MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ในบอดี้สุดบาง น้ำหนักสุดเบา มี Intel Core Ultra 200V ให้ทำงานใหญ่เล็กได้อย่างยอดเยี่ยม!
การลงทุนเปลี่ยนอุปกรณ์ทำงานให้มีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าอย่างไรก็คุ้มค่า ยิ่งเป็นยุคของ AI แล้ว จะซื้อโน๊ตบุ๊คใหม่อย่าง MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG มาใช้ยิ่งถูกเวลา เพราะเข้าเงื่อนไข Copilot+ PC และ Intel Evo Edition ทั้งคู่ การันตีว่ามันสามารถทำงานเล็กใหญ่ได้เป็นอย่างดีด้วยพลังของซีพียู Intel Core Ultra 200V Series ที่ยกเครื่องสถาปัตยกรรมภายในมาใหม่หมด จึงทำงานเอกสาร, กราฟิคหรือรัน AI ก็ดี แถมมี MSI AI Engine ไว้เปลี่ยนโหมดให้เข้ากับแต่ละโปรแกรมโดยอัตโนมัติ ให้ผู้ใช้โฟกัสกับงานตรงหน้าได้โดยไม่ต้องคอยมาเปลี่ยนโหมดเครื่องไปมาให้เสียเวลา
หัวใจของ Prestige 13 AI+ EVO A2VMG อย่าง Intel Core Ultra 7 258V แม้จะตัด Hyperthreading ออกไป จึงมีเพียง 4 Performance-core กับ 4 LPE-core (Low Power Efficient) รวมเป็น 8 คอร์ 8 เธรด จนหลายคนอาจกังขาว่าประสิทธิภาพจะลดลงบ้าง แต่ในความเป็นจริงกลับส่งผลดีมากกว่า ทั้งการส่งงานระหว่างคอร์มีความหน่วงลดลงและจัดการคิวการประมวลผลงานได้เร็วกว่าเดิมแล้ว ยังประหยัดแบตเตอรี่กว่าเดิมมาก ด้านจีพียู Intel Arc Graphics 140V รุ่นปรับปรุงมาใหม่ก็ทำงานกราฟิคได้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะใช้ทำงานทั่วไปหรือเล่นเกมชั้นนำในปัจจุบันก็ดีขึ้นมากจนกลายเป็นเพื่อนแก้เหงาในเวลาว่างได้ระดับหนึ่งเลย จะด้วยพลังของตัวชิปเซ็ตก็ดีหรือเปิด Intel XeSS Upscalling เสริมเข้าไปก็ยิ่งช่วยให้เฟรมเรทเพิ่มขึ้นและเสถียรกว่าเดิม หากใครสนใจรายละเอียดเชิงลึกของ Intel Core Ultra 200V สามารถอ่านได้ที่นี่
ด้านของฟีเจอร์เพิ่มคุณภาพชีวิตของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ได้สืบทอดมาจากรุ่นก่อนก็มีให้ใช้ครบเครื่อง ไม่ว่าจะกล้องอินฟาเรดสแกนใบหน้า (IR Camera) เสริมด้วย 3D Noise Reduction+ (3DNR+) ก็ช่วยจัดการ Noise เวลาใช้งานให้ลดลง เสริมด้วยเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือให้ใช้ได้ร่วมกัน แถมเรียกใช้ระบบยืนยันตัวตนทางออนไลน์อย่าง FIDO2 ได้อย่างรวดเร็วด้วยชิป Wi-Fi 7 เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด จึงรับส่งข้อมูลได้รวดเร็วและเสถียรยิ่งกว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้ติดตั้งมาให้ในโน๊ตบุ๊คเครื่องเล็กขนาด 13.3 นิ้ว เบาเพียง 990 กรัมเท่านั้น
NBS Verdicts
MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ยังรักษามาตรฐานความเป็นโน๊ตบุ๊คพรีเมี่ยมไว้ได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ตัวเครื่องอลูมิเนียมเรียบหรูและแข็งแรงทนทาน แต่น้ำหนักเบาเพียง 990 กรัมเท่านั้น จึงพกไปไหนมาไหนได้ง่าย ตอบโจทย์คนชีพจรลงเท้าอย่างงานเซลส์ที่ต้องเดินทางไปพบลูกค้าเพื่อประชุมพรีเซนต์งานรับบรีฟเป็นประจำมาก แถมลูกเล่นเล็กๆ อย่างการกางหน้าจอให้แบนราบ 180 องศา พร้อมปุ่ม Flip-n-Share เอาไว้กดพลิกหน้าจอกลับให้ลูกค้าดูได้สะดวกขึ้น แถมยังรักษาตำแหน่งโน๊ตบุ๊คน้ำหนักเบาที่สุดไว้ได้และยังไม่มีโน๊ตบุ๊คเครื่องไหนเอาชนะเจ้าเครื่องนี้ได้เลย
ฟังก์ชั่นเพิ่มคุณภาพชีวิตอย่างกล้องอินฟาเรดสแกนใบหน้าคู่กับเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือนอกจากรักษาความปลอดภัยข้อมูลและเป็นส่วนตัวได้ดีแล้ว ก็รองรับระบบ FIDO2 ยืนยันตัวตนผ่านทางออนไลน์ได้ ช่วยลดโอกาสการถูกขโมยข้อมูลได้มาก เสริมด้วยพอร์ต Thunderbolt 4 อีกคู่ไว้ต่ออุปกรณ์เสริม, หน้าจอแยกและยังชาร์จไฟได้ เหน็บ Microsoft Office Home & Student 2021 มาให้เจ้าของใช้จัดการกองเอกสารตรงหน้าได้ทันที แถมผ่านมาตรฐาน Microsoft Copilot+ PC กับ Intel Evo Edition การันตีว่าผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ใช้งานที่ดีน่าประทับใจแน่นอน
นอกจากความปลอดภัยก็ยังได้ชิปเซ็ต Intel Core Ultra 7 258V ใหม่ ยกเครื่องสถาปัตยกรรมให้ทำงานได้ดีเช่นเดิมแม้ไม่มี Hyperthreading แล้วก็ตาม แต่ในแง่ใช้งานจริง Intel Core Ultra 200V Series ก็ยังใช้ได้ดีไม่แพ้เดิม ไม่ว่าจะทำงานออฟฟิศแบบใดเล่นเกมชั้นนำเกมไหนก็ได้บนจอความละเอียด 1080p เสริมด้วย Intel XeSS Upscalling อีกชั้นก็ช่วยให้ภาพลื่นไหลขึ้น แถมยังจัดการพลังงานแบตเตอรี่ได้เยี่ยมใช้งานได้ทั้งวันไม่ต้องลุ้นสักครั้ง แต่ถ้าติดแบตฯ สำรองหรืออะแดปเตอร์ GaN 65W ขึ้นไปใส่กระเป๋าไว้สักชิ้นก็ยิ่งดี
ข้อสังเกตของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG หลักๆ คือเรื่องอุณหภูมิตัวเครื่อง เพราะตอนใช้งานเต็มกำลังแล้วบอดี้อลูมิเนียมจะช่วยระบายความร้อนภายในออกมาภายนอกให้ชิปเซ็ตยังทำงานได้เต็มที่ ไม่เกิดการ Throttle Down แต่ผิวสัมผัสจะมีอุณหภูมิสูงพอควร แต่จะเกิดเฉพาะตอนเปิดโปรแกรมใหญ่อย่างตระกูล Adobe หรือเล่นเกมชั้นนำเท่านั้น ถ้าปกติเปิดเว็บไซต์, ทำงานเอกสารหรือดูหนังฟังเพลงจะไม่เจอปัญหานี้แน่นอน ถัดมาคือเสียงเบสลำโพงอยู่ในระดับทั่วไปไม่ค่อยมีแรงปะทะนัก แต่กลับกันเสียงนักร้องนำกับเครื่องดนตรีจะดี เหมาะกับการฟังเพลงป็อป, แจ๊สหรือรักการฟัง Podcast จะเหมาะมาก ถ้าจะฟังเพลงแนวอื่นแนะนำให้ต่อลำโพงแยกจะดีกว่า
ข้อดีของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG
- ติดตั้งซีพียู Intel Core Ultra 7 258V รุ่นใหม่มาให้ มีกำลังประมวลผล AI สูง 115 TOPS
- จีพียู Intel Arc Graphics 140V มีประสิทธิภาพดีขึ้น ใช้ทำงานกราฟิคและเล่นเกมได้ดี
- มี SSD 1TB กับ RAM 32GB LPDDR5x ติดตั้งมาให้ใช้ ไม่ต้องอัปเกรดเพิ่มก็ได้
- หน้าจอมีขนาด 13.3 นิ้ว ความละเอียด 2.8K พาเนล OLED ได้ภาพคมชัดสีสันสดใส
- พาเนลหน้าจอมีขอบเขตสีกว้าง 100% DCI-P3 ตรงข้อมูลเคลมหน้าสเปค ใช้ทำงานได้ดี
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เสถียรและรวดเร็วด้วย Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be
- ตัวเครื่องน้ำหนักเบาเพียง 967 กรัมเท่านั้น พกใส่กระเป๋าไปทำงานได้สะดวกมาก
- กางหน้าจอได้แบนราบ 180 องศา และกดปุ่ม Flip-n-Share พลิกหน้าจอกลับให้เพื่อนดูได้
- ติดตั้งเซนเซอร์สแกนใบหน้าและลายนิ้วมือมาให้ใช้ยืนยันตัวปลดล็อคเครื่องได้สะดวกปลอดภัย
- ใช้ระบบยืนยันตัวออนไลน์ FIDO2 ได้ เพิ่มความรัดกุมปลอดภัยยิ่งขึ้น
- แบตเตอรี่มีความจุ 75Whr ผสานกับชิปเซ็ตรุ่นใหม่แล้วใช้งานได้ร่วม 14 ชม.
- เชื่อมต่อหน้าจอแยกและชาร์จไฟได้ด้วยพอร์ต Thunderbolt 4 ทั้งสองช่องข้างเครื่อง
- ซอฟท์แวร์ MSI Center S เวอร์ชั่นใหม่ UI ใช้งานง่ายจัดหมวดหมู่ได้ดี
- ติดตั้ง Microsoft Office Home & Student 2021 มาให้พร้อมใช้งาน
ข้อสังเกตของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG
- เวลาใช้งานเต็มกำลังตัวเครื่องจะมีอุณหภูมิสูงพอควร แนะนำให้วางบนแท่นวางโน๊ตบุ๊ค
- ลำโพงเน้นเสียงนักร้องนำและเครื่องดนตรีเป็นหลัก เสียงเบสยังไม่หนักแน่นนัก
รีวิว MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG
- Specification
- Hardware & Design
- Screen & Speaker
- Keyboard & Touchpad
- Connector, Thin & Weight
- Inside & Upgrade
- Performance & Software
- Battery & Heat & Noise
- User Experience
- Conclusion & Award
- Gallery
Specification
โน๊ตบุ๊คพรีเมี่ยมรุ่นใหม่อย่าง MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG นอกจากคงดีไซน์สวยเรียบง่ายและน้ำหนักเบาไม่ถึงกิโลกรัมจากรุ่นก่อนเอาไว้แล้ว ยังอัปเกรดสเปคให้ทันสมัยด้วยชิป Intel Core Ultra 200V Series รุ่นล่าสุด รวมทั้งผ่านมาตรฐาน Copilot+ PC และ Intel Evo Edition การันตีว่านอกจากทำงานได้ดีในทุกมิติตั้งแต่ใช้งานทั่วไป รวมถึงซอฟท์แวร์และส่วนเสริม AI อีกด้วย ด้านสเปคโดยละเอียดเป็นดังนี้
CPU | Intel Core Ultra 7 258V แบบ 8 คอร์ 8 เธรด (4P+4E) ความเร็ว Performance-core 2.2~4.8GHz ความเร็ว LPE-core 2.2~3.7GHz สถาปัตยกรรม TSMC N3B |
NPU | Intel AI Boost NPU กำลังประมวลผล 47 TOPS กำลังประมวลผลรวม 115 TOPS |
GPU | Intel Arc Graphics 140V Intel Xe-Core 8 คอร์ ความเร็วสูงสุด 1.95GHz กำลังประมวลผล (Int8) 64 TOPS กราฟิกเอาท์พุต รองรับ DP2.1 UHBR20, HDMI 2.1 FRL 12GHz, Ray Tracing |
SSD | M.2 NVMe SSD 1TB อินเทอร์เฟส PCIe 4.0 x4 |
RAM | ออนบอร์ด 32GB LPDDR5X บัส 8533MHz |
Operating System | Windows 11 Home Microsoft Office Home & Student 2021 |
Display | 13.3″ 2.8K (2880*1800) OLED อัตราส่วนหน้าจอ 16:10 100% DCI-P3 |
Connectivity | Thunderbolt 4 Full Function*2 USB-A 3.2 Gen2*1 MicroSD Card Reader*1 HDMI 2.1*1 (8K 60Hz / 4K 120Hz) Audio combo*1 Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be Bluetooth 5.4 |
Weight (กก.) | 990 กรัม |
Sensor & Biometric | IR FHD Camera 3DNR+ Fingerprint Reader |
Price | 50,990 บาท (MSI Thailand Shopee Mall) |
Hardware & Design
รูปลักษณ์ภายนอกของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG เทียบกับรุ่นก่อนแล้วจะคล้ายเดิมอยู่มาก ไม่ว่าจะใช้วัสดุอลูมิเนียมทำสีเทาเข้ม Stellar Gray ขึ้นโครงเครื่องเพื่อความแข็งแรง ใช้กรอบพลาสติกสีดำขอบบางล้อมกรอบเอาไว้และย้ายโลโก้ MSI จากขอบด้านล่างมาติดไว้มุมซ้ายบนเหนือเครื่องคู่สติกเกอร์ OLED 2.8K ตรงข้ามกับสติกเกอร์ Intel Core Ultra, Intel Arc Graphics และ HDMI ตรงแถบที่วางข้อมือซ้าย ผิดกับฝั่งขวาซึ่งโล่งสะอาดตา เสริมด้วยช่องไมโครโฟนระหว่างปุ่ม Caps Lock และ Shift ซ้าย ช่วยจับเสียงผู้พูดเวลาประชุมงานออนไลน์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ก้านบานพับหน้าจอถูกติดไว้ตั้งฉากกับบานหน้าจอประกบเข้าขอบบนตัวเครื่อง ดูจากขอบด้านหลังจะเห็นว่าก้านบานพับจะอยู่ถัดออกมาด้านหลังเครื่องไม่ติดชิ้นส่วนใด จึงกางได้กว้าง 180 องศา กดฝาหลังให้แบนราบไปกับพื้นโต๊ะได้ จึงปรับองศาหน้าจอให้เข้ามุมสายตาผู้ใช้ได้สะดวกหรือขึ้นแท่นวางโน๊ตบุ๊คก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังกดปุ่มลัด Flip-n-Share พลิกภาพหน้าจอกลับให้คู่สนทนาดูได้ทันที มีประโยชน์เวลาประชุมงานกับลูกค้ามาก
ฝาหลังของ Prestige 13 AI+ EVO เป็นบอดี้อลูมิเนียมสีเทาติดโลโก้ MSI สีเงินเอาไว้ตรงกลางค่อนบนจุดเดียวเท่านั้น ได้ภาพลักษณ์เรียบหรูสวยงามไม่มีลวดลายใดเสริมเข้ามาดึงดูดสายตา เสริมบุคลิคผู้ใช้ให้ดูดีขึ้น ถัดลงมามีก้านพลาสติกติดอยู่ริมเครื่องทั้งสองฝั่งเพื่อยกเครื่องขึ้นเล็กน้อย ป้องกันไม่ให้ขอบล่างเครื่องรูดกับพื้นโต๊ะจนเสียสีหรือเกิดรอยขนแมวได้ ถ้าพลิกเครื่องขึ้นมาจะเห็นว่าด้านใต้บานหน้าจอจะมีแถบสีฟ้าสลักโลโก้ MSI เอาไว้เหมือนรุ่นก่อนไม่มีผิด จะเห็นก็ต่อเมื่อพับหน้าจอลงเท่านั้น
ด้านใต้เครื่องถัดจากขอบใต้หน้าจอสีฟ้าพร้อมโลโก้ MSI จะมีจุกยางกันลื่น 4 มุม ติดเป็นจุดคู่บนและแถบสั้นคู่ล่างเอาไว้กันตัวเครื่องไถลเวลาใช้งานและป้องกันการเกิดรอยขนแมวด้วย ตรงกลางเครื่องเจาะช่องนำลมเข้าไว้ 3 ช่อง แยกเป็นช่องใหญ่ตรงกลางและแท่งสูงขนาบข้างสองฝั่ง ขันน็อตหัว Philips Head ไว้อีก 7 ดอก แต่เห็นเพียง 6 ดอก เพราะอันสุดท้ายถูกสติกเกอร์ Factory seal ปิดเอาไว้ตรงมุมขวาล่าง
หากใช้ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ทำงานแล้วเกิดปัญหาจุกจิก เช่น ชาร์จไฟไม่เข้าแบตฯ, กดปุ่ม Power แล้วเครื่องดับทันที, คีย์บอร์ดทัชแพดรวมถึงไฟ LED Backlit ทำงานผิดพลาด รวมถึงพัดลมระบายความร้อนไม่ทำงาน จะมีช่อง Battery Reset Hole ให้ใช้ทำ EC Reset (Embedded Controller Reset) ติดมาเพื่อล้างการตั้งค่าคอนโทรลเลอร์ภายในเครื่องให้กลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่ห้ามกดในทันที แต่ทำตามขั้นตอนดังนี้
- กดปิดเครื่องให้เรียบร้อย
- ถอดปลั๊กออกจากเครื่องและพับหน้าจอปิดให้เรียบร้อย
- นำเข็มเย็บผ้าหรือเข็มกลัดแทงปุ่มด้านในแล้วกดค้างไว้ 30 วินาที แล้วปล่อยออก
- เสียบปลั๊กกลับไปแล้วกดเปิดเครื่องอีกครั้ง
Screen & Speaker
หน้าจอขนาด 13.3 นิ้ว ของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ดีไซน์ให้ขอบข้างมีความบางเพิ่มพื้นที่แสดงผลแนวนอนให้กว้างขึ้น แนวตั้งจะสูงกว่าปกติเล็กน้อยเป็นอัตราส่วน 16:10 มีขอบบนหนาขึ้นเพื่อติดตั้งชุดกล้องเว็บแคม, กล้องอินฟาเรด, ไมโครโฟนและบานชัตเตอร์ปิดกล้องเว็บแคมไว้ สังเกตว่าสันเหนือกล้องเว็บแคมจะหนากว่าปกติเพราะทางบริษัทดีไซน์ให้ขอบยื่นออกมาเล็กน้อย เอานิ้วกางหน้าจอเปิดใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้นและถ่วงสมดุลมาได้พอเหมาะจึงกางเปิดหน้าจอได้ง่าย
หน้าจอมีความละเอียด 2.8K (2880*1800) พาเนล OLED รหัส ATNA33AA07-0 มีอัตราความหนาแน่นเม็ดพิกเซลต่อนิ้ว (PPI) สูง ภาพจึงคมชัดและเร่งความสว่างได้ถึง 398.47 cd/m2 จึงเร่งแสงสู้แสงแดดส่องกระทบหน้าจอได้และมีซอฟท์แวร์ OLED Care คอยป้องกันหน้าจอเบิร์น ต่อให้เร่งความสว่างสูงสุดก็ใช้ได้ไม่มีปัญหา ถ้าใช้งานในห้องหรืออาคารลดมาเหลือ 50% ก็ยังสว่างพอมองเห็นได้ชัดเจน
ข้อดีที่พาเนล OLED มีเหมือน IPS คือ บานพาเนลสามารถแสดงภาพได้กว้าง 178 องศา เวลามองจากมุมอื่นนอกจากหน้าตรงแล้วจะไม่เกิดเงาทาบหรือสีเพี้ยนแม้แต่น้อย พอทดสอบวัดด้วย DisplayCal 3 คู่กับเครื่อง Calibrite Display Pro HL ได้ค่าขอบเขตสีจริงของหน้าจอ (Gamut coverage) 100% sRGB, 95.8% Adobe RGB, 99.1% DCI-P3 และขอบเขตสีองค์รวม (Gamut volume) ได้ 169.2% sRGB, 116.5% Adobe RGB, 119.8% DCI-P3 ค่าความเที่ยงตรงสี Delta-E 0.17~2.45 ตรงกับข้อมูลในหน้าสเปค นอกจากได้สีสันสวยงามแล้ว ยังใช้แต่งภาพและพรู้ฟสีงานอาร์ตเวิร์คต่างๆ ได้แน่นอน
ลำโพงคู่ของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG มีกำลังขับดอกละ 2 วัตต์ นอกจากปรับจูนเสียงแล้วก็ใช้ซอฟท์แวร์ของ DTS Audio เปลี่ยนโทนเสียงให้เข้ากับคอนเทนต์และปรับตั้ง EQ ได้ตามชอบ เวลาเร่งลำโพงดังสุดแล้ววัดเสียงได้ดังถึง 84dB ดังพอได้ยินชัดเจนในห้องขนาด 13 ตร.ม. แน่นอน
เวลาฟังเพลงแล้วเสียงของลำโพงคู่นี้จะเน้นเสียงเครื่องดนตรีกับนักร้องนำเป็นหลัก แต่เบสยังไม่ค่อยมีแรงปะทะนัก จึงเหมาะกับเพลงแจ๊ส, ป็อปหรือคลาสสิคหรือ Podcast มากกว่า แนะนำให้ต่อลำโพงแยกมีซับวูฟเฟอร์เพิ่มสักตัวจะแก้เรื่องนี้ได้ แต่ถ้าไม่ได้เน้นเสียงเบสนักก็ไม่ต้องโฟกัสเรื่องนี้ก็ได้
Keyboard & Touchpad
คีย์บอร์ด Tenkeyless ของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG เป็นปุ่มสีดำมีไฟ LED Backlit สีขาวลอดตัวอักษรและเรืองรอบปุ่มให้พิมพ์งานในที่แสงน้อยได้สะดวก มีปุ่ม Hotkey ไว้กดปรับความสว่างได้ 3 ระดับ โดยลดความสว่างไปเรื่อยๆ จนดับสนิทแล้วกดเพื่อเปิดกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้ก็มีปุ่ม Function ติดมาให้ใช้และซ้อนคำสั่งต่างๆ เข้ามา ได้แก่ ปุ่ม Print screen ใช้เรียก Snipping tool ได้, ปุ่ม Delete มีคำสั่ง Insert รวมไว้ นอกจากนี้ก็มีปุ่ม Page Up กับ Home และ Page Down พร้อมคำสั่ง End อยู่เหนือปุ่มลูกศรซ้ายและขวา มีปุ่ม Copilot ติดอยู่ฝั่งขวาแทนปุ่ม Menu เดิม แต่แชร์พื้นที่ร่วมกับปุ่ม Backslash ( \ ) ส่วนตัวอยากแนะนำให้ทำเป็นปุ่มเรียก Microsoft AI อย่างเดียวจะดีกว่า
ตัวปุ่ม Power ถึงจะติดรวมไว้กับปุ่มอื่นบนแป้นคีย์บอร์ดก็ตาม แต่ทางบริษัททำปุ่มให้เตี้ยและแข็งกว่าปุ่มอื่นไม่ให้เจ้าของเครื่องเผลอกดผิดสั่ง Shut down เครื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ แถมยังทำสีเข้มกว่าปุ่มอื่นจึงแยกออกได้ไม่ยากมาก นอกจากนี้ถ้ากดปุ่มพิเศษอย่าง Caps Lock, Fn+Esc และ Fn+F5 จะมีไฟ LED สีขาวติดค้างบอกผู้ใช้ว่าฟังก์ชั่นนี้ทำงานค้างอยู่ด้วย
Hotkeys ในบรรทัด F1~F12 ของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG นอกจากติดคำสั่งใช้งานพื้นฐานมาให้ครบทุกปุ่มแล้ว ยังกด Fn+Esc เพื่อสลับไป Function key ได้ด้วย แต่ละปุ่มจะมีคำสั่งดังนี้
- F1~F3 – ปิด, ลด/เพิ่มเสียงลำโพง
- F4 – ปิดการทำงานทัชแพด
- F5 – ปิดไมโครโฟน
- F6 – ปิดการทำงาน Bluetooth
- F7 – ปุ่ม MSI Center S เปลี่ยนโหมดตัวเครื่อง
- F8 – ปุ่มปรับความสว่างไฟคีย์บอร์ด
- F9~F10 – ลด/เพิ่มความสว่างหน้าจอ
- F11 – ปุ่ม Project ตั้งค่าหน้าจอหลักและเสริม
- F12 – ปุ่ม Flip-n-Share พลิกหน้าจอกลับด้าน
- Prt scr (Print Screen) – กดเรียกโปรแกรม Snipping Tool
- Delete – กดเรียกคำสั่ง Insert
ในฐานะโน๊ตบุ๊คทำงาน ถือว่าทางบริษัทตั้ง Hotkeys จำเป็นมาให้ใช้ครบถ้วน สามารถกดตั้งค่าได้สะดวกมาก แต่ขอเสนอให้เปลี่ยนคำสั่งปุ่ม F6 จากปิดการทำงาน Bluetooth เป็น Airplane mode เพื่อตัดการเชื่อมต่อไร้สายทั้งหมดจะดีกว่า เผื่อเจ้าของเครื่องต้องการใช้โน๊ตบุ๊คระหว่างบินไปต่างประเทศหรือต้องการอยู่ในโหมด Offline จะใช้ได้สะดวกกว่า
แป้นทัชแพดของ Prestige 13 AI+ EVO มีขนาดใหญ่และกว้างวางตัวเสมอปลายปุ่ม Alt ฝั่งซ้ายไปจนเกือบกึ่งกลางปุ่ม Backslash ขวา ใช้ Touch gesture ของ Windows 11 ได้ครบถ้วน สามารถลากนิ้วและกดสั่งการทำงานได้รวดเร็ว พอวางมือลงปุ่มบนคีย์บอร์ดแล้วสันมือซ้ายจะไม่พาดทับบนแป้นแน่นอนแต่สันมือขวาจะพาดทับโดยปริยาย แต่เวลาพิมพ์งานก็ไม่เจออาการทัชแพดลั่นใดๆ ถ้าไม่มั่นใจก็ยังกดปิดการทำงานไปชั่วคราวแล้วใช้เมาส์แทนได้ด้วย
Connector, Thin & Weight
พอร์ตและการเชื่อมต่อไร้สายของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ถูกติดตั้งไว้ด้านข้างเครื่องทั้งสองฝั่งแถมแต่ละช่องก็มีประสิทธิภาพสูงพอรับส่งข้อมูลได้รวดเร็ว สังเกตว่าฝั่งซ้ายจะเป็นพอร์ตต่อทิ้งไว้กับเครื่องเป็นเวลานาน ส่วนฝั่งขวาเป็นแบบต่อเข้าถอดออกบ่อยๆ ซึ่งแต่ละช่องจะเป็นดังนี้
- ฝั่งซ้ายจากซ้ายมือ – HDMI, Thunderbolt 4*2, Audio combo
- ฝั่งขวาจากซ้ายมือ – MicroSD Card reader, Kensington Lock, USB-A 3.2
- การเชื่อมต่อไร้สาย – Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be รองรับ Bluetooth 5.4
ถ้านับตามจำนวนและเวอร์ชั่นของพอร์ตแล้ว Prestige 13 AI+ EVO ก็มีให้ใช้ครบถ้วนจนไม่ต้องปรับแต่งอะไรเพิ่ม ยิ่งใครใช้หน้าจอ USB-C แบบเป็น Port hub ในตัวจะยิ่งสะดวกขึ้นเพราะเอาสาย Thunderbolt ต่อเครื่องก็ใช้งานได้เลย หรือถ้าใครต้องเชื่อมกับระบบ Network ภายในบริษัทแนะนำให้หา USB-A to LAN หรือ USB-C Multiport adapter มาเพิ่มสักชิ้นก็เพียงพอแล้ว
จุดขายอย่างความเบาบางก็น่าประทับใจ จากการวัดด้วยไม้เวอร์เนียคาลิปเปอร์ด้านหน้าเครื่องจะบางเพียง 16.9 มม. และด้านหลังหนาขึ้นเล็กน้อยเป็น 18 มม. เท่านั้น จึงพกใส่กระเป๋าเป้หรือสะพายข้างก็ได้ทั้งคู่ แต่แนะนำให้ใส่ซองโน๊ตบุ๊คที่แถมมาในกล่องสินค้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุสุดวิสัยสักนิดจะอุ่นใจขึ้น
น้ำหนักตัวเครื่องจากตาชั่งดิจิตอล วัดแล้วเบาเพียง 967 กรัม เบากว่าข้อมูลหน้าสเปคถึง 23 กรัม ถ้ารวมอะแดปเตอร์เฉพาะตัว 65W และสายไฟอีก 360 กรัม จะหนักเพียง 1.32 กก. เท่านั้น นับเป็นโน๊ตบุ๊คพรีเมี่ยมที่น้ำหนักเบาสุดในปัจจุบัน สามารถพกเครื่องไปไหนมาไหนได้ง่าย เวลาจัดกระเป๋าอยากแนะนำให้ต่ออะแดปเตอร์เฉพาะตัวไว้กับโต๊ะทำงาน แล้วเปลี่ยนมาพกอะแดปเตอร์ GaN 65W กับสาย USB-C แทน นอกจากประหยัดพื้นที่ให้เก็บของใช้ได้มากขึ้นแล้วถ้าเป็น GaN 100W จะใช้ชาร์จสมาร์ทโฟนไปพร้อมกันได้ด้วย
Inside & Upgrade
อย่างไรก็ตาม ภายในโน๊ตบุ๊คบางเบาแทบทุกเครื่องรวมถึง MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG จะมีจุดให้อัปเกรดหน่วยความจำได้จำกัด หลังจากขันน็อต Philips Head 7 ดอก ออกแล้วเอาก้านพลาสติกแข็งงัดในช่องก้านบานพับออกทั้งสองฝั่งให้ฝาหลังแยกออกจากตัวเครื่องแล้วเอาการ์ดแข็งไล่กรอบรอบเครื่องก็จะเปิดได้
สังเกตว่าบนเมนบอร์ดมีพื้นที่จำกัดมากเพราะต้องฝังชิปเซ็ตและคอนโทรลเลอร์ต่างๆ เอาไว้เต็มไปหมด จึงมีเพียงช่อง PCIe 4.0×4 สำหรับ M.2 NVMe SSD ตัวหลักและฝังชิป Wi-Fi PCIe ไว้อีกตัวเท่านั้น และความเร็วของ SSD จากการทดสอบก็ถือว่าสูงพอควรแล้วจึงไม่คุ้มเปิดฝาอัปเกรดนัก แต่เปลี่ยนไปซื้อ External SSD มาบันทึกไฟล์งานแทนจะดีกว่า
Performance & Software
ซีพียูใน MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG รุ่นล่าสุดติดตั้งเป็น Intel Core Ultra 7 258V แบบ 8 คอร์ 8 เธรด แยกเป็น 4 Performance-cores ความเร็ว 2.2~4.8GHz และ 4 Low Power Efficient-cores (LPE-cores) ความเร็ว 2.2~3.7GHz ตัด SMT (Simultaneous Multithreading) หรือ Hyperthreading ออกไปเป็นรุ่นแรกตามที่ประกาศในงาน IFA Berlin มีกำลังประมวลผล AI แบบ Int8 สูงสุด 115 TOPS ในรหัสพัฒนา Intel Lunar Lake ค่า TDP ตั้งแต่ 8~37W รองรับชุดคำสั่งพื้นฐานและ AI Frameworks รอบด้าน ได้แก่ OpenVINO, WindowsML, DirectML, ONNX RT, WebNN ครบถ้วน จึงใช้งานได้รอบด้าน
RAM ติดตั้งมาแบบออนบอร์ด มีความจุ 32GB LPDDR5X บัส 8533MHz ค่า CL92 มีความจุมากพอใช้ทำงานได้ทุกแบบ รวมถึงเผื่อเอาไว้แชร์ให้จีพียู Intel Arc Graphics 140V ใช้เป็น VRAM ได้ 16GB เวลาเรนเดอร์กราฟิคแบบต่างๆ ได้ เสริม Intel AI Boost NPU กำลังประมวลผล NPU 47 TOPS
จีพียู Intel Arc Graphics 140V เป็นรุ่นพัฒนาต่อจาก Arc Graphics ใน Intel Core Ultra 100 Series มี Xe-Cores 8 คอร์ในตัว มีความเร็ว 1.95GHz มีกำลังประมวลผล AI 64 TOPS ในตัว สามารถต่อหน้าจอแยกความละเอียดสูงสุดได้ 8K (7680*4320) 60Hz หรือ 4K (3840*2400) 120Hz ก็ได้ ต่อหน้าจอแยกได้มากสุด 3 จอพร้อมกัน รองรับชุดคำสั่งต่างๆ ดังนี้
- Computing Technologies – OpenCL, OpenGL 4.6, DirectCompute, DirectML, Vulkan, Ray Tracing
- AI Frameworks – OpenVINO, WindowsML, DirectML, ONNX RT, WebGPU, WebNN, Intel DL Boost
- Video Encode – DirectX 12.2, H.264, H.265 (HEVC), H.266 (VVC), AV1, VP9, Intel Quick Sync Video
ชิ้นส่วนสำคัญภายในเครื่องจากการตรวจสอบด้วย Device Manager จะเห็นว่ามีชิป TPM 2.0 และ Microsoft Pluton ติดตั้งมาให้ทำงานร่วมกับระบบ Windows Hello ช่วยรักษาความปลอดภัยให้ข้อมูลภายในเครื่อง ทำงานร่วมกับเซนเซอร์สแกนใบหน้าและเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือของ Goodix คู่กัน
Wi-Fi PCIe Card เป็น Intel Killer BE1750s รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 7 มาตรฐาน 802.11be กับอุปกรณ์ไร้สายด้วย Bluetooth 5.4 ได้ เสาสัญญาณเป็นแบบ 2×2 แบนด์วิธกว้าง 320MHz รับส่งข้อมูลได้รวดเร็วสูงสุด 5.8 Gbps 4K QAM เชื่อมคลื่นสัญญาณ 2.4, 5, 6 GHz ได้ในตัว รองรับ MU-MIMO, OFDMA และ Intel vPro ในตัว
จากการทดสอบเชื่อมต่อกับคลื่น 5 GHz ของเราเตอร์ Wi-Fi 6 แล้วตั้งเครื่องห่างจากกล่อง 10 เมตร มีประตูไม้อัดกั้น 1 บาน แล้วทดสอบกับเว็บไซต์ Speedtest by Ookla จะมีความเร็ว Download 822.42 Mbps และ Upload 822.28 Mbps ค่า Ping ต่ำเพียง 8ms จัดว่ารวดเร็วมากพอจะใช้รับส่งไฟล์งานขนาดใหญ่ได้เป็นอย่างดี
OEM SSD ใน MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ติดตั้ง WD PC SN560 จากโรงงาน Westen Digital มาให้ใช้งาน อินเทอร์เฟส PCIe 4.0×4 มีความจุ 1TB มักติดตั้งมากับโน๊ตบุ๊คทำงานรุ่นต่างๆ ในปัจจุบัน จากการทดสอบกับโปรแกรม CrystalDiskMark 8 จะมีความเร็วดังนี้
ความเร็ว/สเปค | Read (MB/s) | Write (MB/s) |
Sequential | 5,012 | 3,355.71 |
RND4K | 609.15 | 428.44 |
ว่าด้วยความเร็วแล้ว WD PC SN560 1TB มีความเร็วรับส่งข้อมูลทั้งแบบเป็นไฟล์ใหญ่ก้อนเดียวแบบ Sequential หรือจะเป็นไฟล์ย่อยๆ หลายไฟล์ก็ทำได้ดีจนไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนก็ได้ แต่แนะนำให้ซื้อ External SSD แบบพอร์ต USB-C มาใช้เก็บไฟล์งานแทนแล้วค่อยเปลี่ยนเมื่อ SSD ในเครื่องเสียก็ยังได้
ผลคะแนนจากการทดสอบกับโปรแกรม PCMark 10 จำลองการทำงานในรูปแบบต่างๆ ถือว่า MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ทำงานได้ดีมาก ซึ่งปกติคะแนนเฉลี่ยของโน๊ตบุ๊คบางเบาทั่วไปมักทำได้ราว 6 พันคะแนนต้นๆ เท่านั้น แต่ Intel Core Ultra 7 258V กลับทำได้สูงแตะหลัก 7 พันคะแนน ถือว่าน่าประทับใจมาก ถ้าดูแยกเป็นหมวดหมู่จะเห็นว่าจีพียู Intel Arc Graphics 140V ก็ประมวลผลกราฟิคได้ดี โดยเฉพาะการแต่งภาพนิ่งสามารถทำได้เยี่ยมและยังใช้ตัดต่อวิดีโอได้ระดับหนึ่งด้วย
คะแนนเฉลี่ย | 7,028 คะแนน |
Essentials (ทดสอบการเปิดโปรแกรม, ประชุมออนไลน์และเปิดเบราเซอร์) | 9,211 คะแนน |
Productivity (ทดสอบการทำงานกับโปรแกรม Microsoft Word, Excel) | 10,723 คะแนน |
Digital Content Creation (ทดสอบการแต่งภาพ, ตัดต่อวิดีโอและทำ Virtualization) | 9,538 คะแนน |
ถึงเห็นว่า MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG เป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาก็จริง แต่ก็ยังใช้ทำงานปั้นโมเดล 3D ได้ระดับหนึ่ง จากการทดสอบกับ Blender Benchmark จำลองการเรนเดอร์โมเดลว่าภายใน 1 นาที จะเรนเดอร์ได้กี่โมเดล ยิ่งได้มากยิ่งดีและหลังจากทดสอบแล้วจะได้ผลดังนี้
การทดสอบ / ปริมาณ Sample (ยิ่งมากยิ่งดี) | Intel Core Ultra 258V | Intel Arc Graphics 140V |
monster | 62 | 277 |
junkshop | 36 | 108 |
classroom | 26 | 134 |
แม้ว่า MSI Prestige 13 AI+ EVO จะเป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาแต่ก็ทำงานเรนเดอร์กราฟิคได้ดีพอสมควร จากการทดสอบกับโปรแกรม CINEBENCH ทั้ง 3 เวอร์ชั่น จะเห็นว่า Intel Core Ultra 7 258V ก็ใช้ทำงานประเภทนี้ได้ดีพอควร โดยเฉพาะคะแนน Single Core ซึ่งเป็นจุดแข็งของชิปเซ็ต Intel อยู่แล้ว ด้าน Multi-core แม้จะไม่มี Hyperthreading แล้วแต่ก็ยังทำงานได้ดีไม่แพ้เก่า ซึ่งผลทดสอบของแต่ละเวอร์ชั่นจะเป็นดังนี้
- 2024 – ใช้ทดสอบประสิทธิภาพของซีพียูกับจีพียูอย่างหนักพร้อมกันโดยใช้เอนจิ้น Redshift สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนต์ ได้ CPU (Multi-Core) 590 pts และ CPU (Single Core) 120 pts
- R23 – ใช้ทดสอบพลังประมวลผลของซีพียูเป็นหลัก มีความละเอียดและแม่นยำสูง ได้คะแนน Multi Core 9,699 pts และ Single Core อีก 1,898 pts
- R20 – ใช้ทดสอบกำลังประมวลผลของซีพียูเป็นหลัก ได้คะแนน CPU 3,967 pts
Geekbench 6 CPU GeekbenchML ONNX CPU Geekbench AI OpenVINO CPU
ด้านการทดสอบโปรแกรมตระกูล Geekbench ในแต่ละเวอร์ชั่น จำลองสถานการณ์ทำงานแบบต่างๆ ว่าคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ดีเพียงใด เริ่มต้นจากทดสอบกำลังประมวลผลของคอร์ซีพียูแล้วจะได้ผลดังนี้
- Geekbench 6 – ใช้ทดสอบว่าซีพียูสามารถประสานงานกับหน่วยความจำในเครื่องได้ดีหรือไม่ โดยจำลอง workloads งานประเภทการบีบอัดข้อมูล (data compression), การประมวลผลภาพ (image processing), Machine Learning และ Compile code มาทดสอบ
- Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบว่าซีพียูคำนวน vector integer ได้รวดเร็วหรือไม่ ถ้าเป็น Single-Core ทำได้ 2,539 คะแนน และ Multi-Core ได้ 9,295 คะแนน
- Geekbench ML ทดสอบด้วย ONNX CPU – ใช้ทดสอบว่าฮาร์ดแวร์ชิ้นนั้นสามารถใช้งานโปรแกรม Machine Learning ได้ดีหรือไม่ ในส่วนนี้ทำได้ 3,134 คะแนน
- Geekbench AI – คำนวณว่าซีพียูนั้นสามารถรันการทำงานกับโปรแกรม AI ต่างๆ ได้แม่นยำหรือรวดเร็วหรือไม่ แบ่งเป็น Single Precision เน้นความเที่ยงตรงของคำสั่ง, Half precision เน้นความเร็วมากขึ้นและลดความแม่นยำลง และ Quantized Score เน้นความเร็วแต่ไม่แม่นยำนัก
- OpenVINO ได้คะแนน Single Precision 2,750 คะแนน, Half precision 2,563 คะแนน และ Quantized Score 6,130 คะแนน
Geekbench 6 GPU OpenCL Geekbench 6 GPU Vulkan Geekbench AI OpenVINO GPU Geekbench AI OpenVINO NPU
ด้านของจีพียู Intel Arc Graphics 140V พอทดสอบกับ Geekbench แต่ละเวอร์ชั่นจะได้คะแนนดังนี้
- Geekbench 6 – ใช้ทดสอบว่าซีพียูสามารถประสานงานกับหน่วยความจำในเครื่องได้ดีหรือไม่ โดยจำลอง workloads งานประเภทการบีบอัดข้อมูล (data compression), การประมวลผลภาพ (image processing), Machine Learning และ Compile code มาทดสอบ
- OpenCL, Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบว่าคำนวน vector integer ได้รวดเร็วหรือไม่ ซึ่งจีพียูทดสอบด้วย OpenCL framework ทำได้ 28,096 คะแนน
- Vulkan, Windows AVX2 (Advanced Vector Extension 2) ชุดคำสั่งเสริมจาก AVX พื้นฐาน ใช้ทดสอบว่าคำนวน vector integer ได้รวดเร็วหรือไม่ ซึ่งจีพียูทดสอบด้วย OpenCL framework ทำได้ 34,308 คะแนน
- Geekbench AI ทดสอบว่าสามารัน AI ได้ดีหรือไม่
- GPU OpenVINO – Single Precision 9,517 คะแนน, Half precision 23,426 คะแนน และ Quantized Score 26,256 คะแนน
- NPU OpenVINO – Single Precision 15,292 คะแนน, Half precision 15,474 คะแนน และ Quantized Score 21,873 คะแนน
อิงจากผลคะแนนของโปรแกรม Benchmark แต่ละตัว ถือว่า MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG เหมาะกับงานออฟฟิศทุกรูปแบบรวมถึงใช้ทำงานกราฟิคแต่งภาพด้วย Adobe Photoshop และ Lightroom ได้ดี หรือถ้าจำเป็นต้องตัดต่อวิดีโอสั้นก็ได้แต่ต้องใช้เวลาเรนเดอร์มากกว่าโน๊ตบุ๊คมีการ์ดจอแยกสักนิดหนึ่ง ถ้าทำงานกับโปรแกรมหรือส่วนเสริม AI ต่างๆ ก็ดีเพราะมีกำลังประมวลผลสูง 115 TOPS ทำให้ปัญญาประดิษฐ์ตอบสนองได้รวดเร็วแม่นยำ สังเกตจากคะแนน Single Precision จะเห็นว่าคะแนนสูงแตะหลักหมื่นได้ไม่ยากนัก
กลับกันด้านการเล่นเกมซึ่งเป็นงานเสริมของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ก็ทำได้ดีพอควร จากการทดสอบกับ 3DMark Time Spy จำลองการเล่นเกมชั้นนำบนหน้าจอความละเอียด 2K QHD จะได้คะแนนเฉลี่ย 4,332 คะแนน แยกเป็น CPU score 6,675 คะแนน และ Graphics score 4,080 คะแนน ในฐานะโน๊ตบุ๊คทำงานเครื่องบางก็ทำได้ดีแล้ว เทียบได้กับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คราว 3~4 ปีก่อน จึงเหมาะกับการเล่นเกมบนหน้าจอ 1080p ตั้งค่ากราฟิคไว้ระดับ Medium จะดีสุด แนะนำให้เปิด Intel XeSS Upscalling เสริมก็จะเล่นได้ลื่นไหลขึ้น
ในทางกลับกันถ้าดูคะแนนจากการทดสอบกับ 3DMark Steel Nomad จำลองการเล่นเกมบนหน้าจอ 4K UHD จะเห็นว่าคะแนนเฉลี่ยทั้งน้อยเพียง 875 คะแนนแล้ว เฟรมเรทเวลาเล่นยังน้อยเพียง 8.76 FPS เท่านั้น กล่าวคือเปิดเกมติดแต่เล่นไม่ได้และหน่วยความจำอาจไม่พอจนเกมปิดตัวกะทันหันได้เลย
นอกจากทดสอบกับ Gaming benchmark แล้ว เวลาเล่นเกมจริงยิ่งเห็นชัดว่า Intel Arc Graphics 140V ใหม่นี้เหมาะกับการเล่นเกมบนหน้าจอ 1080p ตั้งค่ากราฟิคไว้ระดับ Medium อย่างไม่ต้องสงสัย แม้จีพียูจะถูกตั้งค่าให้จองพื้นที่ RAM LPDDR5X ไว้ 16GB เพื่อรองรับ Texture ได้มากขึ้นก็ตาม สำหรับประสบการณ์เวลาเล่นแต่ละเกมจะเป็นดังนี้
- Honkai: Star Rail (Unity Engine – ตั้งกราฟิค Very High 60 FPS) – ตัวแทนของเกมออนไลน์ในปัจจุบัน รวมถึง Genshin Impact ด้วย พอตั้งค่ากราฟิคสูงสุดและเปิดเฟรมเรท 60 FPS เวลาเล่นจริงตัวเกมสามารถเล่นได้ไหลลื่นต่อเนื่อง แม้จะมีเอฟเฟคท่าไม้ตายแสงเงาในเกมมากก็ยังเล่นได้ดี ไม่มีอาการภาพกระตุกหรือค้างเลย ถ้าใครจะติดตั้งเกมจาก HoYoverse ไว้เผื่อเล่นฆ่าเวลาก็เล่นได้สบายๆ
- God of War (เอนจิ้นพัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะ) – ตั้งค่ากราฟิค Original แล้วเล่นได้ไม่มีปัญหา ถึงจะไม่มี Intel XeSS Upscalling เข้ามาช่วยก็ตาม ในฉากต่อสู้ยังควบคุมตัวละครให้หลบและต่อสู้ได้ต่อเนื่องไม่มีอาการภาพกระตุกหรือกดสั่งโจมตีแล้วไม่ทำตาม อย่างมากเฟรมเรทจะลดลงเล็กน้อยเวลาเจอไฟหรือช่วงหิมะโปรย ไม่มีอาการเฟรมเรทน้อยจนภาพช้าเสียอารมณ์
- Shadow of the Tomb Raider (Foundation Engine) – การเปิด Intel XeSS Upscalling ต้องเปิดในหัวข้อ Options ของหน้า Launcher ก่อนเข้าเกมถึงจะใช้ได้ แต่คาดว่าผู้พัฒนายังไม่ได้ Optimize ให้เหมาะกับเกมนักเฟรมเรทจึงน้อยกว่าตอนไม่ได้ใช้ เวลาเล่นจริงภาพยังลื่นไหลต่อเนื่องเล่นได้สนุกในหลายสถานการณ์ แต่ถ้าเข้าฉากทุ่งหิมะ, มีเอฟเฟคฝุ่นหรือระเบิดเมื่อไหร่เฟรมเรทจะลดลงชั่วเสี้ยววินาทีแล้วเร่งกลับมาตามปกติ
- Black Myth: Wukong (Unreal Engine 5) – ถึงตั้งค่าเป็น Medium ก็ตาม แต่ตัวเกมยังใช้กำลังของชิปเซ็ตมาก จึงแนะนำให้เปิด Intel XeSS ปิด Motion Blur ทิ้งเสมอถึงจะเล่นได้ต่อเนื่องและได้เฟรมเรทช่วง 29~30 FPS และตัวเกมยังต้องรอการ Optimize อีก เพราะตอนเล่นแม้จะได้เฟรมเรทในระดับนี้ก็ยังเกิด Input Lag สั่งตัวละครโจมตีแล้วจะตอบสนองช้ากว่ามือสั่งราว 1 วินาที ในฉากต่อสู้ต้องระวังมากกว่าปกติแต่เวลาสำรวจพื้นที่ฉากในเกมยังไม่มีปัญหานัก
- Forza Horizon 5 (Forza Tech Engine) – ตัวเกมถูก Optimize มาให้เข้ากับจีพียูนี้ได้ดี เวลาเล่นเกมสามารถควบคุมตัวรถได้รวดเร็วตอบสนองทันมือผู้เล่น แม้จะมีฉากลงทางฝุ่นหรือเจอต้นไม้เยอะก็ยังเล่นได้ต่อเนื่อง และแนะนำให้เปิด Intel XeSS ตั้งเป็น Quality ด้วยจะได้เฟรมเรทเพิ่มขึ้นอีกและยังคมชัดตามเดิม
- Call of Duty: Modern Warfare II (IW 9.0 Engine) – แนะนำให้เปิด Intel XeSS เอาไว้ตลอดเวลาและแนะนำให้ตั้งค่าเป็น Performance จะสามารถเล่นได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามตัวเกมมี Texture ต้องโหลดพอสมควร เวลาเข้าไปเล่นช่วงแรกภาพจะหน่วงอยู่บ้างจนโหลด Shaders ครบหมด จากนั้นจะเล่นได้ดีตามปกติ
กล่าวโดยสรุปคือ Intel Core Ultra 7 258V กับจีพียู Intel Arc Graphics 140V ใน MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG นั้นต่อยอดจาก Intel Core Ultra 100 Series ให้ดีขึ้นอย่างมาก สามารถเล่นเกมชั้นนำบนความละเอียด 1080p ตั้งค่ากราฟิค Medium ได้ดีเทียบชั้นคู่แข่งและการ์ดจอแยกราว 3~4 ปีก่อนได้สบาย ไม่มีอาการภาพกระตุกให้เห็น คาดว่าเพราะตัวระบบจองพื้นที่ของ RAM LPDDR5X ไว้ 16GB จึงมีพื้นที่พัก Texture มากพอ จึงตัดปัญหาจากรุ่นแรกไปได้มาก และต่อให้ไม่มี Hyperthreading แบบรุ่นก่อนก็ไม่ใช่ปัญหาหรือต้องกังวลแม้แต่น้อย ด้านเกมออนไลน์ยอดนิยมอย่าง Genshin Impact, Honkai: Star Rail หรือ Wuthering Waves ก็เล่นได้สบาย
นอกจากนี้ MSI ก็อัปเดตให้โปรแกรมตั้งค่าตัวเครื่องกลายเป็นเวอร์ชั่นใหม่ชื่อ MSI Center S ซึ่งหน้า UI ดูเข้าใจและใช้งานง่ายกว่าเดิม มีเพียง 3 ส่วน คือ หน้า Main รวมการตั้งค่าและมอนิเตอร์ตัวเครื่องเอาไว้ในจุดเดียว ถัดไปเป็น AI Zone รวมการตั้งค่าฟังก์ชั่นใช้งานร่วมกับ AI เอาไว้และ Support เพื่ออัปเดตเฟิร์มแวร์และติดต่อทางบริษัทเวลาโน๊ตบุ๊คมีปัญหาได้ด้วยร การยกเครื่องเปลี่ยนหน้าตาซอฟท์แวร์ให้ใช้งานง่ายขึ้นและมีแต่ส่วนจำเป็นใช้ติดเอาไว้ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก
Battery & Heat & Noise
แบตเตอรี่ใน MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG มีความจุ 75Whr ไล่เลี่ยกับโน๊ตบุ๊คบางเบาหลายรุ่นในท้องตลาด มีขนาดใหญ่กินพื้นที่ภายในเครื่องไปครึ่งหนึ่งและกว้างจนเสมอลำโพงทั้งสองข้างพอดีแต่ไม่แจ้งว่าผลิตจากโรงงานใดและมีค่า Typical/Rated Capacity เท่าไหร่ รวมทั้งเป็นแบตเตอรี่แบบใด
จากการทดสอบระยะเวลาใช้งานด้วยแบตเตอรี่ พอตั้งค่าลดความสว่างหน้าจอเหลือ 50% ลดเสียงลำโพงเหลือ 10% ใช้โหมด Eco-Silent และ Battery Saver เปิดดูคลิป YouTube นาน 30 นาทีด้วย Microsoft Edge โปรแกรม BatteryMon โชว์ว่า Prestige 13 AI+ EVO ใช้งานได้นานมากถึง 13 ชม. 49 นาที ต้องยกความดีให้ Intel Core Ultra 200V Series รุ่นใหม่ที่จัดการพลังงานได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะตอนทดสอบหรือใช้งานจริงก็อยู่ได้จนจบวันและยังเหลือแบตเตอรี่ให้ใช้ในยามจำเป็นได้อีกพอควร ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดระหว่างประชุมหรือเข้าเลคเชอร์เลย
ถึง MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG จะมีข้อดีหลายอย่างแต่ก็มีจุดสังเกตเช่นกัน นั่นคืออุณหภูมิตัวเครื่องเวลารันซอฟท์แวร์ทดสอบเร่งอุณหภูมิตัวเครื่อง, เล่นเกมชั้นนำหรือเปิดโปรแกรมตระกูล Adobe เมื่อไหร่ อุณหภูมิภายในเครื่องจะสูงพอควรและบอดี้อลูมิเนียมก็จะนำความร้อนออกมายังพื้นผิวเครื่องตรงมือของผู้ใช้ทันที ถึงจะช่วยระบายความร้อนได้รวดเร็วแต่ก็ทำให้ผู้ใช้ใช้งานไม่สะดวกนัก
จากการวัดด้วยกล้องอินฟาเรดหรือเลเซอร์วัดอุณหภูมิ จะเห็นว่าส่วนครึ่งบนตั้งแต่ส่วนเหนือคีย์บอร์ดไล่ลงมาจนปุ่ม WASD จะมีอุณหภูมิอยู่ราว 44 องศาเซลเซียส ซึ่งส่วนนั้นติดตั้งชิปเซ็ต Intel Core Ultra 7 258V เอาไว้ข้างใน ส่วนภายในเครื่องโปรแกรม CPUID HWMonitor วัดได้ดังนี้
ชิ้นส่วน / อุณหภูมิ | อุณหภูมิต่ำสุด (เซลเซียส) | อุณหภูมิสูงสุด (เซลเซียส) |
CPU | 38 | 96 |
GPU | 37 | 74 |
SSD | 38 | 67 |
อย่างไรก็ตาม กรณีใช้งานตามจุดประสงค์การดีไซน์ของมันอย่างการพกพาและใช้ทำงานเอกสารก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากนัก ถ้าจำเป็นต้องใช้โปรแกรมใหญ่เหล่านี้ในบางโอกาสก็แนะนำให้หาแท่นวางโน๊ตบุ๊คมีพัดลมระบายความร้อนติดมาด้านใต้มาตั้งเครื่องเพิ่มเท่านี้ก็ช่วยได้มากแล้ว
กลับกัน เสียงพัดลมระบายความร้อนของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG กลับเบากว่าเสียงพูดคุยตามปกติของมนุษย์เสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะวัดจากด้านหน้าหรือหลังเครื่องก็ดังราว 50dB เท่านั้น ซึ่งเบามากไม่รบกวนผู้อื่นเวลานำไปใช้งานในพื้นที่สาธารณะหรือรบกวนระหว่างประชุมอย่างแน่นอน
User Experience
ถ้าถามว่ามีโน๊ตบุ๊คเครื่องไหนที่ได้รับมาทดสอบแล้วไม่อยากส่งคืนบ้าง หนึ่งในนั้นจะมี MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG รวมอยู่ด้วยหลายเหตุผล หากเทียบกับโมเดลก่อนซีพียู Intel 13th Generation กลายเป็น Intel Core Ultra 7 258V ใหม่แล้ว ระยะเวลาใช้งานก็เบิ้ลขึ้นจาก 7 เป็นร่วม 14 ชม. จึงพกไปทำงานได้อย่างสบายใจและไม่ได้เก่งเป็นสิงห์สนามซ้อมอย่างเดียว เวลาพกไปทำงานนอกสถานที่ไม่ว่าจะพิมพ์งานตามร้านกาแฟหรือเดินทางไปพบลูกค้าก็ใช้ได้นานจนไม่ต้องหยิบอะแดปเตอร์หรือพาวเวอร์แบงค์มาชาร์จไฟคืนให้เลยสักครั้ง พอจบวันแบตเตอรี่ยังเหลือราว 30~40% มากพอเปิดคอมจัดการงานด่วนได้ แถมบานพับหน้าจอยังกางได้ราบไปกับพื้นโต๊ะแล้วกดปุ่ม Flip-n-Share พลิกหน้าจอกลับให้ฝ่ายตรงข้ามดูได้ง่ายและได้ใช้งานบ่อยพอควร นอกจากนี้น้ำหนักก็เบาเพียง 967 กรัม เวลาพกไปไหนก็เบามากจนบางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าเอาโน๊ตบุ๊คมาจากบ้านหรือเปล่าด้วยซ้ำ
พอเป็นโน๊ตบุ๊คน้ำหนักเบาเน้นการพกพา ระบบรักษาความปลอดภัยก็ติดมาให้ใช้ครบครันทั้งเซนเซอร์สแกนใบหน้าซึ่งจะได้ใช้บ่อยเวลานั่งทำงานในออฟฟิศและเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือไว้ปลดล็อคเครื่องเวลาใส่หน้ากากอนามัยได้ด้วย นอกจากสะดวกแล้วก็ได้ความปลอดภัยไม่ต้องถูกใครแอบมองเราพิมพ์รหัสผ่านแล้วขโมยใช้คอมของเราเลย ส่วนตัวผู้เขียนก็ใช้เซนเซอร์เหล่านี้อยู่แล้วและกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญเวลาจะเลือกโน๊ตบุ๊คสักเครื่องไปโดยปริยาย
นอกจากพกไปใช้งานนอกสถานที่ได้ดี ยังเซ็ตอัพให้ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG เป็นคอมตั้งโต๊ะในออฟฟิศได้ด้วย ถ้ามีหน้าจอคอม USB-C อยู่แล้วก็ลากสาย Thunderbolt เข้าเครื่องก็ใช้ทำงานได้ทันที หรือซื้อ USB-C Multiport adapter มาเป็นตัวกลางต่อระหว่างหน้าจอ, สาย LAN และอุปกรณ์ต่างๆ เข้าเครื่องก็สะดวกไม่แพ้กัน ช่วยเพิ่มพื้นที่ Desktop ให้มากขึ้น ทำงานสะดวกกว่าเดิมอีกมาก
ว่าด้วยการเล่นเกม ถ้าเทียบระหว่าง Intel Core Ultra 100 Series กับ Intel Core Ultra 200V ถือว่ามีพัฒนาการดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งนอกจากการปรับแต่งฮาร์ดแวร์ให้มีกำลังประมวลผลเพิ่มขึ้นแถมยังเข้ามาจอง RAM LPDDR5X เอาไว้ใช้ 16GB แล้ว ก็ต้องยกให้ Intel Arc Graphics Drivers เวอร์ชั่นล่าสุดซึ่งใช้เล่นเกมได้เสถียรขึ้นมาก ยิ่งเปิด Intel XeSS Upscalling ก็ช่วยเร่งเฟรมเรทให้สูงขึ้นกว่าเดิมและไม่เจออาการภาพกระตุกหรือค้างชั่วเสี้ยววินาทีเหมือนรุ่นก่อนแม้แต่ครั้งเดียว จึงใช้เล่นเกมยอดนิยมบนหน้าจอความละเอียด 1080p Medium ได้ดี ถ้าเป็นเกมออนไลน์ก็สบายมาก
อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิตัวเครื่องเวลาใช้โปรแกรมกินกำลังเครื่องมากอย่างตระกูล Adobe หรือเปิดเล่นเกมแล้ว อุณหภูมิจากภายในเครื่องจะแผ่ขึ้นมาบนบอดี้ตัวเครื่องตามคุณสมบัติการนำความร้อนของอลูมิเนียมอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่างมากคือหาแท่นวางโน๊ตบุ๊คแบบมีพัดลมระบายความร้อนมารองใต้เครื่องช่วยดันอากาศเย็นเข้าไประบายความร้อนได้เร็วขึ้นจะช่วยลดอุณหภูมิได้ แต่เวลาใช้งานทั่วไปอย่างเปิดเว็บไซต์ดูหนังฟังเพลงก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้นัก อีกเรื่องคือลำโพงของ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG แม้จะมีเสียงดังแต่ก็ดีแต่เด่นเพียงเสียงนักร้องนำและเครื่องดนตรีเท่านั้น เบสยังไม่มีแรงปะทะนัก แนะนำว่าถ้าอยากฟังเพลงให้ได้อรรถรสขึ้นควรต่อลำโพงแยกสักชุดจะดีขึ้น
Conclusion & Award
นอกจากคงความเบาสบายพกง่ายเอาไว้แล้ว พอ MSI ติดตั้ง Intel Core Ultra 200V Series รุ่นใหม่ให้ MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ทำให้ใช้งานได้นานร่วม 14 ชม. และประสิทธิภาพของมันก็ยังดีไม่แพ้กับรุ่นก่อนหน้าเลย ไม่ว่าจะตั้งโต๊ะนั่งทำงานในออฟฟิศหรือพกไปทำงานนอกสถานที่ก็ดีไม่มีปัญหา แถมได้จีพียูใหม่และแก้ไขไดรเวอร์จีพียูให้ทำงานดีขึ้นแล้ว ก็กลายเป็นเพื่อนแก้เหงาเอาเกมชั้นนำมาเปิดเล่นได้สบาย ลบคำสบประมาทว่าโน๊ตบุ๊ค Intel มีดีแค่ทำงาน เล่นเกมให้ข้ามไปได้พร้อมกัน แม้จะตั้งราคามา 50,990 บาท แต่สิ่งที่ได้กลับมาก็คุ้มค่า ยิ่งใครอยากเปลี่ยนโน๊ตบุ๊คอยู่แล้วและตั้งโจทย์ไว้ว่าต้องใช้ได้ดีขึ้นและพอพกใส่กระเป๋าเป้ต้องเบาลงด้วย นี่คือคำตอบที่ลงตัวอย่างแท้จริง
Award
Best Mobility
MSI Prestige 13 AI+ EVO A2VMG ยังคงจุดเด่นเรื่องบอดี้เล็กบางและเบาเพียง 990 กรัม เอาไว้เช่นเดิม ครองตำแหน่งโน๊ตบุ๊คสุดเบาจึงพกไปใช้งานได้สะดวก เหมาะกับคนต้องพกโน๊ตบุ๊คติดตัวไปไหนมาไหนเป็นประจำมาก
Best Battery Life
หลังจากเปลี่ยนซีพียูเป็น Intel Core Ultra 7 258V แล้ว นอกจากประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ยังประหยัดแบตเตอรี่ขึ้นมาก ใช้งานได้นานร่วม 14 ชม. จึงไม่ต้องพกอะแดปเตอร์หรือแบตฯ สำรองเพิ่มก็ใช้ทำงานได้จนจบวันแน่นอน