จากคำพูดของผู้คร่ำหวอดในวงการหน่วยประมวลผลจากทาง Intel อย่าง William Holt ซึ่งมีประวัติในการทำงานด้านนี้มายาวนานกว่า 50 ปี(ตอนนี้อยู่ในตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารของ Intel) ได้ออกมาบอกครับว่าในอนาคตอันใกล้ต่อจากนี้ไปทาง Intel จะเริ่มต้นที่จะใช้เทคโนโลยีมูลฐานใหม่ในการพัฒนาชิปหน่วยประมวลผลของทาง Intel จากที่เคยเน้นทางด้านการพัฒนาจำนวนทรานซิสเตอร์ในหน่วยประมวลผลและเทคโนโลยีที่เรียกว่า spintronics มาอย่างยาวนานแสนนานเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เน้นด้านอื่นแล้ว
Holt ได้บอกเอาไว้ครับว่าชิปหน่วยประมวลผลที่จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่นี้จะเริ่มต้นการผลิตและมีปล่อยออกมาใช้งานกันจริงๆ เมื่อไร อาจจะใช้เวลานาน 4 – 5 ปีขึ้นไป แต่เทคโนโลยีทั้ง 2 ที่กล่าวไปในข้างต้นนั้นจะต้องได้รับการเปลี่ยนไปอย่างมากซึ่งนั่นจะส่งผลทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านการดีไซน์ตัวชิปหน่วยประมวลผลใหม่รวมไปถึงการผลิตชิปดังกล่าวก็จะเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิมด้วย โดยมีความเป็นไปได้สูงเลยทีเดียวว่าในตอนแรกๆ นั้นมันจะถูกผลิตขึ้นมาพร้อมกับ silicon transistors ครับ
จากคำกล่าวของ Holt นั้นบอกว่าเทคโนโลยีใหม่ดังกล่าวจะไม่ได้โฟกัสไปที่ความเร็วที่สูงขึ้นของ silicon transistors อีกต่อไป(หมายความว่าความเร็วจะถูกลดลงหรือ Intel จะเริ่มเลิกให้ความสนใจในการเพิ่มความเร็วให้กับชิปหน่วยประมวลผลซึ่งแตกต่างกับปัจจุบันที่เป็นอยู่นี้ที่โดยส่วนใหญ่แล้วยังมีผู้ใช้หลายๆ คนยังคงมองความเร็วของชิปหน่วยประมวลผลว่าสื่อถึงประสิทธิภาพของชิปหน่วยประมวลผลอยู่) ทว่าเทคโนโลยีใหม่นั้นจะเน้นไปทางด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานบนตัวชิปแทน(ความสามารถในการประหยัดพลังงาน)
ในปัจจุบันนั้นมีหลายๆ การใช้งานที่มองประสิทธิภาพการใช้พลังงานบนตัวชิปเป็นหลักครับ ตัวอย่างที่ชัดเจนก็อย่างเช่น cloud computing, mobile devices และ robotics แต่กระนั้นแล้วชิปหน่วยประมวลผลที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันนั้นก็ได้พัฒนามาตามกฎของมัวร์(Moore’s Law) ที่เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของทรานซิสเตอร์จำนวนเป็นเท่าตัวในทุกๆ สองปี(และเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน) ซึ่งกฎดังกล่าวนั้นยืนยาวมานานกว่า 50 ปี โดยทั้งจากทาง Intel เองที่เป็นคนรักษากฎดังกล่าวนี้โดยมีความพยายามที่จะทำการปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้พลังงานเข้าไปบนชิปหน่วยประมวลผลตามกฎด้วย
ทาง Holt นั้นบอกว่าจะยังคงทำการพัฒนาชิปหน่วยประมวลผลตามกฎดังกล่าวไปอีกสัก 2 ยุค(ของหน่วยประมวลผลซึ่งก็อยู่ในช่วง 4 – 5 ปี พอดีตามที่กล่าวในข้างต้น) ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเราคงจะได้เห็นชิปหน่วยประมวลผลมาพร้อมกับกระบวนการผลิตที่ขนาด 7 nm กัน แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ทางบริษัทต้องทำตามกฎของมัวร์นั้นก็คือการเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์พร้อมกับลดขนาดของชิปไปด้วยเรื่อยๆ นั้นทางบริษัทมีต้นทุนในการนำเนินการดังกล่าวที่ค่อนข้างจะสูงเลยทีเดียวครับ(ความหมายก็คือพยายามทำตามกฎของมัวร์โดยไม่ได้สนใจเรื่องของการลดต้นทุนในการผลิตมากเท่าไรนัก)
การเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์(ซึ่งเป็นการเพิ่มความเร็วของชิปหน่วยประมวลผลและความแรงไปด้วยในตัว) นั้นก้าวไปไกลกว่าด้านการค้าแล้ว แม้ว่าในปัจจุบันเราจะได้เห็นหลายๆ องค์กรเริ่มหันมาผลิตหน่วยประมวลผลที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ แทนอย่างเช่น DARPA และ Semiconductor Research Corporation ที่ร่วมลงทุนในการวิจัยอุปกรณ์ที่จะมาแทนชิปหน่วยประมวลผลในปัจจุบันอย่าง quantum mechanical(ซึ่งใช้หลักของอิเล็กตรอนในการทำงานแทนทรานซิสเตอร์ตามปกติทั่วไป) แต่ทว่าก็ยังคงติดปัญหาอยู่ที่ว่าทรานซิสเตอร์ที่ยังคงจำเป็นต้องใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ตามหลักการดังกล่าวได้มีขนาดที่เล็กเกินไป
อุปกรณ์ที่ใช้เทคนิค Spintronic(ใช้การสปินของอิเล็กตรอนในซิลิคอนตัวอย่างเช่น quantum computers) กำลังจะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ทางด้านการจำหน่ายสำหรับผู้บริโภคในเร็วๆ นี้(เป็นไปได้ว่าเร็วที่สุดก็อาจจะเป็นปี 2017 นี้) โดย Holt คาดว่าน่าจะได้เห็นกันในอุปกรณ์ประเภทชิปหน่วยหน่วยความจำ(RAM) ที่ใช้พลังงานต่ำหรือไม่ก็อาจจะเป็นชิปกราฟิกการ์ดประสิทธิภาพสูง ซึ่งในปี 2015 ที่ผ่านมานั้นทาง Toshiba ได้เคยประกาศออกมาว่าทางบริษัทได้มีการพัฒนา spintronic memory array ที่มีอัตราการใช้พลังงานต่ำกว่า SRAM ในปัจจุบันถึง 80% ออกมาแล้ว(ในขั้นทดสอบ)
อย่างไรก็ดี Holt ได้บอกเอาไว้ครับว่าท้ายที่สุดแล้วทาง Intel คงต้องเลือกเดินตามกระแสของตลาดที่ต้องการอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานในการประมวลผลน้อยลงซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงการนำเอาเทคโนโลยี Spintronic มาใช้ในการพัฒนาชิปหน่วยประมวลผลของตัวเองซึ่งสิ่งที่ Intel ต้องทำนั้นก็คือต้องทิ้งกฎของมัวร์ไป และเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการดีไซน์และการผลิตทั้งหมดเพื่อที่จะทำเช่นนั้น โดยสิ่งที่จะหายไปจากชิปหน่วยประมวลผลของทาง Intel ก็คือความเร็วของการประมวลผลแต่ผู้ใช้งานจะได้รับประสิทธิภาพในการใช้งานที่ประหยัดพลังงานมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเข้ามาทดแทน
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดก็เพื่อจะเป็นการตอบสนองต่อตลาดที่ในปัจจุบันนั้นเราจะเห็นได้ว่าเริ่มกลายเป็นยุคของอุปกรณ์จำพวก Internet of Things ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความเร็วในการประมวลผลแต่จำเป็นที่จะต้องใช้พลังงานต่ำเข้าไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในปัจจุบันนั้นเราได้เห็นการดำนเนินเส้นทางทางธุรกิจดังกล่าวจากบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Google, Amazon, Facebook และบริษัทอื่นๆ อีกมากมายที่เริ่มจะออกแบบ data centers ในรูปแบบของตัวเองที่ประหยัดพลังงานเอาไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นในฐานะที่ Intel เป็นผู้นำทางด้านชิปหน่วยประมวลผลในปัจจุบันก็ต้องก้าวให้ทันกับความต้องการนั้นๆ ครับ
ที่มา : technologyreview