USB Type-C มาตรฐานการเชื่อมต่อแบบใหม่ที่เข้าใกล้ตัวผู้ใช้อย่างเราๆ ท่านๆ มาเรื่อยๆ มาดูกันว่าสรุปแล้วมันคืออะไร น่าใช้งานมากแค่ไหนและฟีเจอร์เด่นๆ ทั้ง 5 คืออะไรกัน
ในปัจจุบันนี้เราๆ ท่านๆ ได้พบตัวเชื่อมต่อ USB ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ แทบทั้งหมด แม้จะมีชื่อ Universal Serial Bus แต่ตัวเชื่อมต่อ USB ในปัจจุบันนั้นก็มีหลายประเภท USB-C เป็นหนึ่งในมาตรฐานดังกล่าวและกลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมสำหรับอุปกรณ์แกดเจ็ตที่หลากหลาย
มันเร็วกว่า, เล็กกว่าและหลากหลายกว่ามาตรฐานก่อนหน้านี้ แถมก็ยังมีฟีเจอร์เฉพาะบางอย่างที่สามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะได้ เชื่อว่าอีกไม่นานนี้ USB Type-C นั้นจะกลายมาเป็นมาตรฐานของโลกได้อย่างไม่ยาก มาดูกันดีกว่าว่ามันคืออะไรและมีฟีเจอร์อะไรที่น่าสนใจบ้าง
- USB Type-C คืออะไร
- USB Type-C เหมือนกับ Micro USB, USB 3.0 และ Thunderbolt หรือไม่
- USB Type-C และ USB 3.2 กับตัวเลขใต้พอร์ต
- Reversible Connector
- Power Delivery
- การถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูง
- โหมดสำรอง
- ขนาดกะทัดรัด
USB Type-C คืออะไร
การยึดมาตรฐานเดียวเพื่อควบคุมทั้งหมดเป็นเป้าหมายที่เข้าใจยากในขอบเขตของเทคโนโลยี คุณจะลงเอยด้วยสงครามรูปแบบมาตรฐานและฝ่ายหนึ่งได้รับชัยชนะเป็นเวลาสองสามปีจนกระทั่งเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมดนำออกใช้ ตัวอย่างเช่น VHS กิน Betamax จากนั้นถูกขับไล่โดย DVD ซึ่งจางหายไปเมื่อเผชิญกับ Blu-ray (มาตรฐานที่เอาชนะคู่แข่งหลักอย่าง HD DVD) ตอนนี้ต้องเผชิญกับความตายของตัวเองด้วยน้ำมือของบริการสตรีมมิ่งออนไลน์
แต่ USB-C นั้นแตกต่างและบางทีอาจเป็นสากลอย่างแท้จริงตามที่ตัวย่อ USB หรือ “Universal Serial Bus” ขณะนี้พบพอร์ต USB-C บนอุปกรณ์ทุกประเภทตั้งแต่ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอกธรรมดาไปจนถึงโน๊ตบุ๊คระดับไฮเอนด์และสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด แม้ว่าพอร์ต USB-C ทุกพอร์ตจะมีลักษณะเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทุกพอร์ตที่มีความสามารถเหมือนกัน ขณะนี้ USB-C อาจมีอยู่ทุกหนทุกแห่งแต่ก็ไม่ได้มีฟังก์ชันการใช้งานเหมือนกันไปทั้งหมด
USB-C หรือที่เรียกว่า USB Type-C เป็นตัวเชื่อมต่อ USB ที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับการชาร์จและการถ่ายโอนข้อมูล USB-C ได้รับการออกแบบมาให้สะดวกและใช้งานง่ายกว่าตัวเชื่อมต่อ USB รุ่นก่อนหน้า
“C” ในชื่อแสดงถึงการออกแบบทางกายภาพของตัวเชื่อมต่อและไม่ได้ระบุคุณลักษณะเฉพาะใดๆ ข้อมูลจำเพาะ USB-C รองรับการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูง, การชาร์จเร็วและโหมดทางเลือกที่ช่วยให้พอร์ตเหล่านี้ถ่ายโอนสัญญาณเสียงและวิดีโอ อย่างไรก็ตามคุณสมบัติเหล่านี้เป็นทางเลือกและไม่ได้มาพร้อมกับตัวเชื่อมต่อ USB-C ทุกตัว
USB-C มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนตัวเชื่อมต่อ USB-A และ USB-B รุ่นก่อนหน้าและโดดเด่นด้วยรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ คุณลักษณะที่สำคัญที่สุดของ USB-C คือขั้วต่อสามารถกลับด้านได้ ทำให้เสียบเข้าได้ทั้งสองทิศทาง นอกจากนี้ยังมีอัตราการส่งข้อมูลที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ USB รุ่นก่อนหน้า
USB-C ยังไม่ได้อยู่ในอุปกรณ์ทุกเครื่อง แต่มีเหตุผลสำคัญที่ทำให้เชื่อได้ว่าจะใช้ในเร็วๆ นี้ ต่อไปนี้คือคุณลักษณะและแอปพลิเคชันบางส่วนที่ทำให้ USB-C มีประโยชน์มาก
USB Type-C เหมือนกับ Micro USB, USB 3.0 และ Thunderbolt หรือไม่
micro USB หรือ USB 3.0 รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเมื่อมองแวบแรกอาจจะดูดีกว่า USB-C ทว่า USB-C แม้ว่าจะมีรูปทรงรีกว่าและหนากว่าเล็กน้อยแต่มันก็รองรับคุณสมบัติที่ดีกว่าในเกือบจะทุกๆ ด้านเมื่อเทียบกับรุ่นพี่ของมัน
ขั้วต่อ USB-C ดูคล้ายกับขั้วเช่นเดียวกับ Lightning และ MagSafe ตัวเชื่อมต่อ USB-C ไม่มีการวางแนวขึ้นหรือลง เพียงจัดเรียงขั้วต่อให้ถูกต้องและคุณไม่ต้องพลิกกลับด้านไปมาเพื่อเสียบปลั๊ก(การหาด้านที่ถูกต้องอยู่เสมอบางครั้งก็ทำให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์น่าเบื่อ) นอกจากนี้สายเคเบิลมาตรฐานยังมีขั้วต่อเดียวกันที่ปลายทั้งสองด้าน ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องค้นหาว่าปลายใดต่อที่ใดอีกต่อไป
บางทีโปรโตคอลที่มีประโยชน์ที่สุดที่พอร์ต USB-C สามารถรองรับได้คือ Thunderbolt ซึ่งปัจจุบันอยู่ในรุ่นที่สี่ Thunderbolt 4 เพิ่มการรองรับทรูพุตสูงสุด 40Gbps ควบคู่ไปกับการลดการใช้พลังงานและความสามารถในการเคลื่อนย้ายพลังงานได้มากถึง 100 วัตต์
พอร์ต USB-C ที่รองรับ Thunderbolt หมายความว่าคุณต้องใช้สายเคเบิลเพียงเส้นเดียวในการจ่ายไฟและถ่ายโอนข้อมูลจำนวนมาก(จ่ายไฟได้สูงสุดและรวมถึงข้อมูลวิดีโอสำหรับจอแสดงผล 60Hz 4K สองจอในเวลาเดียวกัน)
คอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตโน๊ตบุ๊คหลายรายฉวยโอกาสอย่างรวดเร็วในการเปลี่ยนมาใช้งานเช่น MacBook Pro ของ Apple บางรุ่นมีตัวเชื่อมต่อ Thunderbolt สี่ตัว(มากที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมาจนถึงปัจจุบัน) และมันยังให้ศักยภาพในการต่อขยายอุปกรณ์มากกว่าที่คุณเคยมีด้วย USB รุ่นก่อนหน้า
USB Type-C และ USB 3.2 กับตัวเลขใต้พอร์ต
จุดที่ USB-C ยุ่งยากคือตัวเลขที่ต่อเข้ากับพอร์ต(หรือหมายเลขกำหนดมาตรฐานของ USB) ความเร็วทั่วไปที่ตัวเชื่อมต่อ USB-C ได้รับการจัดอันดับคือ 10Gbps (10Gbps นั้นเร็วกว่า USB 3.0 ดั้งเดิมสองเท่าในทางทฤษฎี) พอร์ต USB-C ที่รองรับความเร็วสูงสุดนี้เรียกว่า “USB 3.2 Gen 1×2”
ข้อเสียในปัจจุบันก็คือพอร์ต USB ที่มีความเร็ว 10Gbps ยังสามารถมีอยู่ในรูปแบบเดิมที่ใหญ่ขึ้น (สี่เหลี่ยมผืนผ้า USB Type-A ที่เรารู้จักกันดี) และขนานนามว่า “USB 3.2 Gen 2×1” ยกเว้นคอมพิวเตอร์บางรุ่น(ที่เป็นรุ่นใหม่) ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นพอร์ต USB ความเร็ว 10Gbps พร้อมตัวเชื่อมต่อทางกายภาพแบบ USB-C
หมายเหตุ : พอร์ต USB-C รุ่นเก่าบางพอร์ตรองรับความเร็วสูงสุดเพียง 5Gbps ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมองหาชื่อ “USB 3.2 Gen 1×2” หรือ “10Gbps” เพื่อยืนยันว่าพอร์ต USB-C รองรับการถ่ายโอนข้อมูล 10Gbps
ยังมีเรื่องที่ทำให้ผู้ใช้สับสนและซับซ้อนมากขึ้นเพราะรูปแบบตัวเลขรอบ USB 3 อยู่ในฟลักซ์ซึ่งได้อ้างอิงถึงพอร์ตเหล่านี้มีมากมายหลายอย่างจนทำให้เกิดความงงได้อย่างง่ายๆ กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้หลังจากพอร์ต USB-C จำนวนมากมีป้ายกำกับ USB 3.1 (“USB 3.2” ยังไม่ได้มีอยู่จริงในการใช้งานเพราะฉะนั้นอย่าพึ่งเชื่อหากคุณกำลังซื้ออุปกรณ์ที่โฆษณาว่าเป็น USB 3.2 ในส่วนของอุปกรณ์ที่มีอายุมากกว่า 1-2 ปีขึ้นไป ทว่าในปี 2023 นี้รับรองว่าคุณได้เห็นแน่ๆ)
ใน USB 3.1 ทั้ง Gen 1 และ Gen 2 รวมไปจนถึงแผ่นข้อมูลจำเพาะบางส่วนยังคงอ้างอิงถึงชื่อที่เก่ากว่าพร้อมกับแบรนด์ SuperSpeed ทำให้เกิดความสับสน หน่วยงานกำหนดมาตรฐาน USB อย่าง USB-IF จึงได้ตัดสินใจที่จะเลิกใช้ “USB 3.1” เพื่อหันไปใช้ USB 3.2 โดยคุณสามารถที่จะเทียบดูคำประกาศมาตรฐานความเร็วใหม่ได้จากภาพทางด้านบน
การกำหนด USB 3.2, USB 3.1 และ SuperSpeed ที่คุณเห็นด้านบนในแต่ละบรรทัดนั้นเทียบเท่ากัน เพียงแต่ต่างกันที่ชื่อ หากคุณเห็นฉลาก USB 3.1 ทางที่ดีควรสอบถามเกี่ยวกับความเร็วการถ่ายโอนสูงสุดของพอร์ตโดยตรงกับผู้ผลิตอุปกรณ์หรือตัวแทนจำหน่าย
ดังที่คุณเห็นด้านบน พอร์ต USB-C บางพอร์ตใช้ข้อมูลจำเพาะ USB 3.2 Gen 2×2 โดยมีความเร็วสูงสุด 20Gbps ทาง USB-IF ตัดสินใจเลือก “2×2” เนื่องจากมาตรฐานนี้เพิ่มเลนข้อมูลเป็นสองเท่าภายในสายเคเบิล USB-C เพื่อให้ได้ความเร็วการถ่ายโอน 20Gbps พอร์ตเหล่านี้ไม่สามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวาง พวกเขามีแนวโน้มที่จะหันไปใช้พอร์ต USB-C รุ่นใหม่ที่รองรับ USB4 ซึ่ง USB-IF ได้ประกาศในที่สุดว่าจะรองรับความเร็วข้อมูลสูงสุด 120Gbps
เพื่อลดความสับสน USB-IF ยังตั้งใจที่จะเลิกใช้เวอร์ชัน USB ที่มีหมายเลขในอนาคต แทนที่จะสนับสนุนให้ผู้ผลิตอุปกรณ์อ้างถึงความเร็วสูงสุดของพอร์ต เช่นใน “USB 20Gbps”
Reversible Connector
ตัวเชื่อมต่อ USB-C สามารถย้อนกลับได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดของตัวเชื่อมต่อประเภทนี้เหนือตัวเชื่อมต่อ A และ B
USB Type-C แตกต่างจากขั้วต่อ USB Type-A และ USB Type-B ที่ต้องเสียบในแนวที่กำหนด ขั้วต่อ USB-C สามารถกลับด้านได้ทั้งหมดและสามารถเสียบเข้ากับพอร์ตจากด้านใดด้านหนึ่งซึ่งเป็นผลมาจากความสมมาตรของขั้วต่อ หัวคอนเนคเตอร์ที่มีรูปร่างและการกำหนดค่าพินภายในนั้น
ไม่จำเป็นต้องพลิกขั้วต่อ USB ของคุณสามครั้งก่อนที่จะค้นหาการวางแนวที่ถูกต้อง สิ่งที่คุณต้องทำคือใส่เพียงครั้งเดียวและใช้งานได้ทันที
นอกจากนี้ USB Type-C แตกต่างจากข้อกำหนดก่อนหน้านี้ที่ต้องใช้โฮสต์ USB และอุปกรณ์ USB สาย USB-C ถึง USB-C สามารถถ่ายโอนข้อมูลและจ่ายไฟได้ทั้งสองทาง สิ่งนี้เพิ่มระดับใหม่ของความสะดวกสบายและง่ายต่อการใช้งานให้กับอินเทอร์เฟซ USB แบบก้าวกระโดด
Power Delivery
Power Delivery ได้รับการแนะนำโดยผู้ผลิตพีซีที่ต้องการปริมาณพลังงานที่มากขึ้นจากตัวเชื่อมต่อ USB
โปรโตคอล Power Delivery ใช้ประโยชน์สูงสุดจากพอร์ต USB-C และสามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 100 วัตต์ (20V/5A) โดยใช้เทคโนโลยีทั้งภายในและภายนอก หนึ่งร้อยวัตต์อาจดูเหมือนไม่มาก แต่คุณควรทราบว่โน๊ตบุ๊คส่วนใหญ่สามารถชาร์จใหม่ได้โดยใช้เครื่องชาร์จที่มีกำลังไฟ 45-65 วัตต์เท่านั้น
USB-C ยังสามารถควบคุมการจ่ายไฟเพื่อให้อุปกรณ์ที่จ่ายไฟได้รับในปริมาณที่เหมาะสมเสมอ ทั้งนี้ในปัจจุบันยังไม่มีการนำ Power Delivery มาใช้ในตัวเชื่อมต่อ Type-C ทุกตัว แต่เราก็กำลังจะไปถึงจุดนั้นในอีกไม่นานนัก
การถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูง
ด้วยข้อกำหนด USB4 2.0 ทำให้ USB-C สามารถส่งไฟล์ด้วยอัตราการส่งสูงถึง 80Gbps
โดยทั่วไปแล้ว USB-C ใช้มาตรฐานการถ่ายโอน 3.2 Gen 1 ซึ่งมีอัตราการส่งข้อมูลเลนเดียวที่ 5Gbps มาตรฐานการถ่ายโอน 3.2 Gen 2 ให้อัตราการถ่ายโอน 10Gbps ที่น่าประทับใจยิ่งขึ้น ด้วยการทำงานในรูปแบบดูอัลเลนที่ทำให้อัตราการถ่ายโอนเร็วยิ่งขึ้น อัตราการถ่ายโอนที่สูงนี้มีประโยชน์ในระบบการจัดส่งไฟล์และช่วยประหยัดเวลาที่สำคัญ
โหมดสำรอง
USB-C ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การถ่ายโอนข้อมูลเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้กับวิดีโอ เสียงและระบบส่งกำลังได้อีกด้วย
USB-C รองรับโหมดสำรองต่างๆ ที่อนุญาตให้ใช้โปรโตคอลที่ไม่ใช่ USB ผ่านสายและขั้วต่อ USB-C โดยโปรโตคอลที่ไม่ใช่ USB ที่ USB-C รองรับได้แก่ HDMI, DisplayPort, Thunderbolt, MHL และระบบเสียงอะนาล็อก ซึ่งช่วยให้อุปกรณ์สามารถใช้พอร์ต USB-C เดียวเพื่อวัตถุประสงค์หลายอย่างเช่น การชาร์จ, ปล่อยเอาต์พุตวิดีโอและเอาต์พุตเสียง ด้วยความสามารถนี้ทำให้การออกแบบอุปกรณ์ของผู้ผลิตทำได้ง่ายขึ้นแถมยังมาพร้อมกับความสามารถในการปรับปรุงความสะดวกในการใช้งานให้แก่ผู้ใช้ได้อีกต่างหาก
- DisplayPort: USB-C ยังรองรับอินเทอร์เฟซ DisplayPort ซึ่งช่วยให้คุณส่งสัญญาณเสียงและวิดีโอ DisplayPort โดยใช้ตัวเชื่อมต่อ USB-C ทว่าในส่วนของมีประสิทธิภาพนั้นยังคงน้อยกว่า Thunderbolt 3 มาก(แต่ก็มีประโยชน์หากอุปกรณ์ของคุณเข้ากันไม่ได้กับพอร์ตแบบเก่า)
- HDMI: โหมด Alt ที่สำคัญอีกโหมดหนึ่งที่มีในตัวเชื่อมต่อ USB-C คือโหมด HDMI Alt ซึ่งช่วยให้คุณใช้สาย USB-C เป็น HDMI เพื่อเชื่อมต่อกับจอแสดงผลที่เปิดใช้งาน HDMI โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้อะแดปเตอร์หรือดองเกิลอีกต่อไป
- Thunderbolt: USB-C สามารถรองรับมาตรฐาน Thunderbolt ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟซความเร็วสูงที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่อพ่วงภายนอกเช่นฮาร์ดไดรฟ์และจอแสดงผลได้ Thunderbolt 3 ใช้ตัวเชื่อมต่อแบบเดียวกับ USB-C แต่ช่วยให้ถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วขึ้นและมีความแตกต่างเล็กน้อยอื่นๆ
- MHL: MHL หรือ Mobile High-Definition Link เป็นเทคโนโลยีที่ให้คุณเชื่อมต่ออุปกรณ์พกพาของคุณ(เช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต) กับทีวีหรือจอแสดงผลอื่นๆ ช่วยให้คุณสามารถสะท้อนหน้าจออุปกรณ์มือถือของคุณบนจอแสดงผลขนาดใหญ่และยังช่วยให้คุณควบคุมอุปกรณ์โดยใช้รีโมททีวี นอกจากนี้ MHL ผ่าน USB ยังรองรับวิดีโอสูงสุด 8K และเสียงรอบทิศทางอีกด้วยต่างหาก
พอร์ต USB-C บางพอร์ตไม่รองรับโหมดทางเลือกเหล่านี้ทั้งหมด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลจำเพาะของอุปกรณ์และสายเคเบิลของคุณ(ตัวอย่างเช่น USB-C 2.0 จะไม่รองรับการใช้งานแบบนี้)
ขนาดกะทัดรัด
คอนเนคเตอร์ Type-C ให้ประโยชน์ที่สำคัญโดยเฉพาะในแง่ของการพกพาและความกะทัดรัด ตัวเชื่อมต่อนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนที่พกพาสะดวกในปัจจุบันเนื่องจากขนาดที่เล็กและลักษณะการใช้งานที่หลากหลาย สิ่งนี้ทำให้ผู้ผลิตสามารถสร้างอุปกรณ์ที่เหมาะกับสรีระและใช้งานง่ายโดยไม่ต้องตัดฟังก์ชันการทำงานออก
มาตรฐาน USB เดียวที่จะควบคุมทุกอย่าง
USB-C ยังมีหนทางอีกยาวไกลในการนำไปใช้ แถมผู้ผลิตมีหลายสิ่งที่ต้องทำเพื่อขจัดความสับสนของผู้ใช้ไม่ว่าจะเป็นปลายทางเกี่ยวกับข้อมูลจำเพาะหรือมาตรฐานที่ต้องตกลงร่วมกันให้ได้ ทว่าอย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้น USB-C มีศักยภาพมากกว่านั้น
เช่นเดียวกับที่มาตรฐาน USB ดั้งเดิมมาแทนที่มาตรฐานการเชื่อมต่อก่อนหน้าบน Mac และพีซี ตัวเชื่อมต่อข้ามแพลตฟอร์มที่ค่อนข้างใหม่นี้กำลังแทนที่มาตรฐานเดิมอย่างรวดเร็ว USB-C เป็นตัวเชื่อมต่อเพียงตัวเดียวที่สามารถรองรับความต้องการทั้งหมดของคุณ ตั้งแต่การถ่ายโอนข้อมูลไปจนถึงการจ่ายไฟให้กับจอแสดงผลและอาจครอบครองโลกของตัวเชื่อมต่อในอีกไม่ช้า