ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 เป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาประสิทธิภาพสูงจอสวยและดีที่สุดในรุ่น เน้นการทำงานรุ่นใหม่ ให้ประสบการณ์ที่เหนือชั้นกว่าที่เคยมีมา โดยสเปก AMD Ryzen 5 5625U ได้เทคโนโลยี ASUS Intelligent Performance Technology (AITP) ปรับโหมดความแรงได้หลายโหมด ได้แรมออนบอร์ด 16GB และ SSD M.2 NVMe PCIe 512GB มาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาด 14″ ราคาดีที่สุด ความละเอียด 2.8K 90Hz มาตรฐานสีที่แม่นยำ PANTONE
โดดเด่นด้วยความบางเพียง 16.9 มม. และที่น้ำหนัก 1.39 กก. ตัวเครื่องได้ความทนทานระดับ US MIL-STD 810H โดดเด่นด้วยการเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6E มาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อครบครัน อีกทั้งนำเสนอนวัตกรรมขอบจอบาง 4 ด้าน ให้อัตราส่วนขนาดจอต่อตัวเครื่องที่ 90% แบบ 16:10 แบตเตอรี่เองก็ใช้ได้ยาวนาน พร้อมสีใหม่ Jade Black ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยมีฟีเจอร์ช่วยการทำงานมากมาย เรียกได้ว่าตอบโจทย์การพกพา รองรับการใช้งานรอบด้าน โดยแบตเตอรี่เองก็สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 16 ชั่วโมง พร้อมที่ชาร์จแบบ USB-C
ติดตั้งระบบปฏิบัติการเป็น Windows 11 Home มาทันที และได้ Microsoft Office Home and Student 2021 ส่งผลให้มี Word / Excel / Power Point ติดเครื่องไปแบบไม่ต้องซื้อเพิ่ม โดยมีราคาที่ 34,990 บาท ซึ่งนับว่าคุ้มค่ามากค้าเทียบกับสเปกและฟีเจอร์ การรับประกัน 3 ปี On-site Service และประกันอุบัติเหตุ Perfect Warranty ในปีแรกมาให้อีกด้วย ทั้งหมดนี้เลยทำให้ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 เป็นโน๊ตบุ๊ตบางเบารุ่นใหม่ในปี 2022 ที่น่าซื้อที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด ณ ตอนนี้ แต่จะมีรายละเอียดในการีวิวอะไรบ้างนั้นไปชมกันต่อเลยครับ
VDO Review
NBS Verdict
ถ้าให้สรุปสั้นๆ สำหรับคนที่ไม่อยากอ่านยาวๆ จนหมด สำหรับ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 เป็นโน๊ตบุ๊คสายบางเบาดีไซน์ใหม่ พร้อมจอดีจอสวยที่สุดในขนาด 14″ จากการที่เป็นพาเนล OLED ซึ่งดีกว่าพาเนล IPS ที่ปกติใช้กันแน่นอน และลื่นไหลกว่าที่ 90Hz ทำให้มีความสบายตาในทุกๆ การใช้งาน ได้สเปก AMD Ryzen 5 5625U รุ่นใหม่ ที่แม้ไม่ใช่รุ่นใหม่สุดๆ อย่าง Ryzen 6000 Series แต่ก็มีประสิทธิภาพแรงเหลือเฟือในการใช้งานพื้นฐาน รวมไปถึงทำงานร่วมกับโปรแกรมต่างๆ อาทิ Word, Excel, Power Point หรือ Photoshop / Premiere Pro ก็ยังพอได้ อีกทั้งมีการ์ดจอออนชิป AMD Radeon 7 ได้ประสิทธิภาพที่ดีในงาน 2 มิติ หรือ 3 มิติก็พอไหว
ทำงานร่วมกับแรมออนบอร์ดขนาด 16GB LPDDR4x ที่เราไม่สามารถอัปเกรดเพิ่มได้ตามสไตล์ของโน๊ตบุ๊คดีไซน์บางเบา ซึ่งเอาจริงๆ ก็เพียงพอกับการใช้งานแล้วล่ะ และที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ความจุ 512GB ที่ทำงานได้รวดเร็ว ซึ่งแม้ไม่ได้เร็วเท่ากับ Gen 4 แต่ก็ใช้งานได้ลื่นไหลในทุกๆ การทำงานแล้ว อีกทั้งยังได้โปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2021 มูลค่า 4,299 บาท ทำให้ได้ Word, Excel, Power Point ใช้งานติดเครื่องยาวๆ ไม่ต้องซื้อแยกเอง รวมไปถึงได้ประกันเทพๆ อย่าง 3 ปี On-site Service พร้อมประกันอุบัติเหตุ Perfect Warranty 1 ปีแรก กับราคาเพียง 34,990 บาท นับว่ามีความคุ้มค่าน่าซื้อมากๆ
ได้หน้าจอขนาด 14″ ที่อัดแน่นไปด้วยความล้ำต่างๆ นี้ ยังเป็นขนาดที่ให้มิติตัวเครื่องเล็กกระทัดรักพกพาสะดวก ที่สำคัญเครื่องยังเบาเพียง 1.39 กิโลกรัม และตัวเครื่องบางที่ 16.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งอาจจะมีรุ่นบางเบากว่านี้ในตลาด แต่ไม่ได้หน้าจอประสิทธิภาพสูงอย่างนี้ ตอบโจทย์การใช้งานนอกสถานที่อย่างออฟฟิศ ร้านกาแฟ หรือ Co Working Space อย่างแท้จริง รวมไปถึงแบตเตอรี่เองก็ใช้งานได้ยาวนานเกือบๆ 16 ชั่วโมง ได้ความปลอดภัยด้วยการสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Power ใช้งานผ่านทาง Windows Hello ที่สะดวกและง่ายกว่าการกรอกรหัสผ่านแบบเดิมๆ อีกทั้งยังได้ Numper Pad 2.0 แป้นตัวเลขที่ทัชแพดทำให้ใช้งานสะดวก
โดดเด่นด้วยความทนทานระดับ MIL-STD-810H ทำให้มั่นใจได้เลยว่าพกพาไปใช้งานไปไหนมาไหนเผื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นเครื่องก็ไม่พังง่ายแน่นอน พอร์ตการเชื่อมต่อก็ครบครันเท่าที่ตัวเครื่องจะให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น USB 3.2 Type-A และ USB 3.2 Tyce-C จำนวน 2 พอร์ต ที่รองรับการโอนถ่ายข้อมูลก็ได้ เชื่อมต่อหน้าจอภายนอกก็ได้ หรือชาร์จไฟเข้าเครื่องทั้ง 2 พอร์ตก็ยังได้ (สะดวกพอร์ตไหนชาร์จพอร์ตนั้น) อีกทั้ง Wi-Fi เป็น 6E ด้วย และที่ชอบก็คือ ได้ลำโพง Harman/ Kardon ระบบ Dolby Asmos ให้เสียงที่ดีในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ไม่รีบมาก จะรอดูเป็นสเปกที่เป็น Ryzen 6000 ก็ได้ แต่ก็คาดว่าราคาจะสูงกว่านี้อีกประมาณหนึ่ง
สำหรับ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ในช่วงราคานี้ เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงเหมาะกับการทำงานทั่วไป หรือหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอ ก็พแทำได้บ้าง ที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก หรือถ้าจะเล่นเกมบ้างก็สามารถทำได้ดีลื่นไหล ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคาคุ้มราคา การรับประกันก็ตามมาตรฐานของ ASUS ที่อัปเกรดเป็นมาตรฐานประกันแบบ 3 ปี On-site Service ซ้อมฟรีถึงบ้าน รวมไปถึงในปีแรกแค่เราลงทะเบียนก็จะได้ประกันอุบัติเหตุในปีแรก อย่าง Perfect Warranty แล้วด้วย (เคลม 80%)
จุดเด่น ASUS ZenBook 14 OLED
- เป็นโน๊ตบุ๊คหน้าจอ OLED ขนาด 14″ จัดว่าเป็น รุ่นที่จอดีจอสวยที่สุดในรุ่นที่ใกล้เคียงกัน
- ได้ดีไซน์ ZenBook ใหม่ล่าสุด ประจำปี 2022 พร้อมได้สีสันใหม่ Jade Black ไม่เหมือนใคร
- น้ำหนักเบากแค่ 1.39 กิโลกรัม บางสุด 16.9 มิลลิเมตร วัสดุเครื่องคุณภาพสูงทั้งตัว
- บานพับพิเศษ ErgoLift Hinge ช่วยให้ใช้งานดีขึ้น ในหลายๆ ส่วน พร้อมกางได้ 180 องศา
- หน้าจอมีความละเอียดสูง 2.8K พาเนล OLED ขอบเขตสี 100% sRGB จริงๆ ลื่นไหลที่ 90Hz
- ขอบจอบางเฉียบด้วย เทคโนโลยี Nano Edge บางพิเศษกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปทั้ง 4 ด้าน
- ใช้งานจริงลื่นไหลด้วย AMD Ryzen 5 5625U การ์ดจอออนชิป AMD Radeon 7
- ได้แรมออนชิป 16GB และ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ความเร็วสูง ความจุ 512GB
- เทคโนโลยี ASUS Intelligent Performance ปรับโหมดความแรงได้สะดวก
- ใช้งานทั่วไปลื่นไหลสบายมาก เล่นเกม 3 มิติ หรือตัดต่อวีดีโอได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ
- ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810H ทนทานต่อการใช้งาน
- ลำโพง Harman/Kardon ระบบ Dolby Asmos ให้เสียงที่ดีในระดับหนึ่ง
- มาพร้อมสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ใช้งานผ่านทาง Windows Hello
- มาพร้อม ASUS NumberPad 2.0 ที่เปลี่ยนทัชแพดธรรมดาเป็นปุ่มกดตัวเลข LED
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานเกือบๆ 16 ชั่วโมง พร้อมชาร์จไฟกลับได้รวดเร็ว
- ได้เป็น Wi-Fi 6E พร้อมการเชื่อมต่อพอร์ต I/O ที่ค่อนข้างครบครัน
- อแดปเตอร์เป็นมาตรฐาน USB-C แล้ว ใช้สะดวกพกพาง่าย หรือใช้อแดปเตอร์ PD อื่นๆ ก็ได้
- มีระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home มาให้ใช้งานทันที ตั้งแต่เปิดเครื่องในครั้งแรก
- ได้ชุดโปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2021 อย่าง Word, Excel, Power Point
- ประกัน 3 ปี On-site Service พร้อมประกันอุบัติเหตุ Perfect Warranty 1 ปีแรก
- มีอุปกรณ์เสริมอย่างซองเคสใส่เครื่องและสายแปลง USB to LAN ให้ทันที
- ราคาคุ้มค่า ต่อฟีเจอร์ทั้งหมดที่ได้ รวมไปถึงประสิทธิภาพดี เมื่อเทียบรุ่นก่อนๆ
ข้อสังเกต ASUS ZenBook 14 OLED
- หน่วยความจำแรม 16GB LPDDR4x เป็นแบบฝังบอร์ดมา ไม่รองรับการอัปเกรดเพิ่ม
- ที่เก็บข้อมูลยังเป็นมาตรฐาน SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ที่ช้ากว่า Gen 4
- ชิปประมวลผลยังเป็น AMD Ryzen 5000 Series แต่ก็แรงเพียงพอในการใช้งานแล้ว
- ตัวเครื่องอาจจะไม่ได้บางเฉียบ หรือบางมากๆ แบบหลายๆ รุ่น แต่ก็น่าพอใจในการพกพาแล้ว
Specification
ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 สเปกในตอนนี้มีเพียงสเปกเดียวราคาเดียว คือ AMD Ryzen 5 5625U ราคา 34,990 บาท เป็นชิปประมวลผล AMD Ryzen 5000 Series ที่เป็นชิปประมวลผลสถาปัตยกรรม Zen 3 โค้ดเนม Cezanne มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 7 nm ที่แรงขึ้นมากๆ และร้อนน้อยกว่าเดิม เพิ่มเติมด้วยแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน การ์ดจอเป็นออนชิป Radeon 7 ที่เพียงพอกับงานพื้นฐาน หรือเล่นเกมออนไลน์บ้าง ได้หน่วยความจำแรมแบบฝังบอร์ด 16GB LPDDR4X Bus 4266 MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ความจุ 512GB พร้อมใช้งานทันที ไม่ต้องอัปเกรดแล้ว
หน้าจอขนาด 14 เป็นพาเนล OLED ความละเอียด 2880 x 1800 พิกเซล สัดส่วน 16:10 ให้พื้นที่มากกว่าพร้อมได้มุมมองที่กว้างและสีสันสดใส มีกล้องเว็บแคมและมีไมค์ดิจิตอลในตัว รองรับการใช้งาน VDO Call ที่ใช้งานร่วมกับ Windows Hello ไว้สแกนใบหน้าเพื่อเข้าใช้งาน ติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ทันที ที่สำคัญคือได้โปรแกรม Office Home & Student 2021 (มูลค่า 4,299 บาท) ไปใช้งานฟรีๆ ติดเครื่องไปใช้งานยาวๆ ได้เลย คุ้มค่าสุดๆ ไปเลยตรงจุดนี้
มีพอร์ตมาตรฐานซึ่งมาให้ครบทั้ง USB 3.2 Tyce-C จำนวน 2 พอร์ต รองรับการเชื่อมต่อทุกๆ อย่าง นอกจากนี้ยังมี USB 3.2 Type-A และ HDMI สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอก ที่สำคัญยังมาพร้อม Wi-Fi 6 E ที่ดีกว่า 6AX และการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.2 ใหม่ล่าสุด การรับประกัน 3 ปี On-site Service รวมถึงถ้าลงทะเบียนในเว็บไซต์ ปีแรกจะมีประกันอุบัติเหตุมาให้ด้วย (Perfect Warranty) หน้าสเปกเต็มๆ ของ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ได้ตามนี้เลย
ASUS ZenBook 14 OLED UM3402YA-KM511WS ราคา 34,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : AMD Ryzen 5 5625U (6C/12T : 2.30 – 4.30 GHz)
-
GPU : AMD Radeon 7 (1800 MHz)
-
RAM : 16GB LPDDR4x Bus 4266 MHz
-
DISPLAY: 14″ 2.8K (2880 x 1800) OLED 90Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 512GB
-
OS : Windows 11 Home
- Software : Microsoft Office Home & Student 2021
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
- Free : Adobe Creative Cloud” membership 3 months
สำหรับอุปกรณ์ที่บันเดิลมาในกล่องของ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ก็จะประกอบไปด้วย ซองหนังอย่างดีซึ่งได้เป็นลวดลายแบบใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาในรุ่นก่อนๆ นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นอแดปเตอร์สายแปลง USB-A to LAN RJ45 ไว้เชื่อมต่อเครือข่ายแบบต่อสายนั่นเอง ปิดท้ายด้วยอแดปเตอร์ขนาด 65W ที่จ่ายไฟได้ทั้งโน๊ตบุ๊คเครื่องนี้ เครื่องอื่นๆ ที่เป็น USB-C รวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆ อย่างมือถือ แท็บเล็ต กล้องดิจิตอล หรืออื่นๆ ได้ทั้งหมด
Hardware / Design
ด้วยการออกแบบตัวเครื่อง ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 สเปกที่เป็น AMD Ryzen ที่เน้นเป็นสุดยอดโน๊ตบุ๊คที่หรูหราบางเบาในราคาจังต้องได้ง่าย พร้อมได้หน้าจอดีที่สุดในตลาดด้วยพาเนล OLED ขนาด 14″ แต่ก็ยังมาพร้อมความคุ้มค่าสมราคาทำให้ มีความบางเพียง 16.9 มิลลิเมตร และน้ำหนักแค่ 1.39 กิโลกรัม สามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างสบายๆ สมกับเป็น ZenBook 2022 ที่เห็นได้ชัดจากการนำโลโก้ฉลองครบ 30 ปีมาใช้อย่างเป็นทางการ พร้อมตัดตัวอักษร ASUS ที่เคยมีมาออกไป
ตัวเครื่องของ ZenBook รุ่นนี้ยังได้มาตรฐานผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน MIL-STD-810H ระดับกองทัพสหรัฐฯ ที่มีการทดสอบในหลากหลายด้าน เช่น ทดสอบการตกหล่น ทดสอบการสั่นสะเทือน ทดสอบการทำงานในสภาวะอุณหภูมิต่าง ๆ ทำให้มั่นใจได้เลยว่าจะสามารถใช้งานตัวเครื่องนี้ได้ในแทบทุกสภาพแวดล้อมอย่างแน่นอน ตอบโจทย์การพกพาไปที่นู้นที่นั่นบ่อยๆ เรียกได้ว่าเป็น ZenBook Series ที่ได้ภาพลักษณ์และความทนทานในเครื่องเดียว พร้อมฟีเจอร์ที่ครบครันมากกว่าแบรนด์อื่นๆ อย่างชัดเจน
วัสดุหลักเป็นอลูมิเมียมเกรดสูงแบบ Unibody ที่ไร้รอยต่อ ผสานกับลักษณะของผิวที่ให้ความคล้ายกับหินที่ผ่านกระบวนการตัดที่เรียบเนียน พร้อมคำว่า ASUS ZenBook ที่ขอบล่าง ได้สีสันตลอดทั้งตัวเครื่องอย่างสีเทาดำ กับชื่ออย่างเป็นทางการ คือ Jade Black (หยกดำ) ให้ความแตกต่างจาก ASUS ZenBook Series ในรุ่นปีก่อนๆ ทั้งหมด พร้อมรายละเอียดรอบนอกเครื่องแบบโค้งมน รวมไปถึงด้านในอย่างตัวอักษรคีย์บอร์ด มีความโดดเด่นขึ้นมาอีกขั้น กับราคาก็ไม่แพงจนเกินไป ด้วยจากการที่สเปกเป็นชิปประมวลผล AMD Ryzen 5000 ที่แรงพอๆ กับรุ่นก่อนหน้า ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมอยู่แล้ว
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามาเสริมให้การทำงานเป็นไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ก็คือ บานพับ ErgoLift Hinge นั้นเวลาที่กางออกมาใช้งานในรูปแบบโน๊ตบุ๊คจะทำให้คีย์บอร์ดทำมุม 2.5 องศากับฐานตั้ง พร้อมกางจอได้สูงสุดที่ 180 องศา ซึ่งเรียกได้ว่ากางได้มากกว่า ZenBook หลายๆ รุ่น (ไม่นับรุ่น 2-in-1) เพื่อการนำเสนอกับฝั่งตรงข้ามได้สะดวกยิ่งขึ้น และจากการที่มีบานพับแบบพิเศษช่วยยกตัวเครื่องสูงขึ้นจากพื้น โดยขอบตัวเครื่องด้านหลังจะมียางรองพร้อมทำหน้าที่เป็นฐานรองด้านหลัง สำหรับฟีเจอร์นี้ก็เป็นเอกลักษณ์ของ ZenBook ทุกรุ่นเช่นกัน
ซึ่งการที่ตัวเครื่องสูงขึ้นจะช่วยให้เราใช้งานโน๊ตบุ๊คนั้นสามารถที่จะพิมพ์ได้อย่างสบาย แถมเวลาที่กางบานพับออกมานั้นมันจะทำให้ส่วนของฐานคีย์บอร์ดมีระยะห่างกับฐานตั้งซึ่งทำให้ความร้อนที่เกิดขึ้นในส่วนของตัวเครื่องนั้นมีการดูดลมเย็นเข้าไปช่วย พร้อมกันนั้นยังให้เสียงที่ดีขึ้นด้วย เรียกได้ว่าด้วยฟีเจอร์บานพับเดียวนี้ ทำให้การใช้งานดีขึ้นทั้ง 3 ด้านเลย ซึ่งในส่วนของฟีเจอร์จัดว่าเป็น DNA ที่มีอยู่ใน ZenBook ทุกๆ รุ่นก็ว่าได้ นอกจากนี้ใน ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ยังมีแกนบานพับเป็นวงกลมแบบ Zen ที่สวยงามพรีเมียม ซึ่งให้ความทนทานในการกางหน้าจอไปมาอีกด้วย
อย่างที่บอกไปแล้วในส่วนของชุดบันเดิลที่มีทั้งในส่วนของซอฟต์เคสที่ดูดีลงตัวกับเครื่อง อีกทั้งได้ตัวแปลง USB-A to LAN RJ45 มาให้ใช้งานได้ทันที ตอบโจทย์คนที่ต้องการหรือจำเป็นใช้งานเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตแบบสาย LAN อยู่เช่นตามที่ทำงานรวมไปถึงองค์กรต่างๆ โดดเด่นด้วยอแดปเตอร์ชาร์จไฟ ที่เป็นมาตรฐาน USB-C แบบ USB PD ทำให้ในการใช้งานร่วมกับตัวเครื่องได้สะดวกสบาย เพราะเราสามารถนำอแดปเตอร์นี้ไปชาร์จมือถือรุ่นใหม่ๆ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ได้แทบทั้งหมด อาทิ กล้องดิจิตอล หรือ Power Bank ซึ่งสามารถชาร์จไฟกลัยได้อย่างรวดเร็วกว่าอแดปเตอร์ทั่วไปด้วย
นับได้ว่า ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 เป็นการมาของโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ อีกหนึ่งรุ่นของทาง ASUS ที่เป็นหน้าจอ OLED ที่ราคาดีมากๆ เน้นสำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คทำงานสายบางเบาที่ครบเครื่อง มีดีที่สเปกแรงลื่น ประสิทธิภาพสูง ในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป ต่อยอดความสำเร็จจากรุ่นก่อนๆ ได้เป็นอย่างดี ยืนยันได้เลยว่า ASUS ใส่ใจในการออกแบบ รายละเอียด เพื่อการรองรับใช้งานจริงของคนรุ่นใหม่จริงๆ เหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คระดับสูง หรือคนทำงานพนักงานออฟฟิศที่เน้นใช้งานทั่วไปให้ประสิทธิภาพพอตัว รวมไปถึงนักเรียนนักศึกษาก็สามารถนำไปใช้งานได้ ให้ความเรียบง่ายและทันสมัย
Keyboard / Touchpad
ปุ่มคีย์บอร์ดและทัชแพดของ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ได้ฟีเจอร์ ErgoSense ที่ปรับแต่งมาอย่างลงตัว โดยมีขนาดใหญ่เป็นสีเดียวกับตัวเครื่อง จัดว่าอยู่ในขนาดพอตัวเมื่อเทียบกับขนาดหน้าจอ 14″ ทำให้พอมีพื้นที่เว้นว่างบ้าง โดยมีระยะการกดที่ 1.4 มิลลิเมตร ซึ่งให้สัมผัสในการกด การเด้งของปุ่มที่ดี การตอบสนองทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วกันและช่องว่างระหว่างแป้นที่ทำให้มีความแม่นยำในการกด พร้อมไฟส่องสว่างสีขาวทำให้เราใช้งานในที่แสงน้อยหรือมืดๆ ซึ่งสามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับ ส่วนปุ่ม Fn ที่เป็นทางลัดต่างๆ ติดตั้งอยู่ชุดคีย์บอร์ดแถวบนเป็นมาตรฐาน ใช้งานได้สะดวก
ส่วนปุ่ม Power เอง ก็ทำหน้าที่เป็น Fingerprint เพื่อสแกนลายนิ้วมือในตัว เพื่อความสะดวกและปลอยภัย ตัวทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ ซึ่งใหญ่กว่ารุ่นก่อนๆ มาก เมื่อเทียบกับขนาดตัวเครื่องโดยรวมที่มีเล็กกระทัดรัดถือว่าจัดเต็มเรื่องของการใช้งานจริง ดีไซน์ออกมาแบบไม่มีปุ่มแยกโดยเป็นชิ้นเดียวทั้งคลิกซ้ายคลิกขวา ซึ่งขอบรอบๆ มีการเล่นสีสันเป็นสีมันวาวสะดุดตา การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ตัวซอฟต์แวร์ที่ให้มาสามารถควบคุมจัดการได้ดี ใช้งานแบบมัลติทัชร่วมกับ Windows 11 Home ได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด เรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องมีเมาส์มาต่อเพิ่มเลยก็ว่าได้
ส่วนที่เป็นไฮไลท์ก็คือ มีแผงปุ่มตัวเลขที่ซ่อนอยู่ในทัชแพด โดยใช้ชื่อเรียกว่า ASUS NumberPad 2.0 ซึ่งสามารถเปิดใช้งานได้ด้วยการแตะไอคอนตรงมุมขวาบนของทัชแพดค้างไว้ 1 วินาที เส้นไฟสำหรับแบ่งพื้นที่ของแต่ละปุ่มก็จะปรากฏขึ้นมาให้ใช้งานเป็น Numpad ได้ทันที (ปรับแสงไฟลง 1 ระดับด้วยการกดมุมซ้ายบนค้าง 1 วินาที) ซึ่งแม้ว่าจะมีปุ่มขึ้นมาแล้ว ผู้ใช้ก็ยังสามารถใช้ทัชแพดในการเลื่อนเคอร์เซอร์ได้อยู่ แต่หากมีการจิ้มลงบนพื้นที่ของแต่ละปุ่มเพื่อคลิกซ้าย ก็จะเปรียบเสมือนการกดปุ่มตัวเลขด้วย นับว่าเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยเรื่องการกรอกตัวเลขเป็นอย่างมาก
Screen / Speaker
หน้าจอของ ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 เป็นจอกระจกที่สดใสแต่ก็ไม่ค่อยสะท้อนแสงมากนัก แบบขอบบางทั้ง 4 ด้าน ให้ความละเอียด Full HD พาเนล OLED ที่ดีกว่า IPS ในทุกๆ ด้าน ที่สำคัญคือมี Refresh Rate ที่ 90Hz ลื่นไหลกว่า 60Hz เดิมๆ พร้อมให้ภาพคมชัดด้วยอัตราการตอบสนองที่เร็วถึง 0.2 ms เมื่อประกอบกับขอบจอที่บางเฉียบ ตามสไตล์ NanoEdge Display มาพร้อมกับ TÜV Rheinland certified eye care ช่วยถนอมสายตา และป้องกันแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายต่อดวงตา นอกจากนี้ยังได้รับการตรวจสอบความถูกต้องของสีจาก PANTONE Validated
ทำให้ไม่ว่าจะการใช้งานทั่วไป การเปิดหน้าเว็บ การชมภาพยนตร์ ซีรีส์ รวมถึงการเล่นเกมดูเต็มอารมณ์มากยิ่งขึ้น โดยสามารถกางหน้าจอได้สูงสุดที่ 180 องศา ส่งผลให้สามารถทำให้การแบ่งปันข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น ทำให้การทำงานร่วมกันกับเพื่อนร่วมโต๊ะทำได้ดีขึ้น และอย่างที่เราได้บอกไปแล้วคือการรองรับการทัชสกรีนทำให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วย ส่วนขอบจอด้านบนจะเป็นตำแหน่งของกล้องหน้า รวมถึงยังมีหลอดไฟ LED สำหรับแสดงสถานะว่ากล้องทำงานอยู่ เรียกได้ว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่ง
อีกทั้งแม้ขอบหน้าจอจะบางแต่ก็ยังติดตั้ง Webcam และไมโครโฟนแบบคู่มาปกติที่ขอบด้านบน ได้เทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนขั้นสูง (AI Noise Cancelation) สำหรับการทำงานระยะไกลและการประชุมวีดีโอ โดยแยกเสียงรบกวนที่ไม่ต้องการออกจากเสียงพูดซึ่งสามารถกรองและแยกเสียงรบกวนรอบข้าง ดีที่สุด นอกจากนี้ยังมีการที่ใส่ยางขอบจอแบบติดเนียนตามตลอดแนวขอบจอเลย ทำให้ช่วยซับแรงกระแทกได้ดีกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ที่มักจะติดตั้งมาเป็นจุดๆ ในบางตำแหน่งเท่านั้น ฉะนั้นมั่นใจเรื่องความแข็งแรงทนทานได้เลย
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 100% / AdobeRGB ที่ 98% / DCP-P3 ที่ 93% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันนั้นดีมากกว่าโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ แบบชัดเจนมากๆ ซึ่งมีความเที่ยงตรงของสีที่สูง รองรับการทำงานที่เน้นกราฟิก หรืองานด้านการถ่ายได้ระดับมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเมื่อเทียบกับพาเนล IPS ก็ต้องยอมรับว่าเหนือกว่าจริงๆ
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าแต่ละช่องนั้นมีความต่างกันที่ 0% – 3% เท่านั้นเอง เรียกว่ามีค่าความสว่างสม่ำเสมอตลอดทั้งหน้าจอจริงๆ เหมาะมากกว่ากับการใช้งานโปรดซสภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ส่วน Delta-E ซึ่งเป็นค่าคลาดสีอยู่ที่ 1.35 เท่านั้นเอง ซึ่งนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมมากๆ เพราะปกติแล้วค่านี้ สำหรับหน้าจอเกรดสูงจะอยู่ไม่เกิน 2.0
ส่วนความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 400 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่ามีความสว่างในระดับสูง ตอบโจทย์การใช้งานนอกสถานที่ได้มากกว่า ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในที่ต่างๆ ได้แบบสบายๆ ด้วย ทำให้เมื่อคาลิเบตหน้าจอแล้วสามารถไปทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นความเที่ยงตรงได้มาตรฐานระดับมืออาชีพเลยทีเดียว ส่วนการทดสอบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นค่า Delta-E หรือความสม่ำเสมอในการความสว่างนั้นจัดว่าดีมากๆ ส่งผลให้มีคะแนนรวมอยูท่ี 4.5 คะแนน ถือว่ามีโน๊ตบุ๊คที่มีความมืออาชีพ ใครจะเอาไปใช้งานก็มั่นใจได้เลย ไม่ว่าจะ Content Creator หรือ Present งานต่างๆ
ตัวลำโพงเป็นแบบสเตอริโอเลือกใช้ลำโพง 2 ตัว 2W x 2 ระบบเสียง Harman/Kardon ให้ที่เสียงที่ดีมากทั้งความดังและคุณภาพจาก Smart amp ที่ช่วยเร่งที่ 3.5 เท่า พร้อมทำงานร่วมกับระบบเสียง Dolby Asmos ทั้งในเรื่องของเสียงเบสที่มีน้ำหนัก เสียงกลางที่สมดุล และเสียงแหลมที่ออกมาใสๆ พร้อมทั้งความดังและกังวาลที่มากกว่า เมื่อกางบานพับจอแบบ ErgoLift ออกมา ฐานเครื่องก็จะยกขึ้นเพื่อให้เสียงจากลำโพงสะท้อนกับพื้นเพิ่มมิติของทิศทางเสียง ซึ่งตัวลำโพงจะอยู่บริเวณใต้ตัวเครื่องซ้ายและขวาลักษณะยิงลงพื้น 2 ตัว ทำให้เสียงที่ออกมามีเสียงดังฟังชัด
Connector / Thin And Weight
ในเรื่องพอร์ตเชื่อมต่อถือว่ามีความครบครันตามมาตรฐานของโน๊ตบุ๊คบางเบา ไม่ว่าจะเป็นพอร์ต USB 3.2 Type-A จำนวน 1 พอร์ต ไว้สำหรับการเชื่อมต่อกับแฟลชไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอกไว้ถ่ายโอนข้อมูลได้รวดเร็ว รวมไปถึงเมาส์ ซึ่งนับว่าทำได้ดีเพราะบางคนยังมีอุปกรณ์ USB-A อยู่ โดดเด่นด้วยการติดตั้งพอร์ต USB 3.2 Type-C มาให้ 2 พอร์ต แน่นอนว่ารองรับการชาร์ไฟเข้าเครื่องทั้ง 2 พอร์ต ทั้งอแดปเตอร์มาตรฐานติดเครื่อง หรืออื่นๆ ที่เป็น PD หรือ Power Bank รวมถึงต่อหน้าจอแยก 4K อีกด้วย โดยโอนไฟล์ได้สูงสุด 20Gbps ตามาตรฐาน ซึ่งเหลือเฟือในการใช้งานทั่วไปและพื้นฐานมากๆ
ทางด้านพอร์ตการเชื่อมต่อหน้าจอก็จะมี HDMI มาให้ไว้เชื่อมต่อกับทีวีหรือโปรเจคเตอร์ ส่วนช่องอ่าน micro-SD Card จะอยู่ด้านขวามือตัวเครื่อง แน่นอนว่ายังมีช่องหูฟังและไมค์แบบ Combo ขนาด 3.5 มิลลิเมตรตามปกติ ส่วนอุปกรณ์ที่บันเดิลมาให้เป็นสายแปลง USB-A to LAN RJ45 ก็นับได้ว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์และได้ใช้งานอย่างแน่นอน สำหรับคนที่สะดวกเชื่อมต่อเครือข่ายแบบมีสาย อย่างไรก็ตามเป็นได้ต้องหาซื้อ USB-C Hub มาเพิ่มเติมอีกซักอันก็จะดีมากๆ กรณีที่เราต้องเชื่อมต่อมากกว่านี้ในบางกรณีจะได้รองรับ โดยในตอนนี้ราคาของ USB-C Hub ไม่แพงและมีให้เลือกเยอะแล้ว
ขนาดของตัวนี้ถือว่ามีมิติที่ค่อนข้างเล็กและบางเบา น้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 1.39 กิโลกรัม และตัวอแดปเตอร์ที่ชาร์จเองก็มีขนาดเล็ก รองรับการจ่ายไฟสูงสุด 65W แบบหัว USB-C มีความกะทัดรัดซึ่งเมื่อรวมเข้าไปด้วยกันแล้วน่าจะมีหนักราวๆ 1.7 กิโลกรัม ถือว่ามีน้ำหนักที่มีความเบามากๆ เลยทีเดียว เพราะปกติแล้วโน๊ตบุ๊ค 14″ รุ่นก่อนๆ แค่ตัวเครื่องก็จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.5 – 1.8 กิโลกรัมขึ้นไปแน่นอน ซึ่ง ZenBook เครื่องนี้ ตอบสนองในเรื่องของการพกพาใส่กระเป๋าไปนอกสถานที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชาย นักเรียนนักศึกษา ก็เป็นขนาดและน้ำหนักที่สามารถหยิบจับไปใช้งานได้สะดวกแน่นอน
Inside / Upgrade
การแกะเครื่องนั้นสามารถทำได้ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายเสียทีเดียว เพราะงานประกอบค่อนข้างแน่นหนาทีเดียวจากการที่ฝาหลังเป็นโลหะแข็งแรงทนทาน ให้ความยืดหยุ่นพอสมควร อาศัยไขควงรูปดาวขนาดเล็กก็สามารถไขได้แล้ว ซึ่งหลังจากถอดน็อตทุกตัวเสร็จหมดแล้ว เราสามารถใช้มือค่อยๆ แกะออกที่ละส่วนได้เลย เมื่อเปิดถึงภายในเครื่องแล้วจะเห็นการวางรูปแบบของฮาร์ดแวร์เครื่องนี้ทำได้ดูดีสมกับเป็นโน๊ตบุ๊คระดับสูงตามมาตรฐานของ ZenBook โดยตามภาพจะเป็นสเปกที่มีแบตเตอรี่ความจุ 75Wh หรือ 9420 mAh ที่จะเห็นว่าค่อนข้างเต็มพื้นที่ฮาร์ดแวร์ภายในเลยทีเดียว
เรื่องระบายความร้อนตัวเครื่องมี Heat Pipe จำนวน 1 เส้น วางพาดชิปประมวลผล ส่วนพัดลมเครื่องนี้ก็มีมาให้ 1 ตัว โดยลมร้อนเป่าออกทางด้านข้างตัวเครื่อง นอกจากนั้นแรมที่ติดตั้งมาขนาด 16GB จะเป็นแบบฝังบอร์ด แน่นอนว่าเป็นปกติที่ของโน๊ตบุ๊คบางเบาที่เราไม่สามารถอัปเกรดส่วนของแรมเพิ่มได้แล้ว โดยจะเห็นถึง SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 พร้อมใส่เต็มมาแล้ว 1 สล็อต ที่ความจุ 512GB ตามที่ตรวจสอบเป็นของ Intel ซึ่งแผ่นโลหะครอบเอาไว้อีกชั้นเพื่อเสริมความแข็งแรง รายละเอียดอื่นๆ เราจะเห็นถึงการ์ด Wi-Fi 6E เป็นของ MediaTek
Performance / Software
ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ที่ได้รับมารีวิวเป็นสเปกขายจริง สเปก AMD Ryzen 5000U Series ที่ Refresh เมื่อตรวจสอบข้อมูลของชิปประมวลผลด้วยโปรแกรม CPU-Z ก็พบว่าข้อมูลขึ้นมาครบถ้วนเลยครับ โดยเลือกใช้ชิป Ryzen 5 5625U ที่มี 6 คอร์ 12 เธรดสำหรับการประมวลผล ความเร็วที่ 2.30 – 4.30 GHz มีค่า TDP มาตรฐานทรา 16W ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ระดับ 7 นาโนเมตร โค้ดเนม Cezanne สถาปัตยกรรม Zen 3 ที่พัฒนาไปในหลายๆ ทั้งแรงและควบคุมความร้อนได้ดี
ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ ส่วนแรมได้ขนาด 16GB แบบฝังบอร์ด เป็นมาตรฐาน LPDDR4x Bus 4266 MHz ตามเทคโนโลยีของ AMD Ryzen ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหนือชั้น พร้อมให้ที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe Gen 3 ความเร็วสูงที่ 512GB สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home แบบลื่นไหลอย่างที่สุด ในทุกๆ การทำงาน
ราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง AMD Radeon 7 มีความเร็วในการทำงานที่ 1800MHz มาตรฐานแรม DDR4 ขนาด 512MB ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน ซึ่งโดดเด่นจริงๆ จะเป็นเรื่องของการประหยัดพลังงานเมื่อใช้งานเบาๆ ประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกระดับเริ่มต้นแล้ว ซึ่งสามารถเล่นเกม 3 มิติ พอได้บ้าง เดี๋ยวไปดูผลทดสอบกันอีกที
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / 20 / 23 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรหัส U รุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวการ์ดจอเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ ไม่น่าเป็นห่วงนัก รวมไปถึงตัวการ์ดจอเองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอที่อัพเกรดใหม่ที่เน้นการทำงาน 3 มิติที่ดียิ่งขึ้น
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำผลทดสอบเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe PCIe Gen 3 แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 3036 MB/s และเขียนที่ 1651 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมก็เพียงพอกับการทำงานแล้ว แต่ก็น่าเสียด้ายถ้าได้เป็น Gen 4 ก็จะมีความเร็วมากกว่านี้แน่นอน
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5495 คะแนน (เทียบเคียง Gaming Notebook ยิ่งขึ้นไปอีกในแง่ของพลังการประมวลผล) ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ ส่วนถ้าเอาไปใช้งานหนักๆ เช่นงานประมวลผล ตัดต่อวีดีโอ โปรเซสไฟล์ภาพความละเอียดสูง รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติ ซึ่งก็พอได้ แต่คงตอบสนองได้ไม่เท่าพวก Gaming Notebook หรือโน๊ตบุ๊คแรงๆ ที่ใช้ Ryzen และการ์ดจอแยก GeForce
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมจากการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark จากทาง Futuremark ที่พัฒนาและคิดค้นจากบริษัท AMD, Intel, Microsoft, NVIDIA ในส่วนของ Time Spy ทำออกมาน่าสนใจมากๆ ด้วยคะแนนรวม 1271 เน้นเรื่องในส่วนของฟีเจอร์ DirectX 12 เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อมาเสริมข้อบกพร่องทางด้านการทำงานต่างๆ ของการ์ดจอเป็นหลัก ซึ่งผลทดสอบนั้นจะดูว่าแต่ละการ์ดจอนั้นสามารถทำงานเข้าขากับ DirectX 12 ได้ดีขนาดไหน จากคะแนนก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์ดีของการ์ดจอออนบอร์ดแล้ว
ทดสอบเกมได้เฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 2 เกมออนไลน์ เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยค่อนข้างลื่นไหล น่าประทับใจทีเดียว ที่ความละเอียด 1920 x 1200 พิกเซล เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่ไม่ได้เน้นเล่นเกมมาก จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล AMD Ryzen 5 5625U ที่ทำงานร่วมกับการ์ดจอ ออนชิปอย่าง Radeon 7 ได้ดีเยี่ยม ประกอบกับใช้แรม 16GB LPDDR4x4266 MHz รวมไปถึง SSD ความเร็วสูงก็ส่งผลช่วยด้วย
สำหรับเกมออนไลน์อย่าง DOTA 2 ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมด ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่เฉลี่ยที่ 53 แต่ฉากตะลุมบอนกันก็เฟรมเรทลดลงไปที่ 39 (อยากลื่นกว่านี้ก็ปรับกลางๆ ได้) และในส่วนของเกม PUBG ที่ปรับ Low ทดสอบแล้วจะมีเฟรมเรทเฉลี่ยอยู่ที่ 46 ซึ่งต่ำสุดอยู่ที่ 21 เฟรมเรทก็ทำออกมาได้ลื่นไหลกว่าที่คาดไว้ อย่างไรก็ตามในการทดสอบทั้งหมดเราใช้ Performace Mode ด้วยการกดปุ่ม Fn + F
ZenBook รุ่นนี้เองก็ยังมีในส่วนของซอต์ฟแวร์ที่จะเป็นตัวช่วยในการใช้งานของเราอีกด้วยอย่าง MyASUS ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสเปกภายใน หรือเช็คสถานะการทำงานส่วนต่างๆ ของเครื่อง รวมไปถึงยังสามารถ ตรวจเช็คสถานะเครื่องกับข้อมูลแคชต่างๆ ก็ทำการลบทิ้งได้ตรงนี้เลย หรือเช็คอัพเดทซอฟ์ตแวร์และไดร์เวอร์ต่างๆ ของเครื่องก็สามารถทำผ่านตรงนี้ได้เช่นกัน รวมไปถึงโหมดพัดลมและโปรไฟล์สีการแสดงผลอีกด้วย และอีกต่างๆ อีกมากมาย เช่นการเชื่อมต่อกับมือถือ ที่สามารถใช้งานเป็นเว็บแคมได้ก็ผ่าน Link to MyASUS ในนี้
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ตัวเครื่องเป็นแบบฝังไว้ในเครื่อง ตัวแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่โต 9420mAh ทำงานต่อเนื่องยาวนานได้เกือบๆ 16 ชั่วโมงต่อเนื่องในการใช้งานแบบปกติ ด้วยการทดสอบปรับเป็น Power Saver Mode แล้วดู Youtube ยาวๆ พร้อมกับลดแสงและเสียงเหลือ 10% ซึ่งคาดว่าจะทำได้นานยิ่งกว่านั้นปรับเปลี่ยนตามการใช้งานของแต่ละคน อีกทั้งมีฟังก์ชั่นชาร์จเร็ว ที่สามารถชาร์จไฟกลับคืนให้กับแบตเตอรี่ 0 ไปจนถึง 60% ในเวลาเพียง 49 นาที ทำให้เครื่องกลับมาพร้อมใช้งานได้อย่างรวดเร็วด้วย
อุณหภูมิภายในของชิปประมวลผล AMD Ryzen 5000 รุ่น Refresh ได้ทดสอบดูผ่านทางโปรแกรม Hardware Monitor โดยมีความร้อนสูงสุดคือ 95 องศาเซลเซียส จากการเล่นเกมและประมวลผลงานต่อเนื่อง ซึ่งถ้าใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ 40 – 50 องศาเซลเซียสโดยประมาณ ด้วยการทดสอบให้ห้องแอร์ปรับอากาศที่ 25 – 27 องศาเซลเซียส เรียกได้ว่าระบบระบายความร้อนของ ASUS โน๊ตบุ๊คเครื่องนี้มีอุณหภูมิที่ไม่ถึงกับเย็นมาก เพราะจากการที่ตัวเครื่องบางเบา อย่างไรก็ตามไม่ได้ส่งผลให้ตัวเครื่องเสียหายหรือมีปัญหาหน่วงหรือกระตุกแต่อย่างใด
ประสบการณ์ใช้งานจริงๆ ตัวเครื่องมีความรู้สึกว่าร้อนอยู่บ้างเวลาใช้งานหนักๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องกังวลมากนัก เพราะเวลาใช้งานจริงๆ เราคงไม่ได้เอาไปเล่นเกมหรือประมวลผลงานหนักๆ ต่อเนท่องยาวนานอยู่แล้ว จากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คพกพาบางเบา ไม่ใช่ Gaming Notebook แต่เราเองก็สามารถเลือกปรับโหมดการทำงานได้ให้เป็น Whisper Mode เน้นตัวเครื่องให้เย็นและประหยัดแบต แต่ก็แลกมากับการที่ชิปประมวลผลทำงานไม่เต็มที่ หรือจะปรับเป็น Balance Mode ก็สามารถทำได้ กรณีเน้นใช้งานทั่วไป
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ZenBook 14 OLED UM3402 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Performance
จัดเป็นโน๊ตบุ๊คสายบางเบาที่ครบเครื่องสุดๆ กับราคาคุ้มๆ เหนือชั้นด้วยจอ OLED ที่ 2.8K ที่เหนือชั้นกว่าจอทั่วไป และมี Refresh Rate ที่ 90Hz ในราคาที่คุ้มค่ามากๆ ด้วยราคาขาย 38,990 บาท ที่มาพร้อมสเปคอย่าง AMD Ryzen 5 5625U รวมถึงมีแรม 16GB LPDDR4x 4266 MHz และที่เก็บข้อมูลมาตรฐานแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB อีกทั้งมีสแกนลายนิ้วมือ และฟีเจอร์อื่นๆ จัดเต็ม อย่างเทคโนโลยี ASUS Intelligent Performance Technology ปรับโหมดความแรงได้ เป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาเหมาะกับการใช้งานแบบมืออาชีพ ดีไซน์ก็พรีเมียม นอกจากนั้นยังได้ Microsoft Office Home & Student 2021 พร้อมใช้งานสุดๆ
Best Mobility
ปัจจัยสำคัญของด้านของพกพา ก็คือขนาดที่กะทัดรัด เบาแค่ 1.39 กิโลกรัม ตอบโจทย์การใช้งานสาย Mobility ได้อย่างครบถ้วนครับ กับตัวเครื่องบางเฉียบ ทำให้เป็นโน๊ตบุ๊คที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ และนอกจากความบางเบา ยังมีความแข็งแกร่งอีกด้วย จากการที่ผ่านการทดสอบความทนทานตามมาตรฐานระดับกองทัพ ดังนั้นจึงหายห่วงเรื่องความทนทานได้เลย ส่วนแบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวนานกว่า 16 ชั่วโมง เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องพกอแดปเตอร์ไปด้วยเลย หรือจะพกไปก็เล็กมากๆ ที่สำคัญประกันยังมีระยะถึง 3 ปี On-site + Perfect Warranty ในปีแรกด้วย
Best Design
ฟีเจอร์โดยรวมของ ZenBook ปี 2022 รุ่นนี้ เป็นโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 14″ มีความโดดเด่นในทุกๆ มิติ อีกทั้งได้เป็น OLED คุณภาพสูงให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุด ภายในตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปที่ใช้จอขนาดเดียวกัน ให้มิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม โดยตัวเครื่องมีความบางเพียง 16.9 มิลลิเมตร ที่นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับความเป็น ZenBook ยุคใหม่ ไปจนถึงบานพับ ErgoLift 180 องศา ที่ช่วยเสริมประสบการณ์การใช้งานได้เป็นอย่างดี รายละเอียดรอบนอกเครื่องดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ วัสดุหลักเป็นอลูมิเมียมเกรดสูงแบบ Unibody ที่ไร้รอยต่อ โดดเด่นด้วยสีสัน Jade Black ที่หรูหราพรีเมียม