ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนโมเดลของหูฟังเกมมิ่งแบบไร้สายจะเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเทรนด์การใช้หูฟังแนวนี้ ก็มีมากตามไปด้วย เพราะให้ความคล่องตัวมากกว่า ซึ่งบางรุ่นก็รองรับการเชื่อมต่อ WiFi อย่างเดียว แต่บางรุ่นก็มาพร้อมการสนับสนุนทั้ง Bluetooth และ Wireless ทำให้มีตัวเลือกอยู่เยอะ สำหรับเหล่าเกมเมอร์ในช่วงนี้ เช่นเดียวกับทาง HyperX ที่เป็นอีกค่ายหนึ่ง ซึ่งปล่อยเกมมิ่งเกียร์รุ่นใหม่ลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง มาวันนี้ได้อัพเลเวลให้กับหูฟัง Wireless ในซีรีส์ของ CLOUD STINGER สำหรับไลฟ์สไตล์ของคอเกมที่ชอบอิสระ ราคาสบายกระเป๋า
HyperX Cloud Stinger Wireless เป็นหูฟังไร้สายที่น่าสนใจอีกรุ่นหนึ่ง ของไลน์หูฟังเกมมิ่งจากค่ายนี้ เพราะเปิดราคามาราว 2,200 บาท โดยประมาณ ที่ใช้การเชื่อมต่อบนความถี่ 2.4GHz ออกแบบมาสำหรับการเล่นเกมโดยเฉพาะ โดยใช้อแดปเตอร์ที่เป็นตัวส่งสัญญาณต่อเข้ากับคอม ก็ใช้งานได้เลย แบตเตอรี่ใช้งานได้ราว 17 ชั่วโมงต่อการชาร์จ ครอบหูฟังปรับได้ 90 องศา มาพร้อมไดรเวอร์ขนาด 50mm ครอบหูฟังยังคงเป็นเมมโมรีโฟมที่เป็นเอกลักษณ์ของทาง HyperX เน้นการใช้งานแบบต่อเนื่อง โครงสร้างโลหะให้ความยืดหยุ่น แต่แข็งแรง ไมโครโฟนเป็นแบบตัดเสียงรบกวนได้ แต่ถอดออกไม่ได้ ปรับตัวก้านได้เพียงอย่างเดียว เหมาะกับเกมเมอร์ที่อยากได้ความคล่องตัวในการเล่นเกม และการเคลื่อนไหวที่สะดวกมากยิ่งขึ้น
Specification
เฮดโฟน
- ไดร์เวอร์: 50 มม. แบบไดนามิคพร้อมแม่เหล็กนีโอดีเนียม
- ประเภท: แบบครอบเต็ม ปิดด้านหลัง
- ความถี่: 20Hz-20,000Hz
- ความต้านทาน: 32 Ω
- ระดับแรงดันเสียง: 109dBSPL/mW ที่ 1kHz
- T.H.D.: < 2%
- น้ำหนัก: 270 ก.
- ความยาวและประเภทสายต่อ: สายชาร์จ USB (1 ม.)
ไมโครโฟน
- ส่วนประกอบ: ไมโครโฟนอีเล็คเตรทคอนเดนเซอร์
- รูปแบบขั้ว: ระบบตัดสัญญาณรบกวน
- ความถี่: 100Hz-7,000Hz
- ความไว: -47dBV (0dB=1V/Pa,1kHz)
- เวลาใช้งานแบตเตอรี่1: 17 ชั่วโมง
- ช่วงสัญญาณไร้สาย2: 2.4GHz
- ระยะสัญญาณ: สูงสุด 12 เมตร
การออกแบบและฟังก์ชั่น
ดีไซน์ของหน้ากล่อง HyperX ยังคงใช้ธีมสีขาวคาดด้วยลายสีแดง ให้ดูเป็นแนวเกมเมอร์และสีใช้ในการแข่งขัน โดยมีภาพกราฟิกของหูฟังให้เห็นกันชัดๆ เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจ
ด้านในกล่องเมื่อแกะออกมาแล้ว ประกอบด้วยตัวหูฟัง CLOUD STINGER Wireless และ Receiver พร้อมสายชาร์จ
มาดูรายละเอียดของตัวหูฟังกัน HyperX เลือกใช้โทนสีดำด้าน ให้มีพื้นผิวเล็กน้อย เพื่อการจับได้ถนัดมือ และด้านซ้ายของหูฟัง จะเป็นปุ่มเปิด-ปิด และไมโครโฟน
เมมโมรีโฟมบน Earcup ถือเป็นเอกลักษณ์ของ HyperX ให้ความนุ่มนวลและสบายหูมากขึ้น หุ้มด้วยวัสดุแบบหนัง ทำให้รู้สึกกระชับสบาย ตรงจุดนี้อยู่ที่ความชอบของผู้ใช้ ใครชอบแบบผ้าก็คงต้องดูรุ่นอื่นไปก่อน
ในแง่ของขนาด Earcup จะไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ครอบหูได้พอดี ไม่บีบจนรู้สึกอึดอัด ซึ่ง HyperX มักจะเว้นระยะไม่มากนัก ตามสไตล์หูฟังอีสปอร์ต เพื่อให้มีขนาดกระทัดรัด ไม่เทอะทะจนเกินไป
ไมโครโฟนเป็นแบบตัดเสียงรบกวน ให้การสื่อสารได้ดี ติดอยู่ตรงที่ถอดสายไม่ได้ แต่เป็นแบบก้านอ่อน ให้ผู้ใช้ดัดไปตามรูปแบบที่ต้องการ
ก้านหูฟังปรับได้หลายระดับ เพื่อให้กระชับเข้ากับศีรษะของผู้ใช้ สามารถปรับเลื่อนได้ขณะที่วางอยู่บนศีรษะ ไม่ซับซ้อนใช้ง่ายดี
ครอบหูฟังหมุนได้ 90 องศา ตรงจุดนี้ถือเป็นไฮไลต์ของหูฟัง CLOUD STINGER Wireless รุ่นนี้ เพราะเวลาคล้องไว้ที่คอ จะไม่เกะกะสร้างความรำคาญ ต่างจากรุ่นที่หมุนไม่ได้ ตามตัวอย่างจากภาพ
ครอบหูฟังด้านซ้ายจะเป็นจุดรวมการเชื่อมต่อต่างๆ ซึ่งรวมถึงพอร์ต micro USB สำหรับใช้ในการเชื่อมต่อและชาร์จไฟ
ที่รองศีรษะด้านบนเป็นฟองน้ำหุ้มด้วนหนัง และมีโลโก้ HyperX ให้เห็นได้เด่นชัด สามารถดัดได้เล็กน้อย กระจายน้ำหนักได้ดี
ผู้ใช้สามารถปรับเลื่อนไมโครโฟนไปตามแบบที่ต้องการได้ แต่ที่สำคัญคือ ปิดเสียงไมค์ได้ด้วยการดันก้านไมค์ขึ้นไปด้านบน และเปิดใช้งานเมื่อดันลงมาด้านล่าง สะดวกดีทีเดียว
ส่วนครอบหูฟังทางด้านขวา จะมีปุ่มปรับเพิ่ม-ลดเสียง เป็นแบบปุ่มเลื่อนได้สะดวกอย่างยิ่ง
การใช้งานค่อนข้างง่ายเลยทีเดียวสำหรับบนพีซี ด้วยการต่ออแดปเตอร์เข้ากับพอร์ต USB จากนั้นหูฟังจะเชื่อมต่อเข้ากับระบบ และใช้ง่านได้ทันทีบนวินโดวส์ 10
Conclusion
มาว่ากันที่การใช้งานของหูฟัง HyperX CLOUD STINGER Wireless ที่เป็นหูฟังเกมมิ่งไร้สายรุ่นนี้กัน ในแง่ของการออกแบบ ค่อนข้างที่จะเรียบง่าย แต่ให้ฟังก์ชั่นสำหรับการใช้งานที่จำเป็นมาครบ ตามสไตล์ของหูฟังไร้สาย โดยเฉพาะน้ำหนักที่เบา และก้านหูฟังปรับเลื่อนได้สะดวก ครอบหูฟังหมุนได้ 90 องศา คือสิ่งที่จำเป็นที่เกมเมอร์ส่วนใหญ่อาจไม่ค่อยได้สัมผัสกันนัก แต่ให้การใช้งานได้ดี โดยเฉพาะคนที่ไม่อยากวางหูฟังไว้บนโต๊ะ แต่คล้องคอเดินไปมาในบ้านได้สะดวก ไม่ต้องกลัวหูฟังจะค้ำคอ ให้หันหัวกันลำบาก นอกจากนี้ Earcup ที่เป็นแบบเมมโมรีโฟม ยังคงเป็นหัวใจหลักในการให้ความสะดวกสบาย และความกระชับ นุ่มนวลและยังลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของฟังก์ชั่น ดูเหมือน HyperX จะไม่ได้ใส่ลูกเล่นเยอะเกินไปให้มากความ เพราะหลักๆ จะจบในตัวหูฟังด้านซ้าย สำหรับการเปิด-ปิด และไมโครโฟน ที่ใช้ได้สะดวกรวดเร็ว โดยไมค์นั้นจะเปิด-ปิดอัตโนมัติ เมื่อเลื่อนก้านของไมค์ขึ้นด้านบนหรือลงด้านล่าง ส่วนการปรับเสียงอยู่ที่ครอบหูฟังด้านขวา ที่เพิ่ม-ลดเสียงได้ง่ายเช่นกัน เพียงแต่อาจจะต้องทำความคุ้นเคยเล็กน้อย เพราะค่อนข้างเลื่อนทางด้านหลังของตัวหูฟังเยอะทีเดียว การปรับเสียงระหว่างการเล่น อาจจะวืดได้เหมือนกัน
เรื่องของคุณภาพเสียง แม้ว่าจะเป็นหูฟังไร้สาย แต่ HyperX ก็จัดเต็มมาให้เหมือนกัน ด้วยไดรเวอร์ขนาด 50mm เสียงที่ได้ถือว่าคมชัด เสียงกลางแน่น และเพิ่มแหลมขึ้นมาเด่นอีกนิดหน่อย สำหรับคอเกมและดูหนัง ฟังเพลง ด้วยเสียงเอฟเฟกต์ในเกมที่เล่นได้เต็มอรรถรส แม้จะไม่หวือหวา เมื่อเทียบกับ CLOUD ในรุ่นพี่ๆ แต่ถือว่าทำได้น่าสนใจ ตอบโจทย์ในเกมที่เอฟเฟกต์กระหน่ำและทิศทางของเสียงได้ดีพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น Battlefield หรือ PUBG ที่เสียงระเบิดจากรถถังและศัตรู ซึ่งสร้างความตื่นเต้นได้ดี เช่นเดียวกับการเก็บรายละเอียดของเสียง เช่น กระจกแตก เสียงกระสุนหรือฝนตกก็ตาม นอกจากนี้เอามาใช้ฟังเพลง ก็เพลินๆ ได้เหมือนกัน
จุดเด่น
- สวมใส่สบาย น้ำหนักเบา
- ครอบหูฟังเมมโมรีโฟม นุ่มนวล
- ให้เสียงกลางแน่น เหมาะกับการเล่นเกม
- ตอบสนองเสียงรอบทิศทางได้ดี
ข้อสังเกต
- อแดปเตอร์ค่อนข้างใหญ่ เมื่อใช้กับโน๊ตบุ๊ค
- รองศีรษะค่อนข้างยืดหยุ่นได้น้อย
ราคา: ประมาณ 2,290 บาท
ติดต่อ: ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์เกมมิ่งเกียร์ HyperX ทั่วประเทศ