Connect with us

Hi, what are you looking for?

CONTENT

ปรับแต่ง Windows Startup เพิ่มความเร็วให้กับ Windows 11

สาเหตุหนึ่งที่ทำ Windows 11 ทำงานได้ช้าลงก็คือ Windows Startup ที่จะเปิดโดยอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ Windows มาดูกันว่าตอนเปิดเครื่องขึ้นมาจะมีอะไรโหลดขึ้นมาบ้าง พร้อมวิธีปรับแต่งให้เครื่องเร็วขึ้น

Windows Startup
วิธีปรับแต่ง Windows Startup สำหรับ Windows 11

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้เปลี่ยนมาใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลหลักสำหรับเก็บระบบปฎิบัติการ Windows เป็นแหล่งเก็บข้อมูลที่มีความเร็วมากขึ้นอย่าง SSD M2 NVME/PCIe ทว่าก็อาจจะยังมีผู้ใช้จำนวนมากที่ยังคงใช้งาน SSD SATA3 หรือ HDD SATA3 ที่มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลช้าอยู่ 

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นไม่ว่าจะใช้แหล่งเก็บข้อมูลหลักที่เก็บระบบปฎิบัติการ Windows เป็นแบบไหนแต่เชื่อเหลือเกินว่าหลายๆ ท่านจะต้องพบเจอกับปัญหาที่ระบบปฎิบัติการ Windows ช้าลงหลังจากที่เริ่มลงโปรแกรมต่างๆ ลงไปบนระบบปฎิบัติการ Windows มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะให้พร้อมกับการทำงาน(หรือใช้งานตามความต้องการอื่นๆ) ได้

Advertisement

สาเหตุหนึ่งที่ Windows 11(และเวอร์ชันอื่นๆ) ช้าลงหลังจากที่มีการลงโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นเพิ่มไปนั้นก็จะมาจาก Windows Startup หรือกระบวนการเริ่มต้น Windows ที่จะโหลดทุกอย่างให้พร้อมก่อนการทำงานจริง ในบทความนี้เราจะแนะนำให้ทุกท่านได้เข้าใจกันว่ากระบวนการ Windows Startup ของระบบปฎิบัติการ Windows นั้นเป็นอย่างไรและเราจะสามารถปรับแต่งอย่างไรได้บ้างเพื่อเพิ่มความเร็วให้กับระบบปฎิบัติการ Windows หากพร้อมแล้วก็ไปติดตามกันได้เลย


  • Windows Startup คืออะไร
  • Windows Startup ทำงานอย่างไร
  • วิธีปรับแต่ง Windows Startup เพื่อเพิ่มความเร็วให้ Windows

Windows Startup คืออะไร

StartUpPrograms4

คำว่า Startup หมายถึงระยะเวลาก่อนที่ผู้ใช้จะสามารถควบคุมเดสก์ท็อปบนหน้าจอได้แบบสมบูรณ์ ให้ลองสังเกตง่ายๆ ก็คือเวลาที่คุณทำการ Log in เข้าสู่บัญชีผู้ใช้ของระบบปฎิบัติการ Windows แล้วจะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ตัวระบบปฎิบัติการ Windows ทำการรันโปรแกรมต่างๆ ที่ได้มีการตั้งค่าเพื่อให้เริ่มใช้งานตั้งแต่ทำการเปิดตัวระบบปฎิบัติการ Windows ซึ่งในที่นี้นั้นจะมีทั้งบริการของตัวระบบปฎิบัติการ Windows เองที่ถูกเรียกให้รันตอนเริ่มต้นและบริการต่างๆ ของโปรแกรมทั้งหมดที่ผู้ใช้ได้ทำการติดตั้งลงไปในระบบปฎิบัติการ Windows ของผู้ใช้

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตัวระบบปฎิบัติการ Windows นั้นจะใช้ระยะเวลาหนึ่งในการเรียกบริการต่างๆ ข้างต้นขึ้นมาโดยที่จะเร็วจะช้านั้นขึ้นอยู่กับความแรงของเครื่องทั้งในส่วนของหน่วยประมวลผล(CPU), หน่วยความจำ(RAM) และแหล่งเก็บข้อมูล(Storage) 

ท่านจะสังเกตเห็นความเร็วที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในการเริ่มระบบปฎิบัติการ Windows หากท่านใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลที่มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลสูงเช่นใช้งานแหล่งเก็บข้อมูลหลักแบบ SSD NVME เป็นต้น

อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นความเร็วในการเริ่มต้นการใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows นั้นจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมากจากจำนวนโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่ผู้ใช้ลงไปในระบบปฎิบัติการ Windows เนื่องจากว่าบางโปรแกรมนั้นจะมีบริการแฝงที่อาจจะเรียกใช้งานตัวเองตั้งแต่ระบบปฎิบัติการเริ่มต้นทันทีซึ่งบางครั้งตัวผู้ใช้เองนั้นอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีบริการใดบ้างที่ถูกตั้งค่าให้โหลดโดยอัตโนมัติเมื่อระบบปฎิบัติการเริ่มต้นการทำงาน

safe mode article cover image 1

สาเหตุหลักที่ทำให้การเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ Windows ช้า

  • แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้สำหรับลงระบบปฎิบัติการ Windows มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลต่ำ
  • แหล่งเก็บข้อมูลที่ใช้สำหรับลงระบบปฎิบัติการ Windows มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลน้อย(ซึ่งอาจจะมาจากการใช้งานที่นานมากขึ้นทำให้มีไฟล์ขยะอยู่ในแหล่งเก็บข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ)
  • มีการลงโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่ลงโดยผู้ใช้มีการเรียกบริการต่างๆ อัตโนมัติตอนที่ระบบปฎิบัติการ Windows เริ่มต้นทำงาน
  • หน่วยความจำ(RAM) น้อยเกินไปทำให้ในช่วงที่มีการเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ Windows ที่มีบริการต่างๆ ถูกเรียกใช้อัตโนมัติถูกเรียกไปเก็บข้อมูลเบื้องต้นเอาไว้บนหน่วยความจำจนทำให้หน่อยความจำเต็ม
  • หากท่านใช้แหล่งเก็บข้อมูลที่เป็นแบบแผ่นจานแม่เหล็กหรือ HDD การที่ระบบปฎิบัติการ Windows เริ่มต้นได้ช้าอาจจะมาจากสาเหตุการกระจายตัว(fragmentation) ของไฟล์โปรแกรมที่ถูกแยกส่วนไปอยู่คนละเซกเตอร์ของแหล่งเก็บข้อมูลทำให้การที่จะเรียกใช้งานไฟล์โปรแกรมนั้นๆ จะต้องใช้เวลาในการอ่านและเขียนข้อมูลนานมากกว่าปกติ
  • ท่านอาจจะกำลังโดนไวรัสหรือมัลแวร์เล่นงานอยู่
  • ฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวข้องกับแหล่งเก็บข้อมูลอาจมีปัญหาทางด้านเทคนิคจนทำให้ไฟล์ของโปรแกรมต่างๆ เกิดความเสียหายทำให้ตอนที่เริ่มต้นในการทำงานนั้นไม่สามารถที่จะโหลดบริการของโปรแกรมที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว(หากเสียหายมากอาจทำให้ถึงขั้นที่ไม่สามารถเข้าใช้งานระบบปฎิบัติการ Windows ไม่ได้เลย)

Windows Startup ทำงานอย่างไร

img startup Items run screenshot 1

ขั้นตอนการล็อกอินเข้าสู่เครื่อง Windows นั้นค่อนข้างซับซ้อน เพื่อให้เข้าใจง่ายจะขออธิบายแค่เฉพาะรายละเอียดพื้นฐานตามกระบวนการเข้าสู่ระบบที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Interactive Session โดยจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนหลักดังต่อไปนี้

  1. (Pre-userinit) ส่วนนี้เป็นที่เรียกใช้ Group หรือ Local Policies รวมถึงสคริปต์ของระบบปฎิบัติการ Windows โดยที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบ(ยังไม่เข้าสู่หน้าจอ Log in)
  2. (Userinit) ส่วนนี้เป็นส่วนที่เรียกใช้สคริปต์การเข้าสู่ระบบและสร้างการเชื่อมต่อเครือข่าย แล้วตามด้วยขั้นการเริ่ม Explorer.exe ที่เป็นไฟล์สำหรับการดูแลระบบหน้าจอหลักของระบบปฎิบัติการ Windows
  3. (Shell) ส่วน Shell เริ่มต้นเมื่อ Explorer.exe ถูกเรียกใช้และต้องสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากนี้นั้นผู้ใช้จะสามารถควบคุมคียบอร์ดและเมาส์ได้(หรือสังเกตง่ายๆ ก็คือคุณจะเห็นรูปเมาส์ขึ้นมาบนหน้าจอ) ขั้นตอนนี้จะสิ้นสุดในตอนที่ผู้ใช้ได้เห็นเดสก์ท็อป(ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งหน้า Log in หรือเข้าสู่ระบบปฎิบัติการไปเลยขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้ตั้งค่าไว้อย่างไร)

ขั้นตอนทั้ง 3 นี้นั้นจะเกี่ยวเนื่องและถูกควบคุมเฉพาะไฟล์และบริการหลักของตัวระบบปฎิบัติการ Windows เท่านั้น ความเร็วในการโหลดใน 3 ช่วงนี้นั้นจะขึ้นอยู่กับฮาร์ดแวร์ของผู้ใช้โดยตรงว่าแรงมากแค่ไหน

เมื่อผ่านการโหลดขั้นตอน Shell แล้วและผู้ใช้ได้ทำการ Log in เข้าสู่ระบบปฎิบัติการผ่านบัญชีผู้ใช้ของตัวเอง หลังจากนี้จะคือขั้นตอนที่ Windows Startup ทำงานต่อตามหลักการในช่วงที่ได้อธิบายไว้ในหัวข้อแรก

ดังนั้นตามที่ได้บอกกระบวนการในการเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ Windows ไปแล้วน้้นจะเห็นได้ว่าการปรับแต่งที่ได้ผลที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนแหล่งเก็บข้อมูลใหม่ให้มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มหน่วยความจำก็จะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถที่จะทำให้กระบวนการ Windows เริ่มต้นได้เร็วขึ้นได้

อย่างไรก็ดียังมีอีกหลายวิธีที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเงินเพื่อทำการปรับแต่งกระบวนการเริ่มต้นของระบบปฎิบัติการ Windows ได้อยู่ และเพื่อความไม่ประมาทในบทความนี้จะขอไม่ยกนำเอากระบวนการใดๆ ที่อาจก่อให้เสี่ยงกับการสร้างข้อผิดพลาดกับระบบปฎิบัติการ Windows จนทำให้เกิดปัญหาใช้งาน Windows ขึ้นมาได้ หากท่านพร้อมแล้วก็ไปติดตามกันต่อได้เลย


วิธีปรับแต่ง Windows Startup เพื่อเพิ่มความเร็วให้ Windows

1. ทำความสะอาด Startup Folder

start menu programs startup

วิธีการแรกสุดที่เราอยากแนะนำให้ทุกท่านได้ลองทำดูก่อนนั้นก็คือทำการล้างไฟลในโฟลเดอร์ start-up ผ่านทาง File Explorer ซึ่งเป็นที่ๆ ที่คุณสามารถลบโปรแกรมที่คุณไม่ต้องการให้เริ่มเมื่อระบบปฎิบัติการ Windows เริ่มต้นได้ ในการเข้าถึงโฟลเดอร์นี้ให้เปิด File Explorer แล้วไปที่ตำแหน่งนี้

C:\Users\>User Name>\AppData\Roaming\Microsoft\Windows\Start Menu\Programs\Startup

เมื่อคุณทำการเปลี่ยนแปลงในโฟลเดอร์แล้ว ให้รีสตาร์ทคอมพิวเตอร์และตรวจสอบว่าคุณสังเกตเห็นความแตกต่างของเวลาบูตหรือไม่

หมายเหตุ – โปรแกรมใดๆ ก็ตามที่เคยโหลดตัวเองโดยอัตโนมัติตอนเริ่มต้นระบบปฎิบัติการ หากท่านลบทิ้งไปแล้วโปรแกรมนั้นๆ จะไม่โหลดเองขึ้นมาตอนเริ่มต้นระบบปฎิบัติการอีก ดังนั้นในการลบหากมีโปรแกรมใดที่ท่านยังอยากให้โหลดขึ้นมาตามปกติเวลาที่ทำการเริ่ม Windows อยู่ก็ให้เว้นการลบโปรแกรมนั้นไว้ได้

2. ทำการเพิ่มระยะเวลาในการโหลดโปรแกรมที่ไม่ใช่ของปฎิบัติการ Windows ให้ช้าลง

Windows อนุญาตให้คุณป้องกันไม่ให้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นบูทเมื่อเริ่มต้นระบบปฎิบัติการได้ ทว่าวิธีการดังกล่าวนั้น(หรือวิธีที่ทำในขั้นตอนที่ 1) ถือว่าเป็นวิธีที่รุนแรงอยู่เพราะโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นเหล่านั้นจะไม่ถูกโหลดขึ้นมาเลย

หากคุณยังคงต้องการให้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นโหลดอยู่ คุณสามารถที่จะทำการเลื่อนเวลาเริ่มต้นของโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นที่คุณต้องการนั้นได้ ซึ่งวิธีการที่ง่ายที่สุดนั้นสามารถที่จะทำได้ 2 วิธีดังต่อไปนี้

2.1 ทำการเลื่อนผ่าน Task Scheduler Utility

อันดับแรกให้คุณจะปิดใช้งานโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นจากรายการเริ่มต้นเมื่อระบบปฎิบัติการ Windows เริ่ม หลังจากนั้นถึงจะไปสู่ขั้นตอนการตั้งค่าหน่วงเวลาผ่านทาง Task Scheduler เพื่อชะลอเวลาการบูตโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นนั้นๆ  ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

  • กดปุ่ม Win + R พร้อมกันเพื่อเปิด Run
  • พิมพ์ msconfig ในช่องข้อความของ Run แล้วกด Enter
  • ตรงไปที่แท็บ Startup แล้วคลิกที่ Open the Task Manager
startup open task manager
  • ไปที่แท็บ Startup ในหน้าต่างต่อไปนี้ และคลิกที่โปรแกรมเป้าหมาย
  • คลิกที่ปุ่ม Disable ที่แสดงด้านล่าง
task manager startup disable

เมื่อเสร็จแล้ว ให้ค้นหา Task Scheduler โดยใช้ Windows Search(ไอคอนรูปแว่นขยายทางด้านซ้ายของ Task bar) แล้วเปิดใช้งาน

  • คลิกที่ตัวเลือก Create Task ในหน้าต่างด้านซ้ายและป้อนชื่อสำหรับงาน คุณสามารถป้อนชื่อแอปพลิเคชันที่คุณต้องการเลื่อนเวลาเริ่มต้นหรืออะไรก็ได้ที่จะเป็นการสื่อความหมายให้คุณรู้ว่างานนั้นคือการเลื่อนเวลาสำหรับการสั่งให้ระบบปฎิบัติการ Windows ทำการเปิดโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นนั้นๆ
task scheduler create task
  • ไปที่แท็บ Trigger แล้วคลิกที่ปุ่ม New
task scheduler create task triggers new
  • ขยายดร็อปดาวน์สำหรับ Begin the task และเลือก At log on
  • ทำเครื่องหมายในช่องที่เกี่ยวข้องกับ Delay task for
new trigger delay task time
  • ขยายเมนูแบบเลื่อนลงและเลือกเวลาที่คุณต้องการ
  • คลิก OK เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง
  • ไปที่แท็บ Action แล้วเลือก New
task scheduler create task actions new
  • ในดร็อปดาวน์สำหรับ Action เลือกตัวเลือก Start a program > Browse
start a program browse
  • ไปที่ไฟล์ .EXE ของโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันแล้วคลิก Open > OK
  • ไปที่แท็บ Conditions และยกเลิกการทำเครื่องหมายในช่องที่เกี่ยวข้องกับ Start the task only if the computer is on AC power
conditions start the task only if the computer is on ac power
  • คลิก OK และปิด Task Scheduler

หมายเหตุ – คุณสามารถที่จะตั้งหลายๆ โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นได้แยกจากกันต่างหากโดยโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นแรกอาจจะเลื่อนให้เริ่มหลังจากที่ Windows เริ่มต้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว 15 วินาที โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นถัดไปเริ่มต้นที่ 30 วินาทีเป็นต้น(การทำเช่นนี้จะทำให้ช่วงช่องว่างของเวลาที่โปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นจะโหลดในช่วงแรกนั้นนานขึ้นทำให้ตัวคุณสามารถที่จะทำอย่างอื่นได้อยู่โดยที่ไม่ไปก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรของเครื่องมากจนเกินไป)

2.2 ทำผ่านทางโปรแกรม Windows Startup Helper

การใช้งานผ่าน Task Scheduler นั้นอาจจะดูวุ่นวายไปหน่อย(แต่ก็ดีที่สุดเพราะโปรแกรมดังกล่าวเป็นของ Microsoft โดยตรง) อย่างไรก็ตามยังมีโปรแกรมเลื่อนเวลาเริ่มต้นสำหรับแอปพลิเคชันฟรีของผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่คุณสามารถโหลดผ่านอินเทอร์เน็ตได้มากมาย ซึ่งที่เราจะแนะนำนั้นก็คือ Windows Startup Helper ที่คุณสามารถทำตามได้ดังขั้นตอนต่อไปนี้

  • โหลด Windows Startup Helper
  • เมื่อดาวน์โหลดไฟล์แล้ว ให้คลิกขวาที่ไฟล์แล้วเลือก Extract all
windows startup helper extract all
  • ดับเบิลคลิกที่ไฟล์และทำตามคำแนะนำบนหน้าจอเพื่อสิ้นสุดกระบวนการติดตั้งหลังจากนั้นให้เปิดตัวโปรแกรมขึ้นมา
  • ป้อนเวลาหน่วงที่คุณต้องการสำหรับในการที่จะหน่วยให้โปรแกรมนั้นๆ รอนานขึ้นถึงจะทำการโหลดที่ใต้ Delay time
windows startup helper delay time
  • คลิกที่ปุ่ม Add New Item ภายใต้ Step 2
windows startup helper add new item
  • ป้อนชื่อโปรแกรม, ที่อยู่ของไฟล์โปรแกรม(สามารถที่จะใช้จุดไข่ปลา 3 จุด ด้านข้างเพื่อค้นหาได้) และพารามิเตอร์
windows startup helper add edit dialog
  • คลิกที่ปุ่ม Start
windows startup helper start

แอปเป้าหมายจะเปิดขึ้นหลังจากเวลาที่คุณเลือกในแอป

3. เรียกใช้ Startup Cleaner Utility

คุณสามารถเรียกใช้โปรแกรม Startup Cleaner Utility ที่สามารถช่วยคุณดูและแก้ไขโปรแกรม, บริการ งานตามกำหนดเวลาและรายการเมนูตามบริบททั้งหมดที่ทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อคุณบูตเข้าสู่ Windows

ในที่นี้เราจะขอแนะนำ CCleaner ซึ่งเป็นโปรแกรมรอบด้านที่สามารถล้างขยะออกจากคอมพิวเตอร์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับวิธีการนั้นจะมีดังต่อไปนี้

  • โหลดและติดตั้ง CCleaner หลังจากนั้นให้เปิดโปรแกรมขึ้นมา
  • คลิกที่ไอคอน Tool ในหน้าต่างด้านซ้าย
ccleaner tools
  • เลือก Startup ในหน้าต่างต่อไปนี้
ccleaner tools startup
  • ในสี่ส่วนต่อไปนี้ คุณจะสามารถดูส่วนประกอบทั้งหมดที่ทำงานเมื่อคุณบูตเข้าสู่ Windows ค้นหารายการที่ไม่จำเป็น คลิกที่รายการเหล่านั้น แล้วเลือกปิดใช้งานหรือลบ
ccleaner tools startup disable delete
  • รีสตาร์ทเครื่องคอมพิวเตอร์และตรวจสอบว่าคุณสังเกตเห็นความแตกต่างหรือไม่

4. ถอนการติดตั้งโปรแกรมที่ไม่จำเป็น

โปรแกรมที่ไม่จำเป็นที่ติดตั้งบนระบบอาจทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมและเวลาในการโหลดช้าลง นี่คือเหตุผลที่เราแนะนำให้สละเวลาสักครู่เพื่อระบุโปรแกรมที่คุณลงไปแล้วแต่ไม่ได้ใช้งานเลยหรืออาจจะใช้งานน้อยมาก แล้วให้ทำการถอนการติดตั้งโปรแกรมหรือแอปพลิเคชั่นเหล่านี้โดยใช้ Setting > Apps > Installed Apps

5. อัปเดท Windows เสมอ

การทำให้ Windows ของคุณทันสมัยอยู่เสมอสามารถช่วยป้องกันปัญหาต่างๆ ได้ เช่นอาการแลคบ่อยครั้งหรือการหยุดทำงานกะทันหัน เราขอแนะนำให้ติดตั้งการอัปเดต Windows ทันทีที่ Microsoft ทำการเผยแพร่ออกมา(ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้วหากคุณไม่ได้ไปปรับอะไรกับ Windows Update แล้วล่ะก็ ตัวระบบปฎิบัติการ Windows จะทำการโหลดอัปเดทใหม่ๆ ให้คุณอัตโนมัติอยู่แล้วทันทีที่ทาง Microsoft ปล่อยออกมา) คุณสามารถดูการอัปเดตระบบที่รอดำเนินการทั้งหมดได้ในส่วน Windows Updates ของ Setting


ทั้งหมดที่คุณทำได้

อย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นว่าขั้นตอนการทำที่เรานำเอามานำเสนอในบทความนี้นั้นจะเป็นขั้นตอนการทำที่ไม่ไปยุ่งกับไฟล์ระบบของระบบปฎิบัติการ Windows อันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายกับระบบปฎิบัติการ Windows ของท่านขึ้นมาได้ ทว่าในความเป็นจริงแล้วนั้นยังคงมีอีกหลายวิธีการที่จะสามารถทำการปรับแต่ง Windows Startup ได้อีก 

ที่มา : nutanix, iolosystem, makeuseo

Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

How to

ในยุคนี้เมื่อแทบทุกงานในชีวิตต้องใช้อินเทอร์เน็ต ถ้าโน๊ตบุ๊คเชื่อมต่อ WiFi ไม่ได้เมื่อไหร่ก็เป็นเรื่อง ทำงานลำบากอัปเดตงานกับเพื่อนร่วมงานไม่ได้หรือแม้แต่เปิดดูสตรีมมิ่งเสพย์ความบันเทิงไม่ได้ ทำเอาใครหลายคนหงุดหงิดไม่อยากเจอปัญหาแบบนี้ แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็ยังพอมีวิธีแก้ปัญหาได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องยกคอมไปหาช่างให้วุ่นวาย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นอาจจะใช้ 1 ใน 7 วิธีนี้อาจแก้ปัญหาได้แถมอาจจะช่วยเพื่อนที่เจอปัญหาเดียวกันได้ด้วย โน๊ตบุ๊คเชื่อมต่อ WiFi ไม่ได้ด้วยหลายเหตุผล แต่ก็สันนิษฐานปัญหาได้ไม่ยาก! ปัญหาหลักเวลาโน๊ตบุ๊คเชื่อมต่อ WiFi ไม่ได้ เพราะบางคนเผลอกด Airplane mode อยู่...

How to

วิธีการแคปหน้าจอคอมในปี 2024 นี้ ไม่ว่าจะใช้คีย์ลัดของระบบปฏิบัติการ, ใช้โปรแกรมติดเครื่องหรือโหลดมาติดตั้งเพิ่มแล้วบันทึกเป็นวิดีโอ รวมถึงเพิ่มเข้ามาเป็นส่วนเสริมในเบราเซอร์ก็มีให้เลือกหลากหลายแบบ ทำให้เราสามารถเก็บภาพเอาไว้ใช้ได้หลายโอกาสไม่ว่าจะแซวเพื่อนเอาสนุกสนานไปจนใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลเมื่อเกิดข้อพิพาทก็ได้ ซึ่งคีย์ลัดของแต่ละระบบปฏิบัติการและเบราเซอร์จะมีวิธีเรียกใช้งานแตกต่างกันไปตามการตั้งค่าของทางผู้พัฒนา และบางโปรแกรมอาจจะไม่มีคีย์ลัดให้ใช้ ก็ต้องติดตั้งส่วนเสริม (Extension) เพิ่มเอง แต่ก็ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกขึ้นแน่นอน สรุปวิธีแคปหน้าจอคอมทุกแบบ ครบเครื่องทั้ง Windows, macOS, Microsoft Edge, Mozilla Firefox และ Google Chrome...

How to

เปลี่ยนภาษา Windows 10 และ Windows 11 ฉบับง่าย จับมือทำทีละขั้นตอนจนเป็นได้เลย!! วิธีการเปลี่ยนภาษา Windows 10 และ Windows 11 นอกจากการกดปุ่ม Grave Accent (`) หรือเรียกติดปากกันว่า “ปุ่มตัวหนอน” แล้วก็มีวิธีเปลี่ยนภาษาแบบอื่นซึ่ง Microsoft มีมาให้ใช้ซึ่งแตกต่างจากวิธีปกติและคีย์ลัด Windows+Spacebar...

Windows Zone

Microsoft 365 แตกต่างจาก Microsoft Office Home & Student 2021 อย่างไรบ้าง? “ในเมื่อซื้อโน๊ตบุ๊คมี Office แท้แล้ว จะต้องซื้อ Microsoft 365 มาทำไม?” นั่นเพราะผู้ใช้หลายๆ คนเห็นว่าฟังก์ชั่นการทำงานของทั้งสองนั้นเหมือนกันมาก เพราะรวมกลุ่มโปรแกรม Word Processing มาเป็นแพ็คเกจครบถ้วนทั้งคู่ ได้...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก