Connect with us

Hi, what are you looking for?

CONTENT

8 โปรแกรมเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ HDD บนระบบปฎิบัติการ Windows

HDD หรือแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานหมุนยังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่พอใช้ไปนานๆ แล้วกลับช้าลงอย่างเห็นได้ชัด มาดูกันว่าจะมีโปรแกรมอะไรบ้างช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกับ HDD ได้บ้าง

HDD
8 โปรแกรมเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานหมุนหรือ HDD

แม้ว่าในปัจจุบันเราๆ ท่านๆ จะเปลี่ยนมาใช้แหล่งเก็บข้อมูลแบบ Solid state drive(SSD) หรือแหล่งเก็บข้อมูลแบบที่ใช้ชิปหน่วยความจำ(NAND) กันมากขึ้นเพราะความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสูงมากกว่าแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานหมุนหรือ Hard disk drive(HDD) แต่ก็ไม่สามารถที่จะปฎิเสธได้เลยว่ายังคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD อยู่ในปัจจุบัน

สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจากราคาต่อพื้นที่ความจุเฉลี่ยของ HDD นั้นคุ้มค่ากว่า SDD เป็นอย่างมาก หลายท่านเลือกที่จะใช้ SSD สำหรับเก็บระบบปฎิบัติการแล้วก็ซื้อ HDD อีกตัว(หรือมากกว่า) มาไว้สำหรับเก็บข้อมูลส่วนอื่นที่ต้องการเพราะราคาคุ้มค่ามากกว่า

Advertisement

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD อยู่หนึ่งอย่างนั่นก็คือหากใช้ไปเป็นระยะเวลานานมากๆ แล้วนั้นจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่าความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลนั้นลดลงอย่างเห็นได้ชัด(จริงๆ แล้ว SSD ก็เป็นเหมือนกันแต่จะสังเกตเห็นได้น้อยกว่า HDD) ในบทความนี้เราจึงอยากจะแนะนำว่า HDD นั้นทำงานอย่างไร, ทำไมใช้งานไปนานๆ แล้วถึงได้ประสิทธิภาพลดลงและ 8 โปรแกรมที่จะช่วยให้คุณเพิ่มประสิทธิภาพ HDD กลับมาได้กัน จะมีอะไรบ้างนั้นไปติดตามกันได้เลย



HDD หรือแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานหมุนทำงานอย่างไร

how hard disk drives work 1

จริงๆ แล้วหลักการทำงานของแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(จานหมุนหรือ HDD) นั้นสามารถอธิบายกันได้แบบข้ามวันกันเลยทีเดียวเนื่องจากแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(จานหมุนหรือ HDD) นั้นมีประวัติในการพัฒนามาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นเพื่อที่ให้ทุกท่านสามารถที่จะเข้าใจถึงกระบวนการและปัญหาที่ก่อให้เกิดผลกระทบกับประสิทธิภาพของแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(จานหมุนหรือ HDD) ได้มากที่สุด ทางเราจึงขออธิบายข้อมูลเบื้องต้นดังต่อไปนี้

แหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(จานหมุนหรือ HDD) ถูกนำมาใช้ในคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ยุคประมาณกลางทศวรรษที่ 1980 ซึ่งแน่นอนว่าเทคโนโลยีของการพัฒนาและผลิตแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(จานหมุนหรือ HDD) ได้ก้าวหน้าไปมาก ทว่าวิธีการทำงานของแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(จานหมุนหรือ HDD) ยังคงเหมือนเดิม

โดยพื้นฐานแล้ว แหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(จานหมุนหรือ HDD) จะเก็บข้อมูลไว้มากมายบนจานแม่เหล็ก ข้อมูลจะถูกอ่านและเขียนโดยใช้แขนและหัวอ่าน-เขียน

เพื่อให้ทำงานได้ตามปกติ Windows จำเป็นต้องสื่อสารกับแหล่งเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลาเพราะต้องมีการอ่านและเขียนข้อมูลอยู่ตลอด เพื่อให้กระบวนการดังกล่าวง่ายขึ้นจึงได้มีการพัฒนากระบวนการที่เรียกว่าการแยกส่วน(fragmentation) ซึ่งเป็นการแยกส่วนของพื้นที่ในการเก็บข้อมูลบนจานแม่เหล็ก(ที่อยู่ใน HDD ออกเป็นส่วนๆ)

แหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(จานหมุนหรือ HDD) ของคุณอาจบันทึกไฟล์บางส่วนไว้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งของอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล ในขณะที่ส่วนที่เหลืออยู่ในพื้นที่อื่นบนอุปกรณ์(ซึ่งอาจจะอยู่บนจานแม่เหล็กเดียวกันหรือคนละจานแม่หล็กก็ได้ ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีของแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็กนั้นๆ)  แน่นอนว่าเมื่อคุณเปิดไฟล์ใดๆ ก็ตามจะมีการสั่งงานให้แหล่งเก็บข้อมูลแบบจานแม่เหล็ก(จานหมุนหรือ HDD) ดึงชิ้นส่วนข้อมูลทั้งหมดที่กระจายไปอยู่ในแต่ละพื้นที่มารวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เหลือของคุณสามารถใช้งานได้แบบต่อเนื่อง


การกระจายตัวของข้อมูลหรือ Fragmentation คืออะไร

fragmentation 2 files 600x301 1

ระบบการจัดเก็บข้อมูลในแหล่งเก็บข้อมูลทั้งแบบ HDD และ SSD นั้นจะคล้ายๆ กันก็คือทำการจัดเก็บข้องมูลโดยแบ่งไฟล์ข้อมูลทั้งหมดเป็นชิ้นๆ ย่อยๆ แล้วทำการเก็บไว้ในตำแหน่งที่อยู่บนแหล่งเก็บข้อมูล หากแหล่งเก็บข้อมูลของคุณเป็นของใหม่แล้วล่ะก็พื้นที่ที่ถูกแบ่งเป็นชิ้นๆ สำหรับในการจัดเก็บข้อมูลนั้นจะมีที่ว่างเหลือเฟือทำให้การอ่านและเขียนข้อมูลนั้นสามารถกระโดดไปมาระหว่างชิ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณได้ทำการติดตั้งโปรแกรมมากขึ้น, ดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมากและลบบางโปรแกรมออก คุณจะทำลายความต่อเนื่องของพื้นที่ว่างที่ถูกแบ่งเป็นชิ้นๆ นั้นๆ

จำลองภาพง่ายๆ ให้คุณเห็นชัดๆ ก็คือเวลาที่คุณแต่งตัวแล้วมีการจัดเก็บเสื้อ, กางเกง ฯลฯ แยกที่กัน กว่าคุณจะแต่งตัวครบได้นั้นก็จะใช้เวลานานมากกว่าที่คุณเก็บทุกอย่างไว้ในห้องเดียวกัน การกระจายของข้อมูลนั้นก็เป็นแบบเดียวกันนี้ยิ่งมีการจัดเก็บชิ้นส่วนของไฟล์ข้อมูลห่างกันออกไปมากเท่าไร หากคุณมีไฟล์เยอะแยะเต็มไปหมดกว่าที่คุณจะรวบรวมไฟล์ที่เข้าชุดกันได้นั้นก็จะใช้เวลานานมากขึ้น

อย่างที่บอกไปว่าการเพิ่มพื้นที่ในแหล่งเก็บข้อมูลให้ว่างนั้นสามารถที่จะช่วยสร้างประโยชน์ในการเพ่ิมประสิทธิภาพในการโอนถ่ายข้อมูลของแหล่งเก็บข้อมูลได้อยู่บ้าง แต่การที่ทำให้ชิ้นส่วนของไฟล์ข้อมูลมาอยู่ในกล่องเดียวๆ กัน(หรือติดๆ กัน) นั้นย่อมทำให้การเข้าถึงข้อมูลเร็วมากกว่าการมีช่องว่างอยู่แล้ว


การจัดเรียงข้อมูลหรือ Defragmentation คืออะไร

Fragmentation on hdd 002

กระบวนการจัดเรียงข้อมูล(defragmentation) จะระบุชิ้นส่วนของข้อมูลที่กระจัดกระจายไปทั่วไดรฟ์และย้ายข้อมูลเหล่านั้นเพื่อให้จัดเก็บไว้ในพื้นที่ที่อยู่ติดกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วนั้นจะมีไฟล์ข้อมูลบางประเภท(เช่นไฟล์ระบบ) ที่ไม่สามารถทำการย้ายตำแหน่งในการจัดเก็บได้อยู่

อย่างไรก็ตามการจัดเรียงข้อมูลนั้นจะช่วยทำให้โปรแกรมสามารถอ่านไฟล์ที่ต้องการได้ง่ายและเร็วขึ้น อันเป็นผลทำให้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคอมพิวเตอร์ของคุณด้วยในที่สุด(ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เทียบเท่ากับการเปลี่ยนแหล่งเก็บข้อมูลจากแบบ HDD เป็น SSD ไปเลยก็ตาม)


เมื่อไรที่ควรจะทำการจัดเรียงข้อมูล

defrag tools windows 10 1200x1200 1

ตามหลักการแล้ว คุณควรกำหนดให้ตัวจัดเรียงข้อมูลทำงานโดยอัตโนมัติทุกสัปดาห์หรือมากกว่านั้น หากคุณปล่อยให้ไดรฟ์แยกส่วนเป็นเวลานาน คุณอาจสังเกตเห็นว่าประสิทธิภาพของพีซีของคุณลดลงอย่างเห็นได้ชัดซึ่งสามารถสังเกตได้จากอาการดังต่อไปนี้

  • โปรแกรมและฟังก์ชันบางอย่างอาจใช้เวลาในการโหลดนานขึ้น เวลาในการโหลดจะขึ้นอยู่กับระดับการกระจายตัว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป โปรแกรมที่มีความต้องการสูงอาจไม่โหลดเลยด้วยซ้ำซึ่งหากมีอาการหนักมากๆ แล้วล่ก็คุณอาจพบว่าโปรแกรมนั้นหยุดทำงานไปดื้อๆ เลยก็ได้
  • เสียง, วิดีโอและการเล่นเกมเกิดความผิดพลาด ที่สามารถสังเกตได้ง่ายๆ เลยก็คืออาจจะเกิดอาการกระตุกระหว่างเล่นเพลง, คลิปหรือเกมที่มีการจัดเก็บข้อมูลไว้ในแหล่งเก็บข้อมูล

อีกวิธีการหนึ่งในการสังเกตที่คุณสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวคุณเองก็คือให้คุณสังเกตเวลาที่คุณทำการเล่นอินเทอร์เน็ตว่าใช้เวลานานขึ้นในการโหลดข้อมูลบนเว็บไซต์มาแสดงผลบนเบราว์เซอร์หรือไม่เพราะเบราว์เซอร์จะเก็บข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับหน้าเว็บที่คุณกำลังโหลดไว้ชั่วคราว(ไว้บนแหล่งเก็บข้อมูล) ซึ่งหากแหล่งเก็บข้อมูลของคุณมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการจัดเรียงไฟล์แล้วล่ะก็คุณจะเห็นได้เลยว่าการโหลดเนื้อหาทั้งหมดของหน้าเว็บไซต์นั้นใช้เวลาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก(แม้ว่าจะมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณจะแรงก็ตาม)

หากคุณสังเกตเห็นปัญหาตามที่ได้กล่าวไปในข้างต้นแล้วล่ะก็ สิ่งแรกเราขอแนะนำให้คุณทำก็คือทำการจัดเรียงข้อมูลในไดรฟ์ของคุณ อย่างไรก็ตามแล้วนั้นปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นนี้อาจจะไม่ได้มาจากแหล่งเก็บข้อมูลของคุณโดยตรงก็ได้ทว่าไดรฟ์ที่มีไฟล์กระจัดกระจายมากๆ ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่คุณสามารถทำการแก้ไขเบื้องต้นได้ด้วยตัวคุณเองก่อนที่จะหาสาเหตุอื่นๆ ต่อไป


โปรแกรมจัดเรียงข้อมูล HDD ที่แนะนำ

1. Windows Optimize Drives

windows 10 optimize drives

สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการโหลดโปรแกรมเพิ่มเติมใดๆ เลยตัวระบบปฎิบัติการ Windows เองก็มีโปรแกรมสำหรับการจัดเรียงข้อมูลในแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SSD) มาให้ในชื่อ Optimize Drives ซึ่งตัวโปรแกรมนั้นสามารถวิเคราะห์ระบบของคุณว่ามีปัญหาการจัดเรียงข้อมูลหรือไม่ หากตัวโปรแกรมพบว่ามีปัญหาก็สามารถที่จะทำการแก้ไขปัญหาที่พบได้โดยตรง

โดยปกติระบบปฎิบัติการ Windows จะมีการเรียกใช้งาน Optimize Drives โดยอัตโนมัติอยู่แล้วในช่วงเวลาที่คุณมีการเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้แล้วไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้าหากคุณมือซนไปยุ่งกับการตั้งค่าต่างๆ ของ Windows แล้วล่ะก็ ตัวโปรแกรม Optimize Drives นั้นอาจจะถูกปิดไม่ให้ใช้งานโดยอัตโนมัติก็เป็นได้ 

ดังนั้นเพื่อที่จะทำการตรวจสอบว่า Optimize Drives ได้ถูกเปิดใช้งานอยู่หรือไม่นั้นให้คุณเข้าไปที่ Start > Windows Administrative Tools > Defragment and Optimize drives

วิธีการที่จะสั่งให้ Optimize Drives ทำการทำงานด้วยตัวคุณเองนั้นก็คือเมื่อเข้าไปในโปรแกรมแล้วให้เลือกที่ไดรฟ์ที่ต้องการตรวจสอบ จากนั้นให้คลิกที่ปุ่ม Analyze ก่อน หากไดรฟ์นั้นต้องการการปรับแต่งแล้วล่ะก็ตัวระบบจะแจ้งให้คุณทราบและให้คุณกดที่ปุ่ม Optimize เพื่อทำการปรับแต่งไดรฟ์นั้นๆ

ในการกำหนดให้ Optimize Drives ทำงานเองโดยอัตโนมัติให้คุณดูที่ตัวเลือก Scheduled optimization ว่าเป็น On หรือไม่ ในจุดๆ นี้คุณสามารถที่จะกำหนดช่วงเวลาให้ Optimize Drives ทำการปรับแต่งประสิทธิภาพของแหล่งเก็บข้อมูลได้เองโดยกดที่ Change settings แล้วเลือกระยะเวลาตามที่คุณต้องการ

2. Disk SpeedUp

disk speedup 670x465 1

Disk SpeedUp เป็นโปรแกรมฟรีที่สามารถเพิ่มความเร็วของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตัวโปรแกรมจะวิเคราะห์, จัดเรียงข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพไดรฟ์ใดๆ ที่เชื่อมต่อกับเครื่องของคุณได้ดีกว่าโปรแกรมที่มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Windows เล็กน้อย ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ Disk SpeedUp ใช้หลักการในการปรับแต่งการกระจายข้อมูลแบบเดียวกับที่ Windows ใช้

ทว่าตัวโปรแกรม Disk SpeedUp นั้นจะมาพร้อมกับฟีเจอร์พิเศษเพิ่มเติมอย่างเช่นสามารถปิดคอมพิวเตอร์ของคุณโดยอัตโนมัติหลังจากกระบวนการจัดเรียงข้อมูลเสร็จสิ้น(แน่นอนว่าฟีเจอร์นี้จะดีอย่างมากหากคุณทำทิ้งไว้ตอนกลางคืนแล้วไปเข้านอนเพราะมันสามารถปิดเครื่องให้คุณได้หลังจากกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้น)

Disk SpeedUp ยังมี UI ที่ดีกว่าโปรแกรมจัดการจัดเรียงข้อมูลที่มาพร้อมกับ Windows ไม่ว่าจะเป็นการแสดงแผนภาพการจัดเรียงข้อมูลที่ใช้งานง่ายกว่า นอกไปจากนั้นยังมีกราฟและข้อมูลให้คุณได้ดูข้อมูลแบบเจาะลึกมากขึ้น ที่สำคัญแล้วนั้นมีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยออกมาบอกว่า Disk SpeedUp นั้นทำงานได้เร็วกว่าโปรแกรมจัดการจัดเรียงข้อมูลที่มาพร้อมกับ Windows

DownloadDisk SpeedUp (Free)

3. Windows Device Manager

windows write cache

หากคุณต้องการเพิ่มความเร็วในการอ่าน/เขียนของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD ด้วยเครื่องมือที่มาพร้อมกับ Windows แบบง่ายๆ แล้วล่ะก็ เราขอแนะนำการใช้งาน Device Manager เพื่อทำการตรวจสอบ(หรือเปิด) การใช้งานฟีเจอร์เขียนแคช(Write Caching) ของแหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD ที่จะช่วยทำให้ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลเร็วขึ้น(เล็กน้อย)

ฟีเจอร์เขียนแคช(Write Caching) จะช่วยให้คอมพิวเตอร์ของคุณเก็บข้อมูลในแคช(ที่อยู่บนแหล่งเก็บข้อมูล) ก่อนที่จะเขียนลงในฮาร์ดไดรฟ์ ซึ่งการเขียนและอ่านข้อมูลลงไปยังแคชนั้นจะทำได้เร็วมากกว่าเขียนและอ่านข้อมูลจากฮาร์ดไดรฟ์โดยตรงเป็นอย่างมากมาก แน่นอนว่าฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ประสิทธิภาพการอ่าน/เขียนโดยรวมของฮาร์ดไดรฟ์ดีขึ้น

แต่ฟีเจอร์เขียนแคช(Write Caching) นี้นั้นมีข้อเสียอยู่หนึ่งอย่างก็คือข้อมูลในแคชนั้นเป็นการเก็บข้อมูลเพียงชั่วคราวเท่านั้น หากคุณเจอปัญหาไฟดับหรือไปตกเข้าแล้วล่ะก็ข้อมูลในแคชไม่ได้ถูกถ่ายโอนไปยังฮาร์ดไดรฟ์จะหายไปทันทีแบบไม่สามารถกูกลับคืนมาได้

หากต้องการเปิด(หรือตรวจสอบ)ฟีเจอร์เขียนแคช(Write Caching) บน Windows ให้ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. คลิกขวาที่ Start แล้วเลือก Device Manager
  2. ขยายเมนู Disk drives
  3. คลิกขวาที่ไดรฟ์ที่คุณต้องการเปลี่ยนแล้วเลือก Properties
  4. เลือกแท็บ Policies ที่ด้านบนของหน้าต่างใหม่ที่แสดงขึ้นมา
  5. ทำเครื่องหมายที่ช่องคำสั่ง Enable write caching on the device หลังจากนั้นให้กดตกลง

4. IOBit Advanced SystemCare

iobit advanced care

สิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SDD) ของคุณคือการทำให้แน่ใจว่าระบบของคุณยังคง “สะอาด” อยู่เสมอซึ่งหมายความว่าคุณต้องควบคุมไฟล์ชั่วคราว(Temp files) และไฟล์ที่ซ้ำกัน, ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการใช้งานหน่วยความจำ(RAM) และหน่วยประมวลผล(CPU) ของคุณเหมาะสมที่สุดและรักษารีจิสทรี(registry) ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

โปรแกรมหนึ่งที่สามารถทำงานเพิ่มประสิทธิภาพของแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SDD) ได้ทั้งหมดตามที่เราได้พูดถึงในข้างต้นก็คือ IOBit Advanced SystemCare ซึ่งมีทั้งเวอร์ชันฟรีและเวอร์ชันที่ต้องเสียเงิน

รุ่นฟรีมีคุณสมบัติทั้งหมดเพียงพอตามที่เราได้แนะนำในตอนต้นไปแล้วดังนั้นสำหรับผู้ใช้ที่ไม่อยากเสียเงินก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากคุณซื้อโปรแกรมแล้วล่ะก็(จ่ายประมาณ 6xx บาทเพียงครั้งเดียว) คุณจะได้ความสามารถในการทำความสะอาดรีจิสทรีที่ลึกขึ้น, การตรวจสอบตามเวลาจริง, การเพิ่มประสิทธิภาพเบราว์เซอร์ และการเพิ่มประสิทธิภาพการบูตระบบ ฯลฯ ซึ่งเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้งานที่มีความรู้เรื่องระบบอยู่บ้าง

DownloadIOBit Advanced SystemCare (Free, paid version available)

5. Razer Cortex

razer 670x418 1

Razer Cortex เป็นอีกโปรแกรมฟรีหนึ่งที่เราอยากแนะนำให้คุณใช้งานในการเพิ่มความเร็วของแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SDD) ตัวโปรแกรม Razer Cortex นั้นถูกออกแบบมาให้กับนักเล่นเกมพีซีที่ต้องการบีบประสิทธิภาพทุกหยดจากคอมพิวเตอร์ของคุณโดยเฉพาะ ประโยชน์สูงสุดของโปรแกรมนี้นอกจากจะช่วยเรื่องของประปรับปรุงประสิทธิภาพของแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SDD) แล้ว(ช่วยลดเวลาในการโหลดเกม) ตัวโปรแกรมสามารถช่วยให้คุณเล่นเกมได้เฟรมเรทสูงขึ้นอีกด้วย

ตัวเพิ่มประสิทธิภาพ HDD แบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ System Booster และ Game Booster

System Booster จะล้างไฟล์ขยะ, ประวัติเบราว์เซอร์และแคชของระบบ ส่วนตัวเลือก Game Booster จะจัดระเบียบไฟล์เกม(กรณีที่ไฟล์เก็บถูกเก็บไว้อยู่ใน HDD ไม่ใช่เก็บไว้ใน SSD), เพิ่มประสิทธิภาพการกำหนดค่าระบบของคุณสำหรับการเล่นเกมและปิดใช้งานกระบวนการพื้นหลังที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเกม เรียกได้ว่านอกจากจะช่วยให้การทำงานโดยทั่วไปดีขึ้นแล้ว Razer Cortex ยังเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมตัวเลือกสำหรับเค้นประสิทธิภาพในการเล่นเกมที่เราแนะนำให้นักเล่นเกมติดตั้งใช้งานด้วยอีกต่างหาก

DownloadRazer Cortex (Free)

6. Windows Disk Management

disk management 670x449 1

อีกหนึ่งโปรแกรมที่ติดตั้งมาพร้อมกัน Windows ที่สามารถปรับปรุงความเร็วและประสิทธิภาพของแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SDD) คือ Disk Management ซึ่งคุณสามารถใช้มันเพื่อแบ่งพาร์ติชั่น(repartition) ไดรฟ์ของคุณใหม่ได้

ถามว่าทำไมถึงต้องการทำการแบ่งพาร์ติชั่น  ก็คงต้องบอกว่าการแบ่งพาร์ติชัน(หรือแบ่งให้แหล่งเก็บข้อมูลภายในมีหลายๆไดรฟ์) เป็นหนึ่งในวิธีที่มักถูกมองข้ามในการเพิ่มความเร็วของแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SDD)

ยิ่งคุณใช้พาร์ติชันมาก ข้อมูลของคุณก็ยิ่งเป็นระเบียบมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ส่วนหัวอ่านของ HDD จึงไม่จำเป็นต้องเคลื่อนที่ไปมา(หรือข้ามส่วนไปไกลๆ) เพื่อทำการเข้าถึงข้อมูล ดังนั้นเวลาในการอ่านข้อมูลจึงลดลง

ในการแบ่งพาร์ติชั่นแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SDD) ใหม่โดยใช้ Disk Management สามารถที่จะทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้

ควรทำการแบ่งพาร์ติชั่นตั้งแต่กรับวนการลง Windows หรือทำเมื่อลง Windows สิ้นสุดแล้วจะเห็นผลมากที่สุด การทำพาร์ติชั่นหลังจากที่แหล่งเก็บข้อมูลแบบ HDD ตอนที่พื้นที่จะใกล้เต็มแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร(นอกไปจากนั้นตัวระบบปฎิบัติการเองจะไม่ยอมทำให้ด้วย) —- ดังนั้นไม่แนะนำให้ทำตามวิธีการนี้สำหรับแหล่งเก็บข้อมูลที่พื้นที่ใกล้จะเต็มแล้ว

  1. คลิกขวาที่ Start แล้วเลือก Disk Management
  2. คลิกขวาที่ไดรฟ์แล้วเลือก Shrink Volume
  3. คลิกขวาที่พื้นที่ว่างแล้วเลือก New Simple Volume
  4. เลือกขนาดที่คุณต้องการสร้างไดรฟ์ข้อมูลใหม่
  5. เลือกอักษรชื่อไดรฟ์สำหรับพาร์ติชั่นใหม่(new volume)
  6. เลือกระบบไฟล์สำหรับพาร์ติชั่นใหม่(new volume)
  7. คลิกที่ Finish

พาร์ติชั่นใหม่จะปรากฏใน File Explorer > This PC

Choose how large you want to make the new volume.
 
 

7. Ashampoo WinOptimizer

Ashampoo WinOptimizer เป็นเครื่องมือสำหรับจัดการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบปฎิบัติการ Windows ที่เหมาะกับการใช้งานสำหรับผู้ใช้ทั้งมือใหม่และมือเก่าเป็นอย่างมาก นอกเหนือไปจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบปฎิบัติการ Windows แล้ว โปรแกรมนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SDD) อีกด้วยต่างหาก

ในแง่ของการปรับปรุงประสิทธิภาพของแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SDD) นั้น โปรแกรม Ashampoo WinOptimizer สามารถกำหนดเวลาในการบำรุงรักษาและการเพิ่มประสิทธิภาพได้ด้วยผู้ใช้โดยตัวโปรแกรมสามารถที่จะทำการสแกนหาไฟล์ขยะ, แก้ไขรายการรีจิสทรีที่เสียหายและล้างคุกกี้ของเบราว์เซอร์ของคุณได้เป็นอย่างดี 

สำหรับมือใหม่นั้นเพียงแค่คลิกเดียวโปรแกรม Ashampoo WinOptimizer ก็สามารถทำการปรับแต่งเพิ่มประสิทธิภาพให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณได้

คุณสามารถเพิ่มโมดูลเพิ่มเติมให้โปรแกรม Ashampoo WinOptimizer ได้ซึ่งมีให้เลือกถึง 38 รายการ ครอบคลุมงานต่างๆ เช่น การจัดการบริการ การปรับแต่งเริ่มต้น, การจัดการกระบวนการ, การปรับแต่งความเป็นส่วนตัว และอื่นๆ อีกมากมาย(แต่การใช้งานบางโมดูลนั้นจะต้องเสียเงินเพื่อที่จะทำการปรับแต่งได้ด้วยตัวผู้ใช้เอง)

DownloadAshampoo WinOptimizer (Free, paid version available)

8. BleachBit

bleachbit 2

BleachBit เป็นโปรแกรมสำหรับล้างข้อมูลบนแหล่งเก็บข้อมูลแบบโอเพ่นซอร์สที่สามารถโหลดใช้งานได้แบบฟรีๆ ตัวโปรแกรมมาพร้อมกับ UI ที่สบายตาและยังช่วยให้คุณทำความสะอาดพื้นที่ของแหล่งเก็บข้อมูล(ทั้งแบบ HDD และ SDD) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกไปจากนั้นแล้ว BleachBit ยังมาพร้อมกับความสามารถในการลบโปรแกรมขยะ(bloatware) ที่ไม่จำเป็นออกจากคอมพิวเตอร์ของคุณได้ด้วยอีกต่างหาก ยังไม่พอ BleachBit ยังบรรจุคุณสมบัติเพิ่มเติมอีกสองสามอย่างเช่นการล้างแคชของเว็บ, คุกกี้ HTTP, ประวัติ URL, การลบพื้นที่ที่ใช้ไป ฯลฯ

หากคุณต้องการล้างไฟล์เก่าทั้งหมดใน Windows ของคุณแบบไม่อยากมานั่งกำหนดเองให้ทำการเลือกตัวเลือก Deep Scan จากนั้นคลิกที่ Delete ก็เป็นอันเสร็จสิ้น

Download: BleachBit (Free)


ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องมือเพื่อช่วยเหลือในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับ HDD อยู่ก็ตาม ทว่ามีความจริงอยู่หนึ่งอย่างที่ไม่สามารถที่จะปฎิเสธได้เลยก็คือแหล่งเก็บข้อมูลแบบจานหมุนหรือ HDD ตามปริมาณของของมูลที่ถูกจัดเก็บลงไปใน HDD นั้นๆ แม้ว่าการใช้งานเครื่องมือที่เราแนะนำจะช่วยให้ประสิทธิภาพในการโอนถ่ายข้อมูลเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง ทว่ามันก็ไม่สามารถเทียบได้เลยกับ HDD ซึ่งยังไม่มีข้อมูลใดๆ ถูกบันทึกเก็บไว้อยู่

อย่างไรก็ตาม HDD มีอายุการใช้งานที่ยาวนานหากท่านไม่ไปเคลื่อนย้ายจนก่อให้เกิดการกระแทกซึ่งจะนำมาซึ่งความเสียหาย4ภายใน ดังนั้นในปัจจุบันนี้ HDD ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการเก็บข้อมูลที่สำคัญๆ เอาไว้(แถมราคาถูกกว่า SSD มากด้วย)

ที่มา : iolosystem, animagraffs, condusiv, lifewire, makeuseof

Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

CONTENT

หากคุณต้องการอัปเกรดคอมพิวเตอร์ของคุณเป็นไดรฟ์ SSD แต่ไม่ต้องการเริ่มการสำรองข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่ต้น(หรือลง Windows ใหม่) ต่อไปนี้เป็นวิธีถ่ายโอนข้อมูลจากฮาร์ดไดรฟ์เก่าของคุณ ปัจจุบันนี้ พีซีรุ่นใหม่ส่วนใหญ่มาพร้อมกับการติดตั้งไดรฟ์ SSD หรือ M2.NVME ภายในที่มาพร้อมกับความเร็วมากขึ้นกว่า HDD เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามหากคุณยังคงใช้ฮาร์ดดิสก์แบบหมุนได้แบบเดิมๆ ถือว่าคุณพลาดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ไปแล้ว การสลับแหล่งเก็บข้อมูลหลักที่เป็นที่ตั้งของระบบปฏิบัติการ Windows จาก HDD เป็น SSD(หรือ M2.NVME) เป็นหนึ่งในการอัปเกรดที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับคอมพิวเตอร์ของคุณ...

Windows Zone

Microsoft 365 แตกต่างจาก Microsoft Office Home & Student 2021 อย่างไรบ้าง? “ในเมื่อซื้อโน๊ตบุ๊คมี Office แท้แล้ว จะต้องซื้อ Microsoft 365 มาทำไม?” นั่นเพราะผู้ใช้หลายๆ คนเห็นว่าฟังก์ชั่นการทำงานของทั้งสองนั้นเหมือนกันมาก เพราะรวมกลุ่มโปรแกรม Word Processing มาเป็นแพ็คเกจครบถ้วนทั้งคู่ ได้...

CONTENT

commart 2024 รวม 7 โน๊ตบุ๊คทำงานงบ 10000 จอใหญ่ สเปคดี พอร์ตเยอะ พกพาสะดวก commart 2024 ช้อปโน๊ตบุ๊คทำงานงานนี้งบแค่ 10000 ก็ใช้ทำงาน ดูหนังจอใหญ่ เห็นชัด เล่นเกมเบาๆ Casual หรือท่องอินเทอร์เน็ต เทรดหุ้น จ่ายเบาๆ ก็ได้ เหมาะทั้งเรียนออนไลน์...

CONTENT

Windows รุ่นต่อไป อาจต้องเริ่มต้นแรม 16GB เป็นมาตรฐาน จำเป็นมั้ย คอมเก่าไหวรึเปล่า? ระบบปฏิบัติการ (OS) มีการพัฒนาความสามารถอยู่ต่อเนื่อง ในการจะไปสู่ Windows ใหม่แต่ละรุ่นก็มักจะต้องการความสามารถของฮาร์ดแวร์ที่สูงขึ้นด้วย เพื่อให้รองรับรูปแบบการทำงานใหม่ๆ ได้ดี เช่น แรม (RAM) ซึ่งจุดที่มักเห็นชัดและสังเกตง่ายสุดก็คือแรม ที่จะอยู่ในหนึ่งข้อจำกัดด้านความต้องการของแต่ละซอฟต์แวร์และ OS อยู่เสมอ ล่าสุดก็มีข่าวลือออกมาว่า Microsoft...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก