
Valve กับสถิติทำเงินต่อพนักงานสูงที่สุดในอุตสาหกรรมเกม
Valve ถูกพูดถึงอีกครั้งหลังมีข้อมูลจาก Alinea Analytics ระบุว่า บริษัทสามารถทำรายได้ต่อพนักงานได้สูงลิ่วในระดับที่แซงทั้ง Google, Amazon และ Microsoft โดย Valve กลายเป็นตัวอย่างคลาสสิกขององค์กรที่เล็กแต่โคตรมีประสิทธิภาพ
รายงานระบุว่าเฉพาะแพลตฟอร์ม Steam เพียงอย่างเดียวทำรายได้ไปแล้วประมาณ 16.2 พันล้านดอลลาร์ และมีการคาดการณ์ว่ารายได้รวมของ Valve ทั้งบริษัทในปี 2025 อาจแตะ 17 พันล้านดอลลาร์ ได้ ซึ่งถือเป็นตัวเลขระดับยักษ์ใหญ่สำหรับองค์กรที่มีพนักงานเพียงราว 350 คนเท่านั้น
หากคำนวณรายได้ต่อหัวจะพบว่า Valve ทำเงินได้เกือบ 50 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงานหนึ่งคน ซึ่งสูงกว่าแทบทุกอุตสาหกรรม ไม่ใช่เพียงแค่บริษัทเทคโนโลยี แต่รวมถึงบริษัทระดับ Fortune 500 ด้วย
ตัวเลขที่สูงลิ่ว แม้จะเป็นเพียงข้อมูลจากการประเมิน
แม้ข้อมูลส่วนใหญ่จะมาจากบริษัทวิจัยและเอกสารที่หลุดออกมา เนื่องจาก Valve เป็นบริษัทเอกชนและไม่มีข้อบังคับต้องเปิดเผยงบการเงิน แต่ตัวเลขทั้งหมดก็ “สอดคล้อง” กับรายงานและหลักฐานที่มีอยู่ก่อนหน้า เช่น
- Wolfire (สตูดิโอที่เคยฟ้อง Valve) ระบุว่าบริษัทมีพนักงานประมาณ 360 คน
- Microsoft เคยประเมินว่า Valve มีรายได้ราว 6.5 พันล้านดอลลาร์ ในปีหนึ่ง ซึ่งคิดเป็นรายได้ต่อพนักงานประมาณ 18 ล้านดอลลาร์ต่อหัว
เมื่อเทียบกับบริษัทอื่น ตัวเลขของ Valve จึงยังคง “สูงกว่าเท่าตัว” เช่น
- Apple ทำรายได้เฉลี่ย 2.4 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน
- Meta ทำได้ประมาณ 1.9 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน
- McKesson บริษัทด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นแชมป์รายได้ต่อหัว ยังอยู่ที่ 8.2 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
โครงสร้างองค์กรแบบไร้ผู้บริหารคือจุดแข็งของ Valve
หนึ่งในเหตุผลที่ Valve มีประสิทธิภาพสูงมาก มาจากรูปแบบการบริหารที่ “ไม่มีผู้จัดการ ไม่มีผู้บริหารระดับ C” และทำงานในลักษณะทีมเดียวกันทั้งหมด ซึ่งเขียนไว้ชัดเจนใน Handbook for New Employees ที่เปิดเผยตั้งแต่ปี 2012
ภายในคู่มือยังระบุประโยคสำคัญว่า:
“Our profitability per employee is higher than that of Google or Amazon or Microsoft, and we believe the right thing to do is to put a maximum amount of money back into each employee’s pocket.”
ข้อมูลหลุดจาก The Verge ยังระบุว่า Valve ใช้งบประมาณ เกือบ 450 ล้านดอลลาร์ เพื่อจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน โดย เฉลี่ยมากกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์ต่อหัวต่อปี ซึ่งเป็นแพ็กเกจที่สูงที่สุดระดับแนวหน้าในวงการเกม
ความสำเร็จจากการเป็นบริษัทเอกชนและเน้นระยะยาว
ข้อได้เปรียบสำคัญคือ Valve ยังเป็นบริษัทเอกชน ทำให้ไม่ต้องตอบโจทย์นักลงทุนหรือกองทุนที่ต้องการผลตอบแทนในระยะสั้น ผู้ก่อตั้งอย่าง Gabe Newell และพาร์ตเนอร์คนอื่น ๆ จึงสามารถโฟกัสกับวิสัยทัศน์ระยะยาว เช่น
- พัฒนา Steam ให้เติบโตอย่างมั่นคง
- เปิดโอกาสให้นักพัฒนาอินดี้เข้าสู่ตลาด
- สร้างอุปกรณ์ใหม่ เช่น Steam Deck ที่เปิดตลาดเกมพกพายุคใหม่
แม้ Valve จะถูกวิจารณ์หลายครั้ง เช่น การผลักดัน loot box ในอุตสาหกรรม PC แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทช่วยยกระดับโลกเกมทั้งด้านเทคโนโลยี โมเดลธุรกิจ และการเข้าถึงเกมราคาย่อมเยาอย่างมหาศาล
ผลงานที่ฝากไว้ในอุตสาหกรรมเกม
Valve ไม่ได้มีดีแค่ Steam เท่านั้น แต่ยังสร้างเกมระดับตำนานอย่าง
- Counter-Strike
- Dota 2
- Left 4 Dead
- Portal
- Half-Life
นอกจากนี้ Steam Deck ที่เปิดตัวในปี 2022 ยังมีผลอย่างมากต่อการฟื้นตลาดเกมพกพา และในปี 2026 Valve มีแผนเปิดตัว Steam Machine รุ่นใหม่ที่ถูกจับตามองมากที่สุดอีกรุ่นหนึ่ง
ที่มา: tomshardware





