Connect with us

Hi, what are you looking for?

Accessories review

รีวิว MOUNTAIN Everest Max คีย์บอร์ด 75~100% โมดิฟายได้เต็มแม็กซ์

MOUNTAIN Everest Max เกมมิ่งคีย์บอร์ดโมดิฟายได้ ฟีเจอร์อย่างล้น!

everestmax cover

MOUNTAIN Everest Max จาก MOUNTAIN แบรนด์ผู้ผลิตเกมมิ่งเกียร์ที่อายุเพิ่งครบ 4 ปีไปหมาดๆ อาจไม่คุ้นหูเกมเมอร์ชาวไทยหลายๆ คน ทว่า Mechanical Keyboard นี้ออกแบบมาครบเครื่องจนเกมมิ่งคีย์บอร์ดจากบริษัทเกมมิ่งเกียร์ชั้นนำบางเจ้าต้องมีอายกันบ้างและมันถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์ได้หลากหลาย ตั้งแต่เกมเมอร์ที่อยากได้เกมมิ่งคีย์บอร์ดฟีเจอร์ล้นสำหรับใช้ตอนเล่นเกมหรือกำลังไลฟ์สตรีมไปจนคนทำ Custom Mechanical Keyboard เป็นงานอดิเรก ชอบเก็บสะสมคีย์บอร์ดดีๆ เอาไว้สลับใช้งานหรือหาตัวจบสักตัวเอาไว้ใช้งาน เมื่อได้ลองใช้ MOUNTAIN Everest Max ดูก็อาจจะเจอตัว “End Game” ของตัวเองไปเลยก็ได้

Advertisement

สาเหตุที่พูดเช่นนี้เพราะผู้เขียนเองก็ทำ Custom Mechanical Keyboard เอาไว้ใช้เช่นกัน แม้จะมีตัว “End Game” หรือตัวตอบโจทย์ตรงใจแล้วก็ตาม แต่เมื่อทดลองใช้คีย์บอร์ดตัวนี้ก็ต้องมีคิดเช่นกัน นั่นเพราะงานประกอบของตัวคีย์บอร์ดแข็งแรงเป็นบอดี้อลูมิเนียมทั้งตัวและดีไซน์แบบ Modular ถอดแยกชิ้นส่วนคีย์บอร์ดได้ทุกชิ้นไม่พอ ยังให้ฟีเจอร์มาครบเครื่องทั้งหน้าปัด Display Dial เอาไว้ปรับการตั้งค่าได้, มี USB-A 3.2 Gen 1 Passthrough ไว้เชื่อมต่อแท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนเพื่อโอนไฟล์, ปุ่มลัด Display Key แบบปรับแต่งได้เหนือชุด Numpad เซ็ตสะดวกเรียกคำสั่งที่ใช้งานบ่อยออกมาได้ทันที, ไฟคีย์บอร์ดแบบ Per-Key RGB ยังปรับแต่งการทำงานได้หลากหลายในซอฟท์แวร์ Base Camp ได้อีก และจะพิมพ์งานทั้งวันก็ไม่มีปัญหาเพราะทางบริษัทก็แถมที่พักข้อมือมาให้อีกด้วย

Mountain everest max

อีกส่วนสำคัญของ MOUNTAIN Everest Max คือ เป็นคีย์บอร์ด Hot-Swappable ถอดสวิตช์เปลี่ยน Stabilizer ได้เหมือนกับ Custom Mechanical Keyboard หลายๆ รุ่นในปัจจุบัน ทำให้สาย Custom ปรับแต่งคีย์บอร์ดได้หลากหลายตามรสนิยมของตัวเองได้เลย แต่ผู้เขียนก็เห็นว่าการปรับแต่งคีย์บอร์ดนี้แทบไม่ต้องทำอะไรเยอะ นั่นเพราะสวิตช์เดิมของคีย์บอร์ดก็ยืนพื้นเป็น Cherry MX Switchs มาแล้ว อย่างมากอาจจะแกะสวิตช์ออกมา Lube แล้วใส่ฟิล์มสวิตช์เข้าไปอีกนิดหน่อยก็เหลือเฟือ ส่วน Stabilizer ของคีย์บอร์ดก็ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เพราะทางบริษัทก็ทำบาลานซ์มาได้ยอดเยี่ยมแล้วและยัง Lube ด้วย Glaze GPL 205G0 จากโรงงานอีก เรียกว่าทุ่นแรงสาย Custom ไปได้มากเลย

NBS Verdicts

Mountain Everest

MOUNTAIN Everest Max เป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ดซึ่งเหนือกว่าคีย์บอร์ดหลายๆ รุ่นในปัจจุบันนี้ด้วยซอฟท์แวร์ Base Camp ซึ่งปรับแต่งให้เข้ากับสไตล์การใช้งานของเกมเมอร์ได้หลากหลายไม่พอ หากใครชอบการทำ Custom Mechanical Keyboard ยังสามารถโมดิฟายเพิ่มเติมได้อีก โดยสวิตช์และ Stabilizer เดิมจากโรงงานก็ดีมากจนไม่ต้องหาซื้อของใหม่มาเปลี่ยนก็ได้ แค่ปรับแต่งจากที่มีอยู่อีกนิดก็เทียบชั้น Custom Keyboard ชั้นนำหลายรุ่นได้สบายๆ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า “นี่คือคีย์บอร์ดเกมมิ่งที่ถูกสร้างโดยคนบ้าคีย์บอร์ด” ก็คงจะไม่ผิดนัก

ด้านดีไซน์และฟีเจอร์ก็ครบเครื่อง เพราะดีไซน์ Modular ทำให้ผู้ใช้ถอดแยกชิ้นส่วนได้ทุกชิ้น ย้ายฝั่ง Display Dial, Numpad ไปติดตั้งฝั่งซ้ายหรือขวาก็ได้ตามสะดวก เซ็ต Display Key ให้เป็นปุ่มที่ใช้งานบ่อยได้ง่ายๆ จะเอาไว้เรียกโปรแกรม, มาโครที่ใช้งานได้สบายๆ และยังเปลี่ยนโปรไฟล์คีย์บอร์ดได้ 5 แบบเหมือนเกมมิ่งคีย์บอร์ดชั้นนำหลายๆ รุ่นอีก เรียกว่าเซ็ตได้ตามความถนัดของเกมเมอร์แต่ละคนเลย นับเป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่สุดยอดมากและได้ใจผู้เขียนไปเต็มๆ

อย่างไรก็ตามแม้จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อสังเกตเช่นกัน อย่างแรกคือราคาของ MOUNTAIN Everest Max ถือว่าค่อนข้างสูง เพราะเซ็ตนี้เริ่มต้น 10,990 บาท สูงกว่าเกมมิ่งคีย์บอร์ดของแบรนด์ชั้นนำหลายๆ รุ่น แต่ถ้ามองว่าฟีเจอร์ของคีย์บอร์ดนี้ก็ให้มาเยอะไม่แพ้กัน ก็ถือว่าคุ้มราคาพอควร อีกจุด คือ ซอฟท์แวร์ Base Camp ยังรองรับเฉพาะระบบปฏิบัติการ Windows เท่านั้น ถ้าใครซื้อไปใช้กับระบบปฏิบัติการอื่นก็ต้องใช้ฟังก์ชั่นแบบออนบอร์ดเซ็ตตั้งค่าแทน

สำหรับผู้ใช้ที่รู้จักแบรนด์นี้มาพอสมควรหรือสนใจอยากซื้อ MOUNTAIN Everest Max มาใช้ สามารถสั่งซื้อผ่านทางหน้าร้านอย่างเป็นทางการของ Everest บน Shopee Mall ได้โดยคลิกที่นี่ และกรอกโค้ดคูปองส่วนลด MOUNTAINN จะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 1,000 บาท ด้วย 

ข้อดีของ MOUNTAIN Everest Max
  1. งานประกอบคีย์บอร์แข็งแรง บอดี้อลูมิเนียมเลือกได้ 2 สี คือ สีเทา Gunmetal Grey หรือสีดำ Midnight Black และมีช่องจัดสายไฟใต้คีย์บอร์ดด้วย
  2. แพ็คเกจสินค้าให้อุปกรณ์เสริมมามากมาย ทั้ง Display Dial, Numpad หรือตัวคีบเปลี่ยนสวิตช์และคีย์แคปก็มีให้
  3. ดีไซน์แบบ Modular เอา Numpad หรือ Display Dial ติดไว้ฝั่งซ้ายหรือขวาก็ได้
  4. มีปุ่ม Display Key ติดตั้งมา 4 ปุ่ม ปรับแต่งได้อย่างยืดหยุ่นและใช้งานสะดวก เซ็ตได้ในโปรแกรม Base Camp
  5. ได้ที่วางข้อมือแบบถอดได้มาจากโรงงาน ใช้งานสะดวกถอดเปลี่ยนได้ง่ายมาก
  6. มี USB-A 3.2 Gen 1 Passthrough ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ เพื่อใช้งานได้สะดวก
  7. คีย์บอร์ดเป็นแบบ Hot-Swappable ถอดเปลี่ยนสวิตช์ที่ต้องการได้ง่ายๆ มีอุปกรณ์ให้ใช้
  8. สวิตช์เป็น Cherry MX Switchs เลือกได้หลากหลายสวิตช์ทั้ง Linear, Tactile, Clicky
  9. แต่ละปุ่มบนคีย์บอร์ดเป็น Per-Key RGB เปลี่ยนไฟบนคีย์บอร์ดได้ตามต้องการ
  10. Stabilizer เดิมจากโรงงานปรับแต่งมาดีมาก ไม่ต้องถอดเปลี่ยนหรือปรับแต่งก็ได้
  11. โปรแกรม Base Camp เซ็ตตั้งค่าได้ละเอียดมากตั้งแต่ไฟ RGB, Macro, Display Key และฟังก์ชั่นการทำงานยิบย่อยส่วนอื่นๆ ของคีย์บอร์ด
  12. มี NKRO (N-Key Rollover) สามารถกดพร้อมกันได้หลายปุ่มแล้วคีย์บอร์ดยังทำงานได้ตามปกติ
  13. ตัว Spacer สำหรับปรับความสูงคีย์บอร์ดเป็นแบบแม่เหล็ก ดูดติดแน่นและแข็งแรงมาก
ข้อสังเกตของ MOUNTAIN Everest Max
  1. Everest Max มีราคา 10,990 บาท ถือว่าราคาค่อนข้างสูงแต่ก็คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป
  2. ซอฟท์แวร์ Base Camp ยังรองรับเฉพาะ Windows เท่านั้น ไม่รองรับ macOS
  3. ช่องสวิตช์เป็น 3 ช่อง ใส่สวิตช์บางรุ่นแบบ 5 ขาไม่ได้ ควรเช็คข้อมูลให้ดีก่อนซื้อสวิตช์
  4. คีย์แคปเป็นปุ่มภาษาอังกฤษ หากต้องการภาษาไทยต้องหาปุ่มมาเปลี่ยนเอง

รีวิว MOUNTAIN Everest Max

Unboxing

Mountain Everest

กล่องคีย์บอร์ด MOUNTAIN Everest Max เป็นกล่องขนาดใหญ่มาก เทียบแล้วใหญ่เท่ากล่องของเกมมิ่งคีย์บอร์ดทั่วไป 2 กล่องซ้อนกัน เพราะทางบริษัทออกแบบให้ชั้นบนเอาไว้ใส่คีย์บอร์ดและที่รองข้อมือ ส่วนชั้นล่างจะเป็นลิ้นชักสำหรับใส่อุปกรณ์เสริมอีก 4 กล่องย่อยพร้อมติดสติกเกอร์สะท้อนแสงเอาไว้ให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่าแต่ละกล่องใส่อะไรอยู่

การดีไซน์ตัวกล่องถือว่าเรียบง่ายแต่มีสไตล์ โดยตัวฝาปิดกล่องด้านบนสกรีนคำว่า “REACH YOUR SUMMIT” เอาไว้ ตรงขอบด้านหน้าจะตัดเว้นเป็นโลโก้ของ MOUNTAIN อยู่ เมื่อกางออกมาจะเห็นเป็นภาพสเก็ตช์ของ MOUNTAIN Everest Max สกรีนเอาไว้ ได้ความสวยโดดเด่นและมีเรื่องราวให้เจ้าของคนใหม่ได้รับรู้แนวทางการออกแบบตัวคีย์บอร์ดนี้ไปพร้อมๆ กัน

Mountain Everest

โดยกล่องย่อยทั้ง 4 กล่องจะเป็นกล่องแบบสไลด์ โดยทาง MOUNTAIN ได้ใส่อุปกรณ์เสริมมาให้แบบครบครัน ไม่ว่าจะ Numpad พร้อม Display Key เหนือตัวแป้นคีย์บอร์ด, Display Dial พร้อมปุ่ม Multimedia Key เอาไว้เล่นเพลงหรือภาพยนต์ที่ชมอยู่ได้ง่ายๆ หน้าจอเป็น RGB TFT LCD มองเห็นได้สะดวกและใช้ปรับตั้งค่าคีย์บอร์ดแบบเร่งด่วนได้ง่าย มีสาย USB-C to C และ USB-C to A

ส่วนกล่องพิเศษเป็นอุปกรณ์ปรับแต่งคีย์บอร์ด มีตัวดึงคีย์แคปและสวิตช์เสริมของทาง Cherry MX แถมมาให้ 5 สวิตช์, ปุ่ม Esc สำหรับเปลี่ยนกับคีย์แคปสีเงินลาย MOUNTAIN กับ Spacer ที่เป็นจานแม่เหล็กอีก 8 ชิ้นสำหรับปรับความสูงของตัวคีย์บอร์ดแถมมาให้ด้วย ไม่ได้เป็นขาตั้งพลาสติกเหมือนกับเกมมิ่งคีย์บอร์ดแบรนด์อื่นๆ ได้ความแข็งแรงมั่นคงปรับความสูงได้ง่าย

Mountain Everest

ด้านสาย USB ในกล่องทั้งสองเส้นจะเป็นสายถักแข็งแรงทนทานทีเดียว โดยเส้นหลักเป็นสาย USB-C to A ความยาว 2 เมตรเอาไว้ต่อระหว่างพีซีกับคีย์บอร์ด ส่วนสาย USB-C to C เป็นสายสั้นโดยแยกเป็นหัวตัวผู้และตัวเมียเอาไว้ต่อจากคีย์บอร์ดเอาไว้ชาร์จแบตเตอรี่ให้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตก็ได้ ถ้าผู้ใช้อยากชาร์จสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตก็ต่อชาร์จได้ทันที

Display Dial สำหรับต่อกับพอร์ต USB-C ตรงขอบบนของคีย์บอร์ดจะเป็นหน้าปัดทรงกลมพร้อมปุ่ม Multimedia Key อีก 5 ปุ่ม มีไฟแสดงสถานะคีย์บอร์ดอีก 4 ดวง สามารถเชื่อมต่อได้ง่าย เพียงแค่เอาตัว Dial ไปอยู่ที่ขอบบนคีย์บอร์ดจากนั้นเมื่อเจอช่องจะมีแรงดูดของแม่เหล็กเล็กน้อย ก็ดันเข้าไปแล้วเชื่อมต่อใช้งานได้เลย

ด้านอุปกรณ์เสริมสำหรับปรับแต่งคีย์บอร์ดจะมี Spacer ดูดติดด้วยแม่เหล็กแรงสูง 8 ชิ้น, Keycap & Switch Puller เอาไว้ดึงคีย์แคปและสวิตช์บนคีย์บอร์ดกับสวิตช์ Cherry MX Switchs อีก 5 ปุ่มแถมมา เผื่อผู้ใช้บางคนอยากเปลี่ยนบางปุ่มให้เป็นสวิตช์ที่ชอบ เช่น Spacebar จาก Cherry MX Red เป็น MX Blue ก็ถอดเปลี่ยนเพื่อให้ได้สัมผัสตอนพิมพ์ที่ถูกใจยิ่งขึ้น

Mountain Everest

ด้าน Numpad ของ MOUNTAIN Everest Max ดีไซน์เหมือนกับ Numpad ถอดได้ทั่วไป แต่มี Display Key ติดตั้งมาเหนือชุด Numpad อีก 4 ปุ่ม  เอาไว้ให้ผู้ใช้เซ็ตคำสั่งที่ต้องการใช้งานเอาไว้ให้กดเรียกใช้งานได้ง่ายๆ โดยไอคอนบนตัวปุ่มจะเปลี่ยนตามคำสั่งหรือโปรแกรมที่เซ็ตเอาไว้ในซอฟท์แวร์ Base Camp ซึ่งผู้ใช้สามารถเซ็ตเรียกโปรแกรมใช้งานบ่อยๆ หรือใช้เป็นเสียงซาวน์เอฟเฟคที่เตรียมไว้ใช้ก็ได้

การต่อ Numpad เข้ากับคีย์บอร์ดก็ทำได้ง่ายมาก โดยด้านหลังชุด Numpad จะมีตัวสไลด์ให้เลื่อนเอาสลักเชื่อมต่อกับหัว USB-C ออกมาได้ทั้งฝั่งซ้ายและขวาแล้วต่อเข้าคีย์บอร์ดใช้งานได้เลย ซึ่งดีไซน์นี้ทำให้ปรับเลย์เอ้าท์ของคีย์บอร์ดได้สะดวกตามการใช้งานของผู้ใช้ เวลาเล่นเกมก็ต่อ Numpad ที่ฝั่งซ้ายตอนทำงานก็ย้ายไปต่อฝั่งขวาแทนก็ได้ ไม่ต้องติดอยู่กับดีไซน์เดียวเสมอไป

Specification

Mountain Everest Max Midnight Black 45 RGB

สเปคของ MOUNTAIN Everest Max รายละเอียด
ประเภท Mechanical Keyboard ดีไซน์ Modular
ปรับดีไซน์ตัวคีย์บอร์ดเป็น TKL หรือ Full-size ก็ได้

เลือกได้ 2 สี ได้แก่ สีเทา Gunmetal Grey,
สีดำ Midnight Black

Hot-Swappable
สวิตช์ Cherry MX Red

Cherry MX Silent Red

Cherry MX Speed Silver

Cherry MX Brown

Cherry MX Blue
Key caps Profile OEM
ไฟ RGB Per-Key RGB เลือกสีไฟ RGB แยกปุ่มได้

มีไฟ RGB เลือกได้ 7 แบบ
พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C x 4 สำหรับ Display Dial และ Numpad

USB-A 3.2 Gen 1 Passthrough
Anti-Ghosting NKRO over USB
ระบบปฏิบัติการที่รองรับ Windows เท่านั้น
ของแถมในกล่อง Display Dial

แป้น Numpad

ที่วางข้อมือ

เซ็ตปรับแต่งคีย์บอร์ด

สาย USB-C to A ยาว 2 เมตร

USB-C to C ยาว 15 เซนติเมตร
ขนาดและน้ำหนักของคีย์บอร์ด 265x461x43 mm.
(ลึกxกว้างxสูง)

1,373 กรัม
ราคา 10,990~11,390 บาท
(ขึ้นอยู่กับสวิตช์ที่เลือก)

Design&Keyboard Type

Mountain Everest

ตัวคีย์บอร์ด MOUNTAIN Everest Max เป็นดีไซน์ Modular ถอดแยกอุปกรณ์เชื่อมต่อแยกกันได้ทั้งหมด จะใช้แค่ตัวคีย์บอร์ดชุดหลักอย่างเดียวแบบ Tenkeyless ก็ได้ โดยคีย์บอร์ดนี้จะมีปุ่มหลักติดตั้งมาให้ครบเครื่อง ถ้าต้องการชุด Numpad ก็เอามาต่อเพิ่มเติมได้ ส่วนปุ่ม Esc จะเป็นคีย์แคปสีเงินโลโก้แบรนด์ MOUNTAIN แทน หรือถ้าใครจะย้ายเอาไปติดปุ่มอื่นก็เอาปุ่ม Esc ในกล่องมาใส่แทนก็ได้ และมีปุ่ม Fn ติดมามุมขวาล่างของคีย์บอร์ดใกล้ปุ่มลูกศรสำหรับกดเรียกคำสั่งพิเศษที่ผู้ใช้ตั้งค่าเอาไว้ได้ด้วย

การดีไซน์ตัวคีย์บอร์ดถือว่าเรียบง่ายมาก สำหรับโลโก้ของบริษัทจะถูกยิงเลเซอร์ติดเอาไว้ตรงขอบบนของบอดี้คีย์บอร์ดเท่านั้น และฐานคีย์บอร์ดจะเป็นลายปัดวงกลมเหมือนเหรียญซ้อนกัน ดูสวยแตกต่างจากเกมมิ่งคีย์บอร์ดหลายๆ แบรนด์ที่เน้นสีเดียวเรียบๆ นอกจากดีไซน์ภายนอกแล้ว คาดว่าทางบริษัทก็เสริมวัสดุซับเสียงเอาไว้ในตัวคีย์บอร์ดแน่นระดับหนึ่ง ทำให้ตอนกดปุ่มเล่นเกมหรือพิมพ์งานแล้วเสียงของคีย์บอร์ดไม่กลวงหรือสะท้อนก้องเลยแม้แต่น้อย

Mountain Everest

อุปกรณ์ของ MOUNTAIN Everest Max ถ้าต่อครบจะเป็นคีย์บอร์ดแบบ Full-size มี Display Dial เอาไว้ตั้งค่าโปรไฟล์คีย์บอร์ดอย่างรวดเร็ว มี Numpad เอาไว้กรอกตัวเลขโดยทั้งสองชิ้นนี้สามารถย้ายฝั่งไปมาระหว่างด้านซ้ายและด้านขวาได้และมีที่รองข้อมืออีกชิ้น ช่วยซัพพอร์ตเวลาใช้คีย์บอร์ดต่อเนื่องหลายชั่วโมงเพื่อลดอาการเมื่อยล้าหรือบาดเจ็บได้ โดยทั้งสามชิ้นจะดูดติดกับคีย์บอร์ดด้วยแม่เหล็กเป็นหลัก

Mountain Everest

ขอบของตัวคีย์บอร์ดจะเห็นว่าด้านซ้าย, ขวาและขอบบนของตัวเครื่องจะมี USB-C อยู่ 4 ช่อง แยกเป็นฝั่งซ้ายและขวามือ ระหว่างช่อง F8 กับ F9 มีพอร์ต USB-A 3.2 Gen 1 Passthrough ไว้ใช้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากับพีซีของเราได้ง่ายๆ ไม่ต้องเอื้อมไปต่อกับพีซีก็ได้ ช่วยให้ทำงานได้สะดวกยิ่งขึ้น

ข้อดีอีกอย่างคือ ทั้ง USB-A, USB-C บนคีย์บอร์ดใช้ชาร์จแบตเตอรี่ให้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้ด้วย แต่ถ้าโอนไฟล์ต้องใช้ USB-A เท่านั้น ซึ่งแม้จะน่าเสียดายอยู่นิดหน่อยแต่ก็เข้าใจได้ เนื่องจาก USB-C นั้นติดตั้งมาเพื่อใช้ต่ออุปกรณ์เสริมเท่านั้น แต่ถ้าทาง MOUNTAIN จะอัพเกรดให้คีย์บอร์ดนี้อลังการยิ่งกว่าเดิมก็ทำให้ USB-C ทุกช่องเชื่อมต่อ Numpad, Display Dial และมีฟังก์ชั่น Passthrough ในตัวด้วยจะยอดเยี่ยมมาก

Mountain Everest

นอกจากนี้ด้านใต้คีย์บอร์ดจะมีพอร์ต USB-C ช่องหลัก เอาไว้ต่อ MOUNTAIN Everest Max เข้ากับคอมพิวเตอร์ และทางบริษัทก็ทำร่องไว้บนฝาหลังคีย์บอร์ดเอาไว้จัดสาย USB-C ให้ออกมาตามช่องที่ต้องการ มีทางออกทั้งหมด 6 ช่อง คือ บนและล่างอย่างละ 2 ช่องและซ้ายขวาอีกฝั่งละ 1 ช่อง ช่วยให้จัดระเบียบสายไฟบนโต๊ะได้ง่ายไม่เกะกะ

Mountain Everest

Spacer หรือตัวปรับความสูงของคีย์บอร์ดจะเป็นแม่เหล็กแรงดูดสูงทรงจาน มี 8 ชิ้น ถ้าเอาไปติดทั้งคีย์บอร์ดและ Numpad จะเสริมได้มากสุดชิ้นละ 2 ระดับ ช่วยให้คีย์บอร์ดทำมุมเข้ากับมือของผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสม สามารถวางนิ้วทำงานหรือเล่นเกมได้สะดวกยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามในภาพตัวอย่างผู้เขียนแค่ทดลองติดให้ดูเท่านั้น เวลาใช้งานจริงขอให้ดึงตัว Spacer ตรงคีย์บอร์ดที่เป็นแม่เหล็กแรงสูงเหมือนกันออกก่อน ค่อยเสริม Spacer เข้าไปเหนือตัวที่เป็นจุกยางก่อนติดเข้ากับตัว MOUNTAIN Everest Max อีกทีหนึ่ง ตัวจุกยางจะได้ป้องกันไม่ให้แม่เหล็กขูดจนเสียหาย

Keycap Profile&Switch

Mountain Everest

โปรไฟล์ของคีย์แคปของ MOUNTAIN Everest Max จะเป็นทรง OEM จากโรงงาน ตัดไซซ์ปุ่มแบบทรงมาตรฐานแบบเกมมิ่งคีย์บอร์ดทั่วไป ไม่มีไซซ์พิเศษแบบ Custom Keyboard บางรุ่นที่แคปบางตัวมีขนาดยาวหรือสั้นเป็นพิเศษ สามารถเอาคีย์แคปทั่วไปแต่เป็นโปรไฟล์อื่นมาใส่แทนได้เลย ทว่าคีย์แคปเดิมจากโรงงานจะเป็นแป้นภาษาอังกฤษเท่านั้น ถ้าใครยังพิมพ์สัมผัสคล่องก็ไม่น่ามีปัญหานัก ส่วนคนที่พิมพ์ยังไม่คล่องแนะนำให้หาคีย์แคปสกรีนภาษาไทยมาเปลี่ยนจะดีกว่า

Mountain Everest

ข้อดีของ MOUNTAIN Everest Max รุ่นนี้เป็นเวอร์ชั่น Hot-Swappable ทางบริษัทจึงแถม Keycap & Switch Puller มาด้วย เมื่อดึงคีย์แคปออกมาแล้วจะเห็นว่าแผ่นวงจร (PCB) ถูกเจาะรูสำหรับใส่สวิตช์มาให้เพียงช่องหลักรูเดียว จึงใส่ได้เฉพาะสวิตช์ 3 ขาเท่านั้น ใส่สวิตช์แบบ 5 ขาไม่ได้ ดังนั้นถ้าใครอยากเปลี่ยนไปใช้สวิตช์ตัวอื่นแนะนำให้ดูข้อมูลให้เรียบร้อยก่อนไม่อย่างนั้นอาจจะซื้อมาเสียฟรี

การถอดเปลี่ยนสวิตช์แบบ Hot-Swappable เองก็ไม่ได้จำกัดเอาไว้ที่แป้นคีย์บอร์ดตัวหลักอย่างเดียว แต่เราสามารถถอดสวิตช์และ Stabilizer ของแป้น Numpad ได้เช่นกัน ซึ่งถ้าใครมีสวิตช์ที่ถูกใจอยู่ หรือจะถอดสวิตช์ Cherry MX Switch ของคีย์บอร์ดมาทำเพิ่ม มา Lube ทาน้ำมันเคลือบเสริมฟิล์มสวิตช์ให้ปุ่มแน่นกดลื่นขึ้นก็ทำได้ง่ายๆ

โดยส่วนตัวผู้เขียนแนะนำว่าสวิตช์ Cherry MX Switch นั้นดีอยู่แล้ว ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าหลังจาก Lube แล้วเสริมฟิล์มให้สวิตช์เสร็จ อาจจะเอาสวิตช์ที่ทาง MOUNTAIN แถมมาให้ถอดเปลี่ยนกับปุ่มบางปุ่ม เช่น Spacebar, Backspace, Enter ให้เป็นสวิตช์ Clicky, Tactile แทน ให้ได้สัมผัสตอนพิมพ์แตกต่างและได้อารมณ์ตอนใช้งานขึ้นอีกสักนิดก็เพียงพอแล้ว

Mountain Everest

ด้าน Stabilizer หรือตัวประคองคีย์แคปขนาดยาวซึ่งเป็นก้านสีดำบนตัวคีย์บอร์ดเป็นแบบ Plate Mount หรือแบบล็อคเข้ากับแผ่นเพลตเหล็กของตัวคีย์บอร์ด ใช้คีมหนีบปากแหลมเขี่ยตัวคลิปล็อคทั้งสองด้านแล้วถอดออกมาได้ แต่จริงๆ แล้วทาง MOUNTAIN ก็ปรับแต่ง Stabilizer นี้มาดีมากทีเดียว เมื่อลองเคาะปุ่ม Spacerbar ตลอดแนวปุ่มแล้วไม่มีอาการว่า Stabilizer ไม่มั่นคง (Wobble) หรือมีเสียงก้านเหล็กสะบัดเคาะตัวเบ้า (Rattle) แม้แต่นิดเดียว

ถ้าสังเกตจะเห็นว่าทางบริษัทก็ใช้น็อต Philips Head ขันล็อคคีย์บอร์ดเอาไว้เท่านั้น เปิดโอกาสให้ผู้ใช้จัดการปรับแต่งคีย์บอร์ดได้ตามชอบ ส่วนตัวผู้เขียนมองว่าถ้าใครอยากเสริมให้เสียงในตัวคีย์บอร์ดแน่นยิ่งกว่านี้ อาจเสริมแผ่นโฟมยาง EVA เข้าไปด้านใต้และรองระหว่าง PCB และเพลตบนของคีย์บอร์ดอีกหน่อยก็เหลือเฟือแล้ว

Software

main

ซอฟท์แวร์ Base Camp ของ MOUNTAIN เป็นซอฟท์แวร์สำหรับปรับแต่งคีย์บอร์ดให้ทำงานได้ตามใจของผู้ใช้ได้ง่ายๆ ใช้งานสะดวกโดยหน้าแรกจะโชว์เกมมิ่งเกียร์ของ MOUNTAIN ที่เชื่อมต่อกับพีซีอยู่ขึ้นมาทั้งหมด เมื่อคลิกที่รูปฟันเฟืองจะเห็นว่าตัวโปรแกรมสามารถเซ็ตการทำงานได้เลย ว่าต้องการให้โปรแกรมเริ่มทำงานเมื่อไหร่, เปิดเชื่อมต่อกับโปรแกรม Razer Chroma, อัพเดทซอฟท์แวร์หรือถ้าใครต้องการทราบวิธีใช้งานโดยเร็วก็เปิด Quick Start Wizard ใช้งานได้เลย

เมื่อเลือกตัวคีย์บอร์ด MOUNTAIN Everest Max แล้ว จะเห็นว่าตัวซอฟท์แวร์มีฟังก์ชั่นเซ็ตการทำงานของคีย์บอร์ดละเอียดมาก ทั้งตั้งโปรไฟล์ของคีย์บอร์ด, ปรับรูปแบบไฟ RGB ตามรสนิยมของผู้ใช้, เซ็ต Macro, Display Dial ว่าต้องการให้หน้าปัดมีคำสั่งลัดสำหรับตั้งค่าคีย์บอร์ดแบบไหนบ้าง รวมไปถึงการตั้งค่าอื่นๆ เช่น ล็อคการทำงานของปุ่ม Windows key, Alt+F4 หรือ Shift Tab ก็ได้ ทำให้ตอนเล่นเกมแล้วเผลอพลาดมือไปกดโดนก็ไม่เป็นไร

Mountain Everest

ด้านของฟังก์ชั่น Key Binding ต้องขอแยกออกมาแนะนำเป็นพิเศษ เนื่องจากคำสั่งนี้เชื่อมโยงกับปุ่ม Display Key เหนือปุ่ม Numpad ซึ่งผู้ใช้สามารถเซ็ตทั้ง 4 ปุ่มให้เป็นคีย์ลัดเรียกคำสั่งอะไรออกมาใช้งานก็ได้ จะเรียกโปรแกรม, เปิดซาวน์เอฟเฟคที่ต้องการ, เรียกใช้มาโครที่เซฟไว้ขึ้นมา ฯลฯ นับเป็นคีย์ลัดที่เหนือชั้นกว่าเกมมิ่งคีย์บอร์ดหลายๆ รุ่นในปัจจุบันนี้อย่างชัดเจน

ด้านการแสดงผลตรงโลโก้ของ Display Key ก็จะเปลี่ยนตามโปรแกรมที่เราเซ็ตโดยอัตโนมัติเช่นกัน โดยตัว Base Camp จะเลือกไอคอนมาให้เราโดยอัตโนมัติหรือจะกดเปลี่ยนไอคอนเองก็ได้เช่นกัน โดยกดตรงรูปไอคอนโปรแกรมนั้นแล้ว ตัวโปรแกรมจะเปิดหน้าไอคอนตั้งต้นขึ้นมาให้เราเลือกได้ตามชอบทันที และส่วนน่าสนใจ คือ ซอฟท์แวร์ Base Camp เองก็เซ็ตให้รองรับซอฟท์แวร์ Davinci Resolve กับ Adobe ได้ด้วย

User Experience

Mountain Everest

เชื่อหรือไม่? ว่าหลังจากที่ผู้เขียนได้ทดลองใช้ MOUNTAIN Everest Max ทำงานและเล่นเกมมาราว 2 สัปดาห์ มันเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับเกมมิ่งคีย์บอร์ดสำเร็จรูปจากโรงงานไปได้เยอะมากทีเดียว เพราะปัจจุบันนี้หลายๆ แบรนด์จะเน้นว่าคีย์บอร์ดของตัวเองเป็นไซซ์ไหน มีฟีเจอร์อะไร ตอบสนองได้เร็วหรือเปล่าเท่านั้น ไม่ค่อยมีลูกเล่นแปลกๆ อะไรหนีกันมากนักจนดูชืดชาไปหมด

ทว่า MOUNTAIN Everest Max นั้นผิดกันมาก ไม่ใช่เพราะตัวคีย์บอร์ดเป็น Hot-Swappable เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเกมมิ่งเกียร์บางแบรนด์ก็มีคีย์บอร์ดแบบถอดสวิตช์ได้ขายอยู่เช่นกัน แต่เริ่มจากดีไซน์ Modular ที่ถอด Numpad ย้ายฝั่งได้ ทำให้เปลี่ยนดีไซน์ของคีย์บอร์ดได้ตามต้องการ เวลาทำงานก็ติดเอาไว้ฝั่งขวาตามปกติแล้วย้ายไปฝั่งซ้ายตอนเล่นเกมให้มีพื้นที่ลากเมาส์มากขึ้น ได้ความรู้สึกเหมือนคีย์บอร์ดแบบ Tenkeyless สักตัวหนึ่งไม่มีผิด

Display Dial สำหรับตั้งค่าเร่งด่วน ปรับเพิ่มลดความสว่างหน้าจอ, เพิ่มลดความดังของลำโพงคอมพิวเตอร์ได้แม้กำลังจะเล่นเกมอยู่ก็เป็นฟีเจอร์ที่ดีมาก นั่นเพราะเวลาเล่นเกมอยู่ หลายๆ คนก็ไม่อยากจะแท็บหน้าจอมากด Taskbar อย่างแน่นอน ก็มาปรับตรงอุปกรณ์ส่วนนี้ได้ทันที ซึ่งดีและสะดวกมาก

เช่นเดียวกับ Display Key พอเซ็ตตั้งค่าเสร็จแล้วก็กดเรียกโปรแกรมหรือกดคีย์ลัดบางตัวที่ต้องการใช้งานได้ทันที ไม่ต้องลากเมาส์ไปคลิกโปรแกรมหรือกดคีย์ลัดนั้นๆ ให้เสียเวลาเลย และเท่าที่ผู้เขียนได้เปิดหาข้อมูลก็มีเกมมิ่งคีย์บอร์ดเพียงแค่ MOUNTAIN Everest Max เท่านั้นที่ใส่ฟังก์ชั่นนี้มาให้ นอกจากใช้พื้นที่เหนือ Numpad ให้มีประโยชน์แล้ว ยังเป็นฟังก์ชั่นที่ได้ใช้งานบ่อยอย่างนึกไม่ถึง

ในแง่ของการ Custom ปรับแต่งคีย์บอร์ดด้วยตัวเอง ก็ถือว่าทาง MOUNTAIN ก็ใส่ใจคีย์บอร์ดนี้มาก ถ้าไล่ดูจากพาร์ตแต่ละส่วน ไม่ว่าจะสวิตช์ Cherry MX Switch ซึ่งมีคุณภาพสูงมากจากโรงงานอยู่แล้ว หรือแม้แต่ Stabilizer ซึ่งทางบริษัทปรับแต่งมาอย่างดีจากโรงงานแล้ว โดยทางบริษัทเคลมเอาไว้ว่าจะไม่มีอาการ Rattle, Wobble มารบกวนตอนใช้งานเลย ซึ่งผู้เขียนเองก็ทดลองเคาะปุ่ม Spacebar ตลอดความยาวปุ่มแล้ว ก็ไม่มีอาการนั้นจริงๆ ตามที่เคลม ดังนั้นถ้าใครจะโมดิฟาย MOUNTAIN Everest Max ก็ไม่ต้องห่วงเรื่อง Stabilizer เลย เดินหน้าทำสวิตช์และรองโฟมตามใจชอบได้เลย

โดยรวมต้องถือว่า MOUNTAIN Everest Max เป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่ยอดเยี่ยมมากรุ่นหนึ่งและยังข้ามมาเอาใจสาย Custom Mechanical Keyboard ได้อย่างสวยงาม อาจกลายเป็นคีย์บอร์ดตัวจบของใครหลายๆ คนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก โดยเฉพาะเกมเมอร์ที่อยากได้เกมมิ่งคีย์บอร์ดฟีเจอร์ล้นๆ แต่ก็อยากโมดิฟายเพิ่มเติมสักหน่อย ก็ลงทุนซื้อตัวนี้ไปทำต่อได้และงบประมาณไม่บานปลายเหมือน Custom Mechanical Keyboard บางรุ่นอีกด้วย

Summary

Mountain Everest

ถ้าใครหาเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่ฟีเจอร์ล้นตัวและยังถอดสวิตช์ปรับแต่งคีย์บอร์ดได้ตามใจชอบล่ะก็ MOUNTAIN Everest Max ตัวนี้จัดเป็นเกมมิ่งคีย์บอร์ดที่ครบเครื่องในทุกด้านที่กล่าวมา ด้วย Display Dial, Display Key มี USB-A 3.2 Gen 1 Passthrough ติดมาให้ผู้ใช้โอนถ่ายไฟล์เข้าออกคอมพิวเตอร์ได้โดยสะดวกอีก เรียกว่าครบเครื่องเท่าที่เกมมิ่งคีย์บอร์ดสักตัวควรมี จนผู้เขียนที่มี Custom Mechanical Keyboard อยู่ 2 ตัวที่บ้านแล้วยังถูกใจคีย์บอร์ดตัวนี้มาก จนคิดอยากซื้อมาใช้อีกตัวหนึ่งเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้นถ้าใครคิดอยากซื้อเกมมิ่งคีย์บอร์ดดีๆ แบบ Hot-Swappable เปลี่ยนสวิตช์ได้ตามใจชอบ ก็อยากให้ดู Everest Max ตัวนี้เอาไว้เป็นตัวเลือกอีกสักรุ่น แม้ราคาจะสูงอยู่บ้างถึง 10,990 บาท แต่ก็ได้ฟีเจอร์คืนกลับบมาคุ้มค่าไม่แพ้แบรนด์เกมมิ่งเกียร์ชั้นนำอย่างแน่นอน และในตอนนี้ทาง MOUNTAIN ก็มีโปรโมชั่นเพียงสั่งซื้อผ่านลิ้งค์นี้ แล้วกรอกคำว่า MOUNTAINN ลงไป จะได้รับคูปองส่วนลด 1,000 บาทด้วย นับเป็นโอกาสที่ดีมาก

Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

Buyer's Guide

ในตอนนี้คีย์บอร์ดแมคคานิคอลได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานของใครๆ ไม่ว่าจะใช้เป็นอุปกรณ์ทำงานหรือเล่นเกมก็ต้องมีติดโต๊ะเอาไว้ใช้ทั้งนั้น แถมราคาก็ถูกลงอย่างต่อเนื่องจากแต่ก่อนต้องมีเงินหลักหลายพันบาทก็ลดลงมาจนมีเพียงหนึ่งพันบาทต้นๆ ก็ซื้อมาใช้ได้แล้วแถมยังตอบรับกระแส Custom Keyboard แถมตัวถอดสวิตช์กับคีย์แคปมาให้ถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนได้ตามใจ จะปรับแต่งต่อก็ว่าไปตามใจ เรียกว่าใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินก็ได้หรือจะทำเป็นงานอดิเรกของสะสมก็ดี โดยเฉพาะคนต้องพิมพ์งานทั้งวันน่าจะถูกใจ คีย์บอร์ดแมคคานิคอลน่าใช้ไหม มีข้อดีอย่างไร? คีย์บอร์ดแมคคานิคอลจะมีทั้งรุ่นถอดสวิตช์ไม่ได้และถอดได้แบบ Hot-swappable หลายคนนิยมแบบ Hot-swappable เพราะสามารถถอดเปลี่ยนสวิตช์ได้ตามชอบ ซึ่งปัจจุบันมีทั้ง 3, 5 ปุ่ม ดังนั้นก่อนซื้อสวิตช์มาเปลี่ยนต้องดูช่องบนแผ่นปริ้นท์ให้ดีก่อน บางรุ่นนอกจากต่อสายแล้ว ยังมีสวิตช์เปลี่ยนโหมดเชื่อมต่อด้วย...

Accessories review

HyperX Pulsefire Haste 2 Core และ HyperX Pulsefire Haste 2 Mini รุ่นใหม่ 2 ไซซ์ จับง่ายเข้ามือ น้ำหนักอย่างเบา 59 กรัม! HyperX Pulsefire Haste 2 Core และ...

Gaming Gear

แมคคานิคอลคีย์บอร์ดไร้สายนอกจากเป็นเกมมิ่งเกียร์ติดโต๊ะคอมประจำบ้านแล้ว หลายๆ คนก็ซื้อมาใช้ทำงานในออฟฟิศเพราะสัมผัสเวลาพิมพ์งานดี ได้อารมณ์กว่าคีย์บอร์ดทั่วไปคนละชั้นไม่พอ ตอนนี้ก็หาซื้อได้ง่ายไม่แพ้กันทั้งหน้าร้านค้าจริงหรือออนไลน์ก็มีตัวเลือกมากมายตั้งแต่หลักร้อยบาทประกอบมาสำเร็จรูปพร้อมใช้งานหรือไปหลักพันบาทกลาง ดีไซน์มาให้เจ้าของปรับแต่งต่อได้แทบทุกส่วนตามรสนิยมของผู้ใช้จนกลายเป็นงานอดิเรกใหม่ของใครหลายๆ คนไปโดยปริยาย เลือกแมคคานิคอลคีย์บอร์ดไร้สายอย่างไรดี? แมคคานิคอลคีย์บอร์ดไร้สายมักเชื่อมต่อด้วย USB RF 2.4GHz และบางรุ่นอาจรองรับ Bluetooth ด้วย แมคคานิคอลคีย์บอร์ดไร้สายหลายรุ่นในปัจจุบันสามารถกดสลับเลย์เอาท์ระหว่าง Windows หรือ macOS ได้ด้วยคีย์ลัดบนคีย์บอร์ด นอกจากคอมพิวเตอร์แล้ว แมคคานิคอลคีย์บอร์ดไร้สายก็ต่อ Bluetooth ใช้กับแท็บเล็ตได้ด้วย...

Gaming Notebook

สาวกความแรงอารยธรรม UFO มี Alienware m18 ตัวแรงแห่งปี 2024 ให้โดน! ถ้า Alienware x16 คือเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คระดับเทพน้ำหนักเบา Alienware m18 ก็เป็นตัวแรงระดับยานแม่ให้เกมเมอร์หรือครีเอเตอร์ที่ไม่อยากประกอบพีซีสเปคแรงเอาไว้ใช้งาน เพราะไม่ถนัดประกอบคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเองหรือเป็นแฟนคลับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คแบรนด์นี้อยู่แล้วพร้อมจ่ายเพื่อความแรงขั้นสุด ก็ต้องยกให้รุ่นเรือธงตัวนี้โดยไม่ต้องสงสัย สำหรับใครที่สนใจรุ่นนี้แล้วยังศึกษาหาข้อมูลอยู่ว่าจุดเด่นจุดแข็งของเกมมิ่งโน๊ตบุ๊คเรือธงนี้มีอะไรบ้าง? ก็สามารถสรุปจุดเด่นต่างๆ ให้ได้ทั้งหมด 5 อย่างทีเดียว สเปคของ Alienware...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก