น 4:3 ตามาตรฐานของ iPad ทุกรุ่น เหมาะมากๆ ที่จะใช้อ่าน E-Book รวมไปถึงการทำงานแบบ 2 แอพพลิเคชั่นพร้อมกัน ที่สำคัญ iPad Pro รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คอนเทนต์บนหน้าจอไม่เคลื่อนไหว และจะลดอัตราการรีเฟรชลงครึ่งหนึ่งจาก 60 ครั้งเหลือเพียง 30 ครั้งต่อวินาที เพื่อการประหยัดพลังงาน
iPad Pro มีหน้าจอที่มีเทคโนโลยีล้ำที่สุด ซึ่งนอกจากจะได้จอภาพที่บางกว่าเดิมแล้ว ยังส่งผลดีต่อการแสดงผลด้วย สีสันที่ได้จากหน้าจอมีความสดใสยิ่งขึ้น คอนทราสต์จัดกว่าเดิม และที่สำคัญมีการเคลือบสารกันสะท้อน
บาง 6.9 มม. เบา 713 กรัม
ดีไซน์ของ iPad Pro โดยรวมแล้วคล้ายกับ iPad Air 2 ก็ว่าได้ จะแตกต่างก็แค่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนตัวดูแล้วก็ยังคงสวยเหมือนเดิม แต่มีความบางกว่าเดิมกว่าเดิมที่ 6.9 มิลลิเมตรเท่านั้น เข้าใจว่าด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น เลยทำเครื่องที่บางลงได้ด้วยการกระจายแบตเตอรี่ภายใน อย่างไรก็ตามในเรื่องของน้ำหนักก็ไม่ได้หนักจนเกินไปโดยอยู่ที่ 713 กรัมเท่านั้น (รุ่นที่เป็น Wi-Fi +Cellular จะมีน้ำหนักกว่าเล็กน้อยที่ 716 กรัม)
แค่ได้จับก็รู้สึกประทับใจแล้วสำหรับแท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 12.9 นิ้ว แต่การจับถือด้วยมือข้างเดียวนี่ทำได้สบายเลย แต่ก็เชื่อได้ถ้าถือนานต้องล้าแน่นอน ซึ่งตรงจุดนี้ iPad Pro คงไม่ได้ออกแบบมาให้ถือมือเดียวนานๆ แต่เน้นวางใช้หรือถือสองมือมากกว่า ความรู้สึกในการจับถือไปมา ตรงนี้ต้องชมการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบที่มีจุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างดี ให้ประสบการณ์ใช้งานและพกพาที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
ประสิทธิภาพสูงระดับ Desktop
สำหรับความลื่นไหลและความเสถียรของ iOS 9.1.1 บน iPad Pro นั้นต้องบอกว่าหายห่วง เรียกได้ว่าเข้ากันได้ระหว่างซอฟท์แวร์กับฮาร์ดแวร์จึงค่อนข้างดีสมบูรณ์การใช้งานอยู่ในระดับที่ลื่น – ลื่นมาก จากการที่ใช้ชิปประมวลผล A9X พร้อมสถาปัตยกรรม 64 บิตระดับเดสก์ท็อป จึงทำให้ iPad Pro สามารถจัดการกับงานต่างๆ ที่แต่เดิมต้องเก็บไว้ทำบน Workstation หรือ PC เท่านั้นได้สบายๆ หรือแม้แต่ งานที่เราไม่เคยคิดจะทำบน PC ปกติเลยด้วยซ้ำ อย่างโปรเซสภาพนิ่งความละเอียดสูง หรือตัดต่อวีดีโอความละเอียด Ultra HD 4K ในส่วนของ iPad Pro ก็ตอบสนองการทำงานได้เป็นอย่างดี จัดว่าเป็นอุปกรณ์ iDevice ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็ได้
ส่วนแอพพลิเคชั่นการใช้งานอื่นๆ ก็เหมือนกับ iPad ปกติทั่วไป ไม่มีอาการหน่วง หรือแอพเด้งกวนใจแน่นอน เพราะจุดแข็งของ iOS ก็คือเรื่องความเข้ากันได้ของแอพพลิเคชันกับตัวระบบปฏิบัติการ แต่แอพพลิเตชั่นที่รองรับ iPad Pro โดยเฉพาะ เชื่อได้ว่าจะตามมาในอนาคตอีกเยอะ
ลำโพง 4 ตัวคุณภาพเยี่ยมยอด
ลำโพงที่ติดตั้งมาใน iPad Pro ถือว่าเป็นลำโพงระบบ 4 ตัวรุ่นแรกของ iPad ตั้งแต่มี iPad มา โดยจากเท่าที่ทดลองฟัง พบว่ามีความแตกต่างจากลำโพงใน iDevice ตัวอื่นๆ เล็กน้อย ด้วยการออกแบบการให้เสียงที่โดดเด่น คือ ไม่ว่าเราจะใช้งานแนวนอนหรือแนวตั้ง เสียงทุ้มจะเปลี่ยนมาด้านบนเสมอ ส่วนด้านล่างจะเป็นเสียงกลางกับแหลม เรียกได้ว่าเปลี่ยนแบบวินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียว จากการที่ใช้เซ็นเซอร์ไจโร (เซ็นเซอร์ที่มีไว้สำหรับตรวจจับลักษณะการหมุนของสมาร์ทโฟน โดยเป็นการตรวจจับแบบ 3 แกน) ในการช่วยประมวลผลการทำงาน
ทำให้ประสบการณ์การใช้งานในเรื่องของความบันเทิงไม่ว่าจะเป็นการดูหนังฟังเพลงที่สุดยอด หรือแอพพลิเคชั่นรวมถึงการเล่นเกมต่างๆ นั้นสมบูรณ์แบบกว่าที่เคย เรียกได้ว่าแตกต่างจาก iPad รุ่นอื่นๆ พอตัว เพราะปกติแล้ว iPad Air 2 จะมี
Apple Pencil และ Smart Keyboard
ทางด้าน Apple Pencil นั้นก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีกับประสบการณ์ใช้งานที่เยี่ยมยอดของการวาด ขีด เขียน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และการที่สามารถจะเสียบเข้ากับพอร์ท Lightning เพื่อทำการชาร์จได้เลยนั้นก็ถือว่าเป็นจุดเด่นจุดหนึ่ง อย่างไรก็ตามตัวเครื่องไม่มีช่องเก็บ Apple Pencil มาให้ด้วย ทำให้บางครั้งผู้ใช้อาจจะเผลอลืม Apple Pencil ได้ ซึ่งตรงนี้นั้นอาจจะต้องรอ Apple ออก Cover ที่มาพร้อมกับช่องเก็บ Apple Pencil ในตัวในอนาคต ส่วน Smart Keyboard ที่เชื่อมต่อผ่านทาง Smart Connecter ก็ลงตัวอย่างดีในด้านของดีไซน์ และการเป็น Cover ในตัว แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มี Trackpad มาให้ จะได้ใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น (จริงๆ iOS ก็ยังไม่รองรับตรงจุดนี้)
Conclusion
iPad Pro นั้นมาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก แถมด้วยความสามารถในการใช้งานแบบ multitasking interface นั้นก็สะดวกเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่มีมาด้วยนั้นทำให้มันอยู่เหนือกว่า iPad รุ่นอื่นๆ ทั้งหมดเท่าที่เคยมีมา แต่ตอนนี้ก็ไม่ถึงขั้นที่จะแทนที่โน๊ตบุ๊คได้แต่อย่างใด จากข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน
เอาเป็นว่า iPad Pro น่าจะทำให้ผู้ใช้งานหลายๆ คนโดยเฉพาะแฟนๆ ของ Apple ชอบมันได้อย่างไม่ยากเย็นมากนัก และยิ่งกับคนที่นำ iPad Pro มาใช้งานทางด้านกราฟิกเป็นสำคัญแล้วบอกได้เลยว่า iPad Pro และ Apple Pencil ทำงานเข้าขากันได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นเอง ตัวเขาก็คงจะยังไม่ซื้อ iPad Pro มาใช้งานอยู่ดีและก็แนะนำว่าผู้ใช้ในระดับกลางๆ ธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องซื้อ iPad Pro ที่มีราคาสูงขนาดนั้นมาใช้งานด้วย แต่ก็เหมาะสุดๆ สำหรับศิลปินที่สร้างงาน สร้างรายได้ จากงานศิลป์แบบสุดๆ
จริงๆ แล้ว iPad Pro นั้นหากมองว่าเป็นแท็บเล็ตล่ะก็ถือว่ามันเป็นแท็บเล็ตที่ดีมากตัวหนึ่งเลยทีเดียวเท่าที่ Apple เคยทำการผลิตออกมา แต่คงต้องให้เวลา Apple พัฒนาซอฟต์แวร์ (รวมไปถึงผู้พัฒนารายนอกในการอัพเดทแอปพลิเคชัน) ให้เหมาะสมกับ iPad Pro มากกว่านี้นิดหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้น iPad Pro อาจจะก้าวเข้ามาแทนที่โน๊ตบุ๊คอย่างที่ Tim Cook ประกาศไว้จริงๆ ก็ได้
ข้อสังเกตุใหญ่สุดของ iPad Pro ก็คือ อุปกรณ์เสริมทั้ง 2 อย่าง Apple Pencil และ Smart Keyboard นั้นขายแยกต่างหากในราคาที่สุดแสนจะแพง (รวมกันเป็นหมื่นบาท) ตกแล้วถ้าจะใช้ในครบๆ ต้องเตรียมเงินมากกว่า 40,000 – 50,000 บาททีเดียว
VDO Preview
Specification
iPad Pro มาพร้อมกับชิปประมวลผลเป็น Apple A9X ทำงานแบบ 64-bit ที่แน่นอนว่าในส่วนของการประมวลผลกราฟิกที่เพิ่มขึ้นนี้ต้องทำมารองรับการทำงานกับหน้าจอ Retina Display ขนาดใหญ่ ให้มีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงระบบการทำงานของเกม 3 มิติ ต่างๆ ที่จะให้ภาพที่แสดงออกมานั้นมีความสวยงามมากกว่าเดิม และเปลี่ยนเป็นพอร์ต Lightning หน้าตาใหม่แล้ว รวมไปถึงยังเสริมด้วยชิปประมวลผล Apple M9 ที่ช่วยในการทำงานของเซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวลักษณะต่างๆ เรียกได้ว่า iPad Pro นั้นแรงกว่า iPhone, iPad ทั้งหมด เท่าที่เคยมีมาทีเดียว แน่นอนว่าในส่วนของสี ก็มีให้เลือกเหมือน iPad อื่นๆ คือ ทอง เงิน เทา
โดย iPad Pro แบ่งเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาถูกสุดก็คือตัว Wi-Fi 32GB และมีอีกความจุก็คือ 128GB ซึ่งเราก็ต้องเลือกตามลักษณะการใช้งานของเรานะครับ ว่าต้องการความจุมาขนาดไหน หรือถ้าใครจำเป็นต้องนำ iPad ไปใช้งานนอกสถานที่บ่อยๆ แล้วล่ะก็ ทาง Apple ก็จัดรุ่นที่รองรับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายไว้ให้ โดยใน iPad Pro Wi-Fi + Cellular นี้ สนับสนุนการใข้งานระดับ 4G (ใช้ 3G, 4G ในเมืองไทยได้แน่นอน) ซึ่งในส่วนของความจุนั้น จะมีเพียงความจุ 128GB เท่านั้น ซึ่งรวมแล้ว iPad Pro นี้แบ่งออกเป็น 3 รุ่นด้วยกัน โดยมีราคาดังนี้
- iPad Pro Wi-Fi ความจุ 32GB ราคา 30,900 บาท
- iPad Pro Wi-Fi ความจุ 128GB ราคา 36,900 บาท
- iPad Pro Wi-Fi + Cellular ความจุ 128GB ราคา 36,900 บาท
จอใหญ่ไซส์ยักษ์ขนาด 12.9 นิ้ว
ในส่วนของหน้าจอแสดงผลของ iPad Pro มีขนาด 12.9 นิ้ว โดยพื้นที่แสดงผลมากกว่าจอภาพของ iPad Air 2 ถึง 78% เทียบได้พอๆ กับการนำ iPad Air 2 มาต่อกัน ซึ่งถ้าเทียบหน้าจอของ MacBook Pro Retina 13 จะเกือบๆ กัน แต่จะเล็กกว่า MacBook Pro Retina 15 อยู่พอสมควร บนความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซล หรือ 264 พิกเซลต่อตารางนิ้ว (PPI) สัดส่วนจอเป็น 4:3 ตามาตรฐานของ iPad ทุกรุ่น เหมาะมากๆ ที่จะใช้อ่าน E-Book รวมไปถึงการทำงานแบบ 2 แอพพลิเคชั่นพร้อมกัน ที่สำคัญ iPad Pro รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คอนเทนต์บนหน้าจอไม่เคลื่อนไหว และจะลดอัตราการรีเฟรชลงครึ่งหนึ่งจาก 60 ครั้งเหลือเพียง 30 ครั้งต่อวินาที เพื่อการประหยัดพลังงาน
iPad Pro มีหน้าจอที่มีเทคโนโลยีล้ำที่สุด ซึ่งนอกจากจะได้จอภาพที่บางกว่าเดิมแล้ว ยังส่งผลดีต่อการแสดงผลด้วย สีสันที่ได้จากหน้าจอมีความสดใสยิ่งขึ้น คอนทราสต์จัดกว่าเดิม และที่สำคัญมีการเคลือบสารกันสะท้อน
บาง 6.9 มม. เบา 713 กรัม
ดีไซน์ของ iPad Pro โดยรวมแล้วคล้ายกับ iPad Air 2 ก็ว่าได้ จะแตกต่างก็แค่ขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่าเท่านั้น ซึ่งโดยส่วนตัวดูแล้วก็ยังคงสวยเหมือนเดิม แต่มีความบางกว่าเดิมกว่าเดิมที่ 6.9 มิลลิเมตรเท่านั้น เข้าใจว่าด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น เลยทำเครื่องที่บางลงได้ด้วยการกระจายแบตเตอรี่ภายใน อย่างไรก็ตามในเรื่องของน้ำหนักก็ไม่ได้หนักจนเกินไปโดยอยู่ที่ 713 กรัมเท่านั้น (รุ่นที่เป็น Wi-Fi +Cellular จะมีน้ำหนักกว่าเล็กน้อยที่ 716 กรัม)
แค่ได้จับก็รู้สึกประทับใจแล้วสำหรับแท็บเล็ตขนาดหน้าจอ 12.9 นิ้ว แต่การจับถือด้วยมือข้างเดียวนี่ทำได้สบายเลย แต่ก็เชื่อได้ถ้าถือนานต้องล้าแน่นอน ซึ่งตรงจุดนี้ iPad Pro คงไม่ได้ออกแบบมาให้ถือมือเดียวนานๆ แต่เน้นวางใช้หรือถือสองมือมากกว่า ความรู้สึกในการจับถือไปมา ตรงนี้ต้องชมการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบที่มีจุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างดี ให้ประสบการณ์ใช้งานและพกพาที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
ประสิทธิภาพสูงระดับ Desktop
สำหรับความลื่นไหลและความเสถียรของ iOS 9.1.1 บน iPad Pro นั้นต้องบอกว่าหายห่วง เรียกได้ว่าเข้ากันได้ระหว่างซอฟท์แวร์กับฮาร์ดแวร์จึงค่อนข้างดีสมบูรณ์การใช้งานอยู่ในระดับที่ลื่น – ลื่นมาก จากการที่ใช้ชิปประมวลผล A9X พร้อมสถาปัตยกรรม 64 บิตระดับเดสก์ท็อป จึงทำให้ iPad Pro สามารถจัดการกับงานต่างๆ ที่แต่เดิมต้องเก็บไว้ทำบน Workstation หรือ PC เท่านั้นได้สบายๆ หรือแม้แต่ งานที่เราไม่เคยคิดจะทำบน PC ปกติเลยด้วยซ้ำ อย่างโปรเซสภาพนิ่งความละเอียดสูง หรือตัดต่อวีดีโอความละเอียด Ultra HD 4K ในส่วนของ iPad Pro ก็ตอบสนองการทำงานได้เป็นอย่างดี จัดว่าเป็นอุปกรณ์ iDevice ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็ได้
ส่วนแอพพลิเคชั่นการใช้งานอื่นๆ ก็เหมือนกับ iPad ปกติทั่วไป ไม่มีอาการหน่วง หรือแอพเด้งกวนใจแน่นอน เพราะจุดแข็งของ iOS ก็คือเรื่องความเข้ากันได้ของแอพพลิเคชันกับตัวระบบปฏิบัติการ แต่แอพพลิเตชั่นที่รองรับ iPad Pro โดยเฉพาะ เชื่อได้ว่าจะตามมาในอนาคตอีกเยอะ
ลำโพง 4 ตัวคุณภาพเยี่ยมยอด
ลำโพงที่ติดตั้งมาใน iPad Pro ถือว่าเป็นลำโพงระบบ 4 ตัวรุ่นแรกของ iPad ตั้งแต่มี iPad มา โดยจากเท่าที่ทดลองฟัง พบว่ามีความแตกต่างจากลำโพงใน iDevice ตัวอื่นๆ เล็กน้อย ด้วยการออกแบบการให้เสียงที่โดดเด่น คือ ไม่ว่าเราจะใช้งานแนวนอนหรือแนวตั้ง เสียงทุ้มจะเปลี่ยนมาด้านบนเสมอ ส่วนด้านล่างจะเป็นเสียงกลางกับแหลม เรียกได้ว่าเปลี่ยนแบบวินาทีต่อวินาทีเลยทีเดียว จากการที่ใช้เซ็นเซอร์ไจโร (เซ็นเซอร์ที่มีไว้สำหรับตรวจจับลักษณะการหมุนของสมาร์ทโฟน โดยเป็นการตรวจจับแบบ 3 แกน) ในการช่วยประมวลผลการทำงาน
ทำให้ประสบการณ์การใช้งานในเรื่องของความบันเทิงไม่ว่าจะเป็นการดูหนังฟังเพลงที่สุดยอด หรือแอพพลิเคชั่นรวมถึงการเล่นเกมต่างๆ นั้นสมบูรณ์แบบกว่าที่เคย เรียกได้ว่าแตกต่างจาก iPad รุ่นอื่นๆ พอตัว เพราะปกติแล้ว iPad Air 2 จะมี
Apple Pencil และ Smart Keyboard
ทางด้าน Apple Pencil นั้นก็สามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีกับประสบการณ์ใช้งานที่เยี่ยมยอดของการวาด ขีด เขียน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และการที่สามารถจะเสียบเข้ากับพอร์ท Lightning เพื่อทำการชาร์จได้เลยนั้นก็ถือว่าเป็นจุดเด่นจุดหนึ่ง อย่างไรก็ตามตัวเครื่องไม่มีช่องเก็บ Apple Pencil มาให้ด้วย ทำให้บางครั้งผู้ใช้อาจจะเผลอลืม Apple Pencil ได้ ซึ่งตรงนี้นั้นอาจจะต้องรอ Apple ออก Cover ที่มาพร้อมกับช่องเก็บ Apple Pencil ในตัวในอนาคต ส่วน Smart Keyboard ที่เชื่อมต่อผ่านทาง Smart Connecter ก็ลงตัวอย่างดีในด้านของดีไซน์ และการเป็น Cover ในตัว แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มี Trackpad มาให้ จะได้ใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น (จริงๆ iOS ก็ยังไม่รองรับตรงจุดนี้)
Conclusion
iPad Pro นั้นมาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก แถมด้วยความสามารถในการใช้งานแบบ multitasking interface นั้นก็สะดวกเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่มีมาด้วยนั้นทำให้มันอยู่เหนือกว่า iPad รุ่นอื่นๆ ทั้งหมดเท่าที่เคยมีมา แต่ตอนนี้ก็ไม่ถึงขั้นที่จะแทนที่โน๊ตบุ๊คได้แต่อย่างใด จากข้อจำกัดในหลายๆ ด้าน
เอาเป็นว่า iPad Pro น่าจะทำให้ผู้ใช้งานหลายๆ คนโดยเฉพาะแฟนๆ ของ Apple ชอบมันได้อย่างไม่ยากเย็นมากนัก และยิ่งกับคนที่นำ iPad Pro มาใช้งานทางด้านกราฟิกเป็นสำคัญแล้วบอกได้เลยว่า iPad Pro และ Apple Pencil ทำงานเข้าขากันได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงกระนั้นเอง ตัวเขาก็คงจะยังไม่ซื้อ iPad Pro มาใช้งานอยู่ดีและก็แนะนำว่าผู้ใช้ในระดับกลางๆ ธรรมดาทั่วไปก็ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องซื้อ iPad Pro ที่มีราคาสูงขนาดนั้นมาใช้งานด้วย แต่ก็เหมาะสุดๆ สำหรับศิลปินที่สร้างงาน สร้างรายได้ จากงานศิลป์แบบสุดๆ
จริงๆ แล้ว iPad Pro นั้นหากมองว่าเป็นแท็บเล็ตล่ะก็ถือว่ามันเป็นแท็บเล็ตที่ดีมากตัวหนึ่งเลยทีเดียวเท่าที่ Apple เคยทำการผลิตออกมา แต่คงต้องให้เวลา Apple พัฒนาซอฟต์แวร์ (รวมไปถึงผู้พัฒนารายนอกในการอัพเดทแอปพลิเคชัน) ให้เหมาะสมกับ iPad Pro มากกว่านี้นิดหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้น iPad Pro อาจจะก้าวเข้ามาแทนที่โน๊ตบุ๊คอย่างที่ Tim Cook ประกาศไว้จริงๆ ก็ได้
ข้อสังเกตุใหญ่สุดของ iPad Pro ก็คือ อุปกรณ์เสริมทั้ง 2 อย่าง Apple Pencil และ Smart Keyboard นั้นขายแยกต่างหากในราคาที่สุดแสนจะแพง (รวมกันเป็นหมื่นบาท) ตกแล้วถ้าจะใช้ในครบๆ ต้องเตรียมเงินมากกว่า 40,000 – 50,000 บาททีเดียว