ไฮไลต์ข่าว
- งานวิจัยล่าสุดจาก เอชพี และ Morning Consult เผยว่า พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีความกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยส่วนใหญ่ระบุว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อมุมมองในการมีบุตรเพิ่ม
- จากงานวิจัยพบว่า พ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่จับตามองการจัดการปัญหาด้านภูมิอากาศจากบริษัทต่าง ๆ
- ข้อมูลเชิงลึกล่าสุดที่ เอชพี เผยแพร่ในรายงานประจำปีด้านความยั่งยืนฉบับที่ 22 มีรายละเอียดความคืบหน้าของแผนงานเทียบกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทฯ
เอชพีเผยผลวิจัยระดับโลกฉบับใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจของพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมากที่มีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่การตัดสินใจในชีวิตประจำวันตลอดจนการวางแผนครอบครัวระยะยาว
จากผลการวิจัยพบว่ามากถึง 91% ของพ่อแม่ผู้ปกครองกังวลเกี่ยวกับวิกฤตสภาพอากาศ ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตและพฤติกรรมการจับจ่ายซื้อของ โดยมากกว่าครึ่ง (53%) ส่งผลต่อมุมมองของพวกเขาในการมีลูกเพิ่ม และยังพบว่าผู้ปกครองจำนวนมากชอบบริษัทที่จัดการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศและคาดหวังให้ภาคธุรกิจเป็นผู้นำในประเด็นนี้ ผู้ปกครองเกือบสองในสาม (64%) เลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากแหล่งที่ยั่งยืน และกว่า 60% กล่าวว่าแนวปฏิบัติของบริษัทที่ยั่งยืนมีส่วนสำคัญต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อของพวกเขา
ความเต็มใจที่จะแสวงหาผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการตัดสินใจแบบนี้เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าผู้ทำแบบสอบถามส่วนใหญ่ (84%) ยอมรับว่าค่าครองชีพสูงขึ้น และมากกว่าครึ่ง (57%) เชื่อว่าการมีส่วนร่วมในแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้นต้องใช้เวลาเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ผู้ปกครองมีแนวทางการจัดการในแบบของตัวเอง ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าผู้เล่นหลักในโลกธุรกิจควรมีส่วนร่วมในการจัดการด้วยเช่นกัน จากการสำรวจทั่วโลกพบว่าผู้ปกครองส่วนใหญ่ (51%) เชื่อว่าบริษัทต่าง ๆ มีความรับผิดชอบ “อย่างมาก” ในการรับผิดชอบต่อการจัดการด้านสภาพอากาศ เมื่อเทียบกับลูกค้าของบริษัทเหล่านั้น (36%)
การวิจัยในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อ เอชพี เผยแพร่รายงานประจำปีด้านความยั่งยืน ฉบับที่ 22 โดยระบุรายละเอียดที่ครอบคลุมและชัดเจนเกี่ยวกับความคืบหน้าของบริษัทต่อการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
- ในปีพ.ศ. 2562 เอชพี มีส่วนในการลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ถึง 18% ซึ่งทำให้บริษัทเข้าใกล้เป้าหมายในการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2583 ได้มากยิ่งขึ้น
- ช่วยลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวลงถึง 55% เมื่อเทียบกับปีพ.ศ. 2561
- ต่อต้านการตัดไม้ทำลายป่าไปแล้วกว่า 41% ของกระดาษทั้งหมดที่ใช้ในผลิตภัณฑ์และบริการของ เอชพี จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 100%
- เร่งสร้างความเท่าเทียมทางดิจิทัลให้กับผู้คนมากกว่า 21 ล้านคนจากเป้าหมายที่ 150 ล้านคนภายในปีพ.ศ. 2573
โดยในประเทศไทย เอชพี มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความหลากหลายทางเพศและความเท่าเทียมทางดิจิทัล ทั้งภายใน และภายนอกองค์กร ซึ่งในปีนี้ อาสาสมัครของ เอชพี ประเทศไทย ได้เข้าร่วมโครงการ ‘make’ HappY Community ส่งเสริมให้พนักงานที่มีจิตอาสาไปร่วมทำกิจกรรมกับองค์กรสาธารณกุศล 7 องค์กร อาทิ สภากาชาดไทยและมูลนิธิเพื่อคนตาบอด เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส นอกจากนั้น เอชพียังได้ร่วมมือกับองค์กรสาธารณกุศลหลากหลายเพื่อมอบอุปกรณ์ไอทีสำหรับการเรียนรู้และให้ความรู้แก่นักเรียนภายในโครงการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมทางดิจิทัล
ด้วยจำนวนพนักงานกว่า 50% ที่เป็นผู้หญิง เอชพี ได้ลงทุนในการพัฒนาความเป็นผู้นำและแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในความเท่าเทียมระหว่างเพศผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการ Women in Leadership Lab (WILL) และ โครงการ Women Impact Network (WIN) Thailand
“ที่ เอชพี เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความแตกต่างในชุมชนของเรา เรามีความก้าวหน้าอย่างมากด้วยผลลัพธ์ที่จับต้องได้ในเส้นทางสู่ความยั่งยืน และเชื่อว่าการแก้ปัญหาด้านสภาพอากาศและปัญหาในชุมชนนั้นควรเป็นความพยายามร่วมกันจากทุกภาคส่วน ทางเราจะยังคงร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ ในการริเริ่มสร้างความยั่งยืนซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้คน ธุรกิจ และสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย” วรานิษฐ์ อธิจรัสโรจน์ กรรมการผู้จัดการ เอชพี ประเทศไทย กล่าว
เอชพี มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ยั่งยืนและสร้างความเท่าเทียมมากที่สุด โดยในปีพ.ศ. 2564 เอชพี ตั้งเป้าหมายสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในเชิงรุก 3 ด้านโดยบริษัทเชื่อว่าสามารถสร้างความแตกต่างได้มากที่สุด ประกอบไปด้วย การจัดการด้านสภาพอากาศ สิทธิมนุษยชน และความเท่าเทียมทางดิจิทัล ในรายงานประจำปีพ.ศ. 2565 ระบุรายละเอียดความคืบหน้าของประเด็นสำคัญทั้งสามด้าน ได้แก่ ห่วงโซ่ค่าคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ การตอบแทนป่าไม้มากกว่าที่ได้รับ การสร้างเศรษฐกิจระบบหมุนเวียนมากขึ้น สร้างวัฒนธรรมแห่งความเท่าเทียม และเสริมสร้างความเสมอภาคทางดิจิทัลทั่วโลกเพื่อช่วยให้ชุมชนที่ถูกกีดกันเติบโตขึ้นในเศรษฐกิจดิจิทัล