เพราะจอมอนิเตอร์ก็เปรียบเสมือนหน้าต่างที่กำหนดประสบการณ์การใช้งาน PC ของคุณในแต่ละวัน ไม่ว่าคุณจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในการใช้งาน ผลงานสุดปัง ประสบการณ์ความบันเทิงสมจริง รวมไปถึงการปรับสรีระตอนนั่งทำงานเพื่อสุขภาพของคุณ จอมอนิเตอร์ที่ใช่และเหมาะกับคุณอาจช่วยยกระดับไลฟ์สไตล์ของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
จากตัวเลือกมอนิเตอร์ในตลาดทุกวันนี้ที่ทั้งหลากสเปกหลายฟีเจอร์ อาจทำให้คุณเกิดคำถามว่า แล้วเราจะเลือกจอมอนิเตอร์ที่ใช่และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราที่สุดได้อย่างไร? วันนี้เดลล์เลยอยากพาทุกคนไปดู คู่มือการเลือกซื้อมอนิเตอร์ ว่าต้องมีอะไรบ้าง ถึงจะตรงใจและตอบโจทย์!
เลือกไซส์ที่จุได้ทุกความต้องการ
จอมอนิเตอร์นั้นใช้หน่วยวัดเป็น ‘นิ้ว (Inch)’ เช่นเดียวกับจอทีวี และขนาดที่วางขายในตลาดก็มีตั้งแต่ 14 นิ้ว ไปจนถึง 86 นิ้วเลยทีเดียว แต่โดยปกติแล้วมาตรฐานของจอมอนิเตอร์มักจะมีอยู่ 3 ขนาด คือ 24 นิ้ว, 27 นิ้ว และ 32 นิ้ว
- จอขนาด 22 หรือ 24 นิ้ว เป็นขนาดที่พอดีสำหรับโต๊ะทำงานขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการใช้งานประจำวัน เช่น รับส่งอีเมล หรือการใช้งานอินเทอร์เน็ต
- จอขนาด 27 นิ้ว เป็นจอขนาดกลางที่เหมาะสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน พนักงานออฟฟิศ หรือใช้เพื่อความบันเทิงภายในบ้าน
- จอขนาด 32 นิ้วขึ้นไป จัดเป็นจอขนาดใหญ่ที่มอบพื้นที่ให้คุณจัดการงานหลายอย่างได้พร้อมกัน แถมยังตอบโจทย์ทุกการใช้งานในหนึ่งจอ
สำหรับการวางจอมอนิเตอร์ ควรวางในตำแหน่งที่ห่างจากดวงตาประมาณ 16 – 30 นิ้ว จึงควรเลือกขนาดที่มองแล้วสบายตาที่สุดจากระยะนี้
ความละเอียดคือหัวใจของวิชวลสุดตราตรึง
ความละเอียดของภาพ (Resolution) จะเป็นตัวบอกจำนวนพิกเซล (Pixels) ทั้งหมดในรูปแบบ ความกว้าง x ความสูง เช่น 1920 x 1080 เป็นต้น หากมอนิเตอร์มีความละเอียดสูง ก็แปลว่ามีจำนวนพิกเซลสูงเพื่อการแสดงภาพที่คมชัดยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้คุณสามารถปรับขนาดเนื้อหาให้อ่านง่ายขึ้น หรือแสดงเนื้อหาที่มากขึ้นได้
- HD (1366×768 – 1680×1050) เป็นความละเอียดจอที่ราคาไม่สูงและได้คุณภาพของภาพที่ดีเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น ค้นหาข้อมูลหรือท่องโลกอินเทอร์เน็ต พิมพ์เอกสารสำหรับการเรียนหรือทำงาน
- Full HD (1920×1080 – 1920×1200) คือความละเอียดมาตรฐานสำหรับการใช้งานในบ้าน สำนักงาน และยังเป็นความละเอียดขั้นต่ำสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การแชร์ภาพ การประชุมผ่านวิดีโอคอล และการสตรีมวิดีโอ
- Quad HD or Wide QHD (2560×1440 – 3440×1440) ให้รายละเอียดและสีสันที่คมชัดมากขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผลิตคอนเทนต์ การพรีเซนต์แผนภูมิหรือกราฟที่มีรายละเอียดสูง หรือจะเล่นเกม PC ที่ใช้กราฟิกหนักๆ ก็ได้
- 4K Ultra HD (3840×2160) มาพร้อมความหนาแน่นของพิกเซลที่มากขึ้น ทำให้คุณสามารถปรับขนาดจอเพื่อคุณภาพและความคมชัดที่มากขึ้นได้ มอนิเตอร์ระดับ 4K นั้นเหมาะสำหรับงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การเรนเดอร์ CAD/CAM, การตัดต่อวิดีโอและภาพ, การสร้างภาพประกอบ (Illustrations) ในการออกแบบเว็บไซต์ และงานคอมพิวเตอร์กราฟิกแบบ 3 มิติ (3D computer graphics)
- 8K (7680×4320) เป็นความละเอียดสูงสุดของจอในปัจจุบัน ซึ่งเป็นความคมชัดที่มากกว่าระดับ 4K ขึ้นมาอีกขั้น จึงทำให้ภาพที่ออกมามีความแม่นยำสมจริงมากที่สุดทั้งในแง่ของสี และการไล่สีแสงเงาแบบไร้รอยต่อ ความคมชัดระดับนี้นั้นถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับ งานดีไซน์และการตัดต่อที่มีความซับซ้อนสูง รวมไปถึงการสร้างอนิเมชั่น การเรนเดอร์ภาพ 3 มิติ และการตัดต่อวิดีโอที่ความคมชัดระดับ 8K
อัตราการรีเฟรช: ยิ่งมาก = ยิ่งไหลลื่น
อัตราการรีเฟรช (Refresh rate) หมายถึง จำนวนครั้งต่อวินาที ที่หน้าจอของคุณนั้นทำการวาดภาพใหม่เพื่อแสดงผล ซึ่งจะวัดผลในหน่วยเฮิร์ต (Hz) และมีค่าปกติอยู่ที่ประมาณ 60Hz ถึง 240Hz
- อัตราการรีเฟรชยิ่งสูงก็ยิ่งดีต่อการรับชมของคุณ เพราะภาพที่ไหลลื่นจะช่วยลดอาการปวดตาได้
- 60 Hz เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การทำเอกสาร ดูหนัง และการเล่นเกมเบาๆ
- 144 Hz ให้ภาพที่ไหลลื่น เหมาะสำหรับเกมที่มีการแข่งขัน การแชร์รูปภาพ และการตัดต่อวิดีโอ
- 240 Hz จะแสดงภาพที่ละเอียด การเคลื่อนไหวเนียนตาพร้อมลดความเบลอเป็นอัตรารีเฟรชที่เหมาะสำหรับเกมประเภทการยิง (FPS Games) และงานต่างๆ ที่ต้องการอัตรารีเฟรชสูง
ความเร็วในการตอบสนอง: ยิ่งเลขน้อย = ยิ่งตอบสนองไว
ความเร็วในการตอบสนอง (Response time) หมายถึง ความเร็วที่จอใช้ในการเปลี่ยนจากสีหนึ่งไปเป็นอีกสีหนึ่ง ซึ่งใช้หน่วยวัดเป็น มิลลิวินาที (ms)
- ยิ่งเลขมิลลิวินาทีน้อย จอก็ยิ่งเปลี่ยนภาพได้ไวขึ้น
- ยิ่งความเร็วในการตอบสนองมากขึ้น ก็จะสามารถช่วยลดอาการภาพซ้อน ลดการบิดเบือนและความเบลอของภาพได้ดีขึ้น ทำให้ภาพคมชัดมากขึ้นแม้จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ดังนั้น เลขยิ่งน้อย ความเร็วในการตอบสนองจอก็ยิ่งไว
ชนิดของเทคโนโลยีพาเนล
- TN (Twisted Nematic) เป็นเทคโนโลยีใช้แสดงภาพที่เป็นที่นิยมสำหรับเดสก์ท็อปและแล็ปท็อป พาเนลแบบ TN สามารถมอบความเร็วในการตอบสนองต่ำ และอัตราการรีเฟรชสูง โดยมีอาการเบลอในการเคลื่อนไหวน้อย แถมยังอยู่ในราคาที่เหมาะสม เหมาะสำหรับผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัดและต้องการใช้งานแบบพื้นฐาน
- VA (Vertical Alignment) มีอัตราส่วนความแตกต่างของสีที่ชัดเจน (Static Contrast Ratios) และมีความลึกของภาพที่ยอดเยี่ยม ทำให้พาเนลแบบ VA เหมาะกับผู้ที่รักการชมภาพยนตร์ และผู้ที่มองหาความคมชัดสมจริงของภาพ นอกจากนี้ยังเหมาะกับเกมเมอร์ที่ชื่นชมเกมประเภท RPG อีกด้วย
- IPS (In-Plane Switching) ให้สีของภาพที่สมจริง และยังมอบมุมมองการรับชมที่ดีขึ้นด้วย พาเนลแบบ IPS สามารถรองรับเทคโนโลยีการแสดงสีแบบขั้นสูงได้ ซึ่งเหมาะกับผู้ใช้งานระดับมืออาชีพ เกมเมอร์ หรือแม้กระทั่งสาย Tech
จอแบน vs จอโค้ง
- จอแบน เป็นตัวเลือกเหมาะสำหรับพื้นที่ทำงานที่มีข้อจำกัด เพราะใช้พื้นที่ไม่มาก แถมยังเหมาะสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน เช่น การท่องอินเทอร์เน็ต การพิมพ์งาน หรือแม้กระทั่งการช้อปปิ้ง
- จอโค้ง เหมาะสำหรับพื้นที่ที่กว้างและสามารถควบคุมแสงไฟได้ จอภาพแบบโค้งนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่กำลังมองหาประสบการณ์ของภาพที่มีความสมจริง นอกจากนี้จอโค้งยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเหล่าเกมเมอร์ หรือผู้ที่ต้องตัดต่อวิดีโอในแนวนอนอีกด้วย
ทริคการปรับสรีระง่ายๆ สำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์
- วางจอมอนิเตอร์ไว้ด้านหน้าของคุณ ในระยะห่างจากดวงตาประมาณ 51 ซม. หรือ 20 นิ้ว เป็นอย่างน้อย
- หลีกเลี่ยงการวางจอไว้บริเวณหน้าต่างที่มีแสงจ้า หรือพื้นหลังของผนังที่มีความสว่างสูง
- ปรับระดับหน้าจอให้กึ่งกลางของหน้าจออยู่ต่ำกว่าระดับสายตาของคุณเล็กน้อย
- เอนจอภาพไปด้านหลังประมาณ 10° ถึง 20° เพื่อรักษาระยะห่างที่เหมาะสมระหว่างดวงตาและหน้าจอของคุณ
จอมอนิเตอร์ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ไม่เพียงแต่จะช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของคุณเพิ่มขึ้น แต่ยังช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือสนุกไปกับความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ คลิก ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมอนิเตอร์ของเดลล์เพื่อค้นหาหน้าจอที่ใช่ที่สุดสำหรับคุณได้เลย!