Connect with us

Hi, what are you looking for?

Notebookspec

IT NEWS

ฝันร้ายคนใช้ Windows! BitLocker ล็อกไดรฟ์เอง ทำข้อมูล 3TB หายวับ กู้คืนไม่ได้

BitLocker

กลายเป็นอุทาหรณ์ราคาแพง เมื่อฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ควรจะช่วยปกป้องข้อมูล กลับกลายเป็นกำแพงที่ทำให้เจ้าของไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของตัวเองได้อีกต่อไป นี่คือเรื่องราวของผู้ใช้รายหนึ่งที่ต้องสูญเสียข้อมูลสำคัญกว่า 3TB ไปอย่างถาวรจากปัญหา BitLocker เข้ารหัสไดรฟ์เอง โดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ที่ใช้ Windows 11

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นกับผู้ใช้ Reddit นามว่า u/Toast_Soup ที่รู้สึกว่าคอมพิวเตอร์ของเขาทำงานช้าลงและไม่เต็มประสิทธิภาพ เขาจึงตัดสินใจรีเซ็ตและติดตั้ง Windows ใหม่ทั้งหมด แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ หายนะกำลังรอเขาอยู่

Advertisement

เรื่องราวของผู้โชคร้าย: เมื่อข้อมูล 3TB หายไปในพริบตา

ในคอมพิวเตอร์ของ Soup มีไดรฟ์ทั้งหมด 6 ตัว ประกอบด้วยไดรฟ์สำหรับบูต Windows (C:) และที่สำคัญที่สุดคือ ไดรฟ์สำรองข้อมูลขนาดใหญ่ 2 ตัว (D: และ E:) ซึ่งมีความจุรวมกันมากถึง 3TB และเต็มไปด้วยข้อมูลอันมีค่า

หลังจากที่เขาติดตั้ง Windows 11 ใหม่และบูตเข้าสู่ระบบ ปรากฏว่าไดรฟ์ D: และ E: ถูกเข้ารหัสด้วย BitLocker และไม่สามารถเข้าถึงได้ Windows เรียกร้องให้ใส่ “กุญแจกู้คืน” (Recovery Key) ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีอยู่จริง และไม่เคยจดบันทึกไว้

Soup ไม่เคยเปิดใช้งาน BitLocker ด้วยตัวเอง เขาจึงไม่เคยเฉลียวใจเลยว่า Microsoft ได้ตั้งค่าให้ Windows 11 เปิดใช้งานฟีเจอร์นี้โดยอัตโนมัติเมื่อผู้ใช้ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชี Microsoft ในระหว่างการตั้งค่าครั้งแรก (OOBE)

เขาพยายามใช้โปรแกรมกู้ข้อมูลหลายตัว แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะโปรแกรมเหล่านั้นไม่สามารถถอดรหัสของ BitLocker ได้ จุดประสงค์หลักของมันคือการป้องกันข้อมูลจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งในสถานการณ์นี้ ระบบมองว่าตัวเจ้าของเองคือ “ผู้บุกรุก”


ฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ย้อนกลับมาทำร้าย

ด้วยความสิ้นหวัง Soup ลองติดตั้ง Windows ใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่ช่วยอะไร ซ้ำร้าย ไดรฟ์ C: ที่เพิ่งติดตั้งใหม่ก็โดนล็อกและขอรหัสเช่นกัน โชคดีที่ครั้งนี้เขารู้ทันและจดรหัสไว้ได้ ทำให้เข้า Windows ได้สำเร็จ แต่ไดรฟ์ D: และ E: ยังคงถูกล็อกเหมือนเดิม

เมื่อตรวจสอบในบัญชี Microsoft ของเขา ก็พบเพียงรหัสกู้คืนของไดรฟ์ C: ตัวล่าสุดเท่านั้น แต่ไม่มีรหัสของไดรฟ์ข้อมูล 3TB ทั้งสองตัว นั่นหมายความว่าข้อมูลทั้งหมดได้หายไปในเขาวงกตของการเข้ารหัส อย่างถาวร

BitLocker ถูกนำมาใช้ครั้งแรกใน Windows Vista เมื่อปี 2007 และกลายเป็นส่วนสำคัญของระบบปฏิบัติการนับตั้งแต่นั้นมา แนวคิดของการเข้ารหัสไดรฟ์โดยอัตโนมัติเพื่อความปลอดภัยนั้นดูดีในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติ มันได้สร้างปัญหาใหญ่หลวงให้กับผู้ใช้ที่ไม่ทันระวังตัว


ไม่ใช่แค่ข้อมูลหาย แต่ประสิทธิภาพก็ลดลงด้วย

ที่น่าสนใจคือ ปัญหาของ BitLocker ไม่ได้มีแค่การล็อกไดรฟ์โดยพลการเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของเครื่องอีกด้วย

จากการทดสอบพบว่า BitLocker เวอร์ชันซอฟต์แวร์ (ที่ทำงานผ่าน CPU) สามารถทำให้ความเร็วในการอ่าน/เขียนแบบสุ่มของ SSD ลดลงได้ถึง 45%!

สาเหตุก็เพราะ CPU ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นตลอดเวลา นี่อาจเป็นสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คอมพิวเตอร์ของ Soup ทำงานช้าลงตั้งแต่แรก และเป็นต้นตอที่ทำให้เขาตัดสินใจลง Windows ใหม่ จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมข้อมูลหายนั่นเอง


วิธีป้องกันและตรวจสอบ BitLocker ก่อนจะสายเกินไป

ปัญหานี้มักเกิดขึ้นกับการติดตั้ง Windows 11 ใหม่แบบคลีน (Fresh Install) และจะไม่เกิดกับผู้ที่อัปเกรดโดยตรงมาจาก Windows 10 อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย เราขอแนะนำให้ผู้ใช้ Windows ทุกคนตรวจสอบและป้องกันไว้ก่อน

  1. ตรวจสอบสถานะ BitLocker:
    • ไปที่ Settings > Privacy & security > Device encryption
    • หากคุณเห็นว่ามันเปิด (On) อยู่ นั่นหมายความว่าไดรฟ์ของคุณถูกเข้ารหัสแล้ว
  2. ค้นหาและเก็บรักษากุญแจกู้คืน (Recovery Key):
    • สำคัญที่สุด! ให้ล็อกอินเข้าสู่บัญชี Microsoft ของคุณผ่านเว็บเบราว์เซอร์ที่: account.microsoft.com/devices/recoverykey
    • คุณจะพบกุญแจกู้คืน 48 หลักของไดรฟ์ที่ถูกเข้ารหัส ให้จดบันทึกหรือพิมพ์เก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัยและไม่ได้อยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น
  3. ตัดสินใจว่าจะปิดหรือไม่:
    • หากคุณมีการสำรองข้อมูลที่ดีและไม่ต้องการให้ระบบเข้ารหัสไดรฟ์โดยอัตโนมัติ คุณสามารถปิด (Turn off) ฟีเจอร์นี้ได้ในหน้า Device encryption
    • การปิด BitLocker จะช่วยให้ประสิทธิภาพของ SSD กลับมาเต็มที่ดังเดิม และป้องกันปัญหาการถูกล็อกไดรฟ์โดยไม่ตั้งใจ

อย่าปล่อยให้ความหวังดีของเทคโนโลยีมาทำลายข้อมูลอันมีค่าของคุณ สละเวลาตรวจสอบสักนิด จดบันทึกรหัสกู้คืน และสำรองข้อมูลสำคัญเสมอ เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องกลายเป็นผู้โชคร้ายรายต่อไป

ที่มา: tomshardware

Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

IT NEWS

ผลทดสอบ Arc B370 บน Furmark 2 ยังไม่แซงรุ่นก่อน ข้อมูลผลทดสอบล่าสุดของ Intel Arc B370 ซึ่งเป็นกราฟิกแบบฝังตัว (iGPU) รุ่นใหม่บนแพลตฟอร์ม Panther Lake ปรากฏขึ้นในฐานข้อมูล Furmark 2 และสร้างความประหลาดใจพอสมควร เนื่องจากตัวเลขที่ออกมายัง ไม่เหนือกว่า iGPU รุ่นก่อนหน้าอย่าง...

IT NEWS

กระแสเกม Xbox ถูกพอร์ตลง PlayStation กลายเป็นประเด็นใหญ่ในปีที่ผ่านมา และล่าสุดข้อมูลใหม่ชี้ว่า ผู้ที่เริ่มต้นการขยับครั้งสำคัญนี้กลับไม่ใช่ Microsoft อย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นฝั่ง Sony เองที่ติดต่อไปยัง Microsoft เพื่อสอบถามความเป็นไปได้ในการนำเกม Flight Simulator ไปลง PlayStation ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคเกมข้ามแพลตฟอร์มในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จุดเริ่มต้น: ไอเดียนำ Flight Simulator ลง...

IT NEWS

ข่าวลือเกี่ยวกับดีไซน์ของ iPhone 18 Pro ยังคงมาอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดมีความเคลื่อนไหวสำคัญที่บ่งชี้ว่า Apple อาจเดินหน้าอัปเกรดดีไซน์ครั้งใหญ่จริง โดยมีรายงานใหม่จากแหล่งข่าวในจีนที่เชื่อถือได้ ระบุว่า Apple กำลังทดสอบต้นแบบที่ซ่อนเซ็นเซอร์บางส่วนของ Face ID ไว้ ใต้แผง AMOLED ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของซีรีส์ iPhone ดีไซน์ใหม่ของ iPhone 18 Pro อาจเล็กลงกว่าเดิมด้วยการย้ายเซ็นเซอร์...

IT NEWS

ซีพียู 3D V-Cache รุ่นใหม่ที่ถูกจับตาแรงที่สุดของปี ข้อมูลหลุดล่าสุดระบุว่า AMD Ryzen 7 9850X3D ซีพียูเกมมิ่งตัวท็อป 8 คอร์ของ AMD ได้ถูกพบกำลังรันอยู่บนเมนบอร์ด ASUS B850M AYW Gaming OC WIFI7 W พร้อมแรม DDR5 ความเร็วสูงถึง...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก