มาชมความแตกต่างและประสิทธิภาพของเทคนิคการ Upscale จาก 3 ค่ายดังอย่าง DLSS, FSR และ XESS กันว่าอันไหนจะประสิทธิภาพดีที่สุด
เนื่องจากเกม AAA ใหม่มาพร้อมกับกราฟิกที่สมจริงมากขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก แถมที่เหนือไปกว่านั้นก็คือเกมระดับ AAA นั้นมักจะรองรับความละเอียดในระดับสูงมากขึ้น จากแต่เดิมอยู่ที่ 1080p ในปัจจุบันนี้ความละเอียดที่ระดับ 4K กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของความละเอียดในเกม AAA ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากคุณต้องการเล่นเกมที่ความละเอียดระดับ 4K แบบไหลลื่นแล้วล่ะก็คุณจะต้องมีคอมพิวเตอร์ที่มาพร้อมกับฮาร์ดแวร์ระดับเทพ ซึ่งนั่นทำให้ตอนซื้อคอมพิวเตอร์นั้นงบประมาณของคุณอาจจะบานปลายไปจนถึงระดับ 1xx,xxx บาทโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ โชคยังดีที่ในปัจจุบันนั้นทางผู้ผลิตชิปกราฟิกมีเทคโนโลยีการ Upscale ที่มีความสำคัญมากขึ้นเพื่อให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์การเล่นเกมที่ราบรื่นและดูดีขึ้นกว่าเดิม ในที่นี้เราหมายถึงเทคโนโลยีที่ตัวชิปกราฟิกจะรันความละเอียดที่ระดับสูงแล้วลดขนาดของกราฟิกลงมาให้เท่ากับความละเอียดตามกราฟิกที่เราได้ตั้งค่าไว้
ในช่วงแรกเรามีเทคโนโลยีการ Upscale ยอดนิยมสองเทคโนโลยี ได้แก่ Deep Learning Super Sampling (DLSS) จากทาง NVIDIA และ AMD FidelityFX Super Resolution (FSR) ที่ทำให้โลกแห่งเกมต้องตกตะลึง แถมผู้เข้าสู่ตลาดกราฟิกชิปรายใหม่อย่าง Intel ก็มีเทคโนโลยีการ Upscale ของตัวเองอย่าง XeSS ด้วยอีกราย
เทคโนโลยีทั้งสามใช้อัลกอริธึม AI เพื่อเพิ่มขนาดภาพที่มีความละเอียดต่ำให้เป็นความละเอียดสูงขึ้น ปรับปรุงคุณภาพของภาพของเกมในขณะที่ยังคงรักษาอัตราเฟรมเรทที่สูงเอาไว้ อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการ Upscale ทั้ง 3 ทำงานในลักษณะที่แตกต่างกันอย่างมาก ในบทความนี้เราจะมาเปรียบเทียบระหว่าง NVIDIA DLSS กับ AMD FSR กับ Intel XeSS เพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาว่าตัวเลือกการ Upscale ใดให้ประสิทธิภาพและคุณภาพของภาพที่ดีที่สุด มาดูกันว่าแต่ละเทคโนโลยีมีหลักการอย่างไรบ้างและเมื่อเทียบกันแล้วเทคโนโลยีไหนดีที่สุดในปัจจุบันนี้ พร้อมแล้วก็ไปติดตามกันได้เลย
- ภาพรวมของเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3 ค่าย
- คุณภาพของภาพจากเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3
- ประสิทธิภาพของเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3
- เกมที่รองรับเทคโนโลยี Upscale
- ฮาร์ดแวร์ที่รองรับเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3
ภาพรวมของเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3 ค่าย
ก่อนที่เราจะไปดูการเทียบประสิทธิภาพของเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3 นั้นเรามาดูกันก่อนว่าเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3 อย่าง DLSS จาก NVIDIA, FSR จาก AMD และ XESS จาก Intel นั้นมีหลักการอย่างไรบ้าง
DLSS จาก NVIDIA
Deep Learning Super Sampling (DLSS) ของ NVIDIA ถือเป็นเทคโนโลยีการลดอัตราการสุ่มสัญญาณที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน มันเรนเดอร์เกมด้วยความละเอียดที่ต่ำกว่าปกติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ(หรือเพื่อเป็นการเพิ่มเฟรมเรท) จากนั้นจะใช้ปัญญาประดิษฐ์(AI) และโครงข่ายประสาทเทียมเพื่อขยายขนาดภาพความละเอียดต่ำให้เป็นคุณภาพดั้งเดิม
DLSS ใช้โครงข่ายประสาทเทียมที่ได้รับการฝึกกับภาพที่มีความละเอียดสูงเพื่อคาดการณ์ว่าพิกเซลที่หายไปในภาพที่มีความละเอียดต่ำกว่าจะเป็นอย่างไร การใช้ข้อมูลนี้จะสร้างรูปภาพในเวอร์ชันที่มีความละเอียดสูงกว่า ส่งผลให้ได้ภาพที่นุ่มนวลและมีรายละเอียดมากขึ้นพร้อมคุณภาพพื้นผิวที่ดีขึ้น
DLSS อาศัยแกน Tensor ในการทำงาน ซึ่งทำให้ DLSS เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของกราฟิกการ์ดซีรีส์ RTX ของ NVIDIA ความพิเศษของมันคือดาบสองคมเพราะมันไม่สามารถใช้ได้กับกราฟิกชิปจากผู้ผลิตรายอื่น อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันถูกออกแบบมาให้ทำงานกับการ์ด NVIDIA โดยเฉพาะ DLSS จึงได้รับการปรับปรุงให้เหมาะสมและมอบประสิทธิภาพที่ดีกว่า ซึ่งเป็นข้อดีของ DLSS แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้ว่าการ์ด RTX ทั้งหมดจะรองรับเทคโนโลยี DLSS แต่เวอร์ชันล่าสุดอย่าง DLSS 3 นั้นจะมีเฉพาะในกราฟิกชิป RTX 4000 ซีรีส์เท่านั้น
FSR จาก AMD
FidelityFX Super Resolution หรือ FSR คือคำตอบของ AMD ต่อ Nvidia DLSS แม้ว่าจะใช้อัลกอริธึม AI เพื่อเพิ่มขนาดภาพที่มีความละเอียดต่ำ แต่ก็ใช้แนวทางที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง FSR ใช้อัลกอริธึมการลดขนาดเชิงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์ภาพความละเอียดต่ำและสร้างภาพนั้นในเวอร์ชันที่มีความละเอียดสูงกว่า
นอกจากนี้ยังใช้ฟิลเตอร์เพิ่มความคมชัดเพื่อทำให้ภาพมีรายละเอียดและคมชัดมากขึ้น FSR ใช้งานได้กับ GPU หลากหลายรุ่น รวมถึง GPU จาก Nvidia และ Intel ทำให้เป็นตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้นสำหรับนักพัฒนาเกมและนักเล่นเกม
XESS จาก Intel
Xe Super Sampling หรือ XeSS เป็นเทคโนโลยีการเพิ่มขนาดที่ค่อนข้างใหม่ซึ่งถูกพัฒนาโดย Intel โดยตอนนี้ทาง Intel ได้พัฒนาเทคโนโลยี XeSS สองเวอร์ชันดังต่อไปนี้
Open-Source XeSS
XeSS เวอร์ชันโอเพ่นซอร์สใช้งานได้กับ GPU ที่รองรับชุดคำสั่ง DP4a ซึ่งช่วยเร่งการคำนวณ AI การ์ด NVIDIA ทั้งหมดตั้งแต่ซีรีส์ GTX 10 และการ์ด AMD ทั้งหมดตั้งแต่ซีรีส์ RX 5000 จะสามารถทำงานร่วมกับ XeSS เวอร์ชันโอเพ่นซอร์สได้ จริงๆ แล้ว XeSS เวอร์ชันโอเพ่นซอร์สทำงานคล้ายกับ FSR ของ AMD คือเรนเดอร์เฟรมที่ความละเอียดต่ำกว่าจากนั้นจึงขยายขนาดให้เป็นความละเอียดสูงขึ้น
XeSS on Intel Arc
บน Intel Arc GPU นั้น XeSS ใช้ประโยชน์จากคอร์ XMX โดยเฉพาะ (คอร์ AI คล้ายกับ Tensor core ของ NVIDIA) ที่รวมอยู่ใน Intel Arc A770 และ A750 GPU เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นซึ่งตรงกันข้ามกับเวอร์ชันแรก XeSS เวอร์ชันนี้เป็นเอกสิทธิ์ของ Intel GPU เนื่องจากฮาร์ดแวร์ที่เป็นกรรมสิทธิ์อย่าง XMX อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของ XeSS บน Intel Arc GPU นั้นดีกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับเวอร์ชันโอเพ่นซอร์สที่ทำงานบน GPU อื่นๆ
XeSS ยังใหม่อยู่และมีเกมไม่กี่เกมที่รองรับในขณะนี้ อย่างไรก็ตามนักพัฒนาเกมจำนวนมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะใช้การสนับสนุน XeSS ในเกมของตนมากขึ้นเพราะนอกเหนือจากจะได้ประโยชน์จากคอร์ XMX แล้วมันยังได้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้นหากคุณใช้งานชิปกราฟิกของทาง Intel คู่กับหน่วยประมวลผลของทาง Intel ตั้งแต่ Gen 12 ขึ้นไปด้วย
คุณภาพของภาพจากเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3
เทคโนโลยีการ Upscale ทั้งสามนี้ให้ต่างก็ให้คุณภาพที่ยอดเยี่ยมในทางทฤษฎี(ตามที่ทางผู้พัฒนาทั้ง 3 ได้เปิดตัวโชว์เทคโนโลยีของตัวเองออกมา) ดังนั้นเราจึงจะมาเทียบให้ดูกันว่าเทคโนโลยีการ Upscale ทั้งสามนี้เปรียบเทียบกันในการทดสอบจริงจะเป็นอย่างไร โดยแรกเริ่มนั้นเราจะดูจากคุณภาพของภาพที่ได้จากทั้ง 3 เทคโนโลยีในโหมดต่างๆ เทียบกันก่อน
Quality Mode
เมื่อเลือก Quality mode เทคโนโลยีการ Upscale ทั้งสามเทคโนโลยีจะให้ผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกัน XeSS ทำงานได้ดีขึ้นเล็กน้อยในการแสดงราวบันได อย่างไรก็ตาม DLSS และ FSR ทำได้ดีกว่าในการเรนเดอร์เงา
Balanced Mode
การตั้งค่าโหมดการ Upscale เป็น Balanced จะให้คุณภาพของภาพที่คล้ายๆ กัน Intel XeSS เก็บรายละเอียดได้มากที่สุดจากการเปรียบเทียบทั้งสามเทคโนโลยี อย่างไรก็ตามคุณสามารถแยกแยะได้ก็ต่อเมื่อคุณแพ่งมองดูพิกเซลแบบเจาลึกเท่านั้น หากดูผ่านๆ แล้วที่โหมดนี้คุณภาพของภาพที่ได้นั้นแทบจะไม่ต่างกันเลย
Performance Mode
ใน Performance mode นั้น XeSS เป็นผู้นำอีกครั้ง โดยมี DLSS ตามมาในไม่ช้า FSR ทำให้พื้นผิวในราวบันไดเสียหาย(ที่มุมซ้าย) นอกจากนี้ยังสร้างเงาที่เบลอกว่าเมื่อเทียบกับ DLSS และ XeSS
Ultra Performance Mode
น่าเสียดายที่ XeSS ไม่มีโหมด Ultra Performance ถึงแม้ว่าจะมีคนแย้งว่า Performance mode นั้นเทียบเท่ากับโหมด Ultra Performance ของ DLSS และ FSR แต่ดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ทั้งจากมุมมองของคุณภาพของภาพและประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ของโหมดประสิทธิภาพของ XeSS จะสอดคล้องกับ Performance mode ของ DLSS และ FSR มากกว่า ส่วน DLSS และ FSR ในโหมด Ultra Performance mode นั้นค่อนข้างที่จะให้คุณภาพของภาพพอๆ กัน
ประสิทธิภาพของเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3
แม้ว่า XeSS จะเป็นผู้นำในด้านคุณภาพของภาพ แต่ประสิทธิภาพก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับกันแล้วทั้ง DLSS และ FSR จะให้ประสิทธิภาพเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด จากการทดสอบด้วยเกม Hitman 3 และ Hogwarts Legacy ที่การตั้งค่าสูง 4K โดยเปิด Ray Tracing และปิด VSync จะได้ผลลัพธ์ดังต่อไปนี้
Hitman 3 — Balanced Mode
ใน performance mode เทคโนโลยี FSR ดูเหมือนจะประสบปัญหาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ส่วน DLSS และ XeSS ทำงานได้ดีขึ้นในการปรับปรุงอัตราเฟรมเรท อย่างไรก็ตาม XeSS มีแนวโน้มที่จะเกิดสิ่งประดิษฐ์และความผิดพลาดในบางพื้นที่ของเกมทำให้การแสดงผลนั้นดูแปลกไปหากเทียบกับการเล่นเกมโดยไม่ได้เปิดเทคโนโลยี Upscale
Hitman 3 — Ultra Performance Mode
โหมด Ultra Performance คือโหมดที่ FSR เร่งความเร็วเต็มที่และมีประสิทธิภาพสูงมากกว่า DLSS ของ NVIDIA เล็กน้อย อย่างไรก็ตามประสบการณ์ในการเล่นเกมที่ได้ก็ยอดเยี่ยมเหมือนกัน เราไม่ได้สังเกตเห็นว่าคุณภาพของภาพลดลงมากนักในระหว่างฉากและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว และอัตราเฟรมก็ราบรื่นและสม่ำเสมอเพียงพอตลอดทั้งภาพ
หมายเหตุ – XeSS ไม่มีโหมด Ultra Performance ดังนั้นจึงไม่มีผลการทดสอบเปรียบเทียบในโหมดนี้
Hogwarts Legacy — Balanced Mode
DLSS เป็นผู้นำ โดยมี FSR ให้ประสิทธิภาพเข้ามาใกล้ในตำแหน่งที่สอง ส่วน XeSS อยู่ในอันดับที่สาม อย่างไรก็ตามประสบการณ์การเล่นเกมนั้นยอดเยี่ยมมากกับทั้งเทคโนโลยีโดยเฟรมเรทที่ได้นั้นยังคงอยู่ในระดับที่สามารถเล่นเกมได้อย่างราบรื่น
Hogwarts Legacy — Performance Mode
เราเห็นแนวโน้มที่คล้ายกันกับ Performance mode โดยมี NVIDIA DLSS เป็นผู้ชนะตามมาด้วย FSR ที่ตามหลังเล็กน้อย ส่วน XeSS ทำงานได้ดีแต่เฟรมเรทที่ได้นั้นหากเทียบกับคู่แข่งทั้ง 2 แล้วก็ยังต่างกันแบบเห็นได้ชัดอยู่
Hogwarts Legacy — Ultra Performance Mode
การปรับปรุงประสิทธิภาพโหมดนี้ถือว่ายอดเยี่ยมมาก จากค่าเฉลี่ย 48 FPS ที่ไม่ได้เปิดใช้เทคโนโลยีการ Upscale เราจะเห็นได้ว่าเมื่อเปิดแล้วเฟรมเรทกระโดดเป็น 112 FPS และ 101 FPS (DLSS และ FSR ตามลำดับ) ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพที่สูงเอามากๆ ประสบการณ์การเล่นเกมของทั้งคู่ราบรื่นมาก
เกมที่รองรับเทคโนโลยี Upscale
เนื่องจากเทคโนโลยีทั้ง 3 นั้นเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีมาไม่นานเท่าไรนัก ดังนั้นเกมที่ีรองรับเทคโนโลยีทั้ง 3 จึงยังมีเกมไม่มากเท่าไรนักที่รองรับเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3 เกมที่รองรับส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเกมระดับ AAA ที่ออกมาตั้งแต่ในช่วงปี 2018 เป็นต้นมา
DLSS เป็นเทคโนโลยีการ Upscale ที่เก่าแก่ที่สุดในสามเทคโนโลยี ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่มันจะรองรับเกมส่วนใหญ่ในปัจจุบันหลักหลายสิบเกมซึ่งนั่นรวมไปถึง Cyberpunk 2077, Marvel’s Avengers และ Outriders และ NVIDIA ก็เพิ่มการรองรับเกมใหม่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามของ DLSS จากทาง NVIDIA นั้นก็มีอยู่เพราะตัวเวอร์ชันของ DLSS ทั้ง 3 เวอร์ชันจะรองรับเกมได้ไม่เท่ากันซึ่งจะมีจำนวนเกมที่รองรับ DLSS 1 และ 2 มากที่สุด ส่วนเกมที่มีการรองรับ DLSS 3 ยังคงมีจำนวนจำกัดในตอนนี้
FSR นั้นใหม่กว่ามาก แต่นั่นก็ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้มีรายชื่อเกมที่รองรับที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและน่าประทับใจ ในขณะที่เขียนบทความนี้ เกมที่ได้รับความนิยมอย่างมากอย่าง God of War, Deathloop และ Red Dead Redemption II รองรับเทคโนโลยี FSR นอกจากนี้ตัวเกมยังมีการวางแผนการรองรับ FSR 2.0 อีกอย่างเช่น Hitman 3, Microsoft Flight Simulator และเกมที่กำลังจะพอร์ต PC เช่น Forspoken และ Uncharted
โดยทั่วไปหากเกมมีการรองรับ FSR ก็จะมี DLSS และในทางกลับกัน แม้ว่าเกมเก่าที่ออกมาก่อนและรองรับ DLSS มักจะมีเพียง DLSS เท่านั้นที่สามารถเปิดใช้งานได้ มากไปกว่านั้นดูเหมือนว่าเราจะเห็นแนวโน้มที่คล้ายกันกับเทคโนโลยี XeSS ของทาง Intel เนื่องจากหลายเกมที่มี XeSS หรือจะรองรับในอนาคตอันใกล้นี้ก็มีการรองรับ DLSS และ FSR 2.0 เช่นกัน ตัวอย่างเช่นเกมทั้งสองที่ทดสอบซึ่งรองรับ DLSS ก็รองรับ FSR และ XeSS
ฮาร์ดแวร์ที่รองรับเทคโนโลยี Upscale ทั้ง 3
ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่าง DLSS, FSR และ XeSS คือการรองรับของฮาร์ดแวร์ และอาจเป็นความแตกต่างที่กำหนดว่าตัวเลือกการ Upscale ที่ดีที่สุดคืออะไร DLSS ต้องใช้กราฟิกการ์ด Nvidia RTX ไม่เพียงแต่ฟีเจอร์นี้จำกัดเฉพาะฮาร์ดแวร์ของ NVIDIA เท่านั้น แต่ยังจำกัดเฉพาะฮาร์ดแวร์ NVIDIA รุ่นล่าสุดด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณต้องมีการ์ด RTX 2000 ซีรีส์เป็นอย่างน้อยเพื่อใช้ DLSS และ RTX 4000 เพื่อใช้ DLSS 3
นั่นเป็นเพราะว่า DLSS ต้องการแกน Tensor บนการ์ดกราฟิก NVIDIA รุ่นล่าสุดสำหรับจัดการการคำนวณ AI ในขณะที่ FSR ไม่ใช้ AI ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้ฮาร์ดแวร์ใดๆ โดยเฉพาะ จุดแข็งของ FSR ไม่ใช่ว่ามีเกมจำนวนมากรองรับหรือมีคุณภาพของภาพที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับ DLSS เพราะมันไม่มีทั้งสองอย่างเลย แต่จุดเด่นที่แท้จริงของ FSR คือใครๆ ก็สามารถใช้มันได้ไม่ว่าจะใช้กราฟิกชิปจากค่ายไหน
นอกเหนือจากกราฟิกการ์ดจาก AMD และ NVIDIA แล้ว FSR ยังใช้งานได้กับกราฟิกในตัว, APU และกราฟิกการ์ดที่มีอายุมากกว่าสองถึงสามรุ่น แต่ทว่าก็มีข้อแลกเปลี่ยนด้านคุณภาพที่อาจจะไม่ได้สูงมากเท่าไรนักหากเทียบกับกราฟิกชิปรุ่นใหม่ๆ ที่เป็นกราฟิกชิปแบบแยก
XeSS มีการประนีประนอมที่ดีกว่าหากเทียบระหว่างคู่แข่งทั้งสอง เช่นเดียวกับ DLSS เทคโนโลยี XeSS ใช้คอร์เฉพาะที่มีชื่อเรียกว่าคอร์ XMX บนกราฟิกการ์ด Intel สำหรับจัดการการคำนวณ AI XeSS ต้องการให้คอร์เหล่านี้เพื่อที่จะทำงาน ดังนั้น XeSS เวอร์ชันเต็มจึงใช้งานได้กับกราฟิกการ์ด Intel เท่านั้น แต่เทคโนโลยี XeSS ของ Intel มีสองเวอร์ชันอย่างที่เราได้บอกเอาไว้ในตอนต้น
จะว่าไปแล้วนี่คือสิ่งที่ผู้ใช้หลายๆ คนอยากเห็นจาก DLSS ที่โดยพื้นฐานแล้ว Intel เสนอ XeSS สองเวอร์ชันที่แตกต่างกันสำหรับนักพัฒนาคือเวอร์ชันหนึ่งต้องใช้คอร์ XMX เฉพาะและอีกเวอร์ชันหนึ่งเป็นโซลูชันสำหรับวัตถุประสงค์ทั่วไปสำหรับ “ฮาร์ดแวร์ที่หลากหลายไม่จำกัด” เทคโนโลยี XeSS เวอร์ชันที่สองใช้ AI แต่จะจัดการการคำนวณด้วยคำสั่ง DP4a แทน ซึ่งโดยทั่วไปจะรองรับบน GPU รุ่นล่าสุดของทุกกราฟิกชิป เวอร์ชันนี้ใช้โมเดลการลดขนาดที่ง่ายกว่าแต่ยังคงทำให้ XeSS สามารถทำงานกับฮาร์ดแวร์ได้หลากหลาย
ที่มา : digitaltrends, gpumag, techpowerup, xda-developers 1, xda-developers 2