การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ยานพาหนะ ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา43 (9) ระบุว่า ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถใช้โทรศัพท์ขณะรถเคลื่อนที่ เว้นแต่ใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยที่ผู้ขับขี่ต้องไม่ถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น ซึ่งเป็นการบังคับใช้กับรถทุกชนิดทุกประเภทตามความหมายใน พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ รวมถึงรถจักรยานและรถสามล้อที่วิ่งในถนนสาธารณะ ยกเว้นรถไฟและรถราง หากจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ควรจอดข้างทางในที่สามารถจอดได้ หรือจอดในปั๊มน้ำมัน สำหรับกรณีรถติดไฟแดงหรือรถติด ก็ไม่สามารถใช้โทรศัพท์ได้ในทุกกรณี ไม่ว่าจะหยิบมาโทรฯ หรือเล่นเกม เฟซบุ๊ก หรือไลน์ เพราะถือว่าอยู่ระหว่างขับขี่ เนื่องจากเครื่องยนต์ยังติดอยู่ คนขับยังควบคุมรถอยู่ การใช้คอหนีบโทรศัพท์ หรือให้คนอื่นถือโทรศัพท์มาแนบหูให้ก็ผิด ที่ทำได้คือเปิดลำโพงให้เสียงดังแล้ววางไว้ให้เป็นที่เป็นทางก่อนสนทนา หรือใช้อุปกรณ์เสริม เช่น สายฟัง หรือบลูทูธ จึงจะไม่ผิดกฎหมาย ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ 400 -1,000บาท
นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย แต่ในสังคมยุคที่โซเชียลมีเดียสามารถเข้าถึงได้ง่าย ประชาชนจึงเห็นเรื่องผิดกฎหมายอย่างเช่นกรณีการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเป็นเรื่องเล็กน้อยที่สามารถอะลุ่มอล่วยกันได้ ทำให้ยังคงเห็นการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์
ล่าสุด กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้มีมาตรการพิเศษ ?จับจริงจอมแชท? เพื่อจัดการปัญหาเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือในขณะขับขี่รถบนท้องถนนอย่างจริงจัง หลังจากมีมาตรการ5จอมและมาตรการ5จริงออกมาชิมลาง เมื่อไม่นานมานี้
โดยผลการจับจริงจอมแชทครึ่งวันแรกเมื่อวันที่ (5 ส.ค.) อยู่ที่ 38รายในการลงพื้นที่ 8แยก ได้แก่แยกซังฮี้ สน.สามเสน6ราย,แยกบางลำพู สน.ชนะสงคราม8ราย, แยกประชานุกูล สน.ประชาชื่น4 ราย, แยกรัชโยธิน สน.พหลโยธิน8ราย, แยกอโศก สน.ทองหล่อ2ราย, แยกราชประสงค์ สน.ลุมพินี 6 ราย, แยกสามย่าน สน.ปทุมวัน2ราย และแยกสาทร-สุรศักดิ์ สน.ยานนาวา2ราย ส่วนในพื้นที่ที่อื่นๆ คาดว่ามีผู้กระทำความผิดไม่ต่ำกว่า100ราย
สำหรับขั้นตอนการจับปรับ ?จอมแชท? มีดังนี้
1.เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการบันทึกภาพผ่านทางกล้องถ่ายรูปแบบเอสแอลอาร์ (SLR) กล้องดิจิตอลหรือกล้องโทรศัพท์มือถือ
2.ใช้ภาพที่บันทึกได้เป็นหลักฐานก่อนการเขียนใบเทียบปรับ
3.ผู้กระทำผิดที่ได้รับใบปรับต้องมาเสียค่าปรับภายใน7วันตามที่กฎหมายระบุไว้
นอกจากนี้ยังใช้ภาพถ่ายจากกล้องซีซีทีวี (CCTV) ซึ่งมีอยู่แล้ว30ตัวเพื่อตรวจจับผู้กระทำผิดแชทระหว่างขับรถ โดยมีแผนติดตั้งกล้องซีซีทีวีเพิ่มขึ้นอีกในทุกพื้นที่ ซึ่งการติดตั้งกล้องดังกล่าวจะช่วยในการตรวจจับผู้ขับขี่ที่ทำผิดกฎจราจรทั้งมาตรการ5จอม และมาตรการ5จริง รวมทั้งมาตรการพิเศษอย่างมาตรการจับจริงจอมแชท โดยส่งใบเทียบปรับถึงบ้าน
?เดลินิวส์ออนไลน์? ได้สอบถาม พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รองผบช.ดูแลงานจราจร กทม. ต่อข้อสงสัยที่ว่า…การดูแผนที่จากโทรศัพท์มือถือระหว่างขับรถถือว่ามีความผิดตามมาตรการจอมแชทหรือไม่? คำตอบคือ
พล.ต.ต.อดุลย์ กล่าวว่า ตำรวจจราจรจะคุมเข้มวินัยจราจรผู้ขับขี่ที่กระทำความผิดใช้โทรศัพท์มือถือ ขณะขับรถ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย หรือเล่นแชทเล่นไลน์ หรือดูข้อมูลอินเทอร์เน็ตในโทรศัพท์มือถือก็ตามถือว่ามีความผิด รวมถึงการนำที่วางโทรศัพท์มือถือยึดติดกับพวงมาลัยรถยนต์เพื่อใช้ โปรแกรมแชทในขณะขับรถ ล้วนถือว่าเป็นการกระทำที่มีความผิดทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถกระทำได้ในขณะขับขี่รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ซึ่งเข้าข่ายความผิดใช้โทรศัพท์ขณะขับรถตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก เว้นแต่การใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยมีอุปกรณ์เสริมสำหรับสนทนา(สมอลล์ทอล์ค)เท่านั้น เพราะผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์ หากมีการใช้ที่ตั้งมือถือที่พวงมาลัยรถหรือสแตนดี้ ก็ถือว่ามีความผิดเช่นกัน เพราะเป็นการรบกวนสมาธิในการขับรถอย่างมาก เนื่องจากต้องละสายตาจากท้องถนนเพื่อพิมพ์ข้อความและละมือข้างหนึ่งไปจากการ ควบคุมพวงมาลัยรถ ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายมีโทษปรับไม่เกิน400-1,000บาท
?หากผู้ขับขี่วางโทรศัพท์มือถือที่สแตนดี้ที่ติดบนกระจกหรือคอนโซลรถยนต์และเปิดลำโพงเสียงเพื่อสนทนา ไม่ถือว่าเป็นความผิด ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับการใช้สมอลล์ทอล์ค?
สรุปแล้วไม่ว่าจะใช้โทรศัพท์มือถือด้วยกรณีใดๆ ขณะขับขี่ก็ถือเป็นความผิดทั้งสิ้น เพราะการใช้โทรศัพท์มือถือเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุต่อทั้งตนเองและอาจส่งผลร้ายต่อผู้อื่นที่ใช้ท้องถนนร่วมกันด้วย
ที่มา : DailyNews