สำหรับระบบฮีโร่นั้น ในเกมภาคก่อนๆ เมื่อคุณลงทำภารกิจตัวเกมจะอนุญาตให้คุณเลือกฮีโร่ทั้งหมด 4 คน ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยเกิดอาการรักพี่เสียดายน้อง ไม่รู้จะเอาฮีโร่คนไหนลงทำภารกิจดี เพราะตัวนั้นก็ดีตัวนี้ก็แจ่ม แต่ใน Retribution ปัญหานี้จะหมดไปทันที เพราะในภาคนี้ แต่ละฝ่ายจะมีฮีโร่เพียง 4 คนให้เลือกเล่นเท่านั้น (ยกเว้น Tyranid ที่มีฮีโร่สุดโกงให้คุณเล่นเพียงตัวเดียว) แต่เพื่อไม่ให้การจัดทีมดูจืดชืดและเรียบง่ายจนเกินไปก ทาง Relic จึงได้เพิ่มเหล่า Honor Guard ของฮีโร่แต่ละคนไว้ให้เป็นตัวเลือกในการลงทำภารกิจด้วย คุณสามารถเลือกได้ว่าจะให้เหล่าองครักษ์ส่วนตัวนี้ลงทำภารกิจแทนหรือจะส่งฮีโร่ลงไปลุยเองก็ได้ Honor Guard จะได้รับความสามารถของฮีโร่ที่ตัวเองสังกัดอยู่ไปเต็มๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ในการสู้รบแต่อย่างใด ซึ่งผมพบว่าตัวเลือกที่เกมนำเสนอนี้ มีประโยชน์มากโดยเฉพาะในการเล่นที่ระดับความยากสูงๆ ซึ่งต้องอาศัยการเลือกคนให้ถูกกับงานจึงจะสามารถเอาชนะได้ เช่น ในภารกิจที่คุณต้องปะทะกับเหล่า Ork หรือ Tyranid ที่เน้นการโจมตีประชิดเป็นฝูง การเลือก Terminator 3 ตัวซึ่งเป็น Honor Guard ลงไปสู้แทน Cyrus ซึ่งเป็นหน่วยสอดแนมที่บอบบางก็น่าจะให้ผลที่ดีกว่า เป็นต้น
อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปในเกมภาคนี้ก็คือ ระบบการพัฒนาตัวละครที่ถูกปรับให้กระชับและเข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น ระดับเลเวลของตัวละครที่ถูกตัดให้เหลือแค่ 10 เลเวล จากภาคก่อนๆ ที่มีถึง 30 เลเวล หรือมีการเปรียบเทียบผลของอาวุธและชุดเกราะต่างๆ ให้ดูแบบละเอียด รวมถึงหน้าจอการเลือกอัพทักษะต่างๆ ก็ได้ถูกปรับปรุงให้ดูง่ายขึ้น มีการแสดงรายละเอียดของความสามารถต่างๆ ให้ดูอย่างชัดเจน ไม่ได้แสดงเป็นขีดๆ เหมือนภาคก่อนอีกแล้ว แต่ก็น่าเสียดายที่เกมภาคนี้ก็ยังไม่มีการแสดงรายละเอียดของทักษะแบบติดตัว (Passive) หรือผลจาก Wargear ที่คุณสวมใส่ให้ดูในขณะลงไปเล่นในมิชชั่น คุณจึงไม่มีทางรู้เลยว่า ไอ้เอฟเฟ็กต์แสงสีทองที่เรืองรองอยู่รอบตัวเหล่า Space Marine ของคุณนั้น มันเพิ่มความสามารถอะไรให้บ้าง ทางเดียวที่จะรู้ได้คือ ต้องกลับมาดูในหน้าจอตอนเลือกฮีโร่หรือไม่ก็หน้าจอการติดตั้ง Wargearเท่านั้น
นอกจากนี้ตัวเกมยังมีปัญหาในเรื่องของการค้นหาเส้นทางของยูนิตด้วย ซึ่งถ้าว่ากันจริงๆ กับเกมอย่าง DOW II ที่มีการออกภาคเสริมมาแล้วถึง 2 ตัว ปัญหานี้ควรจะได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังหรือไม่ก็น่าจะดีกว่าภาคก่อน แต่ผมกลับรู้สึกว่า ปัญหาเรื่องการหาเส้นทางของภาคนี้ หนักหนากว่าภาค Chaos Rising หรือเกมภาคหลักเสียอีก คุณจะเจอตั้งแต่ยูนิตเดินไปติดสิ่งก่อสร้าง เดินไปติดพวกเดียวกันเอง หรือแม้แต่เดินเข้าไปติดกับศัตรูที่อยู่เฉยๆ จนโดนยิงตายก็ยังมี และถ้าขึ้นชื่อว่าเกม RTS แน่นอน… นี่คือปัญหาสุดท้ายที่คุณคงอยากจะเจอล่ะครับ เพราะการไมโครของคุณจะหมดความหมายไปทันที หากยูนิตของคุณไม่เดินตามการสั่งอย่างที่เป็นอยู่นี้… Relic คร้าบบ!!! แก้ไขปัญหานี้ด่วน!!
ในส่วนของระบบสื่อสารภายในเกมนั้น ผู้พัฒนาก็ได้ปรับปรุงตัวเกมให้มีการผนวกห้อง Chat เข้ามาในลักษณะของ UI ซึ่งจะแสดงอยู่ที่บริเวณมุมซ้ายล่างของจอภาพผู้เล่นสามารถกดเข้าร่วมสนทนาได้ทันทีระหว่างที่กำลังเซ็ตอัพเกมทุกโหมดหรือรอเข้าเล่นอยู่ และอีกสิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนน่าจะดีใจก็คือ เกมภาค Retribution นี้ได้ยกเลิกการพ่วงกับระบบ Game for Windows Live (GFWL) เป็นที่เรียบร้อยและหันไปใช้ระบบ Steam Work แทน ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีมากเพราะไหนๆ เกมนี้ก็ผูกกับ Steam อยู่แล้ว การนำระบบสื่อสารจาก Steam มาใช้เต็มรูปแบบจึงช่วยให้การติดต่อสื่อสารกับผู้เล่นอื่นหรือเพื่อนของคุณทำได้ง่ายและสะดวกกว่าแต่ก่อนมาก ซึ่งนั่นทำให้การเล่นในส่วนของ Last Stand และ Co-op ที่สนุกอยู่แล้วเป็นไปอย่างลื่นไหลด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ตัวเกมยังมีการเก็บค่าสถิติและรางวัลแห่งความสำเร็จไว้ให้ดูกันในส่วน Community ของ Steam อีกด้วย
กราฟิกใน Retribution ได้รับการปรับปรุงให้อลังการงานสร้างยิ่งกว่าภาคก่อนๆ มีการเพิ่มเติมเรื่องแสงเงา เศษชิ้นส่วนต่างๆ เข้าไปมากมาย ฉากระเบิดและเอฟเฟ็กต์ของอาวุธต่างๆ ทำออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ โดยเฉพาะในการรบช่วงชุลมุนที่ต่างฝ่ายต่างสาดกระสุนเข้าใส่กัน คุณจะได้เห็นเศษชิ้นส่วนของร่างการ เศษหินหรือสิ่งก่อสร้างปลิวกระจายไปทั่วทั้งฉากอย่างแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เอนจิ้นของเกมที่มีอายุร่วม 3 ปีนี้จะยังสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้อย่างน่าประทับใจเช่นนี้ และก็แน่นอนครับภาพสวยขึ้นตัวเกมก็กินสเป็กมากขึ้นด้วย (แม้ว่าจะระบุเครื่องที่ต้องการไว้เท่าภาคก่อนก็ตาม) เพราะฉะนั้นอย่าได้ตกใจ ถ้าหากเครื่องสุดแรงของคุณที่สามารถเล่นภาค Chaos Rising ด้วยได้อย่างลื่นไหล จะมีอาการกระตุกเป็นเจ้าเข้าเมื่อเล่นภาค Retribution แต่ถ้าคุณมีเครื่องแรงพอจะรับได้ การเสพกราฟิกของเกมนี้แบบสุดขีดก็นับว่าคุ้มค่าทีเดียว
โดยรวมแล้วภาคเสริมตัวนี้จัดว่าน่าสนใจมาก มีการนำเสนออะไรใหม่ๆ ที่ดูน่าสนใจ กราฟิกก็สวยงามมากกว่าเดิม แต่ว่ามันก็เป็นภาคเสริมที่ออกมาในรูปแบบสูตรสำเร็จของเกมภาคก่อนๆ คือ สั้นเป็นเส้นตรง แต่สามารถต่อยอดได้ (ทำภาคต่อได้อีก) อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณติดตาม DOW II มาโดยตลอดเช่นเดียวกับผม คุณจะรู้สึกได้เลยว่า นี่คือภาคเสริมที่น่าสนใจที่สุดในซีรีส์นี้เลยก็ว่าได้
เรื่อง: นพพล ดีภัก
Retribution นำเสนอเนื้อหาและสิ่งต่างๆ ได้คุ้มค่าเกินกว่าค่าตัว 30 เหรียญของมัน การเล่นแต่ละฝ่ายในส่วนแคมเปญจะใช้เวลาราวๆ 5-10 ชั่วโมง ซึ่งถ้ารวมกับการเล่นในส่วน Multiplayer ด้วยแล้ว เกมนี้นับว่าน่าสนใจมาก ตัวเกมให้ความใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ กราฟิกที่แสงสีสวยงามและตัวละครที่มีเอกลักษณ์ ทำให้เกมนี้มีคุณค่าแก่การเล่นไม่ว่าจะโหมดไหน จนอาจจะพูดได้ว่า Retribution ไม่ใช่แค่ภาคเสริมรายปีทั่วๆ ไป แต่เป็นภาคเสริมที่ยอดเยี่ยมที่สุดในซีรีส์ DOW II ตั้งแต่เคยมีมาก็ว่าได้
ข้อดี: เลือกเล่นได้หลายฝ่าย กราฟิกสวยงามมากกว่าเดิม ระบบสื่อสารได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โหมดเนื้อเรื่องคุ้มค่าพอที่จะนำกลับมาเล่นซ้ำได้อีกหลายรอบ โหมด Last Stand แบบใหม่ทำให้เกมน่าสนใจมากกว่าเดิม Co-op สนุก
ข้อเสีย: เกมสั้นและเป็นเส้นตรงเกินไป ปัญหาเรื่องการค้นหาเส้นทางของยูนิตยังคงมีให้เห็นอยู่ กินสเป็กมากกว่าภาคก่อนๆ บั๊กประปรายในแคมเปญของฝ่าย Imperial Guard
โดยรวม: นับว่าเป็นอีกหนึ่งภาคเสริมประจำปีนี้ที่คุ้มค่าแก่การหามาลอง ยิ่งคุณชอบ DOW II เป็นทุนเดิมด้วยอยู่แล้ว Retribution จะทำให้คุณเพลินกับสงครามแห่งจักรวาลครั้งนี้ไปอีกนานเลยทีเดียว อย่างน้อยก็จนกว่าภาคเสริมของมันหรือ StarCraft ภาคใหม่วางจำหน่ายนั่นแหละครับ
ขอขอบคุณ :: นิตยสาร FuterGamer
www.fgmag.in.th