Valve ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับระบบการเงินของตนเองว่าจะมีการปรับอัตราค่าส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายเกมใหม่โดยจะมีอัตราเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อดึงดูดผู้พัฒนาเกมให้วางขายบนแพลตฟอร์ม Steam มากกว่าวางขายบนแพลตฟอร์มของตัวเอง
ใน steamcommunity ได้มีประกาศชัดเจนจาก Valve ชี้แจงว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ซึ่งพวกเขาจะปรับระดับส่วนแบ่งรายได้ให้สูงขึ้นเนื่องจากบริษัทต้องการตรงจสอบว่าแพลตฟอร์ม Steam ยังเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้สร้างเกมหรือไม่ดังนั้นจึงได้เพิ่มส่วนแบ่งรายได้เพื่อจูงใจเหล่าค่ายเกมให้นำเกมมาวางขายบน Steam มากขึ้น
ในรายละเอียดทาง Valve ได้บอกว่านโยบายการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะเริ่มเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2018 เป็นต้นไปเมื่อเกมที่พัฒนาสามารถทำรายได้มากกว่า 10 ดอลล่าร์บน Steam จะได้รับส่วนแบ่งที่ 75%/25% และถ้าทำรายได้มากกว่า 50 ล้านดอลล่าร์ขึ้นไปจะได้รับส่วนแบ่งที่ 80%/20% (รายได้จะมาจากแพ็คเกจเกม , DLC , การขายสินค้าในเกมและ Marketplace)
การปรับเปลี่ยนนโยบายนี้แน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อนักพัฒนาเกมหากเป็นเกมดังยอดฮิตอย่าง PUBG หรือ SCUM ก็จะส่งผลให้การเงินดียิ่งขึ้นแต่ขณะเดียวกันทางฝั่งเกมอินดี้หรือเกมนอกกระแสดูเหมือนว่านโยบายนี้จะทำร้ายกันทางอ้อมทางผู้พัฒนาเกมนอกกระแสอย่าง Greg Lobanov (Wondersong) ก็ได้ออกมาพูดว่ามันไม่ค่อยแฟร์สักเท่าไหร่
“การเปลี่ยนแปลงของ Steam จะทำให้ที่ทำเงินอยู่แล้วก็จะยิ่งทำเงินมากขึ้นนั่นคือถ้ารวยก็ยิ่งรวยขึ้นแต่กับพวกเรานี่คือการตบหน้าอย่างรุนแรงเลย”
กลายเป็นว่าอาจจะได้อย่างเสียอย่างถ้าหากต้องการจูงใจเหล่าเกมยักษ์ใหญ่และพิสูจน์ว่าแพลตฟอร์มของตัวเองยังดีจริงอยู่หรือไม่เพราะตอนนี้ค่ายเกมอย่าง Bethesda , EA , Ubisoft หรือ Activision-Blizzard ก็มีแพลตฟอร์มขายเกมดิจิทัลเป็นของตัวเองไปแล้ว
ที่มา: tweaktown