Notebook แรม 16GB นับว่าเป็นปัจจัยสำคัญ ในการเลือกซื้อมาเพื่อใช้งานหนักๆ โดย Notebook ที่มาพร้อมกับสเปกชิปประมวลผล Intel อย่าง Core Gen 10U (Core i7-10510U / Core i7-1065G7) และ Core i Gen 10H (Core i5-10300H / Core i7-10750H) ถือได้ว่ามีประสิทธิภาพที่ดี ในดีไซน์ที่บางเบาพกพาสะดวก เหลือเฟือในการใช้งานระดับพื้นฐาน
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานทั่วไปอย่างงานเอกสาร Word, Excel, Power Point, เล่นอินเตอร์เน็ต, Social, Online, ดูหนัง, Youtube, Netflix โดยรวมแล้วมีความลื่นไหลไม่สะดุด และบางรุ่นได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) มาด้วย ซึ่งถ้าเป็นรุ่น Gaming Notebook ด้วยการ์ดจอสูงสุดเป็น NVIDIA GeForce RTX 2070 ก็รองรับการเล่นเกมหรือทำงานหนักๆ ได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของสเปกอื่นๆ ก็จะมาพร้อมกับขนาดหน้าจอ 14″ – 15.6″ ที่สนับสนุนการใช้งานทุกรูปแบบ บนความละเอียด Full HD ที่ให้ภาพคมชัดเรียบเนียน โดยหลักๆ แล้วจะได้เป็นพาเนล IPS คุณภาพกี ที่ให้ภาพสดสวยสมจริงสุดๆ รวมไปถึงสเปกที่เป็น Gaming จะได้เป็น Refresh Rate ที่ 120Hz / 144Hz ด้วย สำหรับสเปกอย่างแรมก็จะได้มาขนาด 8GB – 16GB และได้ที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB – 512GB
ในส่วนของการพกพาก็ทำได้เยี่ยมยอด โดยมีน้ำหนักเบาสุดแค่ 990 กรัมเท่านั้น พร้อมแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานสุดที่ 8 – 10 ชั่วโมงด้วยกัน ในบทความนี้เราจะมาจัดอันดับ Notebook ทั้ง 5 รุ่น ที่ได้เป็นสเปก Core i Gen 10 รุ่นใหม่ คุ้มที่สุด ทำงาน เล่นเน็ต ดูหนังลื่นๆ รวมไปถึงเล่นเกมลื่นๆ สเปกคุ้มค่า ส่วนจะมีรุ่นไหนบ้าง ไปติดตามชมกันต่อได้เลย
Huawei MateBook D14 ราคา 29,900 บาท
Huawei MateBook D15 ปี 2020 ใส่เต็มเรื่องของสเปกและราคาพร้อมของแถม กับการที่เป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอขนาด 14″ ที่เหมาะสมกับการใช้งานที่หลากหลาย รวมไปถึงการพกพาที่สะดวก มาพร้อมชิปประมวลผล Intel Core i7-10510U (1.80 GHz, 8 MB L3 Cache up to 4.80 Ghz) ที่แรงลื่นประสิทธิภาพดีเยี่ยม การ์ดจอแยกเป็น NVIDIA GeForce MX250 (2GB GDDR5) แรมติดตั้งมาให้ขนาด 16GB พร้อมด้วย SSD M.2 ความจุ 512GB ที่เหลือเฟือต่อการใช้งานพื้นฐานแน่นอน ที่สำคัญมีระบบปฏิบัติการ Windows 10 สนนราคาเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ 29,900 บาท พร้อมการรับประกัน 2 ปีตามมาตรฐานของ Huawei ซึ่งถ้าซื้อช่วงพรีออเดอร์จะได้ของแถมมูลค่ากว่า 11,000 บาทด้วย
การดีไซน์ Huawei MateBook D14 ก็เน้นความเรียบง่าย ด้วยวัสดุอลูมิเนียมที่ดูดีเกินราคากับสีสันเป็นสีเงินดูสวยงามลงตัว โดยมีความบางเฉียบของตัวเครื่องที่ 13.8 มม. น้ำหนัก 1.38 กิโลกรัม เน้นพกพาใช้งานสะดวก ได้หน้าจอแสดงผลขนาด 14″ ความละเอียด Full HD หรือ 1920×1080 พิกเซล แบบด้าน พาเนล IPS คุณภาพดี ขอบหน้าจอบางเฉียบ FullView screen ทั้งให้เล็กกระทัดรัด ซึ่งมีสัดส่วนจออยู่ที่ 86% กล้องเว็บแคมไปยังติดตั้งแบบ Pop Up ที่ชุดคีย์บอร์ด และยังมีระบบ Fingerprint สแกนลายนิ้วมือเพื่อใช้งานได้ปลอดภัย ที่สำคัญสำหรับคนที่ใช้มือถือ Huawei ยังมีฟีเจอร์ Huawei Share ไว้ใช้งานโอนไฟล์ไปมา และขึ้นหน้าจอมือถือบน Huawei MateBook D14 ก็ยังได้อีกด้วย
แน่นอนว่าวัสดุตัวเครื่องของ Huawei MateBook D14 เลือกใช้เป็นอลูมิเมียมอัลลอยด์ตลอดทั้งตัวเครื่อง สีสัน Mystic Sliver ซึ่งมีงานประกอบที่ยอดเยี่ยม ทนทานแน่นหนา ที่สำคัญยังเป็นแบบ Unibody นั่นก็คือแทบจะไร้รอยต่อ ประกอบด้วยกันเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น ก็คือ ฝาหลัง ตัวเครื่องด้านใน และฝาล่างเท่านั้น พร้อมพื้นผิวเป็นแบบทรายทำให้เป็นรอยนิ้วมือได้ยากกว่าปกติ ตรงนี้ถือว่าเป็นความใส่ใจเพราะเราไม่ต้องค่อยมาเช็ดหรือทำความสะอาดบ่อยๆ สามารถกางหน้าจอได้กว้างสุดที่ประมาณ 180 องศา สำหรับช่องระบายความร้อนถูกซ่อนอยู่ใต้หน้าจอบริเวณบานพับ โดยเป็นการใช้งานพัดลมระบาย 1 ตัว ที่ออกแบบมาใหม่ ช่วยนำพาความร้อนชิปประมวลผลให้เย็นลงได้อย่างรวดเร็วและเงียบกว่า
ส่วนพอร์ตที่ติดตั้งมีมาให้จะใช้ถือว่าครบครันเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็น USB 2.0 Type-A จำนวน 2 ช่อง, USB 3.0 Type-A จำนวน 1 ช่อง USB 3.0 Type-C, HDMI สำหรับต่อหน้าจอเสริม และรูหูฟังกับไมค์แบบคอมโบ และยังมี USB-C ที่ชาร์จไฟผ่านทางอแดปเตอร์มาให้ด้วย พร้อมอแดปเตอร์ 65W ชาร์จทาง USB-C ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 160 กรัมเท่านั้น แน่นอนว่ารองรับการชาร์จไฟไปยังอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย นับว่าเป็นจุดเด่นที่เหนือกว่าโน๊ตบุ๊คช่วงราคาเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่ารองรับการเชื่อมต่อไร้สายด้วย Wi-Fi 5 AC กับ Bluetooth 5.0
Acer Nitro 5 ราคา 29,900 – 39,900 บาท
การมาของ Acer Nitro 5 (2020) หรือ Acer Nitro 5 AN515 ที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมราคาคุ้มค่ารุ่นล่าสุดของทาง Acer ทำให้ตลาด Gaming Notebook สนุกสนานแน่นอน จากการแข่งขันของโน๊ตบุ๊คสเปกใหม่ๆ ซึ่งเหมาะกันคนที่ต้องการ Gaming Notebook ที่ได้สเปกใหม่ล่าสุด ชิปประมวลผล Intel Core i 10H อย่าง Core i5-10300H / i710750H จับคู่มากับการ์ดจอตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti / GTX 166o Ti / RTX 2060 ได้แรมขนาด 16GB แบบ DDR4 Bus 2933MHz พร้อม SSD มาตรฐาน M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB มีระบบปฏิบัติการ Windows 10 แท้ใช้งานได้ทันที ให้ความแรงลื่นในการทำงานและเล่นเกม ที่น่าประทับใจกว่า Acer Nitro 5 รุ่นก่อนๆ ที่เคยมีมาแน่นอน
นอกจากนี้ยังมีไฟคีย์บอร์ด RGB แบบ 4 โซน คล้ายกับที่เคยมีมาในรุ่นพี่อย่าง Predator Series ปรับแต่งได้อิสระประมาณนึง และได้การตอบสนองของปุ่มแบบทันทีด้วยระยะการกด 1.6 มม. เสริมอารมณ์ในการเป็น Gaming Notebook ไปอีกระดับ ลำโพงของตัวเครื่องใช้เป็นแบบสเตอริโอ โดยมีระบบเสียง DTS:X Ultra ให้เสียงจะชัดเจนและสามารถจำลองระบบเสียงรอบทิศทาง 3 มิติได้ รวมไปถึงมีเทคโนโลยี Acer CoolBoost และช่องระบายความร้อนแบบจัดเต็ม 4 ช่องทาง แบ่งเป็นทางด้านหลัง 2 ช่อง และซ้ายขวาอย่างละ 1 ช่อง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและระบายความร้อนด้วยพัดลมคู่ ซึ่งดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนหน้าเช่นกัน
มาพร้อมหน้าจอขนาด 15.6″ แบบ Screen-to-Body เป็น 80% ด้วยขอบจอบางเพียง 7.02 มิลลิเมตร บนความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) พาเนล IPS ให้มุมมองที่คมชัด สีสันสวยสดงดงามสมจริง sRGB ที่ 93% และ Adobe RGB ที่ 70% พร้อม Refresh Rate ที่ 144Hz แบบ 3ms ให้การแสดงผลได้ลื่นไหลกโดยพื้นผิวจอเป็นแบบจอด้าน Anti-Glare ช่วยลดแสงสะท้อนเวลาเรานำโน๊ตบุ๊คไปทำงานข้างนอก เหมาะกับการใช้งานทั่วไปหรือการเล่นเกม ดูหนังก็ทำได้ย่อมทำได้อย่างน่าประทับใจ มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครันอีกรุ่นเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น 3 x USB 3.2 Type-A (1 พอร์ตเป็นแบบชาร์จเจอร์ด้วย), 1 x USB 3.2 Type-C, 1, HDMI 2.0, RJ45 (Gigabit Ethernet) พร้อมด้วยความสามารถ Killer Ethernet E2600 เพื่อการเล่นเกมออนไลน์ที่ลื่นไหล และ Mic-in/Headphone-out แบบ Combo
เรียกได้ว่าพอเพียงกับการใช้งานทั่วไปอย่างแน่นอน ทั้งในการโอนถ่ายไฟล์หรือเชื่อมต่ออุปกรณ์เทียบกับรุ่นก่อนก็ถือว่าดีกว่าหลายด้าน การเชื่อมต่อไร้สายอย่างรองรับทั้ง Bluetooth 5.0 และอินเตอร์เน็ตไร้สายอย่าง Wi-Fi 6 AX ที่มีเทคโนโลยี 2×2 MU-MIMO เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมดด้วยพอร์ตที่ครบครัน โดยมีซอฟต์แวร์ Killer Control Center 2.0 คอยควบคุมด้วย ลำโพงของตัวเครื่องใช้เป็นแบบสเตอริโอ โดยมีระบบเสียง DTS:X Ultra ให้เสียงจะชัดเจนและสามารถส่งเสียงได้ในระบบเสียงรอบทิศทาง 3 มิติ มีน้ำหนัก โดยจะอยู่ทางด้านล่างมุมซ้ายและขวาของเครื่องอย่างละตัว ซึ่งคุณภาพเสียงการใช้งานต่างๆ เมื่อใช้งานร่วมกับฟีเจอร์ Waves MaxxAudio เพิ่มประสิทธิภาพเสียงเบส เสียงสนทนา และระดับเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม ก็สามารถทำออกมาได้ดี
- Core i5-10300H / GTX 1650 / RAM 16GB / SSD 512GB / จอ 15.6″ IPS 144Hz ราคา 29,900 บาท
- Core i5-10300H / GTX 1650 Ti / RAM 16GB / SSD 512GB / จอ 15.6″ IPS 144Hz ราคา 31,900 บาท
- Core i5-10300H / RTX 2060 / RAM 16GB / SSD 512GB / จอ 15.6″ IPS 144Hz ราคา 35,900 บาท
- Core i7-10750H / GTX 1660 Ti / RAM 16GB / SSD 512GB / จอ 15.6″ IPS 144Hz ราคา 39,900 บาท
Lenovo Yoga Slim 7 14 ราคา 31,900 – 39,900 บาท
ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ Lenovo Yoga Slim 7 14 นั้นจะดูเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ แบบสมัยก่อนอยู่พอสมควร เนื่องด้วยขอบจอที่บางกว่าปกติ ทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพา แต่ทั้งนี้ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะเล็กพอๆ กับโน๊ตบุ๊คจอ 13.3″ ส่งผลให้ Lenovo Yoga Slim 7 14 เป็นอีกหนึ่ง Ultrabook ปี 2020 ที่ดูเล็กกระทัดที่สุด โดยมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.4 ด้วยดีไซน์ออกมาได้ขอบหน้าจอบาง ส่วนของตัวเครื่องทั้งหมดจะใช้เป็นอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ ทำให้ได้ข้อดีมาก็คือทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา ส่งผลให้ภาพลักษณ์โดยรวมของตัวเครื่องดูหรูหราให้อารมณ์พรีเมียมสุดๆ
ตัวเครื่องมีการออกแบบโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย โลโก้ Lenovo จะมีอยู่ 2 จุดเท่านั้น คือ มุมบนฝาหลังด้านซ้าย และมุมใต้หน้าจอด้านซ้ายเท่านั้น ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดในการทำให้ตัวเครื่องมีลักษณะงานประกอบทั้งหมดแทบจะเป็นชิ้นเดียวกัน แบบ Unibody ส่งให้เวลาที่เราจับถือหรือใช้งานจะรู้สึกว่าแน่นหนา ซึ่งจากการใช้งานจริงพื้นผิวบางนี้เป็บรอยนิ้วมือค่อนข้างยาก ฉะนั้นหายห่วงเรื่องความสะอาดได้เลย หรือถ้าจะเช็ดก็ง่ายดาย โดดเด่นด้วยสีสันใหม่ไม่ซ้ำใครอย่าง Slate Grey
สเปกของ Lenovo Yoga Slim 7 14 ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7-1065G7 หรือ Core i5-1035G1 สถาปัตยกรรม Ice Lake ที่เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร มีค่า TDP ที่ 25Watt ส่วนการ์ดจอติดตั้งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce MX350(2GB GDDR5) ด้านแรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 16GB LPDDR4X Bus 3200MHz และที่เก็บข้มูลแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB – 1TB ที่ทั้งมีพื้นที่เยอะและลื่นไหล เพียงพอกับการใช้งาน มาพร้อม Windows 10 และซอฟต์แวร์จากทาง Lenovo Vantage ที่ช่วยในการจัดการปรับแต่ง
อีกส่วนที่น่าสนใจก็คือหน้าจอ โดย Lenovo Yoga Slim 7 14 ใช้หน้าจอขนาด 14″ ความละเอียดระดับ Full HD อัตราส่วน 16:9 ขอบจอบางเฉียบ พาเนลจอแบบ IPS เกรดสูง ที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา พอร์ตเชื่อมต่อมี Thunderbolt 3 เป็นมาตรฐาน พร้อม Wi-Fi 6 AX (2 x 2) นอกจากนี้ยังมี 3D IR Camera สำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เพื่อล็อกอินโดยใช้การสแกนใบหน้า สำหรับประกันเป็น 2 ปี ตามมาตรฐาน Lenovo ที่ทุกคนมั่นใจ ปิดท้ายเรื่องความคุ้มค่าพร้อมใช้งานทันทีด้วยโปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ด้วย
- Core i5-1035G1 / MX350 / RAM16GB / SSD 512GB / จอ 14″ IPS / MS Office ราคา 31,990 บาท
- Core i7-1065G7 / MX350 / RAM 16GB / SSD 1TB / จอ 14″ IPS / MS Office ราคา 39,990 บาท
Acer Swift 5 ราคา 36,900 บาท
Acer Swift 5 รุ่นใหม่ปี 2020 สเปกใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 อย่าง Core i7-1065G7 ใช้การ์ดจอออนชิปอย่าง Iris Graphics G7 หรือมีรุ่นการ์ดจอแยกเป็น NVIDIA GeForce MX350 มาพร้อมหน้าจอ 14″ Full HD พาเนล IPS เกรดสูง sRGB 97% โดยมีน้ำหนักเพียง 990 กรัมเท่านั้น ส่วนสเปกอื่นๆ ก็ครบครันทั้งแรมขนาด 16GB LPDDR4X แบบออนบอร์ด และที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB รองรับการทำงานที่เต็มที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นงานเอกสาร ความบันเทิง หรืองานประมวลผลหนักๆ ก็พอได้เลย เหมาะกับคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ที่ต้องการโน๊ตบุ๊คที่เบาที่สุด แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง
ได้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ทันที ทำงานพื้นฐานได้แบบสบายๆ สนับสนุนการทำงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ ส่วนความบันเทิงดูหนังฟังเพลง ชม Netflix ก็สบายๆ ไปอีก และพอที่จะใช้งานหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอก็พอได้บ้าง รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติก็ลื่นไหล จากการที่มีการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce MX350 (2GB GDDR5) ที่แรงพอๆ กับ GTX 960M เลยทีเดียว
ส่วนเรื่องของพอร์ตเชื่อมต่อนั้นก็ยังมีพอร์ตมาตรฐานซึ่งมาให้ค่อนข้างครบ เช่น Thunderbolt 3 (เป็น USB 3.1 Type-C + DisplayPort + Power Delivery), USB 3.1 Type-A, USB 2.0 Type-A, HDMI สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอก ที่สำคัญยังมาพร้อม Dual-Band Intel Wi-Fi 6 (GIG+) 802.11ax ที่แรงขึ้น 3 เท่า และการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 ใหม่ล่าสุด ได้ประกันจะเป็นแบบ 3 ปี โดยปีแรกเป็นแบบ On-site Serive ซ่อมฟรีถึงบ้าน และกรณีส่งซ่อมตามศูนย์ก็จะซ่อมอย่างรวดเร็วภายใน 3 ชั่วโมงอีกด้วย ที่สำคัญได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) มาใช้งานทันที นับว่าคุ้มค่าจริงๆ ที่เหนือกว่าหลายๆ แบรนด์
เรียกได้ว่าถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14″ ที่เบาที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดก็ว่าได้ ส่วนความบางอาจจะไม่มาก โดยอยู่ที่ 14.95 มิลลิเมตร แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่ามาตรฐานโน๊ตบุ๊คพกพามาตรฐานระดับสูงอยู่ดี อีกทั้งในรุ่นใหม่นี้ได้ดีไซน์พิเศษโดยมียางรองขอบเครื่องด้านหลังช่วยยกตัวเครื่องให้เอียงสูงขึ้นเมือเรากางหน้าจอ ส่งผลให้พิมพ์ง่ายขึ้นและมุมมองดีขึ้นด้วย วัสดุจากอลูมิเมียนผสมแม็กนีเซียมอัลลอยด์ให้น้ำหนักเบาเป็นพิเศษแต่ก็ยังแข็งแรงและทนทาน กับสีสัน Charcoal Blue พร้อมแซมด้วยสีทองตามจุดต่างๆ เหมาะทั้งหนุ่มๆ หรือสาวๆ ยุคใหม่ที่ดูทันสมัยสวยงามลงตัว ส่วนสี Moonstone White นับว่าเป็นอีกสีที่ดูหรูหราไม่แพ้กัน เน้นขาวๆ สะอาดๆ
MSI GP65 Leopard ราคา 51,900 บาท
MSI GP65 Leopard เป็น Gaming Notebook ประจำปี 2020 ระดับกลางค่อนสูงที่จัดเต็มไม่แพ้รุ่นท็อปที่มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-10750H การ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 2070 (8GB GDDR6) ได้แรมมาขนาด 16GB DDR4 โดยได้แหล่งเก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB (อัปเกรด HDD 2.5″ ได้อีก) หน้าจอ 15.6″ Full HD พาเนล IPS พร้อมรีเฟรชเรตสูงถึง 144Hz มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 และซอฟต์แวร์ Dragon Center เวอร์ชันใหม่ สนนราคาที่ 51,900 บาท ได้ประกัน 2 ปีตามมาตรฐาน MSI
ตัวเครื่องยังมีลำโพง 2 ชาแนลแบบ Giant Speaker บนซอฟแวร์เสียง Nahimic 3 ทำให้การขับเสียงเวลาเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงทำได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ทางด้านพอร์ทเชื่อมต่อเองมีมาให้อย่างครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A จำนวน 3 ช่อง, USB 3.2 Type-C หนึ่งช่อง, HDMI, mini-DisplayPort, SD(XC/HC) card reader, ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5, ช่องเสียบไมค์ขนาด 3.5 และช่องสาย Lan RJ45 การเชื่อมต่อไร้สายอย่างก็รองรับตัวที่เป็น Bluetooth 5.1 และ Wi-Fi 6 AX น้ำหนักตัวอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัม
นอกจากนี้ MSI GP65 Leopard ยังมีฟีเจอร์มากมาย อาทิ ระบบระบายความร้อน Cooler Boost 5 ด้วยช่องระบายคสามร้อน 3 ช่อง ด้านหลังสอง และด้านซ้ายอีกหนึ่ง โดยใช้พัดลม 2 ตัว ฮีทไปป์ 7 เส้นดีกว่าเดิม ที่ช่วยนำพาความร้อนออกไปอย่างรวดเร็ว ดีไซน์ด้านในตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมสีดำเรียบเนียนไม่ต่างจากภายนอกให้สัมผัสที่ดี พร้อมคีย์บอร์ด Full Size ไฟ RGB Pre-Keyคีย์บอร์ด SteelSeries พร้อมไฟ Per-key RGB แบบปรับแต่งแยกได้รายปุ่ม พอร์ตการเชื่อมต่อเป็น USB-C 3.2 Gen 2 โดยมีน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 2.3 กิโลกรัมเท่านั้น ประกอบกับการใช้หน้าจอที่ขอบบาง ทำให้ตัวเครื่องเล็กกระทัดรัด สะดวกต่อการพกพามากยิ่งขึ้น พกไปเล่นเกมนอกสถานที่ได้สบาย
สำหรับ MSI GP65 Leopard รุ่นใหม่ล่าสุด เป็น Gaming Notebook หน้าจอขนาด 15.6″ จัดว่าเป็นซีรีส์รองมาจากตระกูล GE / GT โดยรุ่นล่าสุดนี้เน้นความคุ้มค่า โดยมาพร้อมกับการดีไซน์ที่เน้นเรื่องจอใหญ่บางเบาพร้อมกับพกพาได้สะดวกเป็นหลัก สีสันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์สีโทนดำแดงเริ่มจากวัสดุบอดี้ตัวเครื่องฝาหลังจะเป็นอลูมิเนียมสีดำด้าน สัมผัสผิวเรียบหรูสวยงาม ผสานกับโลโก้มังกร MSI มีไฟสว่างสีขาวเมื่อเปิดเครื่อง ดูโดยรวมแล้วเรียบง่ายกว่าดุดันสไตล์เกมมิ่งโน๊ตบุ๊คระดับ Hi-End แต่ได้สเปกระดับสูงเทียบเคียงรุ่นพี่ที่ราคาแพงกว่าได้คุ้มค่าทีเดียว