วันนี้เรามีหูฟังตัวท็อปจากทาง SteelSeries มารีวิวให้ชมกัน โดยจะเป็นรุ่น SteelSeries Arctis Pro Wireless แน่นอนว่ามาพร้อมกับคำว่า Wireless ก็ต้องเป็นหูฟังไร้สายแน่นอน และถือว่าเป็นหูฟังรุ่นท็อปสุดจากทางค่าย SteelSeries ด้วย โดยในราคานี้หากต้องการสเปคประมาณนี้ เช่น ไร้สาย, รองรับการเชื่อมต่อหลากหลาย, เสียงดี จะมีตัวเลือกเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือ SteelSeries Arctis Pro Wireless ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จะเป็นอย่างไรไปชมกัน
สเปคของ SteelSeries Arctis Pro Wireless
- ไดรเวอร์ขนาด 40 มม.
- การตอบสนองความถี่: 10Hz-40KHz
- ความต้านทาน: 32 โอห์ม
- ความไวเสียง: 102 dBSPL @1 kHz / 1mW
- รองรับ DTS X Headphone 2.0
- รองรับเสียงแบบ Hi-Res
- รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายคลื่นความถี่ 2.4 GHz และ Bluetooth 4.1
- Bluetooth Profiles A2DP, HFP, HSP
ไมโครโฟน
- ตัวไมโครโฟนเป็นแบบ Retractable Boom
- มีระบบ Noise Cancelling
- การตอบสนองความถี่: 100Hz-10KHz
- ความไวเสียง : -38 dBV / Pa
ตัวกล่องควบคุม
- รองรับคลื่นความถี่ 2.4 GHz แบบ Lossless และ Bluetooth 4.1
- รองรับการเชื่อมต่อ PC, PS4, XBOX One , Mobile
- รองรับระบบเสียง Dolby Audio
- Connector : 3.5mm, USB, Optical
ราคา 13,990 บาท
สำหรับของที่แถมมาให้ภายในกล่องประกอบไปด้วย สาย Micro USB, สาย Mini USB, สายไฟเลี้ยง, สายสำหรับใช้กับสมาร์ทโฟน, สาย Optical, คู่มือการใช้งาน
Design
SteelSeries Arctis Pro Wireless จะมีรูปทรงดีไซน์ภายนอกเหมือนกับ SteelSeries Arctis 7 ที่เป็นหูฟังไร้สายในรุ่นก่อน แต่จะมีส่วนที่แตกต่างกันบ้างในเรื่องของลวดลายของตัว Headband ที่ติดมาจากโรงงาน ตัว Headband จะมีลักษณะคล้ายกับสายรัดแว่นตาที่ใส่เล่นสกี (Ski Goggles) ตัวสายใช้วัสดุที่ทำจากผ้ายืด และ สามารถปรับความยาวได้จากตีนตุ๊กแกที่ติดมาให้ด้วย ตัวหูฟังจะมาในธีมสีดำทั้งตัวเหมือนเดิม และ ตัวหูฟังค่อนข้างจะมีน้ำหนัก เมื่อเทียบกับหูฟังตัวอื่นๆ คงเพราะมีฟังก์ชันการทำงานที่เยอะกว่า
ตัวก้านหูฟังทำมาจากอะลูมิเนียมช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวหูฟังได้ดี ถัดลงมาจะเป็นที่ตัวหูฟังที่ใช้วัสดุเป็นพลาสติกแบบด้าน (Soft Touch) สำหรับด้านนอกจะไม่มีลวดลายอะไร โดยที่ด้านขวาของตัวหูฟังจะเป็นที่เก็บแบตเตอรี่ที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ส่วนวิธีเปลี่ยนก็ทำได้ง่ายมาก เพราะตัวฝาปิดเป็นแม่เหล็ก เปิด-ปิดง่าย
ถัดมาในส่วนของชุดควบคุมตัวหูฟังเริ่มกันที่ด้านซ้ายประกอบไปด้วย ปุ่ม ปิด-เปิดไมโครโฟน โดยเมื่อปิด (Mute) ที่ปลายก้านของไมโครโฟนจะมีไฟสีแดงติดขึ้นมา ถัดมาจะเป็นที่ปรับระดับเสียง ที่สามารถกดลงไปได้ เพื่อใช้ควบคุมการทำงานของกล่องควบคุม ถัดมาจะเป็นช่องเชื่อมต่อสายสัญญาณเสียงเฉพาะจากทาง SteelSeries, ช่อง AUX 3.5 สำหรับใช้กับ input แบบอนาล็อก, ช่อง Micro USB สำหรับชาร์จไฟ และไมโครโฟนแบบดึงเข้า-ออกได้ ตัวก้านไมโครโฟนจะสามารถดัดงอ หรือ ปรับตำแหน่งได้
และถัดมาที่ชุดควบคุมด้านขวา จะเป็นชุดควบคุมในส่วนของภาคไร้สายประกอบไปด้วย ไฟสถานะสองดวง, ปุ่ม Power ของตัวหูฟัง และปุ่ม Bluetooth สำหรับเปิด-ปิดการทำงานแบบ Bluetooth โดยในปุ่มเดียวกันนี้ทำหน้าที่เป็นปุ่มเชื่อมต่อหูฟังกับอุปกรณ์อื่นด้วย ส่วนฟังก์ชันการทำงานอื่นๆ จะคล้ายๆกับหูฟัง Bluetooth รุ่นอื่นๆ คือ ถ้าต้องการจะเชื่อมต่อ ให้กดปุ่มนี้ค้างไว้จนไฟสีฟ้ากระพริบรัวๆ และถ้าเชื่อมต่ออยู่แล้วถ้ากดลงไปหนึ่งครั้งแบบเบาๆ จะเป็นการรับสาย-วางสาย หรือ การเล่น-หยุดเพลง ส่วนการใช้งานหูฟังทั่วไปให้กดปุ่ม Power เพื่อเปิด-ปิดการทำงานของตัวหูฟัง
ตัว Ear Cup ทำมาจากผ้าเนื้อละเอียด ทำให้ความรู้สึกเวลาสวมใส่จะรู้สึกแตกต่างกับผ้ากำมะหยี่ ซึ่งพอนำไปใช้จริงๆ ก็รู้สึกว่าใส่สบาย ตัว Pad มีความนุ้ม และ มีขนาดใหญ่ครอบหูพอดี ทำให้ใส่ได้นาน ทำสำคัญเลยคือ ไม่คัน และไม่ร้อนมาก คือถ้าใส่ในห้องแอร์จะไม่ร้อนเลย และถ้าเทียบกับหนังจะรู้สึกว่าร้อนน้อยกว่ามาก แต่ถ้าใส่ในห้องปกติก็จะมีร้อนบ้าง
ในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนของ Ear Cup แบบผ้าเมื่อเทียบกับแบบหนังจะตัดเสียงรบกวนได้น้อยกว่า ทำให้ได้ยินเสียงจากภายนอก แต่เวลาใส่แล้วเปิดเพลง ก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงจากภายนอกเลย ส่วนการสวมใส่ถือว่าทำได้ดี ใส่สบายไม่อึดอัด แต่สำหรับคนหัวใหญ่แบบผมจะรู้สึกว่าใส่นานๆ จะมีปวดหัวบ้างเล็กน้อย และอีกอย่างรู้สึกว่าอยากให้ตัวก้านหูฟังยาวลงมาอีกสักเล็กน้อย จะทำให้ใส่แล้วพอดีมากๆ และเมื่อมองเข้าไปจะพบกับตัวลำโพงไดรเวอร์ขนาด 40 มิลลิเมตร ที่มีผ้าบางๆกั้นอยู่
งานประกอบทำได้แน่น และ เนี๊ยบ ตามสไตล์ SteelSeries วัสดุที่ใช้มีความแข็งแรง สำหรับดีไซน์ในภาพรวมจะเหมือนกับตัว SteelSeries Arctis Pro แต่จะเพิ่มความสามารถไร้สายเข้ามา และ ตัดไฟ RGB ออกเพื่อประหยัดพลังงาน ตัวแบตเตอรี่สามารถชาร์จได้ผ่านสายชาร์จ หรือชาร์จกับแท่นควบคุมก็ได้ ตัวแบตเตอรี่ใช้ได้ก้อนละ 10 ชั่วโมง โดยได้แถมมาจำนวนสองอัน ทำให้เราสามารถสลับใช้ได้ไม่ต้องรอชาร์จ สะดวกมากๆ
ตัวกล่องควบคุม
ตัวกล่องควบคุมที่มาด้วยกัน จะมีรูปทรงเป็นกล่องสี่เหลี่ยม ขนาดใหญ่ประมาณ External HDD 2 ลูกวางซ้อนกัน แต่มีน้ำหนักเบากว่าที่คิด โดยจะใช้วัสดุเป็นพลาสติกทั้งหมด และด้านล่างจะมีแผ่นยางกันลื่นติดมาด้วย ด้านบนจะเจอกับโลโก้ SteelSeries ขนาดใหญ่ ส่วนด้านหน้าจะมาพร้อมกับที่ปรับระดับเสียง ปุ่มฟังก์ชัน และหน้าจอแสดงผลแบบ OLED
ส่วนด้านขวาจะมีช่องสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ด้วย และด้านหลังจะประกอบไปด้วยพอร์ตการเชื่อมต่อที่ให้มาแบบจัดเต็มจริงๆ เริ่มต้นด้วยช่อง Line In แบบ 3.5, Line out แบบ 3.5, ช่องต่อไฟเลี้ยงเสริม สำหรับใช้งานแบบไม่ใช้ช่อง USB, ช่อง Mini USB สำหรับรับ Input เสียง และจ่ายไฟเลี้ยง จากคอมพิวเตอร์ หรือจาก PS4, ช่อง Optical In และ Out ในภาพรวมถือว่ารองรับการเชื่อมต่อที่หลากลายมากๆ ทั้งจากคอมพิวเตอร์, PS4, Home Theater, เครื่องเล่นเพลง และอีกมากมาย ทำให้ตัวกล่องรับสัญญาณทำหน้าที่เป็นเหมือน Mixer เลยก็ว่าได้
ตัวกล่องควบคุมจริงๆ ก็ทำหน้าที่เหมือนกับ DAC/Amp ใน SteelSeries Arctis Pro + DAC แต่เพิ่มความสามารถไร้สายเข้ามา ดังนั้น มันก็เลยทำหน้าที่ได้ใกล้เคียงกัน ส่วนที่แตกต่างกันคือ ในภาคการเชื่อมต่อไร้สาย และ Bluetooth รวมไปถึงการเพิ่มที่ชาร์จแบตเตอรี่ของหูฟัง
สำหรับการสื่อสารระหว่างตัวหูฟังกับกล่องรับสัญญาณ จะสามารถเชื่อมต่อกับหูฟังผ่านระบบไร้สายคลื่นความถี่ 2.4 GHz คล้ายๆ กับคลื่น Wi-Fi และแบบ Bluetooth 4.1 คือตัวกล่องควบคุมปล่อยสัญญาณ Bluetooth ออกมาเองเลย แล้วใช้สื่อสารกับตัวหูฟัง ทำให้มีทางเลือกในการเชื่อมต่อที่หลากหลาย และที่ขาดไม่ได้เลยคือแบบสาย ก็ทำได้เช่นกัน
การทดสอบการใช้งานแบบไร้สาย
ตัวหูฟังรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายบนคลื่นความถี่ 2.4 GHz, Bluetooth 4.1 และแบบมีสาย ทำให้ตัวหูฟังสามารถรับ Input ได้พร้อมกันหลายเครื่อง เช่น เชื่อมต่อแบบไร้สายแบบ 2.4 GHz กับคอมพิวเตอร์ และแบบ Bluetooth กับสมาร์ทโฟน ทำให้เมื่อมีคนโทรเข้ามาจะสามารถรับสายได้ทันที สะดวกมากๆ ระบบไร้สายที่เพิ่มเข้ามาเพิ่มความสะดวกสบายในการสวมใส่มาก เมื่อเทียบกับแบบมีสาย คือจะไม่มีสายมากวนใจเวลาใช้งานเลย
จากที่ลองทดสอบใช้งานพบว่าการเชื่อมต่อไร้สายคลื่น 2.4 ทำได้ดีมาก ไม่มีอาการ Delay Lag หรือโดนสัญญาณรบกวน คุณภาพเสียงที่ได้คมชัด เหมือนกับใช้สาย ส่วนระยะสัญญาณทำได้ค่อนข้างไกล คือได้ประมาณ 10 เมตร ผมทดลองใส่หูฟัง แล้วเปิดเพลง เดินทั่วบ้านพบว่าสัญญาณยังคงตามมาได้อย่างคมชัด ไม่มีสะดุด
การเชื่อมต่อ Bluetooth กับสมาร์ทโฟน ทำได้ดี เหมือนกับหูฟัง Bluetooth ทั่วไป ดังนั้นในเรื่องของคุณภาพสัญญาณจะเหมือนกับหูฟัง Bluetooth ทั่วไป ไม่มีข้อสังเกตอะไร ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายถือว่าสอบผ่านไปได้สบายๆ
ส่วนข้อสังเกตด้านการใช้งานจะมีอยู่บ้าง อย่างที่ผมได้เกริ่นไปแล้วว่าหูฟังตัวนี้รองรับการเชื่อมต่อได้พร้อมๆ กัน ทำให้เมื่อเราเชื่อมต่อแบบไร้สายแบบ 2.4 GHz กับคอมพิวเตอร์ และแบบ Bluetooth กับสมาร์ทโฟน เมื่อเราเปิดเพลงจากทั้งสองพร้อมกัน เสียงจะตีกันมั่วไปหมด ไม่มีระบบจัดการว่าใครเปิดก่อนได้ไปก่อน ซึ่งจะแตกต่างกับเมื่อมีคนโทรเข้ามา จะสามารถตั้งได้ว่าจะให้ปิดเสียงอื่นๆ ไหม
Software
SteelSeries Arctis Pro Wireless สามารถใช้งานร่วมกันกับโปรแกรม SteelSeries Engine 3 ได้ โดยตัวโปรแกรมจะสามารถใช้ตั้งค่าหูฟังได้เหมือนกับที่ใช้บนตัวกล่องควบคุมเลย โดยสามารถปรับ EQ ได้ละเอียดขึ้นกว่าเดิม ส่วนการตั้งค่าอื่นๆ จะเหมือนกัน
ความพิเศษของ SteelSeries Engine 3 คือเมื่อเราทำการสแกนเกมในเครื่องของเราเรียบร้อยแล้ว ตัวโปรแกรมจะมีพรีเซ็ตที่แนะนำมาให้เลย ซึ่งสามารถปรับแต่งได้ในภายหลัง และเมื่อเราเข้าเกมมันจะทำการสลับไปโปรไฟล์นั้นทันที ทำให้เราไม่ต้องมาเปลี่ยนโปรไฟล์เองบ่อยๆ
หนึ่งในฟีเจอร์ที่เป็นทีเด็ดของ SteelSeries Arctis Pro Wireless คือ ตัวที่หมุนปรับ Balance ระหว่างเสียงพูด กับ เสียงเกม ทำให้เราเลือกได้ว่าตอนเล่นเกมเราอยากได้ยินเสียงอะไรมากกว่ากัน เช่น ถ้าเล่นเกมที่ต้องคุยกับเพื่อน ก็หมุนไปที่เสียงเพื่อนมากหน่อย ก็จะทำให้ได้ยินเสียงเพื่อนชัดขึ้น อะไรแบบนั้น
โดยการทำงานของฟีเจอร์นี้คือ เมื่อเราเชื่อมต่อตัวกล่องควบคุมกับกล่องแล้วคอมพิวเตอร์ของเราจะตรวจเจอว่ามีหูฟังสองตัวเชื่อมต่ออยู่ในตอนนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเขาตั้งใจทำมาแบบนั้น สำหรับการตั้งค่าผมแนะนำเลยว่าให้ทำตามนี้ คือตั้งค่าให้เสียหลักออกที่ตัว Headphone (Game) ส่วนเสียงจากโปรแกรมพูดคุยให้ออกที่ Headset (Chat) ส่วนวิธีการตั้งค่าก็ดูได้จากรูปภาพเลย
บางคนอาจจะซื้อมาแล้วพบว่าเสียงมันไม่ดีเลย หรือ DTS ไม่ทำงานเลย ให้ลองไปตั้งค่าแล้วเลือกเป็น Headphone (Game) ดูรับรองเสียงดีขึ้นแน่นอน และ SteelSeries Arctis Pro Wireless มี Discord certified ด้วยนะ
เสียง
ในด้านของสเปคเรื่องเสียง จะถูกอัพเกรดขึ้นอีกระดับนึง จาก SteelSeries Arctis 7 อย่างการตอบสนองต่อความถี่ที่มากกว่าเดิม และรองรับ DTS X Headphone 2.0 สำหรับเรื่องเสียง ด้วยความที่เป็นหูฟังแบบเปิด Open-ear ทำให้มิติเสียงที่ได้ยินมีระยะห่างที่ดีกว่าหูฟังแบบปิด Close-ear แต่ก็แลกมากับเบส และ ความแน่นของเสียงที่จะน้อยกว่า คือฟังครั้งแรกจะรู้ได้ทันทีว่าเสียงไม่แน่น ไม่กระหึ่ม เท่าหูฟังตัวอื่น ส่วนแนวเสียงจะแบ่งเป็นสองหัวข้อหลักๆ คือ ใช้ฟังเพลง กับใช้เล่นเกม เพื่อความชัดเจน
ใช้ฟังเพลง
สำหรับการใช้ฟังเพลงเสียงที่ได้จะเป็นแนว Flat ตามสไตล์ SteelSeries คือถ้าให้เปรียบเทียบโทนเสียงจะประมาณหูฟัง iPhone แต่ตีบวกเรื่องของมิติเสียง รายละเอียดเสียง และความกระหึ่มลงไปเพิ่ม
- เสียงกลางจะเยอะ คือจะได้ยินเสียงนักร้องอยู่ในระยะแนวเดียวกับเครื่องดนตรี
- เสียงสูงจะไม่แหลมเสียดหู แต่ยังคงความใสเอาไว้ได้ ฟังแล้วโปร่ง เสียงกีต้าพริ้วใช้ได้
- เสียงเบสรู้สึกว่ายังไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ แต่มี Impact แรงปะทะที่ดี เป็นเบสที่ การะชับ มาเร็วไปเร็ว
- สำหรับมิติเสียงทำได้ดีมาก ถือเป็นจุดเด่นของหูฟังตัวนี้เลย แยกแยะตำแหน่งจากแหล่งกำเนิดเสียงได้ดีมาก ทำให้แยกแยะตำแหน่งของชิ้นเครื่องดนตรีได้ดี
ในภาพรวมจะเป็นหูฟังที่ให้เสียงฟังสบายไม่ดุดัน รุกเร้ามากจนเกินไป รายละเอียดเสียงดี สามารถนำไปฟังเพลงได้ทุกแนว แต่อาจจะไม่ถูกใจคอเบส ที่ชอบเสพเบสเป็นหลัก
ใช้เล่นเกม
หูฟังตัวนี้หากนำมาใช้เล่นเกมแล้วละก็ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ถือว่าทำได้ตามวัตถุประสงค์ของมันที่ถูกออกแบบมาให้เน้นใช้เล่นเกม การแยกแยะทิศทางของแหล่งกำเหนิดเสียงทำได้ดี พวกเสียงเท้า เสียงระเบิด รู้สึกได้ว่ามีระยะใกล้-ไกล มิติเสียงทำได้ดีมาก ประมาณว่าถ้าเสียงมาจากด้านหลังเราก็รู้ได้ทันทีเลยว่ามาจากด้านหลัง หรือพวกตำแหน่งอย่าง หน้าซ้าย ก็รู้สึกว่าเสียงมาจากทางนั้นจริงๆ
DTS X Headphone 2.0 ในส่วนนี้จะเป็นการจำลองเสียงแบบ 7.1 ขึ้นมา ซึ่งเมื่อนำไปใช้งานจริงก็พบว่า มันแล้วแต่เกมจริงๆ ว่าเปิดแล้วมิติเสียงจะดีขึ้นไหม บางเกมเปิดแล้วก็ไม่รู้สึกแตกต่างเลย บางเกมเปิดแล้วรู้สึกได้ทันที แต่ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะเปิดตอนฟังเพลง เพราะมันจะทำให้เสียงก้องฟังเพลงไม่เพราะ ผมว่าในส่วนนี้มันก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนยังก็ลองไปปรับเล่นกันดู
โดยผมได้นำไปทดสอบกับเกม Overwatch ซึ่งปกติผมจะเล่นเป็น Healer ทำให้ตำแหน่งการยืนมีผลมากกับทีม และเมื่อเจอกับตัวล้วงแนวหลังก็ต้องรีบขอความช่วยเหลือจากเพื่อนทันที เมื่อผมใช้หูฟังตัวนี้ผมว่าผมสามารถรู้ตัวของศตรูได้ก่อนที่มันจะถึงตัวผมได้ง่ายขึ้น ทำให้ผมหนีได้ทันมากขึ้น หรือ ช่วยเพื่อนได้ทันบ่อยขึ้น ซึ่งปกติเราต้องคอยหมุนเมาส์เช็คบ่อยๆ ว่าจะมาทางไหน แต่คราวนี้ใช้วิธีการฟังเสียงแทน
สำหรับการใช้แบบไร้สายและแบบมีสายคุณภาพเสียงที่ได้ในภาพรวมไม่แตกต่างกันมาก จะต่างที่เรื่องของ มิติเสียง และความแน่นของเสียงที่รู้สึกว่าแบบไร้สายทำได้ดีกว่า คือแบบมีสายเสียงจะบางลงอย่างรู้สึกได้ แต่ก็ทำให้ได้ยินรายละเอียดที่แบบไร้สายไม่มีอย่างเสียงกีต้าที่พริ้วขึ้นกว่าเดิมมาก
ส่วนความแตกต่างในเรื่องเสียงระหว่างใช้คลื่น 2.4 GHz กับ Bluetooth ต่างกันไหม ผมว่าต่างนะ โดยส่วนที่ต่างกันคือ ถ้าใช้แบบ Bluetooth เสียงที่ได้จะอุ่นกว่า เบสจะรู้สึกได้มากกว่า ส่วนถ้าใช้แบบไร้สายคลื่น 2.4 GHz จะรู้สึกว่าเสียงมันจะไปในทางที่เป็นดิจิตอลมากกว่าอนาล็อก และถ้าถามว่าผมชอบเสียงแบบไหนมากกว่ากัน แน่นอนว่าจะต้องเป็นแบบ Bluetooth แน่นอน
หลังจากที่ทำการ Burn-in ไปพบว่าเสียงเบสมีความอุ่นขึ้นมาก และเสียงในภาพรวมทำได้ดีขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่ได้ Burn-in จากที่ตอนแรกๆ คิดว่าเสียงมันธรรมดาๆ พอ Burn-in ไป เสียงมันกลายเป็นขึ้นมาอยู่ในระดับที่ยอมรับได้เลยทีเดียว
ไมโครโฟน
ไม่โครโฟนที่มาด้วยกันกับ SteelSeries Arctis Pro Wireless เป็นแบบก้านติดกับตัวหูฟังเวลาจะใช้งานสามารถดึงเข้าออกได้ ตัวก้านมีความยืดหยุ่นสูงสามารถดัดงอเพื่อให้ได้องศาที่ต้องการได้ง่าย
เสียงที่ได้ ให้เสียงพูดที่ชัดเจนดี คือฟังแล้วดูดีเลย ข้อสังเกตเนื่องด้วยเป็นไมโครโฟนติดหูฟังเสียงที่ได้อาจจะขาดเสียงทุ้มไปสักหน่อย เสียงจะออกไปทางกลาง แหลม แบนๆ ถ้าให้พูดง่ายๆ เหมือนกับวงดนตรีที่ไม่มีมือเบส
สรุป
SteelSeries Arctis Pro Wireless เป็นหูฟังที่ถูกออกแบบมาให้เน้นใช้กับการเล่นเกม หรือจะนำมาใช้ฟังเพลงก็ได้ สำหรับตัวกล่องควบคุมมาพร้อมกับการรองรับการเชื่อมต่อที่หลากหล่าย ทำให้นำไปประยุกต์ใช้งานได้หลายแบบ การออกแบบดีไซน์มาในแบบฉบับ SteelSeries คือ ตันๆ แน่นๆ แข็งแรง เน้นการใช้งานมากกว่าความสวยงาม
การสวมใส่ทำได้สบาย คือใส่ทีหลายๆ ชั่วโมงได้ไม่มีปัญหา คุณภาพของสัญญาณไร้สายได้ดีมาก ไม่มีอาการ Delay หรือกระตุกเลย สำหรับเรื่องเสียงถ้านำมาใช้เล่นเกมทำได้ดีมาก แยกแยะทิศทาง ตำแหน่งใกล้-ไกลได้ดี แต่ถ้านำมาฟังเพลงอาจจะดีสู้หูฟังที่ทำมาเพื่อการฟังเพลงโดยเฉพาะในราคาเท่ากันไม่ได้ ยังไงก็ลองไปฟังกันดูก่อนที่จะตัดสินใจซื้อจะดีมากๆ สำหรับใครที่กำลังมองหาหูฟังระดับท็อปแบบไร้สายที่ซื้อทีเดียวจบอยู่ละก็ SteelSeries Arctis Pro Wireless ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย
ข้อดี
- รองรับการเชื่อมต่อที่หลากหลาย
- เป็นหูฟังไร้สาย ใช้งานได้คล่องตัว
- มีรายละเอียด และ มิติเสียงดีมาก
- สามารถทำงานแบบ Stand Alone ได้ไม่ต้องใช้ Software
- คุณภาพของสัญญาณไร้สายดีมาก
- แบตเตอรี่แบบถอดเปลี่ยนได้ใช้งานสะดวก
- การปรับ Balance เสียงเกมกับเสียงพูดคุย ถ้าตั้งค่าถูกต้องจะใช้งานดีมาก
ข้อสังเกต
- มีราคาสูง
- หากนำมาใช้ฟังเพลงเป็นหลัก จะมีรุ่นอื่นที่น่าสนใจกว่า
- หูฟังมีน้ำหนักพอสมควร
- วัสดุในส่วนที่เป็นผ้ายังคงเป็นจุดพิจารณาเรื่องของการดูแลรักษาในระยะยาว
- ส่วนตัวคิดว่าหูฟังยังบีบหัวมากไปนิด อาจเพราะเป็นคนหัวค่อนข้างใหญ่