หลังจากที่ฟาดฟันกันมาหลายยุค เทคโนโลยีของ SD Card ก็ได้กลายมาเป็นมาตรฐานหลักที่อุปกรณ์ต่างๆ รองรับในการเก็บข้อมูล ซึ่งนอกจากความสะดวกในการใช้งานแล้ว ในแง่ของความเร็วในการทำงานก็ยังได้รับการพัฒนาให้รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเราได้เห็นมาตรฐานย่อยต่างๆ มากมายจนบางครั้งก็เลือกซื้อไม่ถูก เพราะไม่ทราบถึงความแตกต่าง (แต่บางครั้งก็ทราบได้ทันทีด้วยราคา)
จาก SD Card แบรนด์ต่างๆ ที่วางขายกันอยู่ในท้องตลาด สู่การทดสอบที่น่าสนใจของเราว่า SD Card ที่วางขายกันนั้นมีความเร็วในการทำงานที่แตกต่างกันหรือไม่ ซึ่งก่อนที่เราจะไปถึงเรื่องของการทดสอบ ผมอยากจะขอแนะนำให้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานเทคโนโลยีของ SD Card กันก่อนเล็กน้อย
SD/SDHC/SDXC เป็นชื่อที่ใช้เรียกแทนเวอร์ชันของมาตรฐาน SD Card เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ โดยจะมีการเปลี่ยนรายละเอียดข้างในให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเราจะเห็นในแง่ของความจุที่เพิ่มขึ้นชัดเจนมากที่สุด และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นข้อกำหนดคือความเร็วบัสในการถ่ายโอนข้อมูล ซึ่ง SDXC จะใช้บัสแบบ UHS-I ที่มีความเร็วสูงสุดถึง 104MB/s เลยทีเดียว ปัจจุบันในท้องตลาดแทบจะเป็น SDXC ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดกันหมดแล้ว
Class หลังจากที่ SD Card ได้เปลี่ยนมาใช้ Class เพื่อแบ่งเกรดของการ์ดตามความเร็วที่ถูกออกแบบมา โดยวัดจากความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลของตัวแฟลชภายในการ์ดเลย โดยในตลาดตอนนี้มักจะเห็น Class 4 สำหรับการใช้งานทั่วไป ราคาถูกและมักจะใช้เป็นของแถม กับ Class 10 ที่มีความเร็วสูงกว่าเหมาะกับการถ่ายวิดีโอ HD หรือ Full HD มากกว่า ซึ่งตัวเลขของ Class นั้นก็จะหมายถึงการ์ดตัวนี้มีความเร็วอย่างน้อย ? MB/s ตามตัวเลขนั้นเลย ซึ่งเลขนี้ขอเน้นว่าเป็นความเร็วขั้นต่ำนะครับ ส่วนความเร็วจริงๆ ต้องไปวัดกันทีเพราะไม่มีการกำหนด Class ที่สูงกว่านี้ออกมาแล้ว
UHS-I/UHS-II นอกจาก Class แล้วเรายังเห็นการ์ดรุ่นใหม่มีระบุ U1 หรือ UHS-I เอาไว้ด้วย ซึ่งนี้เป็นมาตรฐานนี้แต่เดิมเป็นการระบุความเร็วของบัสที่ใช้ส่งข้อมูล แต่ก็ถูกนำมาเป็นตัวชี้วัดเกรดของการ์ดด้วยเช่นกัน โดย U1 ที่เห็นมากที่สุดในท้องตลาด (มักจะมาควบคู่กับ Class 10) จะมีความเร็วบัสสูงสุด 104MB/s และมีความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลจริงๆ สูงกกว่า 10 MB/s เท่านั้น
สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
แม้ว่าจะมีมาตรฐานมากำหนดแบ่งเกรดชัดเจน แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์กับผู้บริโภคเลย เพราะความเร็วบัสนั้นไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของการ์ด ส่วนความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลที่กำหนดโดยเลข Class นั้น ก็มีถึงระดับแค่ 10MB/s เท่านั้น เท่ากับว่าจะเป็นการ์ดที่มีความเร็ว 15MB/s หรือ 90MB/s ซึ่งต่างกันมาก แต่ก็ได้ Class 10 เหมือนกัน
ส่วนมาตรฐาน U3 ที่กำหนดความเร็วขั้นต่ำของตัวการ์ดที่ 30MB/s นั้นยังไม่ค่อยเห็นวางจำหน่ายนัก แต่คาดว่าจะได้รับความนิยมในไม่ช้าเพราะออกแบบมาเพื่องานถ่ายวิดีโอ 4K เป็นหลัก
มองหา SD Card Class10 U1 ในท้องตลาด
อย่างที่บอกไว้ว่ามาตรฐานไม่ได้บอกอะไรกับผู้บริโภคนัก เราจะเห็นว่าในท้องตลาดตอนนี้ SD Card ที่อยู่บนมาตรฐาน Class10 U1 มีเยอะแยะมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะให้ประสิทธิภาพที่เหมือนกัน เพราะแม้แต่ในแบรนด์เดียวกัน ก็ยังมีการแบ่งรุ่น แบ่งเกรดแยกออกจากกันอีก ดังนั้นเราจะมาดูกันว่าการ์ดแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อนั้นมีความแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าปัจจุบัน SD Card ธรรมดานั้นเริ่มหายากลงเรื่อยๆ เพราะถูกใช้งานบนอุปกรณ์ขนาดใหญ่อย่างกล้องดิจิตอลเป็นหลัก ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ มักจะหันไปใช้รูปแบบ micro SD หรือ T-Flash กันหมดแล้ว แถมใส่ตัวแปลงแล้วใช้งานได้เหมือนกันอีกด้วย ดังนั้นตัวทดสอบที่เรากำหนดว่าจะต้องเป็น SD Card นั้นจึงพอหามาได้แค่ 3 รุ่นจาก 3 แบรนด์ ที่พยายามจะให้ใกล้เคียงกันมากที่สุด
Kingston Class10 UHS-I 16GB ตัวแรกมากจากแบรนด์ที่เป็นที่คุ้นเคยกันดีในเรื่องของหน่วยความจำรูปแบบต่างๆ โดยการ์ดที่เรานำมาทดสอบเป็นแบบ Class10 U1 รุ่นมาตรฐาน ความจุ 16GB ซึ่งมีการระบุความเร็วในการอ่านข้อมูลในสเปกเอาไว้ที่ 30MB/s ด้วย (ความเร็วในการเขียนไม่ได้ระบุไว้) ถือว่าเป็นการ์ด Class10 U1 ระดับเริ่มต้นที่ราคาไม่สูงมากนัก และสามารถใช้งานหนักๆ อย่างการถ่ายวิดีโอ Full HD ทั่วไปได้
Lexar Platinum II SDHC UHS-I 16GB ผู้เข้าแข่งขันที่สองเป็นการ์ดแบบ SDHC Class10 U1 เหมือนกันและจัดว่าเป็นรุ่นใช้งานทั่วไป หรือขั้นต่ำสุดที่อยู่บนมาตรฐาน U1 เหมือนกัน โดยมีความจุ 16GB เท่ากัน ส่วนความเร็วในการทำงานมีการระบุแยกไว้ให้เรียบร้อยคือความเร็วในการอ่านข้อมูล 30MB/s และเขียนข้อมูล 22MB/s
Sandisk Extreme SDHC UHS-I 16GB ตัวสุดท้ายคือ Sandisk ซึ่งต้องบอกไว้ก่อนว่าตัวนี้พิเศษเล็กน้อยๆ เพราะถือว่าเป็นรุ่นสำหรับมืออาชีพ แม้ว่าจะอยู่บนมาตรฐานเดียวกันคือ Class10 U1 เหมือนกัน แต่ก็จะมีราคาแพงกว่ารุ่นทั่วไป (Ultra) อยู่พอสมควร ด้วยความเร็วในสเปกที่ระบุว่าสามารถอ่านและเขียนข้อมูลได้ที่ความเร็ว 45MB/s ซึ่งสูงกว่าทั้งสองที่กล่าวมาแล้วแน่นอน แต่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเร็วกว่ากันได้แค่ไหน
การทดสอบ
ในการทดสอบ เราได้ทำการทดสอบผ่าน Card Reader ของโน๊ตบุ๊ค ซึ่งเชื่อมต่อบนมาตรฐาน USB 2.0 ซึ่งอาจจะไม่ได้ดึงเอาความสามารถสูงสุดของการ์ดออกมาใช้งาน แต่สำหรับความเร็วสูงสุด 45MB/s ของการ์ดที่เรานำมาทดสอบ แค่ USB 2.0 ก็คงเพียงพอแล้วล่ะ เอ้าไปดูผลการทดสอบกันเลยดีกว่า
HD Tune Info Kingston, Sandisk and Lexar
HD Tune ? Benchmark (Transfer Rate)
HD Tune ? Benchmark (Access Time)
ATTO Benchmark – Kingston, SanDisk and Lexar
Tera Copy (1GB File Transfer)
ผลการทดสอบในส่วนต่างๆ ถือว่าเป็นเอกฉันท์ที่จะให้ Sandisk นั้นชนะไป ซึ่งไม่แปลกอะไร เพราะด้วยระดับของการ์ดที่เหนือกว่า รวมถึงราคาที่แพงกว่า ย่อมทำให้ผลการทดสอบดีกว่าชาวบ้านอยู่แล้ว ถ้าไม่ดีกว่านี่สิถึงจะผิดปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่สังเกตุได้คือแม้จะดีกว่า แต่ก็ดีกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้งานร่วมด้วย เช่นเครื่องอ่านการ์ด หรืออุปกรณ์จำพวกกล้องที่คุณจะนำไปใช้งานด้วย
ส่วน Kingston กับ Lexar นั้น แม้ว่าสเปกจะใกล้เคียงกัน แต่ผลการทดสอบก็ออกมาต่างกันพอสมควร ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะ Kingston ไม่ใช่การ์ดใหม่แกะกล่อง แต่เป็นการ์ดที่ผ่านการใช้งานมาบ้างแล้ว (ดูจากรูป) จึงอาจจะส่งผลต่อประสิทธิภาพอยู่มากพอสมควรทีเดียว ซึ่งเชื่อว่าถ้าเป็นการ์ดใหม่แกะกล่องทั้งคู่ ก็น่าจะให้ประสิทธิภาพไม่ต่างกันมากนัก
Conclusion
เห็นได้ชัดเจนแล้วนะครับว่า SD Card Class10 U1 ที่เราเห็นอยู่ในท้องตลาด ไม่ได้มีประสิทธิภาพที่เหมือนกันอย่างที่หลายๆ คนคิด เพราะมาตรฐานที่ระบุไว้ไม่ได้ครอบคลุมไปถึงความเร็วที่มากกว่า 10MB/s เลย ดังนั้นจุดหนึ่งที่สามารถสังเกตุได้คือเรื่องของรุ่นย่อยๆ ที่มีการแยกไว้อย่างเห็นได้ชัด รวมถึงราคาที่เป็นตัวบ่งบอกชัดเจน คือหมายถึงแพงกว่าจนต้องเอ๊ะใจแล้วไปค้นหาข้อมูลต่อนะครับ ไม่ใช่แพงกว่าแล้วจะดีกว่าเสมอไป
การเลือก SD Card ไปใช้งาน ถึงจะมีงบไม่จำกัดและสามารถซื้อการ์ดเกรดดีสุด ราคาแพงสุด มีความเร็วสูงสุด แต่ก็คงต้องดูการใช้งาน และอุปกรณ์ที่จะใช้งานร่วมด้วยว่าจำเป็นต้องใช้การ์ดทีมีความเร็วสูงขนาดนั้นหรือไม่ และตัวอุปกรณ์สามารถรองรับความเร็วสูงสุดของการ์ดนั้นได้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นก็เท่ากันเสียเงินซื้อของดีมาแต่ไม่ได้ใช้งาน
สำหรับการใช้งานในปัจจุบันแล้วคงแนะนำไปที่ Class10 U1 รุ่นทั่วไปแบบ Kingston หรือ Lexar ที่เรามาทดสอบให้ดู เพราะราคาไม่แพงและมีประสิทธิภาพดีเพียงพอต่อการใช้งานได้เกือบทุกอย่าง แม้แต่ถ่ายวิดีโอแบบ Full HD ก็ยังได้ ส่วนการ์ดรุ่นที่ดีขึ้นไป (และแพงขึ้นไปด้วย) อย่าง Sandisk หรือรุ่นที่สูงกว่านี้ จะเหมาะกับงานหนักๆ เช่นถ่ายรูปความละเอียดสูงแบบรัวๆ หรือถ่ายวิดีโอ Full HD ที่มี Bit Rate สูงๆ รวมไปถึงพวกวิดีโอ 3D ด้วย ซึ่งนั่นก็คงเป็นการใช้งานระดับมืออาชีพตามที่รุ่นของการ์ดได้ระบุไว้นั่นเองครับ
By Toffeee Latte