
การกลับมาของตำนานการ์ดเสียง PC
กระแส Retrocomputing หรือการนำฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ยุคเก่ามาใช้งานใหม่ กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ทั้งในกลุ่มคนรุ่นเก่าที่เคยสัมผัสด้วยตัวเอง และคนรุ่นใหม่ที่อยากลองบรรยากาศพีซียุค 80 – 90 ซึ่งหนึ่งในของหายากที่ยังคงมีเสน่ห์คือการ์ดเสียง Sound Blaster 2.0 ที่เคยเป็นมาตรฐานของเกมพีซีในยุคนั้น
ล่าสุด Adrian จากช่อง YouTube Adrian’s Digital Basement ได้ซ่อมและฟื้นคืนชีพการ์ด รุ่น CT1350B ที่เปิดตัวในปี 1994 ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ดีที่สุดในตระกูลนี้ ให้กลับมาทำงานได้สมบูรณ์อีกครั้ง
Sound Blaster 2.0 คืออะไร?
ก่อนที่เมนบอร์ดพีซีจะมีการ์ดเสียงแบบ Onboard เหมือนทุกวันนี้ ผู้ใช้จำเป็นต้องติดตั้งการ์ดเสียงแยก ซึ่งการ์ดเสียงรุ่นนี้ถือเป็นหนึ่งในรุ่นที่เปลี่ยนวงการ เพราะรวมทั้ง FM Synthesizer และ เสียงดิจิทัล เอาไว้ในแผงเดียว
- ใช้ชิป Yamaha YM3812 รองรับ FM Synth (AdLib Compatible)
- ใช้ DSP ของ Creative สำหรับ เสียงดิจิทัล (Digital Audio)
- มีระบบ DMA (Direct Memory Access) ช่วยลดภาระ CPU เล่นเกมได้ลื่นขึ้น
ผลลัพธ์คือ เกมยอดนิยมยุคนั้น เช่น Doom หรือ Pinball Dreams สามารถให้เสียงได้ทั้งเพลงประกอบและเอฟเฟกต์เสียงที่สมจริงกว่าที่เคย รวมถึงการใช้ซอฟต์แวร์ทำเพลงแบบ Tracker (Fast Tracker, Scream Tracker, Impulse Tracker) ที่ทำให้หลายคนก้าวเข้าสู่วงการดนตรีดิจิทัล
ขั้นตอนการซ่อมโดยนักสะสมฮาร์ดแวร์เก่า
การ์ดที่ Adrian ได้มามีสภาพดีมาก ขาดเพียงชิป Atmel MCU (พื้นฐานจาก Intel 8051) ที่ใช้ควบคุมการเล่นเสียงดิจิทัล แม้ยังใช้ FM Synth ได้ แต่เสียงดิจิทัลไม่ออก
Adrian จึงติดต่อเพื่อนนักสะสมอีกท่าน Alex จาก Bits und Bolts เพื่อขอชิปมาเปลี่ยน หลังจากได้ชิ้นส่วนแล้ว เขาได้ทำการ:
- ซ่อมร่องลายวงจร (Trace) ที่ขาด
- เติมบัดกรีในจุดที่หายไป
- ใส่ MCU ตัวใหม่เข้าไป
- ปิดท้ายด้วย I/O Bracket ที่พิมพ์ด้วย 3D Printer
เมื่อทดสอบการ์ด พบว่าสามารถเล่นได้ทั้งเพลง FM และเสียงดิจิทัล 8-bit 44.1 KHz Mono อีกครั้งอย่างสมบูรณ์

Youtube: Adrian’s Digital Basement
สเปกของ Sound Blaster 2.0 (CT1350B)
| รายละเอียด | ข้อมูล |
|---|---|
| รุ่น | Creative Sound Blaster 2.0 (CT1350B) |
| อินเทอร์เฟซ | ISA 8-bit |
| ชิป DSP | Creative CT1336A |
| ชิป FM Synth | Yamaha YM3812 (AdLib Compatible) |
| การเล่นเสียงดิจิทัล | 8-bit, 44.1 KHz Mono |
| ระบบ DMA | รองรับ |
| การเชื่อมต่อ | Line Out, Speaker Out, Mic In, Game/MIDI Port |
| ปีที่เปิดตัว | 1994 |
ทำไมการ์ดรุ่นนี้ถึงมีความสำคัญ?
ก่อนการ์ดรุ่นนี้ เกมพีซีส่วนใหญ่เล่นได้แค่เสียงดนตรี FM ส่วน เสียงเอฟเฟกต์ เช่น เสียงระเบิด เสียงปืน เสียงตัวละครพูด หรือเสียงบรรยากาศรอบ ๆ นั้น ยังทำได้จำกัดมาก เพราะฮาร์ดแวร์สมัยนั้นยังไม่รองรับการเล่น เสียงดิจิทัล (Digital Audio) แบบเต็ม ๆ
แต่เมื่อ Sound Blaster 2.0 รวมทั้งดนตรี FM และเสียงดิจิทัลเข้าด้วยกัน มันจึงกลายเป็นมาตรฐานที่ผู้พัฒนาเกมเลือกใช้
พูดง่าย ๆ คือ
- ก่อนมี → เกมมีแต่ดนตรีแบบสังเคราะห์ เสียงเอฟเฟกต์มีน้อยและไม่สมจริง
- หลังมี → เกมสามารถเล่นได้ทั้งเพลง FM Synth + เสียงดิจิทัล เช่น เสียงพูด เสียงเอฟเฟกต์จริง ๆ ไปพร้อมกัน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม การ์ดเสียงรุ่นนี้ถึงถูกมองว่า “ยกระดับเสียงเกมพีซี” อย่างมากในยุคนั้น
ถึงแม้คุณภาพเสียงจะยังไม่ดีเท่าการ์ดในยุคปัจจุบัน แต่ถ้าเทียบกับในยุคนั้น 44.1 KHz 8-bit ถือว่าสุดยอดแล้ว และที่สำคัญคือมีระบบ DMA ที่ช่วยทำให้เล่นเกมได้ลื่นไม่มีสะดุดด้วย
บทสรุป
การฟื้นคืนชีพของ Sound Blaster 2.0 ในปี 2025 ไม่ได้เป็นแค่การซ่อมการ์ดเก่า แต่มันคือ “การปลุกตำนานการ์ดเสียงของชาวพีซี” ให้กลับมาอีกครั้ง
เสียง Mono 44.1 KHz ที่วันนี้อาจดูธรรมดา แต่สำหรับคนที่เคยเล่น Doom บนเครื่อง 386SX ในยุคนั้น หรือเคยแต่งเพลงด้วยโปรแกรม Tracker จะรู้ว่านี่คือ “การ์ดเสียงแห่งตำนาน” ที่มีคุณค่าทั้งด้านประวัติศาสตร์และความทรงจำในอดีตของคนที่อยู่ในยุคเดียวกับมันนั้นเอง
ที่มา: tomshardware





