
ตลาดการ์ดจอเกมอาจกำลังเดินกลับเข้าสู่สถานการณ์ที่เกมเมอร์หลายคนไม่อยากเจอซ้ำอีกครั้ง หลังมีรายงานล่าสุดระบุว่า วิกฤต DRAM ทั่วโลก กำลังเริ่มส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายการผลิตการ์ดจอของ NVIDIA โดยเฉพาะกลุ่ม GeForce RTX 50 ซึ่งเป็นซีรีส์หลักสำหรับตลาดเกมในช่วงปี 2025 – 2026
แหล่งข่าวจากฝั่งซัพพลายเชนหลายแห่งระบุไปในทิศทางเดียวกันว่า NVIDIA เตรียม ลดกำลังผลิตการ์ดจอเกมลงถึง 30–40% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 เพื่อโยกทรัพยากรไปโฟกัสตลาดที่ทำกำไรได้สูงกว่าอย่าง AI และ data center ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการ์ดจอขาดตลาดและราคาพุ่งแบบที่เคยเกิดขึ้นในช่วงปี 2020–2021
RTX 50 Super ถูกยกเลิก แผนเพิ่ม VRAM ต้องพับเก็บ
เดิมที NVIDIA มีแผนเปิดตัว GeForce RTX 50 Super ซึ่งถูกคาดหวังว่าจะเป็นรุ่นที่เพิ่มปริมาณ VRAM ขึ้นประมาณ 50% โดยยังคงระดับราคาเดิม เพื่อแก้ปัญหาการ์ดจอ VRAM ไม่พอในเกมยุคใหม่ และเพิ่มความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้งานในปี 2026
อย่างไรก็ตาม จากรายงานล่าสุด แผนดังกล่าว ถูกยกเลิกทั้งหมด ทั้งในฝั่งการ์ดจอเดสก์ท็อปและ GPU สำหรับโน้ตบุ๊ก สาเหตุหลักมาจาก ภาวะขาดแคลน DRAM ที่ทำให้ต้นทุนพุ่งสูงเกินกว่าจะควบคุมได้ หากยังเดินหน้าเปิดตัวรุ่น Super ต่อไป
ผลลัพธ์คือในเจเนอเรชัน RTX 50 นี้ ผู้ใช้จะไม่ได้เห็นรุ่นที่เพิ่ม VRAM ในราคาที่จับต้องได้อย่างที่คาดหวังไว้แต่แรก
NVIDIA เตรียมลดการผลิต GeForce RTX สูงสุด 40%
รายงานจาก Board Channels และ Benchlife ระบุว่า NVIDIA มีแผน ลดกำลังการผลิตการ์ดจอเกม GeForce RTX ลงราว 30 – 40% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้ VRAM ขนาด 16GB ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุน DRAM มากที่สุด
รุ่นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนัก ได้แก่
- GeForce RTX 5060 Ti 16GB
- GeForce RTX 5070 Ti
การลดการผลิตครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากยอดขายตกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของ NVIDIA ที่ต้องการ นำกำลังการผลิตไปใช้กับ GPU สำหรับเซิร์ฟเวอร์และ AI ซึ่งให้กำไรต่อชิ้นสูงกว่าการ์ดจอเกมหลายเท่า
ตลาดเกมอาจไม่ใช่ความสำคัญอันดับแรกของ NVIDIA ในปี 2026
แหล่งข่าวระบุว่า NVIDIA ประเมินว่าความต้องการการ์ดจอเกมในปี 2026 จะลดลงจากปี 2025 เนื่องจาก
- ไม่มีเกมฟอร์มยักษ์ที่ต้องการฮาร์ดแวร์ใหม่แบบก้าวกระโดด
- ไม่มีสถาปัตยกรรม GPU ใหม่ในระดับ “เปลี่ยนยุค”
- ตลาดเกมพีซีเริ่มอิ่มตัวในหลายประเทศ
แต่ถึงอย่างนั้น การลดกำลังผลิตในระดับ เกือบครึ่งหนึ่งของตลาด ก็ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่รุนแรง และอาจส่งผลกระทบต่อซัพพลายจริงมากกว่าที่ NVIDIA ประเมินไว้
เสี่ยงเกิด “การ์ดจอขาดตลาด” และราคาพุ่งซ้ำรอยปี 2020
เมื่อซัพพลายลดลงในขณะที่ตลาดยังมีความต้องการอยู่ แม้จะไม่สูงเท่าช่วงโควิด สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือ
- สินค้ามีจำนวนจำกัด
- ร้านค้าต้องจัดสรรโควตา
- ราคาปรับตัวสูงขึ้นจาก MSRP
สถานการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่า วิกฤตการ์ดจอขาดตลาดแบบปี 2020 อาจกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ไม่ได้เกิดจากเหมืองขุดคริปโต แต่เกิดจาก การแข่งขันแย่งทรัพยากร DRAM ระหว่างตลาดเกมกับตลาด AI
วิกฤต DRAM ต้นตอปัญหาทั้งหมดมาจาก AI
นักวิเคราะห์หลายสำนักมองตรงกันว่า ต้นเหตุหลักของวิกฤต DRAM รอบนี้คืออุตสาหกรรม AI โดยเฉพาะความต้องการหน่วยความจำจำนวนมหาศาลจากบริษัทอย่าง OpenAI และผู้ให้บริการ AI รายใหญ่ทั่วโลก
ผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2026 ได้แก่
- โน้ตบุ๊กมีราคาสูงขึ้นอย่างน้อย 20%
- โน้ตบุ๊ก RAM 8GB เริ่มกลับมาเป็นมาตรฐาน
- สมาร์ตโฟน RAM 4GB อาจกลับเข้าสู่ตลาดอีกครั้ง
- อุปกรณ์เกมอย่าง Nintendo Switch รุ่นใหม่ หรือ Steam Machine มีต้นทุนสูงขึ้น
แม้จะยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ แต่หากคิดเป็นบริบทตลาดไทย การขึ้นราคาประมาณ 20% หมายความว่า
- โน้ตบุ๊กระดับ 30,000 บาท อาจขยับเป็นราว 36,000 บาท
- การ์ดจอระดับกลางที่เคยอยู่ช่วง 15,000 – 18,000 บาท อาจทะลุ 20,000 บาท ได้ไม่ยาก
ผู้บริโภคควรเตรียมตัวยังไงดี
สำหรับเกมเมอร์และผู้ใช้งานพีซีทั่วไป สิ่งที่ควรพิจารณาในช่วงปลายปี 2025 ต่อเนื่องถึงปี 2026 คือ
- หากจำเป็นต้องอัปเกรด ควรจับจังหวะซื้อก่อนซัพพลายเริ่มตึง
- อย่าคาดหวังว่าการ์ดจอ VRAM เยอะราคาถูกจะมาในเร็ววัน
- การ์ดจอรุ่นปัจจุบันอาจมีมูลค่าสูงขึ้นในตลาดมือสอง
สถานการณ์นี้สะท้อนชัดเจนว่า ตลาดฮาร์ดแวร์พีซีไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยเกมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ถูกกำหนดทิศทางโดย AI และ data center เป็นหลัก
สรุปภาพรวมสถานการณ์ RTX 50 ในปี 2026
แม้ NVIDIA จะยังไม่ออกมายืนยันข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่จากทิศทางของซัพพลายเชนและตลาด DRAM ในปัจจุบัน ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่า
- RTX 50 จะมีจำนวนจำกัดมากขึ้น
- รุ่นที่ VRAM สูงจะหายาก
- ราคามีแนวโน้มปรับขึ้น
ปี 2026 อาจไม่ใช่ปีที่เหมาะสำหรับการรอ “การ์ดจอคุ้ม ๆ” อีกต่อไป และเกมเมอร์อาจต้องเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตลาดฮาร์ดแวร์อีกระลอก
ที่มา: notebookcheck





