จากเหตุโศกนาฎกรรมเรื่องของการโจมตีที่ San Bernardino, สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 2 เดือนธันวาคมปี 2015 ที่ผ่านมา(หรือที่เรียกว่า San Bernardino attack) จนมีผู้เสียชีวิต 14 รายพร้อมกับผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 22 รายนั้น หลังจากที่ทางตำรวจได้ติดตามผู้กระทำผิดทั้ง 2 รายซึ่งเป็นคู่สามีกันประกอบไปด้วย Syed Rizwan Farook และ Tashfeen Malik และหลังจากที่เจอรถยนต์(SUV) ที่ทั้งคู่ใช้ในการหลบหนีพร้อมกับทั้งคู่บนรถในวันที่ 3 ธันวาคม 2015 ทางตำรวจก็ได้ยิงรถของผู้กระทำผิดจนผู้กระทำผิดทั้ง 2 รายเสียชีวิตครับ
ต่อมานั้นทาง FBI ได้เข้ามาทำการสืบสวนเรื่องดังกล่าวเนื่องจากว่าเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่(ถือว่าเป็นการก่อการร้าย) จนทาง FBI สามารถสืบได้ว่าผู้กระทำผิดทั้ง 2 รายนั้นได้มีการติดต่อกับกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติอยู่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม jihadism และกลุ่ม martyrdom ผ่านทางข้อความแบบส่วนตัวเอาไว้ โดยในช่วงที่ทาง FBI ได้ทำการสืบสวนนั้นได้สัมภาษณ์คนแถวบ้านของผู้กระทำผิดกว่า 400 คนแถมยังได้มีการยึดของกลางของผู้กระทำผิดต่างๆ มากมายโดยหนึ่งในนั้นคือ iPhone ที่ได้มีการใส่รหัสผ่านล๊อคเครื่องเอาไว้ครับ
แน่นอนครับว่าทาง FBI ต้องการที่จะรู้ข้อมูลที่อยู่บน iPhone ของผู้กระทำผิดมาก เพราะหากมีข้อมูลที่สำคัญอยู่ในนั้นอาจจะทำให้สามารถติดตามผลต่อเนื่องไปยังผู้ก่อการร้ายรายอื่นๆ ได้อีกมากมาย(ที่คู่สามีภรรยาที่ก่อเหตุเคยติดต่อ) อย่างไรก็ตามเป็นที่ทราบกันดีครับว่าระบบปฎิบัติการ iOS บน iPhone นั้นถือว่าเป็นระบบปฎิบัติการที่มีความปลอดภัยในข้อมูลของผู้ใช้สูงมาก
ซึ่งในกรณีนี้นั้น FBI ได้มีความพยายามที่จะถอดรหัสดังกล่าวออกมาเพื่อเปิดออกมาดูข้อมูลให้ได้ แต่ด้วยความที่ทุกครั้งที่มีการใส่รหัสผิดเจ้าระบบปฎิบัติการ iOS นี้จะหน่วงเวลาในการใส่รหัสครั้งใหม่ต่อไปเรื่อยๆ(นานขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่ใส่ผิด) แถมยังมีการป้องกันขั้นที่ 2 ไว้ด้วยว่าหากมีการใส่รหัสผ่านผิดจนครบจำนวนครั้งที่กำหนด(ที่เจ้าของเครื่องตั้งเอาไว้) ตัวเครื่อง iPhone จะลบข้อมูลรีเซ็ททุกอย่างทันทีครับ
ทาง FBI คงไม่สามารถทราบได้ครับว่าบน iPhone เครื่องที่เป็นหลักฐานดังกล่าวนั้นมีการตั้งจำนวนครั้งของการลบข้อมูลเอาไว้เท่าไร แต่ด้วยจุดนี้เองที่เป็นปัญหา(เพราะทางตำรวจดันสังหารคนร้ายไปแล้ว) ทาง FBI จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลแคลิฟอร์เนียร์เพื่อให้ออกคำสั่งให้ Apple ทำการสร้าง ROM ระบบปฎิบัติการ iOS รุ่นพิเศษที่รับค่ารหัสผ่านทางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เช่น ผ่าน Wi-Fi, bluetooth ได้รวมทั้งหากใส่รหัสผ่านผิดพลาดก็ยังไม่ลบข้อมูลตามที่ตั้งค่าเอาไว้และตัดการหน่วงเวลาหลังใส่รหัสผ่านผิดในทุกๆ ครั้งทิ้งไป
Tim Cook CEO ของ Apple
ซึ่งดูแล้วเหมือนจะไม่น่ามีปัญหาอะไรเพราะทาง FBI ก็ไม่ได้ขอให้ Apple ทำการถอดรหัสโดยตรงแต่แค่สร้าง ROM ใหม่เท่านั้นทว่านี่ลักษณะ ROM แบบนี้แหละครับที่มีปัญหาเนื่องจากว่าหากทาง Apple พัฒนา ROM iOS รุ่นพิเศษตามคำสั่งศาลที่ทาง FBI ยื่นมาอีกต่อหนึ่งจริงนั่นหมายความว่า FBI จะมีเวลาในการสุ่มรหัสไปได้เรื่อยๆ และต้องพบรหัสในการปลดล๊อคเครื่องที่มี ROM iOS พิเศษนี้ได้อย่างแน่นอน
ทาง Tim Cook ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ในปัจจุบันนั้นได้ตอบกลับทางศาลไปครับ(ผ่านทางแถลงการณ์) ว่าทางบริษัทปฎิเสธที่จะพัฒนา ROM iOS รุ่นพิเศษดังกล่าวตามที่ทาง FBI ร้องขอเนื่องจากว่า ROM iOS รุ่นพิเศษดังกล่าวนั้นมีช่องโหว่ทางด้านความปลอดภัยอย่างชัดเจนที่ใครๆ ก็สามารถจะทำการปลดล๊อคเครื่อง iPhone ของผู้อื่นได้ ถึงแม้ว่าทาง Apple จะเสียใจต่อผู้ที่สูญเสียในคดีดังกล่าวนี้และเข้าใจความปรารถนาดีของทาง FBI ทว่าหาก Apple ตัดสินใจทำ ROM iOS รุ่นพิเศษตามที่ FBI ร้องขอจริงก็ไม่สามารถแน่ใจได้ครับว่า ROM iOS รุ่นพิเศษนี้จะถูกนำไปใช้เฉพาะในคดีนี้เท่านั้นแถมหาก ROM iOS รุ่นพิเศษดังกล่าวหลุดออกไปในวงกว้างก็อาจจะกระทบต่อลูกค้าของ Apple อีกจำนวนหลายล้านคนได้ครับ
แถลงการณ์ส่วนหนึ่งของ Apple
ไม่เพียงแค่ FBI เท่านั้นนะครับแม้กระทั่ง Department of Justice หรือกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาก็ถึงขั้นลงมาตามเรื่องนี้ด้วยตัวเองเหมือนกัน โดยทางกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาได้ยื่นต่อศาลกลางของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อขอให้ Apple ดำเนินการตามคำสั่งศาลก่อนหน้าแล้วอย่างเป็นทางการ(ซึ่งเป็นคำสั่งที่ ณ เวลานี้ Apple ไม่ปฎิบัติตามด้วยเหตุผลที่ทาง Tim Cook แถลงการณ์ออกมา) โดยทางกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาได้มีเอกสารความยาว 35 หน้ากระดาษ(ดังด้านล่าง) เพื่อที่จะให้ศาลออกคำสั่งให้ทาง Apple ทำตามคำสั่งครั้งแรกของศาล(ตามคำร้องขอของ FBI) อีกด้วยครับ
Department of Justice motion to compel Apple to work with FBI
นอกจากส่วนทางรัชกาลที่มีการจี้ติดตามไปยัง Apple แล้วนั้นทาง Pew Research Center ยังได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนในสหรัฐอเมริกา 1,002 คนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่าพวกเขาเหล่านั้นเห็นด้วยหรือไม่ที่ Apple ควรจะต้องปฎิบัติตามคำสั่งศาลในการปลดล๊อคตัวเครื่อง iPhone ผลที่ได้ออกมานั้นถือว่าไม่น่าแปลกใจเท่าไรครับเพราะ 51% ของผู้ตอบแบบสำรวจนั้นบอกว่าเห็นด้วยที่ Apple ควรจะต้องทำการปลดล๊อค ส่วน 38% ไม่เห็นด้วยกับการปลดล๊อคนี้ ที่เหลือนั้นไม่มีความเห็นอย่างไรครับ
เรื่องดังกล่าวนี้ถือว่าอิงการเมืองช่าวสหรัฐอเมริกาส่วนหนึ่งเลยหล่ะครับ ทว่าต้องไม่ลืมครับว่านี่เป็นคดีที่โด่งดังมากและมีจำนวนผู้ตายมากมายจนถือว่าเป็นการก่อการร้ายขนาดย่อมๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกเท่าไรที่คนส่วนใหญ่จะเห็นด้วยกับการที่ Apple ควรจะทำการปลดล๊อค iPhone ซะเพื่อที่จะให้ FBI ทำการตามสืบสวนต่อเนื่องได้ต่อไป อย่างไรก็ดี Apple นั้นท่าทีของเขาแน่ชัดมากหล่ะครับเรื่องนี้คงไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับได้ ขนาดประธาณาธิบดีของสหรัฐฯอย่างโอบามาออกมาพูดเปรยๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ทาง Apple ยังไม่มีการเปลี่ยนท่าทางเลยครับ
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าท่ามกลางกระแสดังกล่าวที่ว่าควรหรือไม่ควรนั้น ทาง John McAfee เจ้าของบริษัททางด้านความปลอดภัยชื่อดังอย่าง McAfree ก็ได้ออกมาให้ข่าวกับทาง BusinessInsider ครับว่าหากว่ากันตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกาที่คลุมเครือตั้งแต่ปี 1789 นั้น ทางรัฐบาลสามารถที่จะสั่งการให้ Apple จัดการทำช่องโหว่ดังกล่าวให้ทางรัฐบาลได้อย่างสบายๆ(อารมณ์ว่าอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายเก่าที่ไม่ได้มีการแก้ไขมานานมาก) ซึ่งนั่นก็จะทำให้เรื่องต่างๆ ทุกอย่างที่เราพูดมาทั้งหมดนั้นจบลงทันทีครับ
ผู้ก่อตั้งบริษัททางด้านความปลอดภัย John McAfee
แต่ถ้าทำเช่นนั้นแล้วก็เสมือนกับว่าเป็นการเปิดช่องโหว่ที่เป็นประโยชน์ช่องใหญ่ให้กับแฮ็กเกอร์และศตรูต่างชาติสามารถใช้เป็นช่องทางในการโจมตีชาวสหรัฐอเมริกาได้แถมการโจมตีทางด้านเทคโนโลยีนี้มันจะยิ่งใหญ่ลุกลามทำลายล้างได้กว้างกว่าระเบิดนิวเคลียร์อีกครับ ซึ่งทาง McAfee บอกว่าถ้าหากจะต้องให้ Apple ทำช่องโหว่แบบนั้นแล้วมีความเสี่ยงสูงดังที่บอกไปนี้ ตัวเขาเองนั้นขออาสาที่จะเป็นผู้ทำการปลดล๊อค iPhone เครื่องดังกล่าวให้กับทาง FBI เองแบบฟรีๆ ด้วยทีมงานที่พร้อมไปด้วยประสบการณ์ของเขารวมไปถุึงยังมีการระบุเอาไว้ด้วยครับว่าทุกอย่างจะเป็นความลับแน่นอน(แถมการปลดล๊อคนั้นจะใช้เวลาแค่ 3 อาทิตย์เท่านั้นด้วย)
McAfee บอกเอาไว้ว่าจริงๆ แล้วยังมีแฮ็กเกอร์อีกหลายคนทั่วโลกที่สามารถทำเรื่องดังกล่าวได้ครับหากเขาตั้งใจจะทำจริงๆ และทาง FBI อาจจะต้องอึ้งด้วยซ้ำไปถ้าได้รู้ว่าแฮ็กเกอร์กลุ่มดังกล่าวที่สามารถที่จะทำการเจาะระบบเพื่อปลดล๊อค iOS ได้นั้นก็เป็นวัยรุ่นตอนปลายไปจนถึงวัยทำงานตอนต้นเท่านั้น สาเหตุที่ทีมงานของ FBI ไม่สามารถที่จะเจาะระบบของ iOS ได้จนต้องออกมาทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่ระดับชาตินี้ก็เนื่องจากว่าทาง FBI ไม่คิดที่จะจ้องแฮ็กเกอร์เหล่านั้น(ซึ่งสวนทางกับแนวทางของคนที่ FBI ข้างไปแบบสุดกู่) ไว้ทำงานครับ งานนี้คงต้องตามดูกันต่อไปครับว่าเรื่องดังกล่าวจะจบลงเช่นใด
ที่มา : businessinsider, 2015 San Bernardino attack Wiki, Pew Research Center, engadget