
ปฏิเสธไม่ได้ว่าไอโฟนคือมือถือยอดนิยมของผู้คนทั่วโลกเพราะใช้ได้ง่าย ไม่ว่าจะใช้ในชีวิตประจำวันหรือเอาไว้ใช้ทำงานจริงจังก็ได้ แต่พอถึงระยะหนึ่งแบตไอโฟนก็ต้องเสื่อมสภาพเก็บประจุเอาไว้ในตัวแบตเตอรี่ได้ไม่เท่าตอนซื้อมาใหม่ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่เริ่มใช้จนแบตเสื่อมกินเวลาราว 1~2 ปี ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร แต่พอถึงเวลาต้องเปลี่ยนแล้วราคาแบตแท้จากศูนย์ Apple เองก็ไม่ได้แพงมากนัก แถมบางครั้งยังมีส่วนลดเพื่อให้เจ้าของไอโฟนเลือกใช้แบตแท้ต่อไป นอกจากเจ้าของจะสบายใจแล้วจะขายต่อก็ง่ายเพราะประวัติดีอีกด้วย
สารพัดเรื่องว่าด้วยแบตไอโฟน
- แม้ iPhone จะเป็นรุ่นเก่าใช้งานมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ทาง Apple Thailand ก็ยังมีแบตเตอรี่แท้ให้เปลี่ยนได้ ย้อนหลังไปถึง iPhone 7 (เปิดตัวปี 2016)
- Apple Thailand และผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตมักมีโปรโมชั่นให้ส่วนลดเปลี่ยนแบตราว 1,000 บาท ออกมาเป็นระยะๆ เพื่อจูงใจให้เลือกใช้อะไหล่แท้จากศูนย์บริการ
- ถ้าเช็ค Battery Health ใน Settings แล้วมี Maximum Capacity เท่ากับหรือต่ำกว่า 80% ก็แนะนำให้เปลี่ยนแบตก้อนใหม่ได้เลย

แบตไอโฟนเสื่อมดูยังไงดี? แล้วเปลี่ยนราคาเท่าไหร่นะ?
- แบตเสื่อมเกิดจากอะไร? ใช้ยังไงแบตถึงจะเสื่อมช้า?
- ดูยังไงว่าแบตไอโฟนเสื่อมแล้ว?
- รวมราคาแบต iPhone รุ่นที่ Apple มีให้บริการ
- ถ้าจะเปลี่ยน จะไปร้านหรือเปลี่ยนศูนย์ Apple ดี?
แบตเสื่อมเกิดจากอะไร? ใช้ยังไงแบตถึงจะเสื่อมช้า?

ก่อนจะถามว่าแบตเตอรี่เสื่อมจะต้องดูอย่างไรและอาการแบบไหนถึงเรียกว่าแบตเตอรี่เสื่อม ต้องเข้าใจพื้นฐานของอุปกรณ์เก็บประจุไฟฟ้าชิ้นนี้ก่อนว่าภายในตัวของมันจะมีขั้วบวกเรียกว่าแคโทด (Cathode), ขั้วลบแอโนด (Anode) กับอีเล็กโทรไลต์ ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้เข้ากระบวนการผลิตแล้วจะได้แบตเตอรี่เพื่อนำไปใส่ในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ไม่ว่าจะไอโฟน, โน๊ตบุ๊ค, เครื่องเกมพกพา ฯลฯ ได้ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบันจะเป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียม (Lithium) ทั้งหมดแล้วและแบตไอโฟนจะเป็นแบบลิเธียมไอออน (Li-ion)
สาเหตุว่าแบตเตอรี่ของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเสื่อมสภาพ เกิดจากอายุการใช้งานยาวนานจนเซลแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ, มีอายุทางเคมีเพิ่มขึ้นทำให้เก็บประจุได้น้อยลงทำให้ความจุสูงสุดต่ำลง, แรงดันไฟฟ้าตก ทำให้แบตเตอรี่จ่ายกระแสไฟไม่ได้ตามที่ระบบต้องการ รวมถึงการใช้งานของเจ้าของเครื่อง ว่าถ้าปกติเป็นคนใช้งานแบตเตอรี่จนหมดแล้วเครื่องดับหรือชาร์จจนแบตเตอรี่เริ่มเกิดอุณหภูมิสูงขึ้นก็เป็นเหตุได้ ซึ่งระยะเปอร์เซ็นต์การชาร์จและใช้งานที่เหมาะสมสุดควรอยู่ในช่วง 20~80% จะไม่ก่อความร้อนมากเกินไปทำให้แบตเตอรี่เสื่อมช้าลง
ดูยังไงว่าแบตไอโฟนเสื่อมแล้ว?

อาการของแบตไอโฟนเสื่อมสภาพตามจริงแล้วสังเกตได้ง่ายมาก เพราะมือถือจะทำงานได้ไม่เสถียรเท่าเดิม ซึ่งทาง Apple ได้ให้เหตุผลเอาไว้ว่าทางบริษัทเขียนคำสั่งให้ iOS ลดความเร็วของ CPU, GPU ลง เพื่อให้เจ้าของใช้งานด้วยแบตเตอรี่ได้นานที่สุดเท่าที่สภาพแบตจะอำนวย โดยอาการที่พบเห็นระหว่างใช้งาน ได้แก่
- ใช้เวลาเปิดแอปฯ นานขึ้น ตั้งแต่แตะเลือก, เปิดหน้าต่างและเข้าหน้าใช้งานช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
- ภาพเวลาเลื่อนหน้าจอช้าลง, กระตุก, หน่วง ยกเว้นอาการบั๊กจากในตัวแอปฯ เอง
- ความสว่างหน้าจอลดลง, เสียงลำโพงมีความดังลดลงไม่เกิน -3 dB
- แอปฯ อื่นที่เปิดเอาไว้ก่อนหน้าไม่สามารถกลับมาใช้งานได้ทันที ต้องรีโหลดใหม่
- ถ้าแบตเสื่อมมากๆ อาจใช้แฟลชของกล้องหลังไม่ได้
- ใช้งานแบตเตอรี่ได้ไม่จบวัน ต้องชาร์จระหว่างวันบ่อยๆ หรือเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่ลดลงอย่างรวดเร็ว
แม้แบตเตอรี่จะเสื่อมสภาพแล้วตัวเครื่องทำงานได้ไม่ดีเท่าเครื่องใหม่ก็จริง แต่ระบบหลักเหล่านี้จะยังใช้งานได้ตามปกติ ไม่ถูกลดประสิทธิภาพตามสภาพของแบตเตอรี่อย่างแน่นอน ได้แก่
- สัญญาณโทรศัพท์และความเร็วรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย
- การถ่ายภาพและวิดีโอยังใช้ได้ดีตามปกติ
- GPS ยังใช้ทำงานได้ปกติและยังชี้ตำแหน่งของตัวเครื่องได้แม่นยำตามเดิม (Location accuracy)
- เซนเซอร์ต่างๆ เช่น gyroscope, accelerometer, barometer ยังใช้ได้ปกติ
- ระบบ Apple Pay ยังใช้ชำระค่าใช้จ่ายได้ตามปกติ


นอกจากวิธีสังเกตจากสภาพตัวเครื่องและการใช้งานตามปกติในชีวิตประจำวันแล้ว iOS ก็มีจุดให้เช็คได้ว่าแบตเตอรี่ยังใช้งานได้ดีหรือไม่ในหัวข้อ Battery Health โดยขั้นตอนการเปิดเข้าไปดูให้เลือกตามนี้
- iPhone พร้อมระบบ iOS 17.4 เป็นต้นไป – เลือก Settings > Battery > Battery Health
- iPhone เครื่องที่ใช้ iOS ก่อน 17.4 – เลือก Settings > Battery > Battery Health & Charging
หากอัปเดตเป็น iOS 17.4 หรือใหม่กว่าแล้ว จะเห็นว่าหัวข้อ Peak Performance Capability, Optimized Battery Charging กับ Clean Energy Charging ถูกถอดออก เปลี่ยนเป็นหัวข้อแสดงรายละเอียดแบตเตอรี่แทนดังนี้
- Battery Health – สภาพของแบตเตอรี่ หากขึ้นว่า Normal ยังใช้งานได้ดีตามปกติ
- Maximum Capacity – ความจุสูงสุดของแบตเตอรี่ ตั้งต้นจะขึ้น 100% และลดลงตามการใช้งานของเจ้าของ หากลดลงมาเหลือเท่ากับหรือต่ำกว่า 80% แนะนำให้เปลี่ยนแบตไอโฟนก้อนใหม่ได้เลย
- Cycle Count – นับรอบการชาร์จว่าแบตก้อนนั้นถูกชาร์จจนครบ 100% ไปแล้วกี่ครั้ง ไม่ว่าจะชาร์จจาก 0~100% หรือทบรอบไปเรื่อยๆ ก็ตาม ซึ่งแบตไอโฟนหนึ่งก้อนสามารถชาร์จได้ถึง 1,000 Cycle
- Manufacture Date – วันผลิตแบตเตอรี่แล้วนำมาติดตั้งในไอโฟนเป็นครั้งแรก
- First Use – วันเริ่ม Activate และเริ่มใช้งานมือถือครั้งแรก จะนับเป็นวันใช้งานแบตเตอรี่วันแรกด้วย
การอัปเดตหน้า Battery Health แบบใหม่นี้นับว่ามีประโยชน์ต่อผู้ใช้มาก นอกจากดูสภาพของแบตเตอรี่และอัตราการชาร์จสูงสุดได้แล้วยังโชว์วงรอบการชาร์จ (Cycle) ด้วยว่าใช้งานไปมากเท่าไหร่แล้ว จะได้ตัดสินใจได้ว่าควรนำเครื่องไปรับบริการแล้วหรือยัง?
รวมราคาแบต iPhone รุ่นที่ Apple มีให้บริการ

ข้อดีของผู้ใช้ไอโฟน คือ แม้จะใช้งานมานานหลายปีแล้ว Apple ก็ยังมีอะไหล่รอให้บริการเสมอ ย้อนหลังกลับไปถึง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่เปิดตัวเมื่อปี 2016 หรือ 9 ปีก่อน ก็ยังนำมาศูนย์บริการอย่าง iCare หรือ Apple Store เพื่อรับบริการได้ โดยค่าใช้จ่ายเปลี่ยนแบตแต่ละรุ่นจะเป็นดังนี้
รุ่น iPhone | ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ |
iPhone SE | รุ่น 2 และ 3 – 2,590 บาท |
iPhone 7 | รุ่นธรรมดาและ Plus – 2,590 บาท |
iPhone 8 | รุ่นธรรมดาและ Plus – 2,590 บาท |
iPhone XR | 3,290 บาท |
iPhone XS | 3,290 บาท |
iPhone 11 / 11 Pro / 11 Pro Max | 3,290 บาท |
iPhone 12 mini / 12 / 12 Pro / 12 Pro Max | 3,290 บาท |
iPhone 13 mini / 13 / 13 Pro / 13 Pro Max | 3,290 บาท |
iPhone 14 / 14 Plus / 14 Pro / 14 Pro Max | 3,690 บาท |
iPhone 15 / 15 Plus / 15 Pro / 15 Pro Max | 3,690 บาท |
iPhone 16e / 16 / 16 Plus | 3,690 บาท |
iPhone 16 Pro / 16 Pro Max | 4,590 บาท |
จากราคาด้านบนนี้ หลายๆ ครั้งทาง Apple Thailand และผู้จัดจำหน่ายบางเจ้าอาจมีโปรโมชั่นให้ส่วนลดราคาแบตลง 1,000 บาท เพื่อชักจูงให้ผู้ใช้เปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่แท้ตรงรุ่นแทนที่จะเป็นแบตเทียบแบรนด์อื่นๆ ซึ่งการเปลี่ยนแบตแท้จาก Apple นอกจากใช้งานได้ดีเหมือนใหม่แล้วประวัติตัวเครื่องก็ดี มั่นใจทั้งผู้ขายและผู้ซื้อต่ออีกด้วย
ส่วนของร้านค้าและศูนย์บริการ Apple ทั่วประเทศไทย ณ ปัจจุบันนี้ จะมี Apple Store ทั้งหมด 2 สาขาหลัก คือ สาขา Central World และสาขา Iconsiam ให้เลือกใช้บริการ ถ้าไม่สะดวกก็เข้าใช้บริการพาร์ทเนอร์ของทาง Apple ได้เช่นกัน ซึ่งผู้ใช้สามารถตรวจสอบสาขาใกล้บ้านได้ตามนี้
- Apple Store ทั้งสองสาขาคลิ๊กที่นี่
- ร้านพาร์ทเนอร์ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจาก Apple คลิ๊กที่นี่
ถ้าจะเปลี่ยน จะไปร้านหรือเปลี่ยนศูนย์ Apple ดี?

พอถึงเวลาเปลี่ยนแบตไอโฟนแล้วก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะตบเท้าเข้าศูนย์ Apple สั่งเปลี่ยนอะไหล่แท้เสมอไป เพราะชุดความคิดว่าประกันเครื่องก็หมดแล้วจะไปจ่ายแพงๆ ทำไมในเมื่อร้านด้านนอกก็ทำได้แถมราคาอะไหล่เทียบก็ถูกกว่าด้วย ซึ่งแต่ละทางก็มีข้อดีและข้อสังเกตต่างกันไป หากเทียบแล้วก็จะเป็นดังนี้
ศูนย์ Apple | ร้านภายนอก |
ได้อะไหล่แท้คุณภาพสูงเทียบเท่าของใหม่ มีการรับประกันอะไหล่หลังซ่อม | อะไหล่เทียบแตกต่างกันไป อาจดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ |
จุดเสียหายได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง | บางร้านที่ไม่มีจรรยาบรรณหรือฝีมือไม่ถึงอาจทำให้ชิ้นส่วนอื่นๆ ในมเครื่องเสียหายได้ |
ราคาสูงกว่าตามมาตรฐานของ Apple | ราคาถูกกว่าแต่การันตีคุณภาพงานได้ยาก |
ฟังก์ชั่น Battery Health ทำงานปกติ | หลายร้านมักตัดต่อขั้วแบตเพื่อให้ Battery Health ทำงานได้ |
จุดเสียหายบางอย่างช่างอาจซ่อมไม่ได้ และเสนอเปลี่ยนเครื่องใหม่แทน | ร้านภายนอกหลายร้านลงทุนกับอุปกรณ์ช่างให้ซ่อมเครื่องได้ถูกจุด |
หากมี Apple Care+ จะได้รับการดูแล เป็นพิเศษ | ประกัน Apple ถูกยกเลิก เป็นประกันของร้านซ่อมแทน |
จากประสบการณ์ตรงและมุมมองของผู้เขียนเอง ในเมื่อซื้อสมาร์ทโฟนระดับพรีเมี่ยมมาแล้วทั้งที จะเปลี่ยนอะไหล่เทียบกับร้านภายนอกที่ไม่ได้รับการรับรองจาก Apple ทั้งต้องรับความเสี่ยงและประกันยังขาดแถมนำกลับมาใช้บริการกับศูนย์ Apple ไม่ได้ก็ดูไม่คุ้มกันเท่าไหร่ ยิ่งอะไหล่ชิ้นนี้กว่าจะเสื่อมสภาพก็กินเวลาราว 1~2 ปี ดังนั้นจะจ่ายแพงขึ้นสักนิดเพื่อใช้อะไหล่แท้ก็คุ้ม ถ้าคิดต่อว่าจะขายต่อไอโฟนเป็นเครื่องมือสองต่อให้ผู้อื่นด้วย ถ้าทำประวัติเครื่องให้ดีก็ยังเรียกราคาได้อีกหน่อย

หลายคนอาจคิดว่าแบตเตอรี่แท้ของไอโฟนทั้งแพงและได้ความจุเท่าเดิมจากโรงงานอย่างนี้เปลี่ยนไปก็ไม่คุ้ม สู้รอให้หมดประกันตัวเครื่องแล้วเอาไปร้านนอกเปลี่ยนแบตเทียบก้อนใหม่ให้มีความจุมากกว่าเดิมแต่ราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่งยังจะคุ้มกว่าก็เข้าใจได้ แต่ก็ต้องมีการดัดแปลงตัดสายขั้วแบตเตอรี่แท้มาเปลี่ยนกับแบตเตอรี่ของร้านซ่อมให้ระบบ iOS สามารถวัดค่า Battery Health ได้ตามปกติ ซึ่งการดัดแปลงเช่นนี้ถ้าช่างคนนั้นไม่รับผิดชอบหรือมือไม่ถึงก็ไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาอะไรตามมาภายหลังหรือเปล่า, จะโดนวางยาไหมและจะรับผิดชอบหรือไม่ด้วย
จากประสบการณ์ตรงเคยนำไอโฟนแบตเตอรี่ไปเปลี่ยนกับร้านนอกมาครั้งหนึ่ง ตัวแบตเตอรี่กลับมาใช้ได้ตามปกติแต่กล้อง Face ID ที่ในตอนแรกยังใช้งานได้กลับเสียแทนเพราะช่างไปงัดผิดจุดจนสายแพหักในและไม่มีการรับผิดชอบใดๆ อีกด้วย แถมคนรู้จักบางคนของผู้เขียนก็เจอการสลับอะไหล่อีก กลับกันพอนำอีกเครื่องไปให้ศูนย์บริการของ Apple จัดการ แม้ราคาจะสูงกว่าแต่ก็ได้เปลี่ยนแบตแท้และไม่เจอปัญหาว่าชิ้นส่วนอื่นเสียหายให้เสียอารมณ์เลย ดังนั้นถ้าได้ซื้อสมาร์ทโฟนดีๆ มาแล้วก็อยากแนะนำให้ใช้อะไหล่แท้ไปด้วย ก็จะสบายใจกว่าแถมประวัติเครื่องก็ดีขายต่อเป็นเครื่องมือสองก็ง่ายกว่าแน่นอน
Photo Credits : Tyler Lastovich via Unsplash, Revendo via Unsplash, Bagus Hernawan via Unsplash, Laurenz Heymann via Unsplash, Tyler Lastovich via Unsplash, Kilian Seiler via Unsplash
FAQ
1. สุขภาพของแบตเตอรี่ (Maximum Capacity) คืออะไร?
ตอบ สุขภาพของแบตเตอรี่คือการเทียบสภาพแบตเตอรี่ในปัจจุบันกับแบตเตอรี่ตอนเริ่มใช้งานใหม่ว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีการเสื่อมสภาพไปมากเท่าไหร่และควรเปลี่ยนหรือยัง? หากเสื่อมสภาพไปถึง 80% แนะนำให้เปลี่ยนเป็นก้อนใหม่เพื่อให้ใช้งานได้ดีดังเดิม
2. การชาร์จไอโฟนข้ามคืนจะมีปัญหาหรือไม่?
ตอบ ไม่มีปัญหาแน่นอน เพราะไอโฟนและอุปกรณ์ไอทีต่างๆ มีระบบป้องกันการชาร์จไฟเกินติดมาให้ในตัว ถ้าชาร์จจนเต็ม 100% ระบบก็จะตัดการชาร์จโดยอัตโนมัติ หรือจะใช้ระบบการชาร์จเพื่อถนอมแบตเตอรี่ (Optimized Battery Charging) โดยระบบจะเรียนรู้พฤติกรรมเจ้าของและชะลอการชาร์จไฟเอาไว้ไม่ให้ชาร์จจนเต็ม และพอใกล้ได้เวลาถอดสายชาร์จแล้วตัวเครื่องจะเร่งการชาร์จมาจนแบตเต็มให้นำไปใช้งานได้
3. การชาร์จแบตไอโฟนให้เต็ม 100% จะดีหรือเปล่า? จะส่งผลเสียอะไรไหม?
ตอบ การชาร์จไอโฟนจนแบตเต็ม 100% ไม่ส่งผลเสียใดๆ แต่ถ้าชาร์จเลี้ยงให้แบตเตอรี่ในเครื่องอยู่ในช่วง 20~80% นอกจากไม่ก่อความร้อนจนแบตเตอรี่เสื่อมอย่างแน่นอน หรือจะใช้ระบบการชาร์จเพื่อถนอมแบตเตอรี่ (Optimized Battery Charging) เสริมก็ดี
4. มีเคล็ดลับใช้ไอโฟนให้แบตลดช้าหรือเปล่า?
ตอบ สามารถทำได้หลายวิธี เช่น ลดความส่างหน้าจอหรือเปิดให้อยู่ในโหมดอัตโนมัติ, เลือกให้ตัวแอปฯ เรียกใช้กล้องหรือระบบระบุตำแหน่ง (Location) เฉพาะตอนใช้แอปฯ เท่านั้น, ปิดการแจ้งเตือนจากแอปฯ ขายสินค้าหรือไม่จำเป็นทิ้งไปใน Settings, เน้นใช้ Wi-Fi เป็นหลักหากมีโอกาส
5. ทำไมการใช้ Wi-Fi ถึงประหยัดแบตเตอรี่กว่าการใช้โหมด Cellular?
ตอบ เพราะถ้าต่อ Wi-Fi ตัวโมเด็มก็ไม่ต้องสแกนค้นหาจุดกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตบ่อยๆ แต่ถ้าอยู่ในโหมด Cellular ตัวเครื่องจะต้องสแกนหาเสาสัญญาณของผู้ให้บริการเครือข่ายเป็นระยะๆ จึงใช้พลังงานแบตเตอรี่เยอะกว่า
6. ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ของไอโฟนเมื่อไหร่ดี?
ตอบ ถ้าตรวจสอบใน Battery Health แล้วความจุแบตเตอรี่สูงสุด (Maximum Capacity) เหลือ 80% หรือต่ำกว่านั้นก็เปลี่ยนได้เลย
7. เราจะเช็คได้อย่างไรว่าแอปฯ ใดใช้พลังงานแบตเตอรี่เยอะสุด?
ตอบ ให้ดูในหัวข้อ Settings > Battery ด้านล่างจะมีรายงานระบุอยู่ว่าแอปฯ ใดใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เยอะสุด ก็สามารถเลือกหยุดการทำงานหรือถอนการติดตั้งทิ้งก็ได้
8. ถ้าใช้สายและหัวชาร์จของแบรนด์อื่นนอกจาก Apple จะดีกับ iPhone หรือเปล่า?
ตอบ ใช้ได้ไม่มีปัญหา เพราะไอโฟนจะเลือกโปรโตคอลการชาร์จของตัวเครื่องให้ตรงกับตัวอะแดปเตอร์และสายชาร์จโดยอัตโนมัติ แต่ควรเลือกซื้ออะแดปเตอร์จากแบรนด์ชั้นนำไว้ใจได้อย่าง Belkin, Aukey, VOLTME ฯลฯ จะดีกว่า
9. สัญลักษณ์ MFi ของ Apple คืออะไร?
ตอบ MFi ย่อมาจาก Made For iPhone/iPad/iPod เพื่อการันตีว่าสินค้าชิ้นนั้นถูกส่งให้ Apple ทดสอบใช้งานกับสินค้ากลุ่มไอโฟนแล้วว่าใช้งานด้วยกันได้แน่นอนและไม่ทำให้มือถือเสียหาย แต่สินค้าพร้อมฉลาก MFi จะมีราคาสูงกว่าสินค้าชิ้นอื่นในท้องตลาดอยู่พอสมควร
10. โหมดประหยัดพลังงาน (Low Power Mode) ทำงานอย่างไร?
ตอบ โหมดประหยัดพลังงาน (Low Power Mode) จะลดการทำงานของฟังก์ชั่นอื่นๆ ได้แก่ ลดความสว่างหน้าจอ, ตัวเครื่องล็อคหน้าจอภายใน 30 วินาที, ปิดไม่ให้แอปเบื้องหลังดึงข้อมูล (Background App Refresh), ถ้าหน้าจอเป็น ProMotion จะปิดเอฟเฟคบางอย่างทิ้งไป, หยุดการซิงค์รูปภาพกับ iCloud ชั่วคราวและจำกัดการทำงานของ 5G จึงแนะนำให้เปิดโหมดนี้เมื่อแบตเตอรี่เหลือน้อยแต่ยังหาโอกาสชาร์จแบตไม่ได้หรือยังไม่ถึงบ้านจะดีสุด
บทความที่เกี่ยวข้อง
