HyperX Pulsefire Haste 2 Core และ HyperX Pulsefire Haste 2 Mini รุ่นใหม่ 2 ไซซ์ จับง่ายเข้ามือ น้ำหนักอย่างเบา 59 กรัม!
HyperX Pulsefire Haste 2 Core และ HyperX Pulsefire Haste 2 Mini เมาส์เกมมิ่งสองรุ่นใหม่ภายใต้เครือ Hewlett-Packard “HP” ทั้งได้รับความนิยมจากหมู่เกมเมอร์แล้ว ปัจจุบันก็เปิดตัวรุ่นใหม่ซึ่งยังคงรักษารูปลักษณ์เอาไว้คล้ายเดิมไม่ว่าจะลายเส้นความโค้งรับมือทรง False-Ambidextrous จับถนัดทั้งสองข้างแต่เน้นมือขวามีทรงโค้งรับมือได้ดี ส่วนจุดแตกต่างของเมาส์ HyperX ทั้งสองรุ่น คือฝาหลังเป็นแบบทึบไม่ได้เจาะช่องรังผึ้งเอาไว้จึงแปลกตาแฟนคลับรุ่นเก่าไปบ้าง แต่ก็ให้ฟีเจอร์มาดีเกินค่าตัวเช่นเดิมและงานประกอบก็ยังแน่นแข็งแรงสมชื่อแบรนด์ HyperX เช่นเดิม
ว่าด้วยความน่าใช้ ว่าทำไมเมาส์อย่าง Pulsefire Haste 2 Core ราคา 1,990 บาทถึงน่าซื้อ อย่างแรกคือมันมีโหมดเชื่อมต่อไร้สายล้วน เพียงสับสวิตช์ก็เปลี่ยนไปมาระหว่าง USB RF 2.4GHz หรือ Bluetooth ก็ได้ ใช้ทนทานนาน 100 ชม. ด้วยแบตเตอรี่ AAA*1 ก้อน เลือกใช้วัสดุและลดน้ำหนักให้เบาเพียง 70 กรัมเท่านั้น รองรับ NVIDIA Reflex ลดค่าความหน่วง (Latency) ให้ต่ำลง เวลาคลิกซ้ายขวาจะตอบสนองได้รวดเร็วไม่แพ้กับการต่อสาย USB แถมโปรไฟล์ในซอฟท์แวร์ HyperX NGENUITY ได้ด้วย
Pulsefire Haste 2 Mini เมาส์เล็กพริกขี้หนูราคา 2,690 บาท เพื่อคนมือเล็กตัวนี้สำเร็จวิชาตัวเบาเพราะทางบริษัทจัดการรีดน้ำหนักให้เบาลงจนเหลือน้ำหนักเพียง 59 กรัม เพียงใช้ปลายนิ้วก็ลากเมาส์ได้สบายๆ แล้ว ยิ่งใครจับเมาส์แบบ Fingertip Grip น่าจะถูกใจเป็นพิเศษ ภายในก็ยกเครื่องใส่พาร์ทใหม่มาเพียบ ทั้งเซนเซอร์ HyperX 26K ให้ดันค่า DPI ไปสุด 26,000 DPI ได้ใน HyperX NGENUITY และให้พอร์ต USB-C มาต่อไฟชาร์จแล้วเล่นเกมไปพร้อมกันได้ แบตเตอรี่เต็มก็ใช้งานแบบไร้สายได้ด้วย USB RF 2.4GHz กับ Bluetooth ได้ตามสะดวกนานถึง 100 ชม. และยังให้อุปกรณ์เสริมอย่างเทปยางติดข้างเมาส์ (Grip) กับพื้นใต้เมาส์ (Glide) แถมมาให้จับถนัดยิ่งขึ้น
NBS Verdicts
แม้ในยุคนี้จะมีเมาส์เกมมิ่งให้เลือกมากมายหลายแบรนด์พร้อมดีไซน์แปลกแหวกแนว แต่เมาส์ไร้สายทรงเรียบง่ายจับถนัดมืออย่าง HyperX Pulsefire Haste 2 Core และ HyperX Pulsefire Haste 2 Mini ก็ยังได้ใจเกมเมอร์หลายคน ทั้งคุณภาพของงานประกอบดีและแน่น แข็งแรงทนทานแล้วตั้งราคาไม่แพงมากจึงได้ใจเกมเมอร์หลายคนไม่ยาก ถ้าดูรายละเอียดสเปคจะเห็นว่าทางบริษัทใส่ใจเรื่องชิ้นส่วนและวัสดุมาก ไม่ว่าจะปุ่มคลิกซ้ายขวาซึ่งเป็นหัวใจของเมาส์เกมมิ่งทุกตัวก็ใช้สวิตช์คุณภาพสูง อัปเกรดเซนเซอร์ให้ปรับค่า DPI ได้ละเอียดและเลือกโหมดเชื่อมต่อไร้สายทั้ง USB RF 2.4GHz หรือ Bluetooth ก็ได้
แม้หน้าตาของ Pulsefire Haste 2 Core จะเรียบง่ายไม่หวือหวามีลูกเล่นอะไรเป็นพิเศษ เน้นทำราคาประหยัดเพียง 1,990 บาท แต่ยังคงความจับถนัดน้ำหนักพอดีมือและสวิตช์ TTC Gold ของปุ่มคลิกทั้งสองข้างเวลากดก็ให้สัมผัสแน่นแข็งแรงเกินค่าตัวไปพอควร สมที่แฟนคลับของเมาส์ HyperX หลายๆ คนชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันว่าสัมผัสงานประกอบและการตอบสนองรู้สึกแน่นแข็งแรงเกินค่าตัวไปมากจนแทบนึกว่าใช้เมาส์เกมมิ่งราคา 3~4 พันบาทอยู่ และถึงจะใช้งานแบบไร้สายอย่าเดียวด้วย USB RF 2.4GHz หรือ Bluetooth ไม่รองรับการต่อสายชาร์จก็จริง แต่กลับใช้งานสะดวกกว่าที่คิดเพียงพลิกมาเลื่อนสวิตช์ใต้เมาส์ก็คุมคอมข้ามกันไปมาได้ง่ายๆ และน้ำหนัก 70 กรัมก็ถือว่าหนักกำลังดีไม่มากน้อยเกินไป จับถนัดมือเกมเมอร์มือใหญ่หลายคนแน่นอน
ส่วนของ Pulsefire Haste 2 Mini จะมีขนาดเล็กลงเหมาะกับคนมือเล็กหรือคนจับเมาส์แบบ Fingertip Grip เป็นพิเศษเพราะน้ำหนักเบาเพียง 59 กรัม จึงจับขยับไปมาได้ง่าย ถ้าเทียบกับ Haste 2 Core จะมีขนาดเล็กลง 16% แต่ให้เซนเซอร์คุณภาพ HyperX 26K ดันค่า DPI ไปได้สูงสุด 26,000 DPI ในโปรแกรม NGENUITY และจุดน่าสนใจคือมี Grip กับ Glide แถมมาเผื่อเกมเมอร์อยากติดเพิ่มให้จับเมาส์ได้ถนัดกว่าเดิมแล้วลากเมาส์ได้ลื่นไหลกว่าเดิมก็เอามาติดเปลี่ยนได้ทันที แต่ส่วนตัวเป็นคนมือใหญ่เวลาใช้งานเมาส์ขนาดเล็กจะไม่ถนัดนักแต่สัมผัสได้ว่าน้ำหนักของมันเพียงใช้ปลายนิ้วทั้ง 4 แตะเอาไว้ก็ขยับมันไปมาได้ทันทีและยังปรับ DPI ขึ้นทีละ 50 DPI ก็ช่วยปรับจูนให้เมาส์มันขยับได้ถูกใจได้ง่ายๆ
ว่าด้วยข้อสังเกตของเมาส์ HyperX ทั้งสองรุ่นอย่างแรก คือ เจ้าของสามารถบันทึกโปรไฟล์เก็บเอาไว้ใช้ในเมาส์ได้เพียง 1 แบบ จึงสร้างโปรไฟล์แยกเอาไว้ทำงานหรือเล่นเกมโดยเฉพาะไม่ได้ แต่ยังตั้ง Preset ไว้โหลดใช้ในคอมแต่ละเครื่องเพื่อแก้ปัญหาเรื่องโปรไฟล์ได้ระดับหนึ่ง ส่วนการปรับเซ็ตด้วย HyperX NGENUITY จะใช้ได้เฉพาะโหมด USB RF 2.4GHz หรือ USB-C เท่านั้น พอปรับตั้งค่าเสร็จแล้วจะบันทึกเป็นโปรไฟล์ประจำเมาส์ทันทีและเอาไปใช้งานในโหมด Bluetooth ต่อด้วย ดังนั้นถ้าจะใช้เมาส์ทั้งสองรุ่นไว้ทำงานและเล่นเกมทั้งคู่ก็ต้องปรับแต่งโปรไฟล์ให้เป็นกลางไว้ระดับหนึ่งจะได้ใช้งานได้รอบด้าน
ข้อดีของ HyperX Pulsefire Haste 2 Core และ HyperX Pulsefire Haste 2 Mini
- เมาส์ทั้งสองรุ่นจัดการพลังงานได้ดี ใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 100 ชม.
- เลือกโหมดการเชื่อมต่อได้ทั้ง USB RF 2.4GHz หรือ Bluetooth ก็ได้
- HyperX Pulsefire ทั้งสองรุ่นรองรับ Microsoft Swift Pair เชื่อมต่อ Bluetooth ง่ายมาก
- Pulsefire Haste 2 Core ใช้แบตเตอรี่ AAA*1 ก้อน ถอดเปลี่ยนได้ง่ายมาก
- Pulsefire Haste 2 Mini เป็นแบตเตอรี่ฝังในตัว ต่อสาย USB-C เล่นและชาร์จไฟได้พร้อมกัน
- เชื่อมต่อกับพีซีและเครื่องเกมคอนโซลอย่าง PlayStation กับ Xbox ได้
- งานประกอบแข็งแรง ปุ่มแน่นให้สัมผัสเวลาจับและเล่นเกมดีมาก
- เซนเซอร์ปรับตั้งค่าได้ละเอียดมาก เลื่อนค่า DPI เพิ่มครั้งละ 50 DPI ได้
- ตั้งค่ามาโครหรือเปลี่ยนคำสั่งปุ่มต่างๆ บนเมาส์ได้ละเอียดในโปรแกรม NGENUITY
- เมาส์ Pulsefire Haste 2 ทั้งสองรุ่นมีน้ำหนักเบาเพียง 59 และ 70 กรัมเท่านั้น
- Pulsefire Haste 2 Mini แถมเทปจับกันลื่นและ Glide มาให้ในกล่องเผื่อเปลี่ยนให้ใช้ได้ถนัดขึ้น
- ราคาของทั้งสองรุ่นถือว่าไม่แพงมาก รุ่น Core เพียง 1,990 บาท ส่วนรุ่น Mini 2,690 บาท
- มีฟังก์ชั่นเตือนเวลาแบตเตอรี่เหลือน้อยให้เจ้าของชาร์จหรือเปลี่ยนแบตฯ ได้
- ตั้งค่า Preset ได้หลายแบบ จึงโหลดการตั้งค่านั้นไปใช้ในคอมอีกเครื่องได้ทันที
ข้อสังเกตของ HyperX Pulsefire Haste 2 Core และ HyperX Pulsefire Haste 2 Mini
- Pulsefire Haste 2 Mini เหมาะกับคนมือเล็กเป็นพิเศษ ถ้าเป็นคนมือใหญ่จะจับไม่ค่อยถนัด
- Pulsefire Haste 2 Core ใช้การเชื่อมต่อไร้สายด้วย USB RF 2.4GHz หรือ Bluetooth เท่านั้น
- เมาส์ทั้ง 2 รุ่นบันทึกโปรไฟล์ไว้ใช้ได้เพียง 1 โปรไฟล์เท่านั้น ควรรองรับได้ 3~5 โปรไฟล์
- ถ้าปรับแต่ง Profile เมาส์ต้องเชื่อมต่อ USB RF 2.4GHz หรือ USB-C เท่านั้น
รีวิว HyperX Pulsefire Haste 2 Core และ HyperX Pulsefire Haste 2 Mini
Specification
HyperX Pulsefire Haste 2 Core และ HyperX Pulsefire Haste 2 Mini สองเมาส์เกมมิ่งคุณภาพดีเกินตัวรุ่นใหม่จาก Hewlett-Packard ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีจุดเด่นเฉพาะตัว ไม่ว่าจะรุ่น Mini น้ำหนักเบาลากเมาส์ง่ายเหมาะกับคนมือเล็กโดยเฉพาะหรือเน้นราคาเข้าถึงง่ายใช้การเชื่อมต่อไร้สายอย่างเดียวก็มีรุ่น Core ให้เลือก ดีไซน์แบบ False-Ambidextrous จับถนัดทั้งสองมือแต่เน้นข้างขวามากกว่า ซึ่งสเปคของทั้งสองรุ่นจะเป็นดังนี้
รุ่น/สเปค | Pulsefire Haste 2 Core | Pulsefire Haste 2 Mini |
Design | False-Ambidextrous | False-Ambidextrous |
Button&Switch | 6 ปุ่ม TTC Gold Switch | 6 ปุ่ม HyperX Switch |
Sensor&DPI | HyperX Core Sensor 400 / 800 / 1600 / 3200 ปรับได้สูงสุด 12,000 DPI | HyperX 26K Sensor 400 / 800 / 1600 / 3200 ปรับได้สูงสุด 26,000 DPI |
Onboard memory | 1 Profile | 1 Profile |
Connectivity | USB RF 2.4GHz Bluetooth 5.2 รองรับ Microsoft Swift Pair | USB RF 2.4GHz Bluetooth 5.2 USB-C to A กับ Dongle รองรับ Microsoft Swift Pair |
Compatibility | PC Xbox Series X|S Xbox One PlayStation 4 PlayStation 5 | PC Xbox Series X|S Xbox One PlayStation 4 PlayStation 5 |
Software | HyperX NGENUITY | HyperX NGENUITY |
Battery life | 100 ชม. แบตเตอรี่ AAA*1 ก้อน | 100 ชม. แบตเตอรี่ฝังในตัว |
Weight | 70 กรัม | 59 กรัม |
Price (บาท) | 1,990 | 2,690 |
ชมสเปคโดยละเอียด | คลิ๊กที่นี่ | คลิ๊กที่นี่ |
Unboxing
ตัวกล่องของ Pulsefire Haste 2 ไม่ว่าจะรุ่น Core หรือ Mini จะเป็นแบบเดียวกัน คือใช้กล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้งโทนสีขาวดำ สกรีนจุดเด่นของเมาส์รุ่นนั้นเอาไว้ด้านหน้ากล่องคู่กับรูปภาพแล้วไปอธิบายรายละเอียดต่างๆ ไว้ด้านข้างเมาส์ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาและเขียนสเปคเอาไว้ด้านหลังกล่องให้ลูกค้าได้อ่านก่อนตัดสินใจซื้อกลับไปใช้งาน
HyperX Pulsefire Haste 2 Core จะเลือกสีดำหรือสีขาวตัดเขียวมิ้นท์ก็ได้ ซึ่งสีเขียวจะอยู่ในส่วนต่างๆ ได้แก่ เพลตใต้เมาส์, ปุ่ม Forward/Backward และปุ่มปรับ DPI ตรงกลางถัดลงมาจากสกรอล์เมาส์สีม่วงอ่อน เมื่อเปิดกล่องจะมีเพียงเมาส์เท่านั้นเพราะ USB Receiver อยู่ในฝาหลังเหนือช่องใส่แบตเตอรี่ AAA ซึ่งดูดติดเอาไว้ด้วยแม่เหล็กแล้ว
กลับกัน HyperX Pulsefire Haste 2 Mini สีดำสนิทจะมีอุปกรณ์เสริมในกล่องหลายชิ้น ไม่ว่าจะ Dongle สำหรับลากสาย USB-C มาเข้ากับ Receiver เอาไว้วางหน้าเมาส์ให้รับส่งสัญญาณได้เสถียรและรวดเร็วยิ่งขึ้นและยังถอดหัวรับสัญญาณมาต่อสาย USB เล่นไปชาร์จไปก็ได้ ส่วนกริปเทปกันลื่นสีดำและ Glide เสริมให้ลากเมาส์ได้ลื่นไหลยิ่งขึ้นจะอยู่ในซองสีน้ำตาล สามารถหยิบออกมาติดเปลี่ยนได้ตามชอบ
Design, Weight, Grip
รูปทรงของ Pulsefire Haste 2 Core ถ้าเทียบกับเมาส์ HyperX รุ่นก่อนๆ จะเห็นว่าเส้นสายโดยรวมจะไม่ต่างกันมากยกเว้นฝาหลังจะเปลี่ยนจากแบบเจาะรูรังผึ้งระบายอากาศเป็นฝาทึบปิดแบตเตอรี่กับ USB Receiver แทน แทรกสีเขียวมิ้นท์เอาไว้กับบอดี้ส่วนล่างของเมาส์, ปุ่ม Forward/Backward และปุ่มเปลี่ยนค่า DPI ตัดกับสกรอล์เมาส์สีม่วงอ่อนซึ่งจะมีไฟ RGB ออกมาขอบด้านข้างวงล้อด้วย
รายละเอียดอื่นๆ ของ Pulsefire Haste 2 Core สังเกตว่าฝั่งซ้ายของเมาส์จะมีโลโก้ HyperX ติดมาให้และถ้ามองด้านหน้าของเมาส์จะไม่มีช่องต่อสาย USB แล้ว เพราะ HyperX เน้นให้ใช้แบบไร้สายเท่านั้น
วิธีการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเกมคอนโซลจะใช้ USB RF 2.4GHz Receiver ต่อแล้วใช้งานได้เลย หรือจะใช้ Bluetooth 5.2 ก็รองรับ Microsoft Swift Pair เวลาเลื่อนสลักใต้เมาส์ไปยังสัญลักษณ์ Bluetooth เมื่อไหร่ จะมีแถบแจ้งเตือนมุมล่างขวาของ Windows บอกว่าพบอุปกรณ์ชิ้นใหม่ให้จับคู่ใช้งานได้ทันที จึงเหมาะจะเอาไปต่อคอมทำงานมาก แล้วสลับไปเล่นเกมด้วย USB RF 2.4GHz ได้ด้วย
ฝาหลังของ Pulsefire Haste 2 Core จะใช้แม่เหล็กดูดติดเข้าหากัน สามารถใช้นิ้วสอดร่องยกท้ายเมาส์เปิดได้ทันที ข้างในจะมีช่องเก็บ Receiver และช่องใส่แบตเตอรี่ AAA 1 ก้อน ติดลิ้นพลาสติกใสไว้ยกถ่านขึ้นเปลี่ยนได้สะดวกและในเมาส์จะใส่แบบใช้แล้วทิ้งมาให้พร้อมใช้งานทันที
ด้าน Pulsefire Haste 2 Mini จะยกเปิดฝาหลังไม่ได้เพราะบอดี้เมาส์ถูกดีไซน์ท่อนบนมาเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด จึงมีช่องใส่ Receiver อยู่ข้างใต้เมาส์ระหว่าง Glide คู่หลัง ส่วนรูปทรงของรุ่น Mini ถ้าเทียบกับ Core จะเหมือนกันแทบทุกมุมแค่มีขนาดเล็กลงและด้านหน้าเมาส์จะมีช่อง USB-C ติดมาให้ต่อสายใช้งานไปพร้อมชาร์จไฟไปพร้อมกัน
ระยะเวลาใช้งานไร้สายของ Pulsefire Haste 2 Core กับ Mini จะใช้งานได้นานสุด 100 ชม. ทั้งคู่ ถ้าอิงจากข้อมูลหน้าเว็บไซต์ของรุ่น Core จะเป็นโหมด USB RF 2.4GHz ถ้าใช้โหมด Bluetooth 5.2 จะใช้ได้นานสุด 200 ชม. จึงไม่ต้องชาร์จไฟหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยๆ ถือว่าทาง HyperX ปรับแต่งโหมดการจัดการพลังงานและการเชื่อมต่อมาได้ดีทีเดียว
กว้าง ยาว สูง กว้าง ยาว สูง
ดีไซน์ของทั้งสองรุ่นเมื่อนำมาเทียบแล้วจะไม่ต่างกันมาก แต่ขนาดของทั้งสองรุ่นจะต่างกันซึ่ง HyperX เคลมว่ารุ่น Mini จะเล็กกว่ารุ่น Core โดยรวมราว 16% ในองค์รวม เมื่อวัดด้วยเวอร์เนียร์คาลิปเปอร์ในแต่ละมุมจะได้ค่าดังนี้
รุ่น/ขนาด (มม.) | กว้าง | ยาว | สูง |
Pulsefire Haste 2 Core | 60.8 | 125.2 | 38.1 |
Pulsefire Haste 2 Mini | 58.3 | 116.5 | 36.7 |
Pulsefire Haste Wireless (2022) | 66.8 | 124.3 | 38.2 |
Pulsefire Haste 2 Core จะมีขนาดเท่ากับ HyperX Pulsefire โมเดลปี 2022 จะเห็นว่ารุ่น Core จะมีขนาดไล่เลี่ยกัน ต่างตรงหน้าแคบลง 6 มม. และสั้นลง 0.9 มม. แต่รุ่น Mini จะเล็กลงไปอีกระดับเพื่อคนมือเล็กโดยเฉพาะ แต่รุ่น Mini จะย่อขนาดทุกมุมให้เล็กลงมาราว 2 มม. จึงลดน้ำหนักและเหมาะกับคนมือเล็กยิ่งขึ้น
น้ำหนักบนตาชั่งของเมาส์ทั้งสองรุ่นจะเห็นว่าตัวเมาส์มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1 กรัม อย่าง Pulsefire Haste 2 Core เพิ่มจาก 70 เป็น 71 กรัม และ Pulsefire Haste 2 Mini เป็น 60 กรัม แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการใช้งานอย่างแน่นอน สามารถลากเมาส์ไปมาได้รวดเร็วตามปกติ
Software
Pulsefire Haste 2 Core กับ Pulsefire Haste 2 Mini จะปรับแต่งโดยโปรแกรม HyperX NGENUITY ทั้งคู่และมีฟังก์ชั่นให้ตั้งค่าเหมือนกัน ไม่ว่าจะปรับค่า DPI และกำหนดสีคู่กันเพื่อบอกผู้ใช้ได้, เซ็ตปุ่มมาโครกับทั้ง 6 ปุ่มบนตัวมันได้ว่าถ้ากดปุ่มนี้แล้วจะเป็นคำสั่งอะไร ได้แก่ Keyboard/Mouse Function, Multimedia, Macro, Windows Shortcut หรือปิดไม่ใช้ปุ่มนี้ก็ได้
จุดสังเกตของหน้าโปรแกรม NGENUITY คือ Polling Rate จะแยกไปอยู่มุมบนหัวข้อ Options ข้างหัวข้อ Presets ไว้เซฟการตั้งค่าโดยเฉพาะเผื่อสำเนา (Duplicate) และนำไปใช้ (Export) กับคอมอีกเครื่องได้ ช่วยแก้ปัญหาว่าเมาส์รองรับเพียง 1 Profile ได้ตรงจุด
กลับกันเกมเมอร์ที่อยากได้เมาส์กับเอฟเฟคไฟ RGB เต็มที่ให้แสงสีเต็มโต๊ะอาจจะไม่เต็มอิ่มกับเมาส์คู่นี้เท่าไหร่ เพราะมีไฟเพียงแค่ขอบข้างสกรอล์เมาส์เพื่อบอกค่า DPI เท่านั้นและโลโก้ HyperX ถูกสกรีนติดไว้เท่านั้นไม่ได้เป็นช่องเจาะหรือแสงไฟลอด ถ้าไม่เน้นแสงไฟหรือปิดเป็นปกติอยู่แล้วก็น่าจะถูกใจ
User Experience
โดยสรุปต้องนับว่า Pulsefire Haste 2 Core กับ Pulsefire Haste 2 Mini ต่างน่าใช้ทั้งคู่ งานประกอบของเมาส์ไร้สายทั้งสองตัวยังคงแน่นแข็งแรงเกินราคาค่าตัวไปพอควรและเหมาะกับเกมเมอร์ยุคใหม่สายจัดโต๊ะคอมที่ไม่อยากให้สายไฟมารกเต็มโต๊ะอย่างแน่นอน ทั้งสองรุ่นรองรับ USB RF 2.4GHz ไว้ต่อเกมมิ่งพีซีหรือเครื่องเกมคอนโซลทั้ง PlayStation 4 และ Xbox One เป็นต้นไปก็ใช้งานได้เลย ตอบสนองได้ดีและเสถียรไม่ต่างกับต่อสาย USB เล่นเกมเลย จากการทดลองเล่นเกม FPS หรือแม้แต่ RPG ก็ยืนยันได้เลยว่าเซนเซอร์ HyperX Custom Core หรือจะ HyperX 26K ต่างทำงานได้ดีมาก ลากเมาส์ไปเท่าไหร่เท่านั้นไม่มีการไหลแล้วคลาดเป้าให้เห็นสักครั้ง
ระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่ในโหมด USB RF 2.4GHz ก็ทำได้ดีมาก จากตอนทดลองเล่นเกมต่อเนื่องราว 5 ชม. แบตเตอรี่ของทั้งสองรุ่นจาก 100% จะลงไปเหลือราว 95% บวกลบเล็กน้อย ซึ่งถ้าเป็นเมาส์รุ่นอื่นอาจลดไปเหลือราว 89% ได้ จึงหยิบมาเล่นเกมได้สบายๆ และมีฟังก์ชั่นแจ้งเตือนเมื่อแบตเตอรี่ลดน้อยกว่าปริมาณที่กำหนดมาให้กระพริบไฟบอกผู้ใช้ได้ทันทีและตั้งได้ว่าจะให้บอกตอนเหลือไฟในเมาส์กี่เปอร์เซ็นต์ โดยค่าตั้งต้นจะเตือนเมื่อเหลือแบตฯ 20% และยังปรับลดลงไปได้อีกพอควร
จุดที่ชอบเป็นพิเศษ คือ เมาส์ HyperX ทั้งสองรุ่นรองรับ Microsoft Swift Pair เวลาซื้อมาใหม่จะใช้กับคอมทำงานเครื่องไหนเพียงแค่ดันสวิตช์ไปเครื่องหมาย Bluetooth เพียงอึดใจเดียว Windows จะมีหน้าต่างแจ้งเตือนขึ้นมาถามผู้ใช้ทันทีว่าจะจับคู่เมาส์กับคอมเลยหรือไม่ ถ้ากด Connect ก็ใช้งานได้ทันที
ถ้าถามว่าจะซื้อ HyperX Pulsefire Haste 2 Core หรือ HyperX Pulsefire Haste 2 Mini ดีกว่า อย่างแรกขอให้คิดถึงเรื่องขนาดมือของผู้ใช้ว่าตอนจับเมาส์เกมมิ่งรุ่นทั่วไปก่อนหน้านี้พอดีมือไหม ถ้าอยากให้ไซซ์ยังเท่าเดิมก็ไปซื้อ Haste 2 Core ได้เลย แต่ถ้าอยากให้เมาส์เล็กลงรุ่น Mini จะจับเข้ามือกว่า ด้านของเซนเซอร์แม้จะต่างกัน แต่การตอบสนองของทั้งสองตัวไม่ว่าจะ HyperX Core หรือ HyperX 26K Sensor ต่างทำงานได้ดีตอบสนองได้รวดเร็วและคมไม่มีอาการไหลหรือแถมแน่นอน
แต่ดีไซน์เมาส์ HyperX ทั้งสองรุ่นถ้าเทียบกับเมาส์ไร้สายแบรนด์คู่แข่ง จะเหมาะกับการจับแบบ Palm Grip ทาบมือไปกับตัวเมาส์จะใช้งานได้ถนัดมากเช่นเดียวกับ Fingertip Grip จะชอบน้ำหนักซึ่งเบากำลังดีเพียงขยับนิ้วนิดหน่อยก็หันตัวละครไปไหนมาไหนได้แล้ว ส่วน Claw Grip จะรู้สึกว่าสันโค้งด้านหลังไม่ค่อยสูง พอทาบนิ้วแล้วเอานิ้วโป้งกับนางหนีบแล้วหลังเมาส์จะไม่ทาบเข้าอุ้งมือได้แนบสนิทนัก
ว่าด้วยข้อสังเกตเป็นเรื่องโหมดการเชื่อมต่อด้วย Bluetooth ใช้โปรไฟล์การตั้งค่าทั้ง DPI, Macro ฯลฯ จากโหมด USB RF 2.4GHz ในการทำงานและถ้าต่อโหมดนี้อยู่จะตั้งค่าใน HyperX NGENUITY ไม่ได้จึงต้องใช้โหมด USB ตั้งค่าเท่านั้น ถ้าจะใช้ Pulsefire Haste 2 ทำงานก็ต้องตั้งค่า Preset แยกไปใช้กับคอมพิวเตอร์อีกเครื่องแทน ดังนั้นถ้าทาง HyperX เพิ่มหน่วยความจำเข้ามาให้เซฟโปรไฟล์แยกได้สัก 3 โปรไฟล์ก็จะดีกว่านี้มาก ส่วนผู้ใช้ Haste 2 Core แนะนำให้ซื้อถ่าน AAA แบบชาร์จไฟได้พร้อมแท่นชาร์จก็จะประหยัดเงินซื้อแบตเตอรี่ในระยะยาวได้พอควร
Summary
เมาส์เกมมิ่งทั้ง HyperX Pulsefire Haste 2 Core และ HyperX Pulsefire Haste 2 Mini จาก HyperX นับเป็นเวอร์ชั่นปรับแต่งให้น่าใช้ยิ่งขึ้นและตั้งราคาได้ไม่แพงมาก เพียง 1,990 หรือ 2,690 บาท ก็ได้เมาส์เกมมิ่งไร้สายเอาไว้ใช้งานได้ทุกแบบทั้งเล่นเกมและพกไปทำงานก็ดี จับสะดวกทั้งสองมือเพราะใช้ดีไซน์แบบ False-Ambidextrous กับงานประกอบที่เกินราคา เป็นตัวเลือกราคาประหยัดแต่คุณภาพคับแก้วเพื่อเกมเมอร์ยุคใหม่ไร้สาย USB ที่ไม่ควรมองข้าม