Sony WF-1000XM5 ภาคต่อหูฟังขั้นเทพ เสริมสุดยอดประสบการณ์ฟังเพลงให้เหนือชั้น!!
ผ่านไป 2 ปี หลังจาก Sony ส่ง Sony WF-1000XM4 หูฟังที่ขึ้นชื่อเรื่องฟังเพลงดีตัดเสียงได้เยี่ยม ปีนี้ก็เป็นเวลาของรุ่นใหม่อย่าง Sony WF-1000XM5 ซึ่งหูฟัง True Wireless ตัวใหม่นี้ แม้บางคนเห็นสเปคกับดีไซน์หลายๆ อย่างแล้วอาจรู้สึกไม่อยากอัพเดทเป็นรุ่นใหม่ก็จริง แต่ทางบริษัทก็ไม่กั๊กสเปคหรือย้อมของเก่ามาขายอย่างแน่นอน เริ่มจากไดรเวอร์ก็อัพเดทจากรุ่นก่อนเป็น Dynamic Driver X ให้เนื้อเสียงดีขึ้นกว่าเดิมอย่างก้าวกระโดดจาก WF-1000XM4 ยังคงเทคโนโลยี Upscalling เนื้อเสียงอย่าง DSEE Extreme เอาไว้ ทำให้ไฟล์เพลงแบบดิจิทัลมีมิติฟังสนุกยิ่งขึ้น
การตัดเสียงรบกวนทาง Sony เสริมระบบ Bone Conduction กับ AI ไว้ใช้ประมวลผลโครงสร้างประสาทแบบลึก (DNN – Deep Neural Network) เข้ามาเสริมชิป Sony QN2e, Sony Integrated Processor V2 ทำให้เสียงภายนอกไม่รบกวนอรรถรสตอนฟังเพลง แต่ก็สลับเข้าโหมด Transparent mode เพื่อคุยกับผู้อื่นได้ง่ายๆ เพียงเริ่มพูด หูฟังก็หยุดเล่นเพลงและกลายเป็นเครื่องช่วยฟังไปในตัว และขนาดของหูฟังก็มีขนาดเล็กลง 25% เมื่อเทียบกับ WF-1000XM4 ทำให้ใส่ฟังเพลงได้ทั้งวันไม่เมื่อยล้าง่าย
NBS Verdicts
Sony WF-1000XM5 เป็นหูฟัง True Wireless ที่แม้ราคาจะสูงถึง 10,990 บาทก็จริง แต่คุณภาพเสียงกับฟีเจอร์เรียกว่าเกินค่าตัวไปคนละมิติจนยอมรับราคากันได้ แถมเนื้อเสียงของมันทำให้ WF-1000XM3 ที่ผู้เขียนยังใช้อยู่เป็นประจำกลายเป็นหูฟังดาษๆ ราคาพันบาทต้นไปโดยปริยาย แม้จะเปิดเพลงเดียวกันแต่เนื้อเสียงของ WF-1000XM5 จะมีมิติดีกว่าชัดเจนมากในทุกมิติตั้งแต่เสียงเบสไปจนเสียงใส ได้สเตจกว้างพอควรและแบ่งทิศทางเสียงเครื่องดนตรีได้ดีมากๆ จนคนรักเสียงเพลงต้องมีความสุขไปตามๆ กัน
ด้านการตัดเสียงรบกวนภายนอกและการสลับเข้า Tranparency mode ของ WF-1000XM5 ก็ฉลาดใช้ได้ เวลาฟังเพลงเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าแล้วเสียงรบกวนจากภายนอกทั้งหมดไม่ว่าจะเสียงคนคุยกัน, เสียงโฆษณาของทางร้านค้า, เสียงคนขายคอร์สความงามไปจนถึงเสียงประกาศตามสายในห้างก็โดนตัดทิ้งจนเรียบวุธ แต่พอเราเริ่มพูดเมื่อไหร่หูฟังจะใช้ Quick attention ตัดเข้าสู่ Tranparency mode หยุดเพลงที่เล่นอยู่ชั่วคราวราว 10~12 วินาที และเปลี่ยนหูฟังเป็นเครื่องช่วยฟังได้และดังพอฟังชัดเจนไม่หนวกหู แต่เนื้อเสียงอาจฟังดูสังเคราะห์อยู่บ้างแต่ก็ได้ยินชัดเจนรู้เรื่อง และยังใช้ Head Gesture ส่ายหรือพยักหน้าเพื่อรับและตัดสายโทรศัพท์ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามในฐานะผู้ใช้หูฟังของ Sony มาก่อน WF-1000XM5 ยังสืบทอดจุดสังเกตเดิมๆ จากรุ่นก่อนมาไม่ว่าจะไมโครโฟนตอนคุยโทรศัพท์หรือเปิดเข้าโปรแกรมแชตอย่าง Discord เสียงตอนพูดผ่านไมค์ก็แค่พูดคุยกับคู่สนทนาได้รู้เรื่องเท่านั้นไม่ถึงกับคมกริบชัดเจน และสัญญาณ Bluetooth ยังโดนรบกวนได้ค่อนข้างง่ายเวลาเดินไปมาในห้างสรรพสินค้าบางโซนและเสียงอาจเกิดอาการเพี้ยนแล้วหายไปราว 1~2 วินาทีก่อนจะกลับมาเล่นเพลงได้ตามปกติ แต่ตอนนั่งอ่านหนังสือหรือทำงานอยู่กับที่จะไม่มีปัญหานี้เลย
ข้อดีของ Sony WF-1000XM5
- เนื้อเสียงยอดเยี่ยม แบ่งแชนแนลเสียงได้ละเอียดทั้ง Treble, Vocal และ Bass
- เสียงเบสดีมาก สามารถแยกระดับเสียงเบสได้หลายระดับในครั้งเดียว ไม่เป็นก้อนเหมือนรุ่นก่อน
- มีระบบ Head Gesture ใช้วิธีพยักหรือส่ายหน้าเพื่อรับและไม่รับสายได้
- ปรับแต่ง EQ ได้ง่ายมากในแอพฯ Sony Headphone Connect ไม่มีความรู้ก็เซ็ตได้
- มีฟีเจอร์ DSEE Extreme ช่วยให้เนื้อเสียงตอนฟังเพลงมีมิติและฟังเพลงได้สนุกขึ้น
- ตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ยอดเยี่ยมเช่นเดิมด้วยชิปในตัว ไม่ได้ยินเสียงรบกวงนแม้แต่น้อย
- หูฟังตัดเข้า Transparent mode อัตโนมัติไว้สื่อสารกับผู้อื่นได้โดยไม่ต้องถอดหูฟัง
- ขนาดหูฟังเล็กลงไม่หนักหรือเกะกะแม้แต่น้อย ใส่นานๆ ไม่เมื่อยหรือรำคาญ
- เคสชาร์จไร้สายสามารถตั้งหรือวางนอนเพื่อชาร์จได้ตามสะดวก
- กันน้ำและฝุ่นระดับ IPX4 ใช้ฟังเพลงระหว่างออกกำลังกายได้
- เปิดเพลงฟังพร้อมระบบตัดเสียงรบกวนได้ 8 ชม. ถ้าปิดได้ 12 ชม. รวมชาร์จในเคสใช้งานได้ 24 ชม.
ข้อสังเกตของ Sony WF-1000XM5
- ระบบเชื่อมต่อ Bluetooth ถ้าโดนสัญญาณรบกวนได้ง่ายจนเสียงหายเมื่อเดินในห้างสรรพสินค้า
- คุณภาพเสียงของไมโครโฟนตอนคุยโทรศัพท์ยังอยู่ในระดับพอใช้งานได้ ไม่ถึงกับดีขึ้นอย่างชัดเจน
รีวิว Sony WF-1000XM5
Specification
Sony WF-1000XM5 เป็นหูฟัง True Wireless รุ่นล่าสุด เปิดตัวเมื่อเดือนกรกฏาคม 2023 พร้อมฟีเจอร์เหนือชั้นหลากหลายอย่างมาให้ใช้งาน สำหรับฟีเจอร์จะมีรายละเอียดดังนี้
สเปคของ Sony WF-1000XM5
ไดรเวอร์ | Dynamic Driver X ขนาด 8.4 มม. ตอบสนองความถี่ 20Hz~20kHz / 20Hz~40kHz (LDAC 96 kHz 990kbps) |
การเชื่อมต่อ | Bluetooth 5.3 ส่งสัญญาณแบบแยกหู L/R รองรับ Google Fast Pair, Windows Swift Pair Profile : A2DP, AVRCP, HFP, HSP, TMAP, CSIP, MCP, VCP, CCP Supported Codec : SBC, AAC, LDAC, LC3 |
Battery Life | ฟังเพลง : 8 ชั่วโมง (เปิดฟีเจอร์ตัดเสียง) / 12 ชั่วโมง (ปิดฟีเจอร์ตัดเสียง) โทรศัพท์ : 6 ชั่วโมง (เปิดฟีเจอร์ตัดเสียง) / 7 ชั่วโมง (ปิดฟีเจอร์ตัดเสียง) ชาร์จเร็ว 3 นาที ฟังเพลงได้ 60 นาที รวมระยะเวลาชาร์จในเคสใช้ได้ 24 ชั่วโมง ชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วย USB-C ชาร์จไร้สายผ่านมาตรฐาน Qi |
IP Rating | IPX4 |
Application & Assistant | Sony Headphone Connect รองรับ Google Assistant และ Amazon Alexa |
ราคา | 10,990 บาท คลิกสั่งซื้อที่นี่ |
Design
ดีไซน์ของ WF-1000XM5 เทียบกับ WF-1000XM4 แล้ว ทรงเคสจะเรียวใกล้เคียงกัน พอเปิดฝาแล้วหูฟังจะเก็บอยู่ในเคสแล้วมีขนาดไม่ใหญ่มากและมองลอดลงไปเห็นจุกหูฟังได้อยู่ แต่รุ่นก่อนจะเป็นจุกแนวตั้งเสียบลงไปตรงๆ แล้วเห็นแต่บอดี้ส่วนรองรับ Gesture Control เท่านั้น ลวดลายและสีสันของหูฟังจะเรียบง่ายไม่มีสีสันอะไรยกเว้นโลโก้ Sony สีทองส่วนฝาบนเท่านั้น
หน้าเคสใส่หูฟังติดหลอดไฟ LED แสดงสถานะอยู่ 1 ดวงเพื่อบอกว่าตอนนี้ชาร์จแบตเตอรี่อยู่หรือแบตฯ เริ่มน้อยลงแล้ว ส่วนด้านหลังจะมีปุ่ม Pairing เอาไว้กดจับคู่กับอุปกรณ์เครื่องอื่นๆ ได้ ไม่ว่าจะมือถือ Android เมื่อเปิดฝาจะขึ้นหน้าต่าง Fast Pair ให้เจ้าของกดจับคู่ได้ทันที ส่วน Windows ก็ใช้ Swift Pair เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้ง่ายๆ
การชาร์จแบตเตอรี่จะต่อสาย USB-C หรือชาร์จไร้สายก็ได้ สามารถวางนอนพลิกเอาด้านไฟ LED ขึ้นเหมือน WF-1000XM4 แถมรุ่นใหม่นี้ก็วางตั้งเคสตามปกติก็ชาร์จไร้สายได้ ส่วนการชาร์จจะวางบนแท่นชาร์จไร้สายตามปกติหรือจะเปิดโหมด Reverse Charging ของสมาร์ทโฟนแล้ววางกล่องหูฟังลงไปเพื่อชาร์จก็สะดวก เหมาะกับตอนออกไปธุระหรือเที่ยวแล้วหูฟังแบตฯ ใกล้หมดก็ใช้ฟีเจอร์นี้ชาร์จได้เลย
ตัวหูฟังถ้าเทียบกับ WF-1000XM4 แล้ว WF-1000XM5 จะมีขนาดเล็กกว่าอย่างเห็นได้ชัดและจุกสีทองที่เป็นไมค์ตัดเสียงก็ไม่ได้ยื่นออกมาเหนือตัวบอดี้ กลายเป็นเรียบเสมอไปกับตัวหูฟัง มีโลโก้ Sony สกรีนติดเอาไว้ขอบด้านหลัง 2 ฝั่ง ถึงจะเห็นไมค์ตัดเสียงด้านนอกเพียงตัวเดียว แต่ทางบริษัทได้ฝังตัวไมค์ซ่อนไว้ในตัวบอดี้ด้วย รวมแล้วจะมีข้างละ 3 ตัว ทำงานร่วมกับชิป Sony QN2e และ Sony Integrated Processor V2 ทำให้ไม่มีเสียงรบกวนภายนอกเล็ดลอดเข้ามา
ขนาดจุกหูฟังจะมีไซซ์เล็กกว่ารุ่นก่อนอย่างชัดเจนและไม่เต็มเบ้าเก็บในเคส ใช้ปลายนิ้วสะกิดเล็กน้อยก็ดึงออกมาสวมหูฟังเพลงได้แล้ว ตัวหูฟังจะเป็นพลาสติกเนื้อมันจับติดมือดีตัดกับเคสเนื้อทราย สกรีนตัวอักษร L/R เอาไว้ให้แยกฝั่งได้ง่ายเหมือนกับหูฟัง Sony รุ่นอื่นๆ ในปัจจุบัน แถมยังมีจุกหูฟังแถมมาให้เปลี่ยนในกล่อง ไล่ตั้งแต่ขนาดเล็กสุดสีแดง SS, ขนาดเล็กสีส้ม S, ขนาดกลางสีเขียว M และใหญ่สุดสีฟ้าอ่อน L สามารถถอดเปลี่ยนได้ตามสะดวกรูหูเลย
พอสวมหูฟังแล้วจะเห็นว่า Sony WF-1000XM5 จะมีขนาดกลางๆ พอดีหูแม้จะเป็นผู้หญิงตัวเล็กก็ดูไม่เทอะทะ ตัวจุกจะพอดีกับรูหูมากและหันหัวไปมาก็ไม่หลุดง่ายๆ แน่นอน แต่ตัวจุกเป็นโฟมจับขี้หูได้ค่อนข้างง่าย ถ้าใครขี้หูเยอะแนะนำให้เอาผ้าสะอาดเช็ดเป็นระยะๆ จะลดความสกปรกและคราบฝังได้
เทียบกับ WF-1000XM3 กับ WF-1000XM4 จะเห็นว่า WF-1000XM5 กะทัดรัดกว่าเดิมไม่เป็นครีบยื่นออกมาด้านหน้าเหมือน 1000XM3 และไม่ปูดสูงออกมาเหมือน 1000XM4 ดูดีไซน์แล้วจะค่อนข้างเรียบร้อย แต่เพราะทาง Sony ย่อขนาดของมันจนเล็กกว่ารุ่นก่อนถึง 25% ถึงจะใส่นานๆ แล้วไม่ล้าหูก็จริง แต่เวลาอยากหมุนหูฟังให้เข้าที่กระชับขึ้นต้องใช้ปลายนิ้วหนีบแล้วดันเข้าแถมต้องระวังไปโดนเซนเซอร์ควบคุม Gesture Control ไม่ได้เหมือน 1000XM3 ซึ่งตัวนั้นสามารถจับตรงครีบหูฟังแทนได้
Software & Configuration
แอพฯ จำเป็นต้องมีติดมือถือเมื่อเข้าสู่อารยธรรม Sony อย่าง Sony Headphone Connect จะมีให้โหลดได้ทั้ง Google Play Store และ Apple Play Store สามารถใช้ตั้งค่าหูฟังและอัพเดทเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่นใหม่ๆ ให้หูฟังได้ผ่านแอพฯ นี้ เมื่อเปิดเข้ามาหน้าแรกจะโชว์แบตเตอรี่ของหูฟังกับตัวเคสว่าเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ พร้อม Codec ที่ใช้งานอยู่ใต้ชื่อรุ่น ตอนทดสอบพอเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน Android แล้วตัวหูฟังจะใช้ SBC Codec และเสริมด้วย DSEE Extreme เอาไว้ Upscalling เนื้อเสียงแบบไร้สายให้ฟังเพลงได้เต็มอิ่มยิ่งขึ้น
ความฉลาดซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่ WF-1000XM3 คือ ระบบ Adaptive Sound Control จะสลับโหมดการทำงานโดยอัตโนมัติทั้งนั่งอยู่กับโต๊ะทำงานหรือเดินไปมาทำให้ระบบตัดเสียงจะปรับตามโดยทันที ถัดลงมาจะแสดงชื่ออุปกรณ์และเพลงที่เล่นอยู่
แถบย่อยด้านบนในหมวด Sound จะเอาไว้ปรับตั้งค่าได้ว่าต้องการให้เสียงภายนอกเล็ดรอดเข้ามาได้มากแค่ไหน โดยกดตรงคำสั่ง Ambient Sound Control เลือกระหว่างโหมด Noise Cancelling ตัดเสียงรบกวนหรือเปิดให้เสียงภายนอกเข้ามาระดับหนึ่งหรือทั้งหมดก็ได้
ถัดลงมามีตัวเลือก Speak-to-Chat ซึ่งผู้เขียนแนะนำให้เปิดค้างเอาไว้ได้เลย โดย 1000XM5 จะคอยจับเสียงพูดของเจ้าของว่าถ้าเริ่มพูดเมื่อไหร่ หูฟังจะหยุดเล่นเพลงแล้วเปลี่ยนจากโหมดตัดเสียงรบกวนให้เสียงภายนอกโดยเฉพาะเสียงคู่สนทนาให้เข้ามาได้และกลายเป็นเครื่องช่วยฟังไปในตัวและโหมดนี้จะหยุดทำงานหลังจากเราหยุดพูดกับคู่สนทนาราว 10~12 วินาที แล้วจะกลับมาเล่นเพลงตามเดิม แต่บางครั้งฟีเจอร์นี้ก็พลาดบ้าง เช่น ตอนสวมหูฟังอยู่แล้วเผลอฮัมเพลงหรือทำเสียงฮื่อในลำคอ หูฟังจะคิดว่าเรากำลังจะพูดแล้วตัดเข้าโหมดนี้ได้
ด้านฟีเจอร์อื่นๆ ในหมวดนี้จะมีฟังก์ชั่น Analyze ear shape สำหรับถ่ายภาพทรงหูของเราเพื่อวิเคราะห์ฟังก์ชั่นตัดเสียงรบกวนได้ ข้อดีคือถ้าใช้หูฟังรุ่นก่อนๆ ทั้ง 1000XM3, 1000XM4 แล้วมีข้อมูลของทรงใบหูอยู่มันจะโหลดขึ้นมาใช้งานต่อกับ Sony WF-1000XM5 ต่อทันที ไม่ต้องถ่ายภาพใหม่ให้เสียเวลา หรืออยากถ่ายภาพหูใหม่ก็กด Re-analyze ก็ได้ ส่วนล่างสุดจะมีตัวเลือกว่าจะให้การเชื่อมต่อ Bluetooth เน้นการเชื่อมต่อที่เสถียรไม่หลุดง่ายหรือเน้นคุณภาพเสียงก่อน กับคำสั่งเปิดปิด DSEE Extreme
ฟีเจอร์โปรดของผู้เขียนจนขอยกให้เป็นลูกเล่นสุดเจ๋งของ Sony WF-1000XM5 คือ Find Your Equalizer ซึ่งจะทำงานตอนเปิดเพลงฟังอยู่ พอเปิดแอพฯ Sony Headphone Connect ขึ้นมา แอพฯ จะถามว่าเราต้องการปรับแต่ง EQ ให้ถูกจริตเราขึ้นหรือไม่ เมื่อเปิดแล้วตัวแอพฯ จะอิงเพลงที่เล่นอยู่ในตอนนั้นแล้วจำลองโทนเสียงออกมาให้แตะเลือกได้ 5 แบบสองรอบ จากนั้นจะเป็น fine-tune เพื่อเลือก EQ โดยละเอียดอีก 3 แบบ ก่อนจะสร้าง EQ เฉพาะของเราขึ้นมาให้แถมฟังเทียบระหว่างก่อนและหลังปรับได้ ถ้าไม่พอใจก็กด Retry เซ็ตใหม่ได้จนพอใจ
สำหรับคนรักเสียงเพลงแต่ปรับ EQ ไม่เก่ง นี่คือฟีเจอร์ที่ดีมากเพราะคนไม่ได้เล่นเครื่องเสียงก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่าก้านปรับ EQ บนหน้าจอแต่ละอันจะทำให้เสียงเปลี่ยนไปอย่างไร การเปลี่ยนไปใช้วิธีเลือกเสียงแบบที่ชอบสุดไปเรื่อยๆ แทน แม้จะดูเรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริงแถมปรับจูนเสียงลงตัวขึ้นและได้อรรถรสกว่าเดิมหลายเท่ามาก แถมเนื้อเสียงหลังปรับแต่งแล้วก็ยอดเยี่ยมจนทำให้หูฟัง Sony WF-1000XM3 ของผู้เขียนกลายเป็นหูฟังดาษๆ ไปโดยปริยาย
หน้าต่าง System จะรวมคำสั่งปรับแต่งต่างๆ เอาไว้ ทั้ง Voice Assistant ว่าจะใช้ของ Google หรือตัวอื่นๆ ก็ได้ และยังเลือกคำสั่งให้ Touch Sensor ของหูฟังทั้งสองข้างตรงหน้านี้ได้ทันที รวมถึง Quick Access ว่าถ้าแตะ 2~3 ครั้ง จะให้หูฟังทำอะไรให้ ซึ่งในส่วนนี้แนะนำให้เปิดแค่ Head Gesture เพิ่มแล้วเซ็ต Touch Sensor เพิ่มนิดหน่อยก็พอ
หมวด Service ในหน้าสุดท้ายจะเป็นโหมดเชื่อมต่อกับแอพฯ ฟังเพลงยอดนิยม ได้แก่ Spotify หรือ Endel สำหรับเล่นเสียงเพิ่มสมาธิหรือนอนหลับให้เต็มอิ่มยิ่งขึ้นก็มาตั้งค่าเชื่อมต่อหูฟังกับแต่ละแอพฯ ได้เลย แค่กดตั้งค่าตามตัวโปรแกรมไปเรื่อยๆ ก็พร้อมใช้งานทันที
User Experience
หลายคนหลังเห็นราคา 10,990 บาท อาจคิดว่า Sony WF-1000XM5 ราคาแพงเกินไปจนต้องกลับมายั้งคิดกัน แต่หากเทียบราคา MSRP (Manufacturer’s Suggested Retail Price) กับ Sony WF-1000XM4 เมื่อ 2 ปีก่อนหน้าที่เปิดตัวมา 8,990 บาท ก็ถือว่าทาง Sony ปรับราคาขึ้นแค่ 2,000 บาทตามกลไกเงินเฟ้อ ยิ่งเทียบกับคู่ชกตรงรุ่นอย่าง Sennheiser Momentum 3 ที่เปิดตัวเมื่อปีก่อนกับราคา 9,999 บาท ก็แพงขึ้นแค่ 991 บาท และยังมีรุ่นแพงกว่าอย่าง Bang & Olufsen Beoplay E8 3rd Gen ราคา 12,900 บาทเป็นด่านต่อไปอีกด้วย แลกกับลูกเล่นในตัวก็ถือว่า Sony WF-1000XM5 ตั้งราคามายอมรับได้และคุ้มค่าในกลุ่ม Premium ณ ปี 2023 นี้
ความประทับใจอย่างแรกหนีไม่พ้นการฟังเพลง เมื่อเชื่อมต่อกับมือถือ ปรับจูน EQ ด้วยฟังก์ชั่นในตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทาง Sony ก็ไม่ทำให้ผิดหวังเพราะ Dynamic Driver X เล่นเสียงได้ดีมาก เนื้อเสียงเทียบกับ WF-1000XM3 คือต่างกันคนละมิติ โดยสัมผัสตอนทดลองฟังเพลงแล้วเสียงจะเป็นดังนี้
- Stage – มีสเตจเสียงกว้างกว่า หากเทียบเป็นระยะตามความรู้สึกเหมือนเครื่องดนตรีห่างออกราว 0.5~1 เมตร แยกแชนแนลเสียงได้ชัดเจนและไลน์เสียงไม่ทับกันเลยทั้งเสียงนักร้อง, เครื่องดนตรีหรือเบสที่เล่นซัพพอร์ตอยู่ด้านหลัง
- Vocal – ใส เคลียร์ ฟังชัดเจนแบ่งคำร้องได้ชัดและสมดุลย์กับเสียงเครื่องดนตรีไม่กลบหรือหลบกันเกินไป โทนเสียงเกือบเท่าการฟังดนตรีสด
- Treble – โทนเสียงสูงของ WF-1000XM5 ค่อนข้างใสกว่า WF-1000XM3 มาก ออกใสฟังสบายหูและปลายแหลมสูงแต่ยังติดขุ่นปลายแบบอ่อนๆ ถ้าไม่สังเกตจะแทบไม่ขัดหูเลยและเสียงทอดไกลพอสมควร ฟังเพลงแนวคลาสสิคได้ค่อนข้างดีน่าประทับใจ
- Bass – โดดเด่นมาก แชนแนลของเสียงเบสแยกโทนออกมาชัดไม่กลืนกัน โทนเสียงทุ้มหนักแน่นมีแรงปะทะหนักหน่วงแต่มีระดับและมีโทนเสียงเบสต่ำซ้อนอยู่ด้วย เป็นเสียงเบสแยก 2 โทนในตัวเดียวกัน ผิดกับ WF-1000XM3 ที่เบสจะมาเป็นก้อนทุ้มโทนเดียว
- Noise Cancellation – ตัดเสียงรบกวนได้ดีมากในทุกสถานการณ์ ใช้ในออฟฟิศแล้วเสียงพูดของคนรอบตัวเงียบหมดสามารถโฟกัสงานได้ง่ายขึ้น และตัดเสียงลำโพงดังราว 60dB ของคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้หมดจด
- Microphone – พอโทรคุยกับผู้อื่นได้ เสียงพอฟังได้ชัดเจนแต่เทียบกับหูฟังระดับ Premium รุ่นอื่นยังไม่โดดเด่นเท่าไหร่
- สไตล์เพลงที่เหมาะสม – Pop, Rock, R&B, EDM, Metal, Classic
นอกจากเรื่องเสียง ด้านการใช้งานในชีวิตประจำวันถือว่า Sony WF-1000XM5 ยอดเยี่ยมกว่ารุ่นก่อนหน้ามากจนอยากแนะนำให้ลงทุนซื้อมาใช้ ตัวหูฟังมีขนาดเล็กลงไม่ดึงตัวให้หลวมหลุดง่ายและใส่ฟังทั้งวันก็ไม่เมื่อย ตอนทดลองสวมฟังเพลงนานๆ 3-4 ชั่วโมงไม่มีอาการเมื่อยหูหรืออยากถอดเลยแม้แต่นิดเดียว ใส่เดินในห้างได้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวไม่โดนเสียงภายนอกไม่ว่าจะเสียงเซลส์ขายคอร์สความงาม, เสียงพูดคุยของคนอื่นที่เดินสวนกันไปจนถึงเสียงประกาศตามสายในห้างเลย แต่ถ้าติดฟังเพลงนานๆ หลายชั่วโมงแล้วเปิด Noise Cancellation ไปด้วย แบตเตอรี่อาจจะหมดเร็ว แต่ก็มีฟีเจอร์ชาร์จเร็วเพียง 3 นาทีก็ฟังเพลงได้อีก 60 นาทีแล้ว
Gesture Control ก็ตอบสนองได้ดีทั้ง Head Gesture เอาไว้พยักหรือส่ายหน้าตอนมีสายเข้าได้ โดยตัวหูฟังจะอ่านชื่อคนโทรเข้ามาให้เราฟังก่อนและ Touch Sensor ถ้าตั้งค่าดีๆ ก็สั่งเปิดหรือเปลี่ยนเพลงได้โดยไม่ต้องหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงก็ได้ โดยองค์รวมแล้วถ้าหูฟัง True Wireless ตัวเก่าอายุไล่เลี่ยกับ WF-1000XM3 และอยากเปลี่ยนอยู่แล้ว ก็ลงทุนเปลี่ยนมาใช้ Sony WF-1000XM5 นอกจากจะคุ้มแล้วยังรู้สึกได้ถึงเสียงเพลงที่แตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจนแน่นอน
อย่างไรก็ตามระบบ Bluetooth ของ Sony WF-1000XM5 แม้จะเชื่อมต่อแล้วตั้งค่าให้เน้นความเสถียรของการเชื่อมต่อเป็นหลักก็จริง แต่ตอนเดินไปมาในห้างสรรพสินค้าซึ่งมีคลื่นสัญญาณรบกวนเต็มไปหมดจะมีปัญหาเหมือนกับรุ่นก่อน คือ เสียงเพลงจะหายไปเป็นระยะๆ ถ้าสัญญาณรบกวนแต่ไม่แรงเกินไปอาจกลายเป็นเสียง Distort จนฟังไม่ได้ศัพท์แทน แต่สัญญาณยังกลับมาฟังเพลงได้ดีเหมือนเดิมเร็วกว่ารุ่นก่อนมาก แต่เทียบกับแบรนด์คู่แข่งที่ไม่มีปัญหานี้แล้วก็อยากให้ทาง Sony ปรับแต่งโหมดการเชื่อมต่อให้สัญญาณดีขึ้นอีกนิดจะดีมาก ส่วนไมโครโฟนของหูฟังยังถือว่าพอใช้โทรคุยสายได้แต่ยังไม่ถึงกับประทับใจนัก
Conclusion & Award
ระยะเวลา 2 ปีหลังจากรุ่นก่อน ตอนนี้ Sony WF-1000XM5 ก็กลับมาทวงบัลลังก์ของหูฟังไร้สายได้อย่างสวยงามกับราคาที่เพิ่มจากรุ่นก่อนเล็กน้อยเป็น 10,990 บาท แต่ได้ฟีเจอร์ใหม่ๆ เสริมเข้ามาพอสมควร นอกจากฟังเพลงได้สนุกเต็มอรรถรสและยังตั้งค่าได้ง่ายเชื่อมต่อได้หลากหลายแอพฯ เป็นหูฟัง True Wireless ระดับพรีเมี่ยมที่น่าลงทุนซื้อมาเพื่อความสุขส่วนตัวมากๆ
ถ้าใครคิดอยากเปลี่ยนหูฟัง True Wireless อยู่แล้ว ถามว่าซื้อ Sony WF-1000XM5 จะคุ้มหรือเปล่า ต้องขอจัดกลุ่มว่าถ้าใช้รุ่น Premium เหมือนกันอยู่แล้วและอายุการใช้งานยังไม่เกิน 2 ปี อาจไม่เห็นข้อแตกต่างมาก แต่ถ้าหูฟังอันเก่าอายุเกิน 2 ปี ขึ้นไปร่วมรุ่นกับ WF-1000XM3 หรือเก่ากว่านั้นจะคุ้มค่ามากและมีความสุขเวลาฟังเพลงหรือ Podcast โปรดแน่นอน
Award
Best Features
ลูกเล่นของ WF-1000XM5 ทั้งเรื่องตัดเสียงรบกวนแล้วสลับมาคุยกับคนรอบตัวด้วย Quick Attention ได้เป็นอะไรที่ดีมาก และยังใช้ Head Gesture รับหรือตัดสายที่โทรเข้ามาได้โดยไม่ต้องผละมือจากงานตรงหน้าจัดเป็นฟีเจอร์ดีและได้ใช้งานบ่อยแน่นอน
Best Multimedia
เนื้อเสียงของ Sony WF-1000XM5 นอกจากมีเอกลักษณ์แล้วยังฟังเพลงได้ดีขึ้นมากกว่ารุ่นก่อนหน้ามาก มีลูกเล่นการปรับ EQ โดยใช้วิธีฟังเสียงในแอพฯ Headphone Connect ทั้งเข้าใจง่ายและใช้ได้ดีมาก เป็นหูฟัง True Wireless ที่น่าประทับใจสุดในปี 2023 นี้