โดยปกติทั่วไปแล้วนั้นนักขี่จักรยานตัวจริงน่าจะพอทราบกันครับว่าจักรยานดีๆ สวยๆ นั้นมักจะเป็นจักรยานที่นำเข้าจากประเทศโซนยุโรปหรือไม่ก็สหรัฐอเมริกา ซึ่งปัญหาของมันก็คือราคาที่คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยได้มีโอกาสได้จับต้องกับความสวยงามของจักรยานยี่ห้อนั้นๆ(เอาเป็นว่าเฉพาะโครงรถจักรยานของบางยี่ห้อนั้นก็มีราคาพอๆ ที่จะซื้อรถจักรยานยนต์ได้สักคันเลยหล่ะครับ)
อาจจะมีเหตุผลอีกมากมายครับที่ทำให้บางท่านไม่สามารถที่จะเป็นเจ้าของของรถจักรยานหรูๆ จากฝั่งตะวันตกได้ วันนี้นั้นเราจึงขอมาแนะนำจักรยานจากบริษัท SpeedX ที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในเอเชียไม่ไกลจากบ้านเราไปมากนักสักเท่าไรเพราะอยู่ที่ประเทศจีนกับจักรยานอัจฉริยะที่มีชื่อรุ่นว่า Leopard และ Leopard Pro ซึ่งในวันนี้นั้นเราจะนำเฉพาะรุ่น Leopard มาพรีสิสให้ทุกท่านได้ทราบกันครับ
Raggy Lau ตัวแทนจากทาง SpeedX ได้บอกเอาไว้ครับว่าทางบริษัทต้องการที่จะสร้างประสบการณ์การใช้งานจักรยานที่ดีกว่าเดิมให้กับทุกท่านด้วยการรวมเอาระหว่างเทคโนโลยี(ความสามารถอัจฉริยะ)และการปั่นจักรยานจริงๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยก่อนที่จะมีการสร้าง Leopard นั้นทางบริษัทได้เคยพยายามที่จะมีความเยี่ยมยอดทางด้านเทคโนโลยีก่อนด้วยการสร้างระบบคอมพิวเตอร์สำหรับควบคุมการปั่นจักรยานในชื่อว่า SpeedForce และได้มีการปล่อยเป็นโครงการร่วมทุนในเว็บไซต์ Indiegogo ในช่วงเดือนธันวาคมของปี 2015 ที่ผ่านมาและผลตอบรับของมันนั้นก็ดีมากๆ ครับ
ด้วยความสำเร็จของ SpeedForce นี่เองที่ทำให้ทางบริษัทตั้งใจที่จะสานต่อความสำเร็จ โดยในครั้งนี้นั้นเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดทางบริษัทจึงได้ทำการออกแบบรถจักรยานอัจฉริยะทั้งคนที่มาพร้อมกับระบคอมพิวเตอร์ติดตั้งภายในตัวแบบเบ็ดเสร็จ โดยการออกแบบในครั้งนี้นั้นได้คำนึงถึงความลงตัวของตัวจักรยานกับระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะเป็นหลักเพราะข้อเสียอย่างหนึ่งของ SpeedForce นั้นก็คือมันเป็นระบบคอมพิวเตอร์สำหรับติดตั้งกับจักรยานได้ทุกแบบซึ่งด้วยดีไซน์ของมันนั้นอาจจะไม่ได้ลงตัวไปกับจักรยานทุกยี่ห้อบนโลกนี้ครับ
หมายเหตุ – SpeedForce จะเริ่มส่งถึงมือผู้ใช้ที่ร่วมทุนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป
คลิปสาธิตของ SpeedForce
อย่างที่บอกครับว่าระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ SpeedForce นั้นได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจริงๆ(สามารถทำยอดร่วมทุนได้สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ถึง 2116%) แต่ก็อย่างที่บอกครับว่าตัว SpeedForce นั้นมีดีไซน์รูปแบบเดียวทำให้มันไม่ได้เข้ากับจักรยานทุกแบบในโลกนี้ ดังนั้นแล้วเพื่อเป็นการสานต่อความสำเร็จและเป็นการนำประสบการณ์การใช้งานที่เบ็ดเสร็จให้ทุกคนได้รับรู้ถึงสิ่งที่ทาง SpeedX ต้องการจะให้แก่ทุกท่านจริงๆ ดังนั้นแล้วโครงการพัฒนารถจักรยานอัจฉริยะ Leopard จึงเกิดขึ้นมาครับ
Leopard นั้นเป็นการนำเอาสิ่งที่ทาง SpeedX มีดีอยู่แล้วอย่างระบบควบคุมคอมพิวเตอร์มารวมตัวเข้ากับการออกแบบจักรยานให้มีรูปร่างที่สวยงามเหมาะสมอย่างลงตัว โดยส่วนของหน้าจอแสดงผลของระบบอัจฉริยะนั้นจะอยู่ที่ตรงกลางของจักยานรุ่น Leopard และมีการปรับรูปแบบนิดหน่อยให้เปลี่ยนไปจากเดิมให้เข้ากับโครงสร้างของตัวจักรยานมากขึ้น โดยหน้าจอของตัวระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะนั้นจะอยู่ตรงบริเวณกึ่งกลางของที่จับมือพอดี ทำให้มีความสมส่วนอย่างลงตัวครับ
ระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะของ Leopard หรือส่วนที่เรียกว่า “Smart Control” นั้นก็ได้รับการออกแบบใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อรองรับกับ Leopard โดยเฉพาะครับ ตัวกรอบโครงของจักรยานรุ่น Leopard นั้นก็ใช้วัสดุอย่างดีในการพัฒนาด้วยคาร์บอนไฟเบอร์รุ่น T-1000 ที่มีความเบาเป็นอย่างมาก ซึ่งหากจะว่าไปแล้วในส่วนของกรอบที่ใช้วัสดุดังกล่าวนี่แหละครับที่ทำให้ราคาของ Leopard นั้นสูงอยู่คืออยู่ที่ประมาณ $1,399 หรือประมาณ 50,370 บาท แต่ถึงจะราคาค่อนข้างสูงอยู่มากก็ตามแต่ในช่วงที่ทาง SpeedX นำเอา Leopard ขึ้นเป็นโครงการร่วมทุนบน KickStarter นั้นก็มีผู้เข้าไปร่วมทุนมากกว่า 238 คนเลยทีเดียวครับ
หมายเหตุ – ทาง SpeedX บอกว่ารถจักรยานรุ่น Leopard น่าจะเริ่มส่งถึงมือผู้ร่วมทุนได้ในช่วงเดือนหน้านี้เป็นต้นไปครับ
หมายเหตุ 2 – ทาง Speed X ยังมีจักรยานอัจฉริยะรุ่น Leopard X Pro ที่มาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงามกว่า Leopard และวัสดุที่ใช้ก็มีการใช้ส่วนผสมเพิ่มเติมเข้ามาพร้อมกับความสามารถในการปรับจูนเพื่อใช้งานในด้านการขี่ที่มากกว่า ทว่าราคานั้นก็พุ่งไปสูงมากคืออยู่ที่ $2,499 หรือประมาณ 89,970 บาทครับ
ทั้งนี้ตัวรถ Leopard นั้นทาง SpeedX ไม่ได้เป็นผู้ที่ออกแบบคนเดียวเลยนะครับ มีบางส่วนของตัวรถจักรยานที่ทาง SpeedX ไม่ได้เป็นคนออกแบบ ตัวอย่างเช่นส่วนของอานที่นั่งของจักรยานนั้นออกแบบโดย Selle Royal และ Fizik ในขณะที่ส่วนของตัวยางของ Leopard นั้นก็มีที่มาจาก Vittoria ครับ อย่างไรก็ตามหากเทียบราคาของ Leopard ทั้ง 2 รุ่นกับจักรยานอัจฉริยะของผู้ผลิตรายอื่นที่มีสเปคใกล้ๆ กันแล้วนั้น Leopard ของทาง SpeedX ก็มีราคาต่ำกว่าจักรยานอัจฉริยะของผู้ผลิตรายอื่นพอควรครับ
ส่วนหนึ่งที่ราคาของ SpeedX อย่าง Leopard มีราคาต่ำกว่าผู้ผลิตรายอื่นๆ นั้นก็เนื่องมาจากว่าทาง SpeedX นั้นมีโรงงานเป็นของตัวเองอยู่ในเมืองจีนดังนั้นจึงทำให้ค่าแรงในการประกอบถูกเอามากๆ และอย่าดูถูกหรือคิดไปก่อนว่า Leopard นั้นจะไม่มีคุณภาพนะครับเนื่องจากว่าทาง SpeedX นั้นสั่งวัสดุจากต่างประเทศมาเพื่อใช้ในการประกอบในหลายๆ ส่วนซึ่งเป็นวัสดุที่ได้รับมาตรฐานระดับโลกตัวอย่างเช่นส่วนของโครงรถจักรยานนั้นก็ผลิตจากญี่ปุ่นครับ(อารมณ์คล้ายๆ กับ Xaiomi หรือ OnePlus นั่นแหละครับ)
หมายเหตุ – ส่วนประกอบอย่างเช่นส่วนโครงรถที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์รุ่น T-1000 นั้นมีประกันตลอดอายุการใช้งานกันเลยทีเดียว
ในการทดสอบปั่น Leopard(ของทาง Engadget) นั้นพบว่าตัวรถจักรยานนั้นเบามากๆ เลยทีเดียวครับ การปั่น, การเลี้ยวและการบังคับ Leopard เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบที่เรียกได้ว่าสบายๆ กันเลยทีเดียว ซึ่งจุดนี้นั้นทำให้คิดไม่ถึงกันเลยทีเดียวว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทาง SpeedX ออกแบบดีไซน์และผลิตรถจักรยาน ทั้งนี้ส่วนของหน้าจอที่อยู่ตรงกลางคันจับมือก็อยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าสามารถมองได้ง่ายดายโดยที่เวลามองนั้นไม่จำเป็นต้องละสายตาออกไปจากเส้นทางอีกด้วยหล่ะครับ(ตรงนี้ให้ความรู้สึกดีและแตกต่างเป็นอย่างมากกับการซื้ออุปกรณ์อัจฉริยะแบบแยกของผู้ผลิตรายอื่นเช่น Garmin มาติดตั้งเข้ากับตัวจักรยาน)
การสั่งการเพื่อเลื่อดูหน้าจออื่นๆ บนหน้าจอแสดงผลที่ติดอยู่บนรถจักรยานนั้นก็สามารถทำได้อย่างง่ายดายเนื่องจากว่าด้วยความที่หน้าจะนั้นประสานเป็นหนึ่งเดียวกับตัวคันจับมือทาง SpeedX จึงได้ออกแบบให้ตรงบริเวณปลายของคันจับมือมีปุ่มที่เอาไว้ใช้สำหรับควบคุมการเปลี่ยนหน้าจอไปมาด้วย(ตามรูปด้านบน) ซึ่งในรุ่นต้นแบบนั้นจะสามารถเปลี่ยนหน้าจอไปมาระหว่าหน้าจอที่เอาไว้แสดงเวลาที่ใช้ในการปั่นจักรยานกับระดับความยากของเส้นทางและอีกหน้าจอหนึ่งจะเป็นหน้าจอสำหรับแสดงผลความเร็วเฉลี่ยของการปั่น
อย่างไรก็ตามแต่ทาง SpeedX ได้บอกเอาไว้ครับว่าในเวอร์ชันสมบูรณ์นั้นเวลาที่ท่านทำการปั่นจักรยานอยู่นั้นหน้าจอแสดงผลจะแสดงเฉพาะค่าบางค่าที่คุณกำหนดไว้ก่อนที่จะทำการปั่น(ผู้ใช้สามารถกำหนดได้เอง) เนื่องจากว่าในการอนุญาตให้เปลี่ยนหน้าจอไปมาได้นี้อาจจะทำให้ผู้ใช้งานที่กำลังปั่นในเส้นทางที่ยากลำบากและต้องใช้สมาธิสูงกับเสว้นทางอาจจะเกิดความสับสนขึ้นมาได้ ส่วนอีกความสามารถหนึ่งที่จะขาดไปเสียไม่ได้เลยก็คือระบบนำทางด้วย GPS ซึ่งตอนนี้ทาง SpeedX กำลังเร่งทำการพัฒนาให้ระบบดังกล่าวลงตัวอย่างดีที่สุดก่อนที่จะมีการส่งไปยังผู้ใช้ครับ
หมายเหตุ – รถตัวต้นแบบที่ Engadget ทดสอบนั้นระบบนำทางได้แนะนำเส้นทางที่จะให้ผู้ขี่จักรยานเข้าไปใน Regent’s Park โดยใช้เส้นทางเก่าซึ่งจะทำให้ตัวผู้ทดสอบเข้าไปหลงอยู่ในพื้นที่ของสวนกว่า 1.61 ตารางกิโลเมตรเรียกได้ว่าปั่นวนจนหมดแรงไปข้างก็ไม่รู้ว่าจะหลุดออกมาจากสวนได้รึยังครับ
บนรถรุ่นทดสอบที่ทาง Engadget ได้รับมาใช้ในการทดสอบนั้นส่วนของระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ(หรือที่เรียกว่า Smart Control) สามารถใช้งานต่อเนื่องได้มากถึง 40 ชั่วโมงหรือคิดเป็นระยะทางรวมประมาณ 800 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง โดยที่บนส่วนควบคุมนั้นจะมาพร้อมกับเซนเซอร์มากมายและด้วยโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีทำให้มันมีความฉลาดมากพอดู นอกไปจากเซ็นเซอร์ต่างๆ แล้วบนตัวรถจะยังมีไฟเล็กๆ ในหลายๆ จุดเพื่อเอาไว้ใช้สำหรับการส่องสว่างและสร้างความปลอดภัยเมื่อขี่จักรยานในเวลากลางคืน ทั้งนี้ระบบทั้งหมดนั้นสามารถที่จะทำการชาร์จได้ผ่านช่อง micorUSB ที่ติดอยู่ด้านล่างอานนั่งครับ(แต่ก็มีอานนั่งซึ่งติดสกรูปิดอยู่ดังนั้นเวลาจะชาร์จจึงต้องเอาที่ไขสกรูออกก่อนแล้วทำการชาร์จครับ)
ที่จะขาดไปไม่ได้เลยสำหรับอุปกรณ์อัจฉริยะในปัจจุบันนั้นก็คือความสามารถในการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อนำข้อมูลเข้าไปใช้ในแอปพลิเคชันของสมาร์ทโฟนซึ่งจุดนี้นั้นทาง SpeedX ก็ไม่ได้ลืมไปครับเพราะแอปพลิเคชันที่รองรับกับ Leopard ทั้ง 2 รุ่นนั้นจะมีทั้งที่รองรับกับระบบ iOS และ Android ซึ่งในจุดนี้นั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นมากสักเท่าไรและจากการที่มันเป็นอุปกรณ์อัจฉริยะที่สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้นั้นทำให้ในอนาคตไม่แน่ว่าทาง SpeedX อาจจะผลิตอุปกรณ์เสริมอื่นๆ อย่างเช่นหมวกกันน๊อค, ถุงมือปั่นจักรยาน ฯลฯ เข้ามาให้ผู้ใช้ได้เลือกซื้ออีกก็เป็นได้ครับ
สำหรับท่านใดที่สนใจอยากจะดูข้อมูลของ Leopard และ Leopard Pro เพิ่มเติมเผื่อจะได้สั่งงานมาใช้สักคันหล่ะก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ www.speedx.com ซึ่งในตอนนี้กำลังทำการเปิด pre-order รถจักรยานทั้ง 2 รุ่นนี้อยู่พอดีด้วยเลยหล่ะครับ
หมายเหตุ – อย่าลืมนะครับว่านี่คือจักรยานอัจฉริยะที่ถึงแม้จะมาจากประเทศที่มีฐานการพัฒนาในจีน ทว่าทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นเจ้าจักรยาน 2 รุ่นนี้นั่นต่างก็เป็นวัสดุเกรด A หมดทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าราคาของมันจะดูสูงอยู่เหมือนกันแต่ถ้านำไปเทียบกับรถจักรยานอัจฉริยะของผู้ผลิตรายอื่นที่อยู่ในโซนยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาแล้วนั้น Leopard ทั้ง 2 รุ่นถือว่ามีความคุ้มค่าต่อราคามากกว่าจริงๆ ครับ
ที่มา : engadget