เข้าสู่ตอนที่ 5 ของ 84 เทคโนโลยีที่ถูกลืมอย่างเป็นทางการในทศวรรษ 2010 กันแล้ว ซึ่งยิ่งนับถอยหลังมากเท่าไรนั้นเราก็ได้เห็นถึงเทคโนโลยีดีๆ ที่หายไปจากโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าบางเทคโนโลยีนั้นอาจจะยังไม่มีการหายไปจากโลกทั้งหมดเพราะมันอาจจะถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นได้แต่ก็ต้องยอมรับกันจริงๆ ว่าในทศวรรษ 2010 ที่ผ่านมานั้นเราได้เห็นเทคโนโลยีต่างๆ เผยออกมาให้เราๆ ท่านๆ ได้ชมกันอย่างมากมาย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปต่อกันที่อีก 12 อันดับต่อจากนี้ได้เลย
36. GOOGLE’S SMARTWATCH AMBITIONS
ในช่วงทศวรรษ 2010 ที่ผ่านมานั้นคงต้องยอมรับจริงๆ ว่าเทคโนโลยีหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเอามากๆ ก็คือสมาร์ทวอทช์ ซึ่งด้วยความที่ในระยะแรกๆ นั้นผู้ผลิตได้ใช้ระบบปฎิบัติการเป็นของตัวเอง(อย่างเช่นทาง Samsung ใช้ Tizen เป็นต้น) ทว่าทาง Google เองนั้นก็อยากที่จะออกระบบปฎิบัติการสำหรับสมาร์ทวอทช์ของตัวเองให้เป็นมาตรฐานสำหรับผู้ผลิตโดยทั่วไป ดังนั้นแล้วเราจึงได้เห็นระบบปฎิบัติการ Wear OS เกิดขึ้นมาโดยตัวระบบปฎิบัติการนั้นรองรับการใช้งานในการซิงค์ข้อมูลกับสมาร์ทโฟนระบบปฎิบัติการ Android ได้เป็นอย่างดี ทว่าในการใช้งานจริงนั้นกลับพบว่า Wear OS นั้นมีปัญหาพอสมควร
การเริ่มต้นของ Google กับ Wear OS นั้นทาง Google เองได้มีการร่วมกับ LG เพื่อทำการผลิตสมาร์ทวอทช์ที่ใช้ระบบปฎิบัติการ Wear OS เป็นรุ่นแรกออกมาในปี 2016 ซึ่งเป็นการเปิดตัวที่ไม่ค่อยดีมากเท่าไรนัก โดยถึงแม้ว่าในช่วงนั้นจะมีผู้ผลิตเข้าร่วมใช้ระบบปฎิบัติการอย่าง Wear OS ด้วยเหมือนกันเช่น Samsung, ASUS หรือกระทั่ง Motorola แต่ผลที่ได้นั้นกลับกลายเป็นว่าสมาร์ทวอทช์ที่มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Wear OS ไม่สามารถทำยอดจำหน่ายได้สูงได้เท่าที่ทาง Google และบรรดาผู้ผลิตตั้งเป้าเอาไว้ ท้ายที่สุดนั้น Google เองก็ได้ทำการยอมแพ้ไปตามระเบียบอันเนื่องมาจากว่ามีสมาร์ทวอทช์ของผู้ผลิตอย่าง Fitbit หรือ Fossil ที่มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการเฉพาะที่มีประสิทธิภาพดีกว่าแถมยังสามารถใช้งานร่วมกับทั้ง iOS และ Android ได้เป็นอย่างดีด้วย
35. YOUNG BLOOD
ในช่วงปี 2016 ที่ผ่านมานั้นทางฝั่งสหรัฐอเมริกามีเทคโนโลยีทางด้านสุขภาพที่เรียกได้ว่าแปลกมากพอสมควรกับการดูดเลือดของเด็กเล็กมาชีดให้กับผู้ใหญ่ ซึ่ง ณ เวลานั้นทางผู้ขายเรื่องดังกล่าวได้มีการโฆษณาเอาไว้ว่าการกระทำในลักษณะเช่นนี้นั้นจะช่วยให้ผู้ใหญ่หลายๆ คนมีความเยาว์วัยมากขึ้น สุขภาพดีขึ้นไปจนถึงขั้นที่บอกเอาไว้ว่ากรรมวิธีดังกล่าวนั้นสามารถที่จะป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วยอีกต่างหาก โดย ณ เวลานั้นเรียกได้ว่าผู้ใหญหลายๆ คนให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวนี้เป็นอย่างมากถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับราคามหาโหดของการฉีดเลือดของเด็กที่อายุต่ำกว่า 25 ปีจำนวน 1 ลิตรนั้นมีราคาสูงมากถึง $8,000 หรือประมาณ 249,520 บาทก็ตาม
ด้วยความแปลกประหลาดดังกล่าวนี้เองนั้นทำให้ต่อมาในปี 2019 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์นั้นทาง FDA ได้เข้ามาตรวจสอบดูในเรื่องดังกล่าวและก็พบกับความจริงที่ว่ายังคงไม่มีงานวิจัยใดๆ ในโลกรองรับผลของการฉีดเลือดเด็กเข้าสู่ร่างกายผู้ใหญ่แล้วจะได้ผลดีตามที่มีการโฆษณาจริง นอกเหนือไปจากนั้นแล้วในการทดสอบหลายๆ ครั้งยังคงพบว่าการรับเลือดของผู้อื่นเข้าสู่ร่างกายโดยไม่จำเป็นนั้นมีผลเสียต่อผู้ที่รับเลือกมากกว่าผลดี แน่นอนว่าด้วยราคาที่แสนแพงบวกกับการที่ไม่มีงานวิจัยรองรับอย่างเป็นทางการรองรับมากเท่าไรนั้นทำให้เรื่องดังกล่าวก็ค่อยๆ เงียบไปตามระเบียบ
34. AMAZON HQ2
เรื่องนี้อาจจะไกลเมืองไทยบ้านเราไปสักหน่อยกับการประกาศสร้างสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 ของทาง Amazon ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีของฝั่งสหรัฐอเมริกาจะมีหลายๆ เมืองให้ความสนใจที่จะเป็นที่ตั้งให้กับสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 ของทาง Amazon เพราะแน่นอนว่าเมื่อทาง Amazon ตัดสินใจไปสร้างสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 ที่ไหน เมืองนั้นก็จะมีอัตรการจ้างงานที่มากขึ้นและมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเมืองที่ทาง Amazon ให้ความสนใจจริงๆ นั้นก็จะมี New York City และ Arlington, Virginia
อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นดูเหมือนกับว่าข่าวลือในการสร้างสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 ของทาง Amazon นั้นจะไม่ได้เป็นจริงอย่างที่ชาวเมืองได้ตั้งความหวังไว้ โดยถึงแม้ว่าทาง Amazon เองจะเลือก New York City ในการสร้างสำนักงานใหม่ทว่ามันก็ไม่ได้ใหญ่มากพอที่จะเรียกว่าเป็นสำนักงานใหญ่แห่งที่ 2 ไปได้ เลยกลายเป็นว่างานนี้นั้นชาวอเมริกันก็เสมือนกับโดนแหกตาไปตามๆ กันอย่างเสียมิได้
33. SONY PLAYSTATION VITA
สำหรับคอนโซลแบบเคลื่อนที่นั้นต้องยอมรับจริงๆ ว่าในช่วงที่ผ่านมาทาง Nintendo สามารถที่จะทำได้ดีเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็น DS หรือ 3DS ที่มียอดจำหน่ายค่อนข้างสูง แน่นอนว่างานนี้ผู้ผลิตเครื่องเกมคอนโซลอย่าง Sony เองก็ไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกันโดยในช่วงที่มีการออก PSP ออกมานั้นคงต้องยอมรับว่า PSP ได้เสียงตอบรับที่ดีในระดับหนึ่งทำให้ทาง Sony เองได้มีการพัฒนาคอนโซลเคลื่อนที่รุ่นถัดมาอย่าง PS Vita มาแข่งกับ 3DS ของทาง Nintendo
ความเจ๋งของ PS Vita นั้นนอกเหนือไปจากในส่วนของฮาร์ดแวร์ที่เรียกได้ว่าจัดเต็มมาในยุคสมัยนั้นแล้ว มันยังมีความทันสมัยที่น่าจะเอาชนะ 3DS ได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไรนัก แถมด้วยความสามารถในการรีโมทเกมจากเครื่อง PS4 มาเล่นผ่านทางหน้าจอ PS Vita นั้นเชื่อได้ว่าผู้ใช้งานที่มี PS4 อยู่แล้วน่าจะอยากได้ PS Vita มาครอบครองด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้ PS Vita นั้นไปไม่ถึงฝั่งฝันนั่นก็คือการที่ตัวเกมที่ออกมารองรับกับ PS Vita โดยตรงนั้นมีจำนวนค่อนข้างที่จะน้อยเอามากๆ โดยถึงแม้ทาง Sony เองจะมีการปล่อยเกมระดับ AAA ของตัวเองออกมาให้กับ PS Vita ทว่าก็ไม่สามารถที่จะช่วยให้ยอดจำหน่ายของ PS Vita สูงขึ้นได้ โดยรวมทั้งหมดแล้วนั้นก็เลยทำให้ PS Vita แพ้ 3DS ของทาง Nintendo ไปตามระเบียบถึงแม้ว่าจะมีสเปคที่สูงกว่าก็ตามที
32. RED HYDROGEN
สำหรับผลิตภัณฑ์จากบริษัท RED นั้นในส่วนของกล้องเมื่อมีการเปิดตัวออกมาเรียกได้ว่ามันสามารถทำกระแสได้ดีในช่วงระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามแต่แล้วนั้นเมื่อทาง Red ตัดสินใจเข้าสู่วงการสมาร์ทโฟนมันกลับไม่เป็นไปตามที่บริษัทหลังเอาไว้ โดยจากที่ทางผู้ก่อตั้ง RED อย่างคุณ Jim Jannard ได้ให้สมัภาษณ์เอาไว้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่มีชื่อว่า Hydrogen One นั้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่างการที่ตัวหน้าจอเป็น “holographic display” นอกไปจากนั้นแล้วมันยังมาพร้อมกับความสามารถในการอัดวีดีโอแบบ 3 มิติใหม่ที่มีชื่อว่า 4V ซึ่งใช้ RED imaging sensor เป็นตัวช่วยนั้นทุกอย่างดูเหมือนน่าจะดีไปหมดกระทั่งได้มีการเผยราคาของเจ้า Hydrogen One ออกมาที่ $1,300 หรือประมาณ 40,560 บาทนั้นทำให้เจ้า Hydrogen One ดับเงียบไปตามระเบียบ
31. ZYNGA’S ACQUISITION OF DRAW SOMETHING
สำหรับท่านที่อยู่ในทศวรรษ 2010 นั้นเชื่อได้ว่าหลายๆ ท่านน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีกับการเล่นเกมบน Facebook ซึ่งเกมหลายๆ เกมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในสมัยนั้นส่วนใหญ่แล้วก็จะมาจากบริษัทผู้พัฒนาที่มีชื่อว่า Zynga ซึ่ง ณ เวลานั้นเรียกได้ว่า Zynga นั้นสามารถตั้งตัวได้เป็นอย่างดีทีเดียว ต่อมาในปี 2012 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์นั้นทาง Zynga ได้ทำการตัดสินใจใช้เงินทุนกว่า $183 million เข้าซื้อบริษัท OMGPOP บริษัทผู้พัฒนาเกมดังสำหรับ iOS และ Android อย่าง Draw Something เข้าไปสู่อ้อมกอดของตัวเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการซื้อขายครั้งนี้ก็คือเกม Draw Something นั้นมาพร้อมกับโฆษณาแบบที่เรียกได้ว่าน่ารำคาญเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนั้นเลยทำให้จำนวนผู้เล่นค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ ส่วนบริษัทแม่เองอย่างตัว Zynga นั้นออกเกมใหม่ๆ มาก็ไม่ค่อยจะโดนใจนักเล่นเกมกันนักเท่าไรจนในท้ายที่สุดช่วงปี 2013 ทาง Zynga ก็ได้ปิด OMGPOP ไปและหลังจากนั้นอีก 2 – 3 ปีทาง Zynga เองก็ต้องปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ
30. GAME OF THRONES’ ENDING
สำหรับซีรีย์สุดดังอย่าง Game of Thrones นั้นเชื่อได้ว่าหลายๆ ท่านในที่นี้น่าจะเคยได้รับชมผ่านตามากันบ้างไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตามแล้วในทศวรรษ 2010 ที่ผ่านมาช่วงปี 2019 นั้นก็ต้องแสดงความเสียใจแฟนๆ ซีรีย์นี้กันด้วยเพราะทางผู้ผลิตได้ออกซีซันสุดท้ายออกมาอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็ถือว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ทว่าจริงๆ แล้วอาจจะไม่ค่อยมีผู้เสียดายเท่าไรมากนักเพราะนักวิจารณ์หลายๆ ท่านให้ความเห็นว่า Game of Thrones ซีซันสุดท้ายนี้ค่อนข้างจะออกทะเลไปไกลแล้วแต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงสนุกอยู่ดี
29. HEALTHCARE.GOV
หลังจากที่สภาคองเกรสได้รับลายเซ็นจากทางอดีตประธานาธิบดีอย่าง Obama อย่างเป็นทางการในส่วนของกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องของ Affordable Care Act ช่วงปี 2010 ทำให้หลายๆ คนในสหรัฐอเมริกามองว่าเรื่องยากได้ผ่านไปแล้วนั้น สิ่งที่เราได้เห็นกันก็คือเว็บไซต์ healthcare.gov ของทางสหรัฐอเมริกาซึ่งชาวอเมริกันทั้งหลายต่างมุ่งหวังว่ามันจะเป็นการสนับสนุนเรื่องของการประกันทางด้านสุขภาพของประชากรที่ทั่วประเทศนั้นจะลิงค์เข้าด้วยกันทั้งหมด ทว่าหลังจากที่มีการเปิดตัวไม่นานมากเท่าไรนักทางอดีตประธานาธิบดีอย่าง Obama ก็ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวออกมาอีกรอบและมีข้อสรุปว่าโครงการดังกล่าวนี้นั้นไม่สามารถที่จะทำให้เป็นจริงขึ้นมาได้เพราะว่าต้องใช้งบประมาณมากกว่าที่ได้มีการตั้งกันเอาไว้มากกว่าหลายเท่าตัว ท้ายที่สุดแล้วนั้นแน่นอนว่าโครงการดังกล่าวก็ได้เงียบหายไปตามระเบียบ
หมายเหตุ – ตรงนี้ทำให้เราได้มองเห็นว่าแม้กระทั่งประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่สามารถที่จะทำการดำเนินการด้านสุขภาพแบบครอบคลุมทั่วประเทศได้ มองกลับมาดูเมืองไทยบ้านเราแล้วนั้นก็คงได้แต่ ….
28. EQUIFAX
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานั้นมีสิ่งหนึ่งที่ประชาชนทั่วไปให้ความสำคัญกันมากขึ้นเป็นอย่างมากก็คือเรื่องของความปลอดภัยบนระบบไซเบอร์ ซึ่ง ณ เวลานั้นมีอยู่จุดหนึ่งที่ประชาชนชาวอเมริกันให้ความกังวลเป็นอย่างมากก็คือเรื่องของการเจาะระบบข้อมูลที่มีชื่อว่า Equifax เพราะการเจาะระบบข้อมูลดังกล่าวนี้นั้นพบว่าหมายเลขประกันสังคมของประชาชนชาวอเมริกันกว่า 143 ล้านชีวิตได้ถูกแฮกเกอร์เจาะเอาไปได้ทั้งหมด(รวมไปทั้งในส่วนของวันเดือนปีเกิด, ที่อยู่มหายเลขใบขับขี่และหมายเลขบัตรเครดิตการ์ด)
ทางบริษัทที่มีชื่อตามการแฮกว่า Equifax นั้นหลังจากที่โดนการแฮกข้อมูลในครั้งนี้กลายเป็นว่าพวกเขาได้โดนผู้ใช้ร่วมกันฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ทว่าทางบริษัทนั้นได้จ่ายค่าชดเฉยในเรื่องดังกล่าวนี้เพียง $31 million หรือที่ราวๆ $125 ต่อผู้เสียหาย 1 รายเท่านั้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกเพราะทางบริษัทนั้นมีผลกำไรก่อนที่จะเกิดเหตุการเจาะข้อมูลดังกล่าวมากถึง $700 million เลยทีเดียว แน่นอนว่าหลังจากนั้นแล้วทางบริษัทก็ได้มีกาปิดตัวลงไปเงียบๆ อย่างเป็นทางการ
27. THE FTC’S $5 BILLION FACEBOOK FINE
Facebook นั้นถือได้ว่าเป็นอีกบริษัทหนึ่งที่มีการเจริญเตอบโตที่สูงมากในทศวรรษ 2010 ที่ผ่านมา ทว่าการเล่นกับข้อมูลของผู้ใช้นั้นย่อมทำให้มีผลกระทบตามมาอย่างหลีกเลี่ยงเสียมิได้ โดยในช่วงที่ผ่านมานั้นทาง FTC หรือ Federal Trade Commission ของทางสหรัฐอเมริกาได้มีการฟ้องร้องกับทาง Facebook ซึ่งในช่วงเดือนกรกฎาคม 2019 ที่ผ่านมานั้นทาง FTC ก็ได้ประกาศว่าเสร็จสิ้นกระบวนการสืบสวนอย่างเป็นทางการโดยได้มีการรวมรวมข้อมูลและพิจารณาเรียกค่าเสียหายจากทาง Facebook เป็นเงินถึง $5 billion เลยทีเดียว ตัวเลขนี้อาจจะดูมากพอสมควรทว่าดูเหมือนกับว่าทาง Facebook เองนั้นจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนักเพราะเอาแค่ในปี 2019 ที่ผ่านมานั้นทาง Facebook มีรายได้เข้าสู่บริษัทมากถึง $16 billion เลยทีเดียว
ข้อหาที่ทาง Facebook โดนกล่าวหาในการฟ้องร้องครั้งนี้นั้นก็คือการใช้ข้อมูลผู้ใช้ในทางที่ผิดและเรื่องอื้อฉาวในทางที่ผิดซึ่งเรื่องดังกล่าวนั้นถือว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากเมื่อได้มีการสืบสวนสอบสวนจากทาง FTC ออกมาว่ามีมูลความจริงแล้วนั้น นั่นหมายความว่าผู้ใช้ Facebook อย่างเราๆ ท่านๆ นั้นก็โดน Facebook นำเอาข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมกันอยู่ อย่างไรกห็ตามงานนี้คงต้องรอดูศาลสหรัฐอเมริกาต่อไปว่าจะตัดสินกันอย่างไร … ดังที่เคยบอกเอาไว้แล้วว่าถ้าจะให้กลัว Huawei ขโมยข้อมูลการใช้งานนั้นจริงๆ แล้วเราควรกลัว Facebook หรือ Google มากกว่า
26. EVERYTHING WILL.I.AM TOUCHES
สำหรับผู้ที่ผ่านมา 2 ทศวรรษอย่าง 2000 – 2010 นั้น น่าจะไม่มีใครไม่รู้จัก WILL.I.AM นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังของโลกอย่างแน่นอน โดยในทศวรรษ 2010 ที่ผ่านมานั้นทาง WILL.I.AM ได้เข้าสู่ธุรกิจหลายๆ อย่างมากมายนอกเหนือไปจากวงการเพลงที่เป็นจุดกำเนิดของเขา ตัวอย่างเช่นการก่อตั้งบริษัท i.am+ ที่มีผลิตภัณฑ์อย่างเคสของ iPhone ที่มาพร้อมกับแป้นคีย์บอร์ดแบบกายภาพ(คล้ายๆ BB) และการเปิดตัว Puls สมาร์ทวอทช์ที่ตัวเองมีส่วนในการผลิตและเป็นพรีเซนเตอร์ ทว่าการก้าวเข้าสู่วงการเทคโนโลยีของทาง WILL.I.AM นี้นั้นดูเหมือนกับว่าทุกๆ อย่างที่เข้าจับต้องจะล้มเหลวไปทั้งหมดถึงแม้จะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม
25. HP TOUCHPAD
ปิดท้ายสำหรับตอนที่ 5 ด้วยแท็บเล็ตของทาง HP ที่ในตอนแรกๆ นั้นดูเหมือนว่าจะสามารถที่จะทำยอดจำหน่ายได้เป็นอย่างดี ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปกับกระแสของ iPad ที่แรงอย่างรั้งไม่อยู่ทำให้ยอดจำหน่ายแท็บเล็ตของทาง HP นั้นตกลงเอามากขึ้นๆ เรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่ทาง HP ได้ทำไว้อย่างน่าสนใจในช่วงทศวรรษ 2010 นั้นก็คือการใช้ระบบปฎิบัติการ webOS สำหรับแท็บเล็ตของตัวเองแทนที่จะเป็น Android ในช่วงแรกๆ ซึ่งด้วยความที่แตกต่างไปจากชาวบ้านนี้เองทำให้แท็บเล็ตของทาง HP ไม่สามารถจะทำยอดวางจำหน่ายได้อย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องของแอปพลิเคชันที่รองรับนั้นเรียกได้เลยว่านับจำนวนได้ สุดท้ายทาง HP ก็ได้ทำการขาย webOS ไปให้กับทาง LG ในช่วงปี 2013 โดยทาง LG นำเอา webOS ไปพัฒนาต่อเป็นระบบปฎิบัติการสำหรับสมาร์ททีวีของตัวเอง ส่วนแท็บเล็ตรุ่นสุดท้ายที่ใช้ webOS ของทาง HP อย่าง TouchPad นั้นก็ราคาลดลงจากตอนเปิดตัวที่ $499 มาอยู่ที่ $99 ในระยะไม่ถึง 1 ปี(แต่ก็ยังคงไม่สามารถจำหน่ายได้หมดอยู่ดี)
ที่มา : theverge