แท็บเล็ต Microsoft Surface เป็นสินค้าที่มีผู้คนจับตามองมากๆ เมื่อยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์อย่าง Microsoft กระโดดลงมาทำฮาร์ดแวร์เอง แม้จะเป็นเหมือนสินค้าเพื่อใช้อ้างอิงความเป็นแท็บเล็ต Windows 8 ก็ตาม แต่ก็คาดได้ว่าน่าจะเป็นหนึ่งในสินค้าที่ร้อนแรงที่สุดแห่งปี หลังจากสร้างความตกใจกันไปในงานเปิดตัวไปแล้วเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา แต่ถึงวันนี้เรื่องที่น่าสนใจที่สุดอย่างราคาก็ยังไม่มีการเปิดเผยออกมาเสียที
ล่าสุด Steve Ballmer ซีอีโอคนปัจจุบันได้ตอบคำถามจากการสัมภาษณ์ของหนังสือพิมพ์ The Seattle Times ในประเด็นต่างๆ หลายข้อ โดยจุดที่น่าสนใจในคำตอบของ Ballmer ก็เช่น
- ปีนี้จะเป็นปีที่ Microsoft เปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างหลากหลายและยิ่งใหญ่ เช่น Windows 8 ซึ่งสถานการณ์ในตอนนี้ใกล้เคียงกับสมัยเปิดตัว Windows 95 ที่สร้างปรากฏการณ์ในวงการไอทีมาแล้ว
- จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือมีการอัพเดตผลิตภัณฑ์ไปอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี ตามแผนการที่ Microsoft ตั้งเป้าไว้
- Microsoft มั่นใจในตัว Windows 8 มาก โดยคาดว่าในปีหน้าพีซีน่าจะมียอดขายรวมกว่า 400 ล้านเครื่อง ซึ่งจะเป็นตลาดใหญ่ของ Microsoft แน่นอน
- กลุ่มของแท็บเล็ต Ballmer มองว่า iPad เป็นที่หนึ่งจริง ด้วยราคาที่ไม่ถือว่าแพงมากนัก ส่วนราคาของ Surface นั้น ถ้าตั้งมาถูกกว่า คนก็จะมองว่าเป็นแท็บเล็ตราคาถูก คงใช้ทำงานได้ไม่ดีนัก คนก็จะหันไปซื้อ iPad แทน เพราะคิดว่าทำงานได้ดีกว่า ครอบคลุมกว่า
- ราคาของ Surface ถ้าพิจารณาว่าเป็นพีซีหนึ่งเครื่อง ราคาที่อยู่ในช่วง $300 ถึง $800 (ประมาณ 10,000 ถึง 25,000 บาท) ก็ไม่จัดว่าสูงนัก (แต่ได้ทั้งการทำงานที่เทียบเท่ากับพีซีที่ใช้ Windows แถมยังได้น้ำหนักเบาและการพกพาที่สะดวกอีก)
- Microsoft ไม่หวั่นใจกับการเติบโตของ Google และ Facebook มากนัก เพราะมั่นใจว่าตนเองก็มีดีอยู่เหมือนกัน
- Microsoft ค่อนข้างพอใจกับผลของการโฆษณาแคมเปญต่างๆ ที่ผ่านมา
- Microsoft ลงทุนกับเรื่องการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีไปมาก ซึ่งก็เห็นผลแล้ว อย่างเช่นส่วนของ Xbox และ Kinect ส่วนของ Windows 8 ก็คาดว่าจะให้ผลได้ดีไม่แพ้กัน
- Ballmer เผยตนเองถือเป็นคู่แข่งรายเล็กๆ ในตลาดสมาร์ทโฟน แต่ก็มั่นใจในตัว Windows Phone 8 ว่าจะแข่งกับรายอื่นๆ ได้ (ว่าแล้วก็หยิบ Nokia Lumia 920 ออกมาจากกระเป๋าแล้วหัวเราะ)
- Microsoft จะยังคงยึดมั่นความเป็นบริษัทซอฟต์แวร์เป็นหลัก และจะสานสัมพันธ์กับเหล่าผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต่อไป
ที่มา : Blognone, Seattle Times