หลายๆ ท่านคงได้อ่านบทความด้านเทคนิคเกี่ยวกับการ์ดจอรุ่นใหม่อย่าง AMD Radeon R9 และ R7 กันไปแล้วในบทความหลักของเรา (บทสรุปงาน AMD GPU14 Tech Day) คราวนี้เรามาดูบทความเบาๆ กับภาพบรรยากาศเล็กๆ น้อยๆ จากที่ผมไปร่วมงานครั้งนี้กันบ้างครับ เริ่มตั้งแต่จากไทยจนกลับไทยเลยทีเดียว โดยภาพประกอบในบทความนี้จะมีทั้งภาพจากกล้องหลักและกล้องมือถือนะครับ คุณภาพของภาพก็จะแตกต่างกันพอสมควร ถ้าภาพไม่สวยก็อย่าว่ากันนะ ผมทำได้แค่นี้แล่ะ ^^
วันที่ 1 (23 กันยายน 2013)
เที่ยวบินที่ผมใช้เดินทางครั้งนี้ หลักๆ จะเป็นของ United Airline จากสหรัฐฯ ครับ ออกบินประมาณ 6 โมงเช้าวันจันทร์ที่ 23 กันยายนของไทย ไปแวะที่ญี่ปุ่น ใช้เวลาบินราวๆ 6-7 ชั่วโมง ถึงญี่ปุ่นประมาณบ่ายสอง (ที่ญี่ปุ่นเวลาเร็วกว่าเรา 2 ชั่วโมง)
มาถึงก็ต้องผ่่านด่านตรวจสัมภาระตามปกติ ก่อนจะเข้าไปหาที่นั่งรอบริเวณเกท ซึ่งถ้าใครชอบสาวญี่ปุ่นหรือสาวสไตล์เอเชียอยู่แล้ว รับรองว่าฟินกันตั้งแต่ในสนามบินกันเลยทีเดียว
เที่ยวบินของผมมีกำหนดออกบินราวๆ 1 ทุ่ม (ตามเวลาญี่ปุ่น) ก็เลยจำต้องนั่งรอ หาของกิน นั่งหาอะไรทำไปเรื่อย ดีที่มี WiFi ฟรี แค่ลงทะเบียนด้วยอีเมลก็สามารถใช้งานได้แล้ว เลยพอทำงานนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็เล่นเน็ตระหว่างรอได้ ส่วนภาพด้านบนนี้ไม่ใช่เครื่องที่ผมจะขึ้นนะครับ เพียงแต่ว่างๆ เลยถ่ายรูปเล่น อากาศภายนอก ตามอุณหภูมิก็อยู่ที่ราวๆ 20 องศาเซลเซียสเท่านั้นเอง
เมื่อถึงเวลาขึ้นเครื่อง ทีนี้ผมหลับยาวเลยครับ เพื่อทำการปรับเวลาและนอนชดเชยล่วงหน้า เพราะตามกำหนดการแล้ว ผมจะไปถึงฮาวายประมาณ 7 โมงเช้าวันที่ 23 กันยายน (เวลาที่ฮาวายช้ากว่าบ้านเรา 17 ชั่วโมง) ถ้าดูจากตัวเลขเวลา ก็เหมือนแค่ผมรถติดใน กทม. เท่านั้นเอง แล้วก็มาถึงฮาวายเลย (ฮา) ทั้งที่จริงแล้วผมใช้เวลาเดินทางรวมเวลารอเปลี่ยนเครื่องทั้งหมดประมาณ 18 ชั่วโมงด้วยกัน
ส่วนเรื่องการปรับชดเชยเวลาร่างกายล่วงหน้า ตัวผมเองแทบจะไม่ได้ทำเท่าไรเลยครับ โดยในคืนวันอาทิตย์ก่อนบิน ผมนอนประมาณ 4 ทุ่ม แล้วดันตื่นมาตั้งแต่เที่ยงคืน ทั้งที่ตั้งนาฬิกาปลุกตอนเกือบตีสาม ก็เลยนั่งถ่างตารอเวลา พอได้ขึ้นเครื่องจากไทยก็หลับๆ ตื่นๆ ตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นก็ได้พักสายตาประมาณ 20 นาที แล้วก็หลับยาวบนเครื่องได้ประมาณ 4 ชั่วโมง พอตื่นมาก็สดชื่นพอดี มีแรงทำกิจกรรมได้ทั้งวัน แต่ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะผมนอนน้อยอยู่แล้วก็ได้
ในที่สุดก็มาถึงฮาวายจนได้ครับ ตัวอาคารสนามบินค่อนข้างเล็ก สภาพอากาศเท่าที่พอสรุปได้ของฮาวายในช่วงที่ผมไปพักอยู่ก็มีดังนี้
- สภาพอากาศโดยรวมคล้ายๆ บ้านเรา แดดแรง แต่ไม่ใช่แดดแผดเผาผิวเหมือนจะทำให้ตัวละลาย
- มีลมเย็นอยู่เรื่อยๆ ริมทะเลลมค่อนข้างแรง
- อย่าเชื่อเมฆและท้องฟ้าที่เห็น เพราะถึงแม้แดดจะจ้า ฟ้าจะใสขนาดไหน อยู่ดีๆ ฝนก็สามารถตกได้
- ฝนตกเบาๆ นิดเดียวแล้วก็หยุด บางครั้งตกอยู่ไม่ถึงห้านาทีก็หยุด พอผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีก็ตกอีก
นี่คือโรงแรมที่ใช้เป็นที่พักและที่จัดกิจกรรม AMD GPU14 Tech Day Event ในครั้งนี้ครับ โรงแรม JW Mariotte (Ihilani Resort And Spa) ในเมือง Oahu ซึ่งอยู่ติดชายหาดเลย โดยในละแวกนี้จะมีโรงแรมเรียงรายกันมากมาย
ระหว่างรอเช็คอินเข้าห้อง ก็ถ่ายรูปวิวด้วยมือถือซักหน่อย ขออภัยที่แต่งภาพมาสีจัดเกินครับ เพราะจอมือถือมันซีด เลยกะปริมาณสีไม่ถูก แต่ท้องฟ้าในวันนั้นก็เป็นสีฟ้าจริงๆ นะ
นี่คือห้องที่ผมได้พักครับ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่ดันสัญญาณเน็ตอ่อน ไม่สามารถใช้ WiFi ตรงโต๊ะทำงานได้เลย ต้องมายืนใช้งานหน้าห้อง แต่โดยรวมแล้วทุกอย่างจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมเลยครับ ^^ วิวจากระเบียงหลังห้องก็มองเห็นทะเลนิดหน่อย แต่ไม่ค่อยสวยนัก เพราะอยู่แค่ชั้น 6 เอง (ตึกโรงแรมมีเกือบ 20 ชั้น)
ด้านล่างนี้เป็นภาพบรรยากาศในย่าน Waikiki ของฮาวาย เป็นย่านศูนย์การค้า มีของให้เลือกซื้อมากพอสมควรเลย ส่วนนักท่องเที่ยวที่พบ คาดว่ากว่า 70% เป็นคนญี่ปุ่นครับ
สภาพบ้านเมืองเท่าที่ผมสังเกตมาก็ดูเรียบร้อยสะอาดตาดีครับ ขยะก็มีบ้างแต่น้อย ผู้คนก็ดูเคารพกฏดี ก่อนจะข้ามถนนก็ต้องรอสัญญาณไฟอนุญาตให้ข้ามก่อน
แฉลบเข้ามาร้าน Apple Store ของแท้ที่ฮาวายซะหน่อย ข้างในคนค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว สินค้าก็มีขายเยอะ ตัวร้านกว้างขวางโอ่โถงดีครับ เห็นแล้วอยากให้มาเปิดที่ไทยจริงๆ (ปัจจุบันที่ไทยมีแต่ร้านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตจาก Apple เท่านั้น)
iPhone 5s และ iPhone 5c ก็มีเครื่องพร้อมให้ลองเล่นกันเต็มที่เลย อย่างในภาพขวาล่าง นั่นคือ iPhone 5s ทั้งโต๊ะเลยนะครับ เสียดายไม่มีสีทองอยู่เลย ส่วน iPhone 5c จะมาอยู่ฝั่งผนังร้าน มีให้ลองเล่นกันแทบจะทุกสีเลยด้วย ทุกเครื่องเชื่อมต่อ WiFi ของร้านเอาไว้อยู่ ซึ่ง WiFi นี้คนนอกอย่างเราก็สามารถเชื่อมต่อใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ด้วยฟรีๆ ผมเลยหยุดอยู่ที่ร้านนานพอสมควรเพื่อเล่นเน็ต (ฮา)
ส่วนใครที่อยากหาของแต่ง อุปกรณ์เสริมต่างๆ ก็มีให้เลือกเยอะมากๆ แม้กระทั่งเคสของ iPod Classic ก็ยังมีขายเลย และแน่นอนเคส iPhone 5s และ iPhone 5c ของ Apple เองก็มีวางจำหน่ายแล้วด้วยเช่นกัน
เดินๆ ไปเริ่มหิว ก็บังเอิญไปเจอร้านแมคโดนัลด์พอดีครับ เลยจัดมาหนึ่งชุด ชุดนี้มีชื่อว่า?Quarter pounder bacon habanero ranch ราคา $9.37 แปลงเป็นเงินไทยก็ราวๆ 290 บาท อาจจะดูว่าแพง แต่เรื่องปริมาณและคุณภาพนี่สมราคาดีครับ อีกอย่างฐานค่าครองชีพที่นู่นสูงกว่าบ้านเราเป็นทุนอยู่แล้วอะนะ
ส่วนรสชาตินั้น ร้อนแรงจัดจ้านถึงใจมากครับ ทั้งส่วนของเนื้อที่นิ่มกำลังดี เบคอนย่างหอมๆ พร้อมซอสฮาบาเนโรที่ให้รสเผ็ดร้อนแรง ผสมกับผักที่ใหม่สดจริงๆ ทำให้รสชาติออกมาดีโดยที่ไม่ต้องใช้ซอสใดๆ เพิ่มเติมเลย เฟรนช์ฟรายก็ทอดใหม่ๆ สดๆ รสจืดกว่าบ้านเรานิดหน่อย (ที่จริงต้องบอกว่าของบ้านเราเค็มไป) ตบท้ายด้วยของหวานเป็นสัปปะรดธรรมดา โดยรวมแล้วก็โอเคดีครับ กับราคา 290 บาท
โดยอันที่จริงแล้ว ในอเมริกาจะมีธรรมเนียมการให้ทิปกับผู้ที่ให้บริการเราอยู่เสมอๆ เช่นให้ทิปพนักงานร้านอาหาร ให้ทิปพนักงานบริการในโรง ให้ทิปคนขับแท็กซี่ เป็นต้น ซึ่งโดยมากจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากค่าใช้จ่ายที่เรารับบริการ เช่น 15 – 20% อย่างถ้าสมมติค่าอาหาร $10 ก็ควรจะให้ทิป $1.5 ถึง $2 (เรื่องพวกนี้ผมก็อ่านมาอีกทีก่อนไปเมื่อกันครับ) แต่ก็มียกเว้นบ้างบางกรณี เช่นเป็นร้านที่เราบริการตัวเอง อย่างแมคโดนัลด์ที่ผมต้องยกอาหารมานั่งกินที่โต๊ะเอง กรณีนี้ก็ไม่ต้องให้ทิปก็ได้ เป็นต้น ที่จริงมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องทิปยิบย่อยมากเลย ขอข้ามไปแล้วกันนะ
พอช่วงเย็นก็เป็นงานเลี้ยงเปิดงานวันแรกครับ บรรยากาศค่อนข้างดี ลมแรง ไม่มีฝนใดๆ แม้จะมีเมฆครึ้มๆ มาบ้างก็ตาม
บรรยากาศในงานก็สบายๆ ครับ ส่วนตัวผมพออิ่มเสร็จก็กลับขึ้นมาบนห้องละ เพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวสำหรับวันรุ่งขึ้น
วันที่ 2 (24 กันยายน 2013)
กิจกรรมเด่นของวันนี้ก็คือการเดินขึ้นเขา Diamond Head ครับ โดยตัวเขา Diamond Head ก็มีความสำคัญในสมัยสงครามอยู่เหมือนกันตั้งแต่สมัยชนพื้นเมืองบนเกาะ เรื่อยมาจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย เพราะบริเวณเชิงเขาได้ถูกใช้เป็นแหล่งซ่อนกำบังเพื่อสอดแนมข้าศึก เรียกว่าเป็นชัยภูมิที่ดีแห่งหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งผมจะอธิบายในช่วงต่อไปครับ
การเดินขึ้นเขา Diamond Head ครั้งนี้ เป็นตามความสมัครใจ จะขึ้นหรือไม่ขึ้นก็ได้ แต่ส่วนใหญ่แทบทุกคนก็ขึ้นกันไปหมดเลย โดยวันที่เรามาแม้จะเป็นวันอังคาร แต่นักท่องเที่ยวก็เยอะมากๆ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวญี่ปุ่น
ฟ้าใสดีใช่มั้ยครับ อยากบอกว่าอากาศวันนี้แย่มาก เพราะมีทั้งแดด ฝน และลมแรง โดยฝนมีบางช่วงตกหนัก บางช่วงก็ตกเบาๆ บางช่วงหยุดไป ซักพักก็ตกใหม่ ลำบากกับการพกกล้องมากๆ แถมไม่ได้เอากระเป๋ากล้องมาด้วย เรียกว่าเปียกไปทั่วกันทั้งคนทั้งกล้องเลย แต่สุดท้ายแล้วนับว่าโชคดีมากที่ไม่เป็นหวัดครับ ไม่งั้นแย่แน่ๆ
ก่อนจะเดินขึ้นสู่ยอดเขา Diamond Head รองประธานใหญ่ผู้ดูแลส่วนงาน Visual Computing อย่าง Raja Koduri (คนขวา)ก็ได้ขึ้นมาบรรยายสั้นๆ เกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมาของตัวเขา ว่าทำไมถึงกลับมาทำงานร่วมกับ AMD อีกครั้ง หลังจากที่เขาเคยย้ายงานจาก AMD ไปอยู่กับ Apple เมื่อหลายปีก่อน และมีส่วนร่วมในการผลักดันความละเอียดจอระดับ Retina Display ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน
โดย Raja กล่าวว่า หลังจากเขากลับมาอยู่กับ AMD อีกครั้ง ก็พบว่าลักษณะองค์กรของ AMD มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ลักษณะการทำงานกระชับฉับไวยิ่งขึ้น ส่งผลให้สามารถผลักดันสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ง่ายกว่าที่เขาเคยประสบมาก่อนย้ายไปทำงานกับ Apple นอกจากนี้เขายังพบว่าที่จริงแล้ว AMD มีทรัพยากรที่ดีและศักยภาพอยู่ในมืออยู่อย่างมากมาย ซึ่งเขาก็ตั้งใจที่จะประสานสิ่งต่างๆ ที่ AMD มี ผลักดันออกมาเป็นกลยุทธ์สร้างเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อๆ ไป เพื่อทำให้ AMD กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
ในการเดินขึ้นเขาครั้งนี้ จะมีการแบ่งกลุ่มย่อยๆ ตามความสมัครใจเพื่อกระจายให้ไกด์ท้องถิ่นพาเดินขึ้น พร้อมให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Diamond Head ครับ ซึ่งไกด์คนที่พากลุ่มผมเดินขึ้นไปมีชื่อว่า Tanatos (ถ้าผมฟังไม่ผิดนะ แต่อาจจะเขียนไม่ถูก) ให้คำบรรยายและเป็นกันเองดีมากๆ
ทางที่เดินขึ้นก็เป็นทางลาดชันขึ้นไม่สูงมากนัก สามารถเดินขึ้นได้อย่างสบายๆ มีบางช่วงเป็นอุโมงค์ บางช่วงเป็นบันได มีจุดหยุดพักกระจายอยู่เป็นระยะๆ ถ้าใครที่ออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว รับรองว่าขึ้นได้สบายๆ เพียงแค่ต้องระวังพื้นลื่นบ้างเท่านั้นเอง ถ้าให้เทียบแล้ว ภูกระดึงของไทยเราขึ้นยากกว่าเยอะครับ จะมีลำบากหน่อยก็ตอนคนเดินสวนทางกัน เพราะทางแคบมาก สาเหตุที่ทางแคบก็เนื่องมาจากสมัยที่กองทัพสหรัฐฯ ลำเลียงกำลังพลขึ้นไปรักษาการณ์บนเขา ได้เลือกใช้ลาในการลำเลียงอุปกรณ์ขึ้นไป ทำให้การทางเดินถูกสร้างมาให้พอดีกับแค่ลาเดินเท่านั้น (ยิ่งทำกว้างมาก ก็ยิ่งเปลืองแรงเปลืองเวลามาก)
แม้ว่าทางที่เดินขึ้นจะค่อนข้างสบายไม่ค่อยมีอุปสรรคก็จริง แต่กับบางคนที่อาจจะไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไรก็อาจมีปัญหาได้ครับ เพราะในทริปครั้งนี้ ปรากฏว่ามีฝรั่งเดินไม่ไหว เหตุเกิดมาจากร่างกายขาดน้ำหรือที่เรียกว่า Dehydrated (เพราะต้องขึ้นที่สูงจากระดับปกติมากๆ แถมยังต้องออกแรงอีก ทำให้เหนื่อยง่าย ร่างกายขาดน้ำง่ายกว่าปกติ) ซึ่งหลังจากมีการประสานเรื่องลงมาภาคพื้นดินจนหน่วยพยาบาล (SMS) วิ่งขึ้นไปช่วยแล้วก็ยังไม่ไหว สุดท้ายต้องติดต่อให้เฮลิคอปเตอร์บินมารับจากยอดเขาถึง 2 ครั้งเลย ผมเองก็เลยถามไกด์ว่าเหตุอย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยขนาดไหน ไกด์ก็ตอบว่านานๆๆๆๆ ทีถึงจะมี ครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสเหมาะมาก เพราะไม่ค่อยจะมีเคสไหนที่ถึงขั้นต้องใช้เฮลิคอปเตอร์มารับลงไปแบบนี้
ก็นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นชัดเจนเลยครับว่าก่อนจะขึ้นภูเขาหรือที่สูงๆ การเตรียมพร้อมทั้งร่างกายและการเตรียมน้ำดื่มมันสำคัญมากจริงๆ
พักเหนื่อยก่อนเดินขึ้นต่อ
ตรงลานข้างล่างคือบริเวณสถานีศูนย์ดำเนินการของ Diamond Head ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ โดยรอบจะเป็นเนินเขาสูงขึ้นมา และสถานีจะอยู่บริเวณหลุม ซึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาได้ใช้หลุมนี้ตั้งกองทัพและปืนใหญ่ต่อสู้ฝูงเรือรบและเครื่องบินจากญี่ปุ่นที่มาทางมหาสมุทรแปซิฟิก โดยอาศัยตั้งกองกำลังสอดแนมอยู่ตามเนินเขาสูงๆ เพื่อสอดส่องไปในทะเล เมื่อพบกองกำลังศัตรูก็จะส่งสัญญาณลงมาที่ภาคพื้นดินภายในหลุม เพื่อให้ยิงอาวุธตอบโต้ออกไป
โดยสาเหตุที่ไม่ติดอาวุธให้กับกองกำลังรักษาการณ์ที่เนินเขา ก็เพื่อป้องกันศัตรูมองเห็นกองรักษาการณ์ เพราะถ้าหากเห็น ก็แน่นอนว่าบริเวณเนินเขาที่มีป้อมรักษาการณ์อยู่ย่อมถูกทำลายอย่างแน่นอน ประกอบกับการที่ติดตั้งอาวุธไว้ในหลุมอุกกาบาตก็ทำให้ศัตรูไม่สามารถทำลายอาวุธได้โดยง่าย อีกทั้งยังง่ายต่อการบำรุงรักษากว่าติดตั้งอาวุธบนเขามากๆ ทั้งนี้ อาวุธที่ติดตั้งภาคพื้นดิน มีระยะทำการที่ไกลถึง 10 ไมล์ ซึ่งจัดอยู่ในระดับเพียงพอต่อการป้องกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
มองมายังทะเล จากจุดสูงสุดของยอดเขา Diamond Head
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าสภาพอากาศในวันนี้ไม่ค่อยดีนัก สังเกตได้ว่าด้านหน้า (ออกทะเล) ฟ้าค่อนข้างใส แต่ด้านหลัง (ด้านตัวเมือง) เมฆลอยมาครึ้มมากๆ ครับ ดูแล้วแทบไม่ค่อยเชื่อเท่าไรว่าเป็นสภาพอากาศวันเดียวกัน
ภาพปิดท้ายจากการเดินขึ้น Diamond Head
หลังจากได้กลับไปพักที่โรงแรมประมาณ 3 ชั่วโมง ตอนเย็นก็มีทริปพามาขึ้นเรือรบ USS Missouri ที่ฐานทัพเรือตรงอ่าว Pearl Harbor กันต่อครับ โดยปัจจุบันเรือรบ USS Missouri ได้ถูกดัดแปลงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ลอยน้ำไปแล้ว
ตัวเรือสภาพดีมากๆ ครับ คาดว่าสามารถนำออกไปแล่นอีกได้สบายๆ
บนเรือก็มีการจัดแสดงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในอดีต เช่นเรื่องของยุทธการ Kamikaze ของญี่ปุ่น รวมไปถึงภารกิจต่างๆ ของเรือ USS Missouri ที่ผ่านมาในอดีตอีกด้วย
น่าเสียดายที่สามารถเยี่ยมชมได้แค่บางส่วนเท่านั้นครับ
ณ จุดๆ นี้ เป็นจุดสำคัญต่อประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่งครับ เพราะมันคือจุดที่ญี่ปุ่นยอมลงนามเซ็นสัญญายอมแพ้สงครามต่อสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ และถือเป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างสิ้นเชิง
ปืนขยับไม่ได้นะครับ มันถูกล็อกไว้ เช่นเดียวกับตัวเรือที่ถูกล็อกอยู่กับที่ ไม่มีการโยกหรือโคลงเคลงใดๆ เลย
พอใกล้ถึงช่วงเวลารับประทานอาหารเย็น ปรากฏว่า Mr. Matt Skynner จาก AMD นำการ์ดจอตัวใหม่ล่าสุดในซีรี่ส์ AMD Radeon R9 มาให้ชมและถ่ายรูปกันก่อน (ไม่แน่ใจว่า 290X หรือ 280X นะครับ) แต่รูปเหล่านี้ก็อยู่ในข้อตกลงว่าจะไม่เผยแพร่ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันพุธ ซึ่งตอนนี้ก็เกินแล้ว ผมขอนำมาลงในนี้แล้วกัน ซึ่งตอนที่การ์ดใบนี้ถูกนำมาโชว์ สื่อแต่ละแห่งก็รุมล้อมเข้ามาเพื่อถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมาก ส่วนตัวผมเองที่เป็นคนเอเชียตัวเล็กๆ (เมื่อเทียบกับฝรั่ง) ก็ไปเบียดๆ ถ่ายมาได้เหมือนกัน น่าเสียดายที่ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับการถ่ายรูปในเวลากลางคืนไปครับ เลยถ่ายได้แบบตามมีตามเกิด
ในค่ำคืนนั้นก็มีงานเลี้ยงพบปะพูดคุยกันพอสมควรครับ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานเปิดตัวจริงๆ ในวันรุ่งขึ้น
วันที่ 3 (25 กันยายน 2013)
ในวันนี้ เป็นงานเปิดตัว AMD Radeon R9 และ R7 Series อย่างเป็นทางการ ในด้านของข้อมูล สามารถเข้าไปอ่านได้จากที่บทความนี้ครับ ดังนั้นรูปต่อไปนี้ก็คือเป็นรูปในช่วงเย็นหลังจบงานเลยแล้วกันนะครับ ให้สมกับเป็นบทความพาเที่ยวหน่อย
อากาศช่วงเย็นวันนี้ที่ฮาวายดีมากๆ ครับ ไม่มีฝนเลย ฟ้าใส มีลมพัดเย็นๆ ทำให้สามารถเดินริมชายหาดได้สบายมากๆ ทรายริมหาดบริเวณที่ผมเดินนิ่มมากๆ น้ำก็ใส น่าลงไปเล่นสุดๆ แต่ไม่ได้ชิมน้ำนะครับ ว่าเค็มขนาดไหน ^^
ช่วงมื้อเย็นวันนี้ จัดว่าเป็นเหมือนปาร์ตี้อำลาก็ว่าได้ เพราะสื่อส่วนใหญ่จะเดินทางกลับในวันพฤหัสบดีกัน ก็เลยมีจัดเวทีแสดงดนตรีและการแสดงท้องถิ่นของฮาวายให้ได้ชมกัน ดนตรีฟังได้เรื่อยๆ ให้อารมณ์อยู่ริมทะเลดีครับ อาหารโดยรวมไม่ได้เน้นไปที่ของทะเลอย่างที่คิด ส่วนมากแล้วจะเป็นพวกเนื้อ หมู ไก่ ซะเป็นส่วนใหญ่ มีกุ้งบ้าง เน้นไปที่พวกพืชผักผลไม้ ที่จัดว่าเยอะมากๆ
บรรยากาศยามเย็นพลบค่ำที่ฮาวายในวันที่สามครับ ถ่ายจากมือถือ
ตัวอย่างภาพการแสดง ถ่ายยากมากเลยครับ เพราะนักแสดงเต้นค่อนข้างเร็ว แถมไม่ได้พกกล้องหลักลงมาด้วย มีแต่กล้องมือถือ โดยการแสดงที่มาโชว์ก็เช่นการเต้น การควงกระบองไฟของทั้งผู้ใหญ่และเด็ก เรียกเสียงชื่นชมได้มากทีเดียว โดยเฉพาะการแสดงของเด็กน้อยสองคน เบ็ดเสร็จแล้วปาร์ตี้รอบนี้จบงานราวๆ 4 ทุ่มครับ และสำหรับใครที่อยากไปต่อในเมือง ก็มีรถรับส่งให้ด้วย แต่ตัวผมไม่ได้ไป เพราะต้องมาเตรียมของเพื่อออกเดินทางกลับแต่เช้า
วันที่ 4 (26 กันยายน 2013)
เช้าวันนี้ ผมมีกำหนดต้องเดินทางออกจากโรงแรมตั้งแต่ 7:30 น. เพื่อไปเช็คอินที่สนามบินโฮโนลูลู เนื่องจากผมต้องกลับด้วยเที่ยวบินเวลา 10:45 น. ครับ โดยจะต้องตื่นเช้ากว่าปกติเล็กน้อย เพราะพนักงานของโรงแรมจะมาเก็บกระเป๋าที่ห้องผมตั้งแต่ 6:30 น. เลย
อากาศยามเช้าสดใสมากครับ เวลาตอนที่ถ่ายรูปนี้คือประมาณเจ็ดโมงกว่าๆ ของที่นู่น
นี่คือรถที่จะพาผมและสื่อจากประเทศญี่ปุ่นอีกสองคนไปที่สนามบินเช้านี้ ข้างในกว้างขวางนั่งสบายมากๆ สังเกตว่าส่วนที่เป็นโลหะของรถจะเป็นเงาสะท้อนแสงดูสวยงามมาก ซึ่งนี่แทบจะเป็นมาตรฐานของรถขนส่งของที่นี่เลยครับ ไม่ว่าจะรถบัสหรือรถบรรทุก แทบทุกคันจะได้รับการขัดเงาส่วนที่เป็นโลหะให้วาววับ โดยเฉพาะกระทะล้อที่ขึ้นเงาสะท้อนแสงจนดูเหมือนรถใหม่เกือบทุกคันเลย?
มาถึงแล้วครับ ตรงนี้คือเคาน์เตอร์สำหรับเช็คอินเที่ยวบิน ดูเรียบๆ ง่ายๆ ดี
อาหารมื้อเช้าของวันนี้ผมก็มาเจอ Burger King ในสนามบิน ก็เลยสั่งชุดอาหารเช้ามาลองซะหน่อย โดยเมนูที่เลือกก็เป็น
- เบอร์เกอร์ที่ใช้แป้งเป็นครัวซองต์ ไส้ในเป็นไข่หวานชิ้นหนาๆ + เบคอน (หรือจะเลือกเป็นไส้กรอกหรือแฮมก็ได้)
- แฮชบราวน์จำนวนมาก เต็มกล่องเท่าที่เห็นเลยครับ
- น้ำแล้วแต่จะเลือก จะเป็นน้ำอัดลมหรือกาแฟก็ได้ โดยพนักงานจะให้แก้วมา แล้วให้เราไปกดได้เอง
นี่คือเครื่องบินลำที่ผมจะขึ้นเพื่อกลับมาญี่ปุ่นครับ เครื่องออกจริงๆ ก็สิบเอ็ดโมงกว่าตามเวลาที่ฮาวาย เพราะมีเหตุขัดข้องนิดหน่อย จากที่เครื่องกำลังจะแท็กซี่เพื่อไปลานบิน แต่ก็ต้องกลับเข้ามาที่เกท กำหนดการออกบินก็เลยช้าไปพอสมควร
สุดท้ายแล้วผมก็มาถึงญี่ปุ่นเวลาประมาณบ่ายสองโมงกว่าๆ ตามเวลาญี่ปุ่น ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมงเช่นเดิม พอเลือกซื้อของและเดินชมสาวญี่ปุ่นเสร็จ ผมก็มานั่งรอที่เกท 28c ที่จะกลับไทยครับ โดยคราวนี้เที่ยวบินได้เปลี่ยนจากสายการบิน United Airline มาเป็น ANA ของญี่ปุ่นแทน เที่ยวบินเวลา 17:50 น. ที่ญี่ปุ่น
อาหารมื้อเย็นบนเครื่องครับ ข้าวหน้าเนื้อ บะหมี่เย็น สลัดครีมทาโกะ (ไม่รู้ว่าชื่อนี้หรือเปล่านะครับ บรรยายเท่าที่ชิม) แล้วก็ไดฟุกุถั่วแดง รวมๆ แล้วรสชาติดีเลยล่ะ สุดท้ายแล้วเครื่องกลับถึงไทยประมาณสี่ทุ่มครึ่งตามเวลาไทย ใช้เวลาบินประมาณเจ็ดชั่วโมงด้วยกัน
ปิดท้ายด้วยรูปวิวริมทะเลฮาวายแล้วกันนะครับ ถ้ามีโอกาสได้ไปอีก รับรองมีเก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมกันอีกตามเคยแน่นอน ^^
สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทาง AMD ประเทศไทยที่มอบโอกาสและอำนวยความสะดวกให้กับทางเราในครั้งนี้นะครับ