ASUS ProArt StudioBook 16 OLED (H5600QM) เป็น Creator Notebook ที่น่าซื้อที่สุดในปี 2021 – 2022 นี้เลยทีเดียว จัดเต็มด้วยสเปกและเทคโนโลยีจัดเต็ม แตกต่างจากโน้ตบุ๊ตทั่วไปหรือ Gaming โดยมาพร้อมชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX และการ์ดจอแยกอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3060 ซึ่งมาพร้อมปุ่ม ASUS Dial สุดล้ำในตัว ซึ่งจะรองรับการใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์การทำงานทางด้านกราฟิกให้ผู้ทำงานด้านการตัดต่อไม่ว่าจะเป็นภาพหรือวีดีโอสามารถใช้งานซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้ดีกว่าเดิม อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรุ่นอื่นๆ
สเปกอื่นๆ ของ ASUS ProArt StudioBook 16 OLED ติดตั้งแรมมาขนาด 32GB แน่นอนว่าได้ที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe ที่ 1TB ได้หน้าจอ OLED ขนาด 16″ 16:10 ความละเอียด 4K Ultra HD ที่พกพาได้สะดวก ด้วยขนาดที่บางเพียง 19.9 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 2.4 กิโลกรัม ตัวเครื่องทำจากโลหะพิเศษน้ำหนักเบาแต่ให้ความทนทานสูง โดยรองรับการทำงานประมวลผลหนักๆ สายงานสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น โปรเซสไฟล์ขนาดใหญ่ ตัดต่อวีดีโอ กราฟิกดีไซน์ และอื่นๆ อีกมากมาย กับสายงานของมืออาชีพตัวจริง สนนราคาที่ 70,990 บาท ได้ประกันแบบ 3 ปี On-site Service ซ่อมฟรีถึงที่ด้วย
VDO Review
NBS Verdict
ASUS ProArt StudioBook 16 OLED ได้ความเป็น Mobile Workstation สาย Creator ที่พรีเมียมเน้นสเปกระดับสูงจากชิปประมวลผล AMD Ryzen ตัวท็อปแรงสุดรุ่นใหม่ และการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce ที่ทำงานก็ยอดเยี่ยม เล่นเกมก็ลื่นไหล สเปกอื่นๆ ก็จัดเต็ม ทั้งแรมและที่เก็บข้อมูลพร้อมใช้งานได้ทันที ตัวเครื่องบางเบาและทนทาน แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานประมาณนึง ประสิทธิภาพดีลื่นไหล พอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน อย่างที่หาในโน๊ตบุ๊คทั่วไปไม่ได้แน่นอน ในส่วนของประสิทธิภาพตอบโจทย์การใช้งานได้ครบคลุม
ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊กในการทำงานสายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นงาน 3D, แอนิเมชัน, วิศวกร, สถาปัตยกรรม หรือการทำงานหนักหน่วง อาศัยกราฟิกสูงๆ ในการเรนเดอร์งาน มาพร้อมนวัตกรรมใหม่ ASUS Dial ที่ออกแบบมาเพื่อให้การทำงานสะดวกและมีประสิทธิภาพสูงสุด กับฟีเจอร์ที่ไม่เคยมรมาก่อนในโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ เพื่อการใช้งานร่วมกับโปรแกรมสร้งสรรค์งานอย่างตระกูล Adobe ไม่ว่าจะเป็น Photoshop, Premiere Pro, Lightroom Classic และ After Effects ใช้งานได้สะดวกเพียงใช้นิ้วกดและเลื่อนหมุนไปมา
เมื่อเทียบกับประสบการณ์การใช้งานที่พกพาไปไหนมาไหนได้ง่ายและสะดวกกว่า Mobile Wostation เครื่องหนาๆ แบบสมัยก่อน และใช้งานได้สบายใจหายห่วงกว่า ASUS โน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ ก็คือ ความทนทานระดับ US MIL-STD 810H Military Grade Standard และการรับประกัน On-site Serice ซ่อมฟรีถึงบ้าน ระยะเวลา 3 ปี ที่สำคัญเป็นแบบทั่วโลก อีกทั้งมีประกันอุบัติเหตุในปีแรก อย่าง ASUS Premium Care ด้วย เรียกได้ว่ามั่นใจได้เลย ASUS ProArt StudioBook 16 OLED ยอดเยี่ยมในประสบการณ์ใช้งานรอบด้าน
เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีกด้วยหน้าจอ OLED รองรับ HDR และความสว่างสูง ขอบเขตสีกว้างกว่าพาเนล IPS หลายๆ รุ่น ได้ความละเอียด 4K Ultra HD + (3840 x 2400) ที่ละเอียดเรียบเนียนกว่ามากๆ เมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คที่ใช้งานทั่วไป พร้อมรับรองความเที่ยงตรงของสี ให้ช่วงสีค่าความผิดเพี้ยนของสี (Delta-E) น้อยกว่า 2 ซึ่งให้ความแม่นยำของสีที่สูง สนับสนุนการใช้งานมาตรฐานสตูดิโอทีเดียว นอกจากนี้ยังได้ Windows 11 Home และโปรแกรม Office Home and Student 2021 ติดตั้งพร้อมใช้งานตลอดอายุเครื่อง ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูง ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของมืออาชีพ พร้อมได้ประสิทธิภาพสูงสุดอย่างลงตัวด้วยสเปกฮาร์ดแวร์ภายในและฟีเจอร์เด็ดๆ ต่างๆ มากมาย อาทิ ระบบระบายความร้อนที่ดี ลำโพงที่ดี แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานระดับหนึ่ง การเชื่อมต่อที่ครบถ้วน ส่วนข้อที่ควรรู้ก็มีเล็กน้อย ก็คือ ความเร็ว SSD ดูน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับสเปกอื่นๆ และในการเล่นเกมแนะนำปรับเป็น Quad HD + ก็พอ เพราะถ้าปรับ Native ของจอ เฟรมเรทจะไม่ลื่นเท่าที่ควร รวมไปถึงไม่มีพอร์ต Thunderbolt 4 เพราะว่าเป็น AMD Notebook นั่นเอง
จุดเด่น ASUS ProArt StudioBook 16 OLED
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามพรีเมียมตามสไตล์ ProArt StudioBook งานประกอบแน่นวัสดุดี
- หน้าจอใหญ่ 16″ ตัวเครื่องเบา 2.4 กิโลกรัม และบางเพียง 19.9 มิลลิเมตร
- ประสิทธิภาพสูงด้วยชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX ที่รองรับในทุกๆ การทำงาน
- การ์ดจอแยกตัวแรง NVIDIA GeForce RTX 3060 Max-P รองรับในการทำงานที่หลากหลาย
- แรมขนาด 32GB และติดตั้ง SSD M.2 NVMe ความจุ 1TB พร้อมรองรับอัปเกรดอีก 1 ตัว
- ได้หน้าจอพาเนล OLED คุณภาพดีเยี่ยมในทุกๆ ด้าน ที่ความละเอียด 4K Ultra HD +
- อุณหภูมิในการใช้งานถือว่าเย็น ไม่ร้อนจนเกินไป แม้ทำงานหนัก และเสียงพัดลมเสียงเบา
- พร้อม I/O ครบถ้วนทั้ง USB-A / USB-C / LAN / HDMI 2.1 / SD Express 7.0 Card Reader
- ฟีเจอร์ปุ่ม ASUS Dial เป็นนวัตกรรมที่สามารถใช้งานได้ง่าย พร้อมรองรับในหลายโปรแกรม
- แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้สูงสุดในโหมดประหยัดพลังงานเกือบๆ 9 ชั่วโมง
- ผ่านมาตรฐานความทนทานระดับ US MIL-STD 810H Military Grade Standard
- มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ใหม่ล่าสุด ใช้งานได้ทันที
- ติดตั้ง Office Home and Student 2021 พร้อมใช้งานตลอดอายุเครื่อง ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
- ประสบการณ์ใช้งานโดยรวมดีมากๆ มีเสถียรภาพสูง ประทับใจในการีวิว
- ประกันเป็น On-site Service ทั่วโลกระยะเวลา 3 ปี พร้อมประกันอุบัติเหตุ
ข้อสังเกต ASUS ProArt StudioBook 16 OLED
- ผลทดสอบความเร็ว SSD น้อยกว่าที่ควรจะเป็นในกลุ่มนี้ช่วงราคานี้
- เมื่อนำไปเล่นเกม แนะนำที่ความละเอียด 2560 x 1600 หรือ 1920 x 1200
- พอร์ต USB-C ไม่ได้มาตรฐานการเชื่อมต่อเป็น Thunderbolt 4
Specification
ASUS ProArt StudioBook 16 OLED (H5600QM) มาพร้อมกับชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX ทรงพลังสูงสุดของค่าย ทำงานความเร็ว 3.3 – 4.6 GHz แบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด แตกต่างกันที่การติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3060 (6GB GDDR6) ค่า TGP 105W ให้ความแรงในการทำงานที่เน้นประสิทธิภาพการประมวลผล 3 มิติ รวมไปถึงเล่นเกมแบบลื่นไหล ส่วนของแรมมีขนาด 32GB DDR4 Bus 3200MHz มีที่เก็บข้อมูลแบบ M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB (รองรับการเพิ่ม SSD อีก 1 ตัวทันที)
หน้าจอขนาด 16″ พาเนลคุณภาพสูง OLED ที่เหนือชั้นกว่า IPS แบบเดิมๆ เน้นการทำงานมืออาชีพที่มากกว่า กับละเอียด 4K Ultra HD + ที่ 3840 x 2400) ให้ความเรียบเนียน ซึ่งมีความละเอียดมากกว่า Full HD + และ Quad HD + แบบชัดเจนมากๆ พร้อมจอภาพได้รับการรับรองความเที่ยงตรงของสีจาก Pantone validated / Calman verified และค่าความผิดเพี้ยนของสี (Delta-E) น้อยกว่า 2 ซึ่งให้ความแม่นยำของสีที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังรองรับการแสดงภาพ HDR ด้วย
พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Wi-Fi 6 (802.11ax) และ Bluetooth 5.2 (Dual band) 2*2 แน่นอนว่าได้ระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ใช้งานได้ทันทีและโปรแกรม Office Home and Student 2021 ฟรีๆ ติดเครื่อง สนนราคาอยู่ที่ 1xx,xxx บาท การรับประกัน On-site Serice ซ่อมฟรีถึงบ้าน ระยะ 3 ปี ที่สำคัญเป็นแบบทั่วโลกอย่าง ASUS Premium Care อีกทั้งมีประกันอุบัติเหตุในปีแรกด้วย Perfect Warranty
ASUS ProArt StudioBook 16 OLED H5600QM-L2911WS ราคา 70,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : AMD Ryzen 9 5900HX (8C/16T & 3.3 – 4.60 GHz)
-
GPU : AMD Radeon 8 + NVIDIA GeForce RTX 3060 (6GB GDDR6)
-
RAM : 32GB DDR4 Bus 3200 MHz (SO-DIM 16GB x 2 )
-
DISPLAY: 16″ OLED HDR 4K UHD+ 60Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 1TB
-
OS : Windows 11 Home
- Software : Microsoft office Home & Student 2019
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
ASUS ProArt StudioBook 16 OLED H5600QR-L2911WS ราคา 79,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : AMD Ryzen 9 5900HX (8C/16T & 3.3 – 4.60 GHz)
-
GPU : AMD Radeon 8 + NVIDIA GeForce RTX 3070 (8GB GDDR6)
-
RAM : 32GB DDR4 Bus 3200 MHz (SO-DIM 16GB x 2 )
-
DISPLAY: 16″ OLED HDR 4K UHD+ 60Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 1TB
-
OS : Windows 11 Home
- Software : Microsoft office Home & Student 2019
- Warranty : 3 Years On-site Service + 1 Year Perfect Warranty
Hardware / Design
ASUS ProArt StudioBook 16 OLED (H5600QM) เป็นซีรีส์ ProArt ซึ่งเป็นโน๊ตบุ๊คเน้นทำงานระดับมืออาชีพที่เน้นสร้างสรรค์จริงจังโดยต้องการการประมวลผลที่หนักหน่วงต่อเนื่อง หรือเรียกว่าประเภท Creator Notebook นั่นเอง โดยตัวเครื่องบางแค่ 19.9 มิลลิเมตร มาพร้อมน้ำหนักเบาที่ 2.4 กิโลกรัม รวมไปถึงแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า Gaming Notebook ที่สเปกคล้ายกัน กับขนาดหน้าจอขอบบาง NanoEdge ขนาด 16″เหนือชั้นกว่าที่พาเนล OLED ความละเอียด 4K Ultra HD + รองรับ HDR
ดีไซน์โดยรวมเน้นความดุดันแข็งแกร่งแบบ Unibody ที่แทบไร้รอยต่อ ด้วยวัสดุเป็นโลหะแมกนีเซียมพร้อมความเรียบเนียนตลอดทั้งตัวเครื่อง อีกทั้งได้สีสันเป็นดำ Star Black สายจริงจัง มีความแข็งแรงทนทานจากโครงสร้างภายใน โดยยังคงไว้ซึ่งการออกแบบที่สวยงาม ด้วยเส้นสายที่ทันสมัยและการตกแต่งเสริมความพรีเมียม ระบบระบายความร้อนที่มีความล้ำหน้าทำให้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพการทำงานที่ยอดเยี่ยมของทุกชิ้นส่วน ด้วยการออกแบบและวิศวกรรมที่เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณภาพของ ASUS ProArt StudioBook จริงๆ
ตัวเครื่อง ASUS ProArt StudioBook 16 OLED นั้นเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง เรียกได้ว่าแทบไม่มีความโค้งเว้าใดๆ ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว ได้ระบบระบายความร้อน ASUS IceCool Pro Cooling System เพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้ดีขึ้น 16% และทำงานได้เงียบขึ้น แม้อยู่ในโหมดการใช้งานเต็มประสิทธิภาพ ช่วยระบายความร้อน ช่วยให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทำงานได้อย่างเสถียร เครื่องไม่ร้อน แม้จะใช้งานเป็นระยะเวลานาน รวมไปถึงขอบด้านหลังนั้นถูกออกแบบเว้นเว้าเป็นอย่างดี พร้อมอากาศเย็นผ่าน โดยมีช่องดูดลมเย็นอีกช่องด้านล่างใต้เครื่อง
อีกทั้งยังมีช่องด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีช่องดูดลมอีกช่องช่วยนำพาอากาศเย็นเข้าไปอีกและขอบฝาหลังก็เว้นเอาไว้คล้ายกับ ROG ด้านหลังด้วยช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่ 4 ช่อง 2 สองพัดลมแบบ 102 ใบพัด ส่วนถ้าจะอัพเกรดหรือทำความสะอาดก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ขันน็อตไม่กี่ตัวจากนั้นค่อยๆ ดึงขึ้น ส่วนพื้นผิวโดยรวมเองก็มีการเคลือบสารให้เป็นรอยนิ้วมือยากอีกด้วย รวมไปรายละเอียดอื่นๆ ก็จะเป็นการกางหน้าได้มากกว่า 145 องศา อีกทั้งส่วนขอบตัวเครื่องด้านหน้ามีการเว้นเอาไว้ให้เปิดฝาได้ง่าย และติดไฟ LED สถานะไว้ด้วย
พร้อมความทนทานระดับ Military Standard 810H ด้วยการผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด เพื่อความมั่นใจเต็มเปี่ยมในทุกสภาพแวดล้อม อาทิ ตกกระแทก สั่นสะเทือน อุณหภูมิสูงต่ำ ฝุ่นและละอองน้ำ สมกับเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานจริงจัง เหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปชัดเจน ผ่านกระบวนการขึ้นรูปด้วยเครื่องจักร CNC ที่ประณีตและสวยงามในหนึ่งเดียว พร้อมด้านในใส่อุปกรณ์รองรับการกระแทกอีกชั้นด้วย เรียกได้ว่ามีความเชื่อมั่นที่สูงกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปในตลาดแน่นอน สำหรับระบบ Windows Hello นั้น รองรับทั้งการสแกนนิ้วที่ปุ่ม Power และสแกนหน้าด้วย IR Camera
ASUS ProArt StudioBook 16 OLED จะอยู่บนพื้นฐานการออกแบบโน๊ตบุ๊คที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ใครจะเอาไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ รวมไปถึงพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด ทั้งจากฟีเจอร์ ดีไซน์และสเปกแรงล้ำกว่าด้วยการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX Studio ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่สำหรับผู้ที่ทำงานทางด้านกราฟิกโดยเฉพาะ จากการที่ใช้การ์ดจอแยก Gaming ในการติดตั้ง แต่ได้มีการปรับแต่งให้ทำงานด้าน Creator ได้ดีขึ้นในทุกๆ มิติ ซึ่งมีความตั้งใจเป็นอย่างดีที่ดูได้จากปุ่ม ASUS Dial เพื่อปรับแต่งผ่านโปรแกรมต่างๆ
Keyboard / Touchpad
ASUS ProArt StudioBook 16 OLED ใช้คีย์บอร์ดได้ปุ่มที่พอดีนิ้ว พัฒนาและออกแบบมาให้ ASUS โดยเฉพาะ พร้อมไฟ LED ช่วยให้ความสว่างในที่มืดหรือแสงน้อย ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกดเข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปสุดๆ โดยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.4 มิลลิเมตร มีความทนทานสูงในการใช้งานต่างๆ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ในการติดตั้งแป้มตัวเลขที่ไม่คับแคบจนเกินไปจากการที่เป็นรุ่นหน้าจอ 16″ และที่โดดเด่น คือ ปุ่มทิศทางที่ออกแบบพื้นผิวที่แตกต่างทำให้เรากดได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย เรียกได้ว่าเป็นคีย์บอร์ดเพื่อการใช้งานแบบมืออาชีพจริงๆ
ทัชแพดเองขนาดใหญ่ดีไซน์แบบแยกปุ่มคลิกซ้ายคลิกขวาและคลิกตรงกลางอย่างชัดเจน สำหรับครีเอเตอร์งาน 3D ให้ความสะดวกมากขึ้น อีกทั้งยังรองรับแรงกดจากปากกา ASUS Stylus หรือ Stylus อื่นๆ ถึง 1024 ระดับ ซึ่งการใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นสะดวกสบาย ปุ่มนุ่มกดง่าย การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก เรียกได้ว่าแทบไม่ต้องมีเมาส์ก็ใช้งานได้ดีเยี่ยม ที่สำคัญมีในส่วนของปุ่มลัด Fn ที่เป็นแถวบนสุดของคีย์บอร์ด ส่วนปุ่ม ASUS Dial ติดตั้งอยู่มุมซ้ายบนของทัชแพดเพื่อใช้งานร่วมกับโปรแกรม Adobe ต่างๆ นั่นเอง
ASUS Dial
นวัตกรรมเฉพาะของทาง ASUS ในรุ่นนี้ ก็คือ ASUS Dial ซึ่งเป็นปุ่มควบคุมเสริมสำหรับสายครีเอเตอร์ ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับโปรแกรมทางด้านครีเอเตอร์ ให้การทำงานสะดวกและมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น Adobe Photoshop, Premiere Pro, Lightroom Classic และ After Effects ใช้งานได้สะดวกเพียงใช้นิ้วคอนโทรลแผงควบคุม เพื่อโปรเฟสชันนอลครีเอเตอร์ ที่ต้องการโน้ตบุ๊กในการทำงานสายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นงาน 3D, แอนิเมชัน, วิศวกร, สถาปัตยกรรม หรือการทำงานหนักหน่วง อาศัยกราฟิกสูงๆ ในการเรนเดอร์งาน
ซึ่งนอกจากจะใช้งานร่วมกับโปรแกรม Adobe ได้แล้ว ด้วยการกดและหมุนเลื่อนซ้ายขวาไปมา (พร้อมปรับแต่งตามการใช้งานผ่านซอฟต์แวร์ ProArt Creator Hub) ยังสามารถใช้งานพื้นฐานต่างๆ ผ่าน Windows 11 Home ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการลดเพิ่มเสียง การปรับความสว่าง การเลื่อาหน้าต่างโปรแกรม การสลับโปรแกรมต่างๆ เป็นต้น เชื่อได้เลยว่ากับฟีเจอร์ ASUS Dial ถ้าได้ลองใช้งานแล้วต้องประทับใจแน่นอน ยิ่งสายการทำงาน Creator เรียกว่าเพิ่มความสนุกสนานในการทำงานยิ่งขึ้นไปอีก
Screen / Speaker
ASUS ProArt StudioBook 16 OLED มีหน้าจอขอบจอบางเฉียบทั้งขอบด้านข้างและด้านบนพร้อมติดตั้งกล้องเว็บแคมและไมโครโฟน 4 ตัว พร้อมระบบตัดเสียงแบบ AI มาพร้อมขนาด 16″ ที่สัดส่วนที่มากกว่าอย่าง 16:10 ความละเอียด 4K Ultra HD + (3840 x 2400 พิกเซล) พาเนลเป็น OLED เครื่องแรกของโลกกับขนาด 16″ ได้ความสว่างสูงสุด 550 nits คุณภาพดีที่สุด มุมมองกว้าง พื้นผิวจอแบบกระจดสีสันสดใส ได้ VESA CERTIFIED Display HDR True Black 500 รวมๆ แล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม รวมๆ แล้วต้องยอมรับว่าทาง ASUS ProArt StudioBook รุ่นนี้นั้นใส่ใจในการออกแบบมาจริงๆ
ภาพสวยสีสด ให้สีสันระดับ DCI-P3 ตามที่ ASUS เคลมคือ 100% ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่ใช้ในวงการภาพยนตร์, ไม่ว่าจะภาพนิ่งหรือเคลื่อนไหวก็สวยสมจริงดุจมีชีวิตด้วยคุณภาพของสีที่ได้การรับรองคุณภาพโดย Pantone Validated ซึ่งเป็นระบบสีที่น่าเชื่อถือที่สุดในโลก เป็นมาตรฐานที่ใช้อย่างแพร่หลายทั้งด้านงานออกแบบ, สถาปัตยกรรมและอีกมากมาย ได้ความสบายตา หลับสบาย ด้วยจอถนอมสายตา ที่ช่วยตัดแสงสีฟ้าถึง 70% จอ OLED ผ่านการรับรองคุณสมบัติเพื่อการถนอมสายตา จากสถาบันชั้นนำ TÜV Rheinland-certified
ทดสอบหน้าจอด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ซึ่งผลการทดสอบให้ขอบเขตความกว้างของสีสัน Gamut เทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB 100%, AdobeRGB 99%, P3 93% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันระดับที่ดีเยี่ยมเหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊คทั้งหมดในตลาด โดยให้ความแม่นยำและเที่ยงตรง ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 550 nit ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คทั่วไป คือ สู้แสงกลางแจ้งได้แบบเหนือชั้น รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพก็สามารถทำได้ดีระดับสตูดิโอ
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องมุมซ้ายล่างเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ 550 nit แต่สำหรับช่องมุมขวาบนจะมีแสงสว่างที่ลดลงระดับ 5% ที่ถือว่าน้อยมาก ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ และค่า Delta-E อยู่ที่ 1.22 เท่านั้น ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่คุณภาพสูงอยู่ขอบตัวเครื่องด้านหน้าที่มุมซ้ายขวา ใช้ลำโพง 2 ตัว ระบบเสียง Harman/Kardon Premium พร้อมด้วย Smart AMP ให้ที่เสียงที่ดัง ผ่านตัวซอฟต์แวร์ ASUS SonicMaster ทั้งในเรื่องของเสียงเบสที่มีน้ำหนักประมาณนึง เสียงกลางที่สมดุล และเสียงแหลมที่ออกมาใสๆ พร้อมทั้งความดังและกังวาลที่มากกว่า ซึ่งหากว่าเพื่อนๆ เป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบรู้สึกได้ พูดเลยว่ามีโน๊ตบุ๊คเพียงไม่กี่รุ่นที่ทำเสียงออกมาดีได้ขนาดนี้ พร้อมระบบเสียง ESS SABRE HiFi Audio DAC + Hi-Res Audio เมื่อเชื่อมต่อด้วยลำโพงหรือหูฟังอีกด้วย
Connector / Thin And Weight
มาดูทางด้านพอร์ตการเชื่อมต่อต่างๆ ซึ่งเครื่องนี้จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีพอร์ตเชื่อมต่อมาให้ครบครับใช้ได้เลยทีเดียว มีทั้ง USB 3.2 Type-A จำนวน 2 พอร์ต USB 3.2 Type-C จำนวน 2 พอร์ต ที่รองรับ DisplayPort และ USB-PD ทำให้แสดงภาพและชาร์จไฟเข้าเครื่องได้ พร้อมช่องต่อหูฟังกับไมค์แบบ Combo ขนาด 3.5 มิลลิเมตร 1 ช่อง, LAN RJ45 และ HDMI 2.1 ที่สามารถต่อจอแยกได้ถึง 4K, 8K @ 120Hz ทีเดียว และโดดเด่นที่สุดก็คือช่อง SD Express 7.0 card reader ความเร็วสูง 985 MB/s ใหม่ล่าสุด รองรับการ์ดจากกล้องโดยเฉพาะ
ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายจะใช้ Bluetooth 5.2 และ Wi-Fi 6 AX (2×2) หรือเรียกว่ามาตราฐาน Wi-Fi ใหม่ที่ดีกว่ารุ่นก่อนๆ ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้มีความสเถียรมากยิ่งขึ้น ส่วนขนาดของตัวเครื่อง 362 x 264 x 19.9 ~ 21.4 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2.4 กิโลกรัม ถือว่าค่อนข้างเบาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ และเมื่อรวมกับอแดปเตอร์ชาร์จไฟขนาด 240 W เข้าไปด้วยจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 3 กิโลกรัมเท่านั้น พอแบกพกพาไปไหนมาไหนได้อยู่ไม่หนักมากจนเกินไปในการทำงาน ถือมือเดียวก็พอได้ หยิบจับไปไหนก็สะดวกทีเดียว
Inside / Upgrade
การแกะเครื่อง ASUS ProArt StudioBook 16 OLED เพื่อที่จะนำมาทำความสะอาดในอนาคตนั้นทำง่ายมาก เพียงแกะน็อตหัว 4 แฉกออกทุกตัว แล้วใช้มือเปล่า ค่อยๆ แงะจากด้านหลังตรงแกนฝาพับตัวเครื่องแล้วไล่ไปตามแนวฝาหลังและแกะแผ่นออกมาทั้งหมด เมื่อแกะออกมาแล้วก็จะเห็นฮาร์ดแวร์หลายๆ ถูกออกแบบจัดระเบียบได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว มีพัดลมขนาดใหญ่ พร้อม ASUS IceCool Pro Cooling system เพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนได้ดีขึ้น 16% และทำงานได้เงียบขึ้น ที่อยู่ในชุดฟินสีดำ หมดกังวลเรื่องฝุ่นที่ติดตรงครีบระบายความร้อนจุดสังเกตที่เปลี่ยนไปคือตัวเครื่องเลือกใช้ฮีทไปป์ 6 เส้น เรียกได้ว่าเอาอยู่กับสเปกแบบนี้แล้ว
ซึ่งหลังจากที่แกะออกมาแล้วนั้นจะเห็นแผ่นสีเทาส่วนของแรมเพื่อกันไฟฟ้าสถิต และในส่วนของฮาร์ดแวร์ที่ใส่ที่เก็บข้อมูลอย่าง SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB แบบ 1TB x 1 พร้อมเพิ่มได้อีก 1 ตัวและทำ Raid ได้เองทันที ส่วนช่องแรมใส่มาแล้วที่ขนาด 32GB โดยมีแรมขนาด 16GB x 2 ติดเครื่องมาเป็นแบบ SO-DIM ซึ่งรองรับการเพิ่มได้สูงสุด 64GB จากที่เป็น ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าคงไม่ต้องอัพเกรดอะไรกันแล้วล่ะ ที่พิเศษและแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ก็คือชุดแผงวงจรของ ASUS Dial นั่นเอง
Performance / Software
ASUS ProArt StudioBook 16 OLED (H5600QM) มาพร้อมกับชิปประมวลผลตัวท็อปในตลาดของ Gaming Notebook บางเบา ของ AMD อย่าง Ryzen 9 5900HS เน้นนำไปใช้งานหนักๆ แต่ก็ควบคุมความร้อนได้ดี ด้วยสถาปัตยกรรม Zen 3 โค้ดเนม Cezanne มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 7 nm ความเร็ว 3.3 – 4.6 GHz แบบ 8 Core/ 16 Thread ร้อนน้อยกว่า ได้ L3 Cache ที่ 16MB มีค่าอัตราการใช้พลังงานสูงสุด (TDP) ที่ 45W สร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่า รองรับได้อย่างสบายๆ และดีที่สุดแน่นอน เรียกได้ว่าแรงกว่าชิปประมวลผลอย่าง Ryzen รุ่นก่อนๆ
สำหรับ AMD Ryzen 9 5900HX แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ เรียกได้ว่าแรงกว่าชิปประมวลผลที่เป็น AMD Ryzen 7 5800H พอตัวแล้ว ส่วนแรมได้ขนาด 32GB แบบ SO-DIM แบ่งออกเป็น 16GB x 2 แถว มาตรฐาน Bus 3200 MHz สนับสนุนการอัพเกรดได้สูงสุดที่ 64GB จากการที่เราเพิ่ม 32GB ไปอีก 2 ตัวนั่นเอง (ถอด 16GB x 2 เดิมออก) พร้อมให้ SSD M.2 NVMe PCIe 3.0 ความจุ 1TB ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 11 Home ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
การ์ดจอเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง AMD Radeon 8 มีความเร็วในการทำงานที่ 2100MHz มาตรฐานแรม DDR4 ขนาด 512MB ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน ซึ่งโดดเด่นจริงๆ จะเป็นเรื่องของการประหยัดพลังงานเมื่อใช้งานเบาๆ ทำให้แบตเตอรี่อยู่ได้ยาวนานทั้งวัน แม้จะเป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้ชิปประมวลผลตัวแรงก็ตามที
อีกทั้งยังมีการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ล่าสุดตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3060 Max-P ที่ต้องบอกว่าแรงกว่า GeForce RTX 2060 รุ่นก่อน จากที่สเปกภายในได้รับการอัพเกรดขึ้น แม้ได้แรมการ์ดจอจะเป็น 6GB GDDR6 เหมือนเดิม เน้นใช้งานกับรุ่นที่เน้นประสิทธิภาพที่ปลดปล่อยความร้อนน้อยลงแต่ก็แรงกว่าเดิม เพราะทาง ASUS เค้า Overclock มาให้จากโรงงานแล้ว จากเทคโนโลยี Dynamic Boost ให้ GPU Clock แรงเหนือชั้นยิ่งกว่า ซึ่งได้ค่า TGP ที่ 105W เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจสมกับเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เปรียบเทียบกับชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 4900H หรือ Ryzen 7 5800HS ก็ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนทีเดียว รวมไปถึงตัวการ์ดจอแยกเองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ของ WD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 1TB (สามารถเพิ่มได้อีกตัว และทำ Raid ได้) แบบ M.2 NVMe PCIe Gen 3 ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับ SSD M.2 ทั่วไปแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 2863MB/s และเขียนที่ 3087MB/s แม้อาจจะไม่ได้เร็วมาก แต่ก็ถือว่าดีกว่ามาตรฐาน SATA 3 แบบเดิมๆ แล้ว
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 6,509 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็น Gaming Notebook สเปกใหม่ล่าสุดจากชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX มีการ์ดจอแยกระดับ Gaming อย่าง RTX 3060 ที่ Dynamic Boost แล้ว ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คปีก่อนๆ มากพอตัว
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมจากการทดสอบด้วยโปรแกรม 3D Mark จากทาง Futuremark ที่พัฒนาและคิดค้นจากบริษัท AMD, Intel, Microsoft, NVIDIA ในส่วนของ Time Spy ทำออกมาน่าสนใจมากๆ ด้วยคะแนนรวม 7,456 เน้นเรื่อง DirectX 12 เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเพื่อมาเสริมข้อบกพร่องทางด้านการทำงานต่างๆ ของการ์ดจอเป็นหลัก ซึ่งผลทดสอบนั้นจะดูว่าแต่ละการ์ดจอนั้นสามารถทำงานเข้าขาได้ดีขนาดไหน ซึ่งนับว่าคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีของการเป็นสเปกเดียวกับ Gaming Notebook ระดับบนจริงๆ
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจ ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด (ปิด V-Sync) แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็ไม่มีอาการช้าหรือหน่วงเลย ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ อยู่ ทั้ง 6 เกมที่เราได้ทำการทดสอบไป จะเห็นว่ามีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้นในระดับที่น่าประทับใจต่อสเปกภายใน ที่จัดว่าเป็นโน้ตบุ๊คตัวแรง อย่างไรก็ตามในการทดสอบนี้เราใช้การปรับความละเอียดในเกมเป็น Quad HD + เพราะให้ภาพที่ละเอียดเพียงพอแล้วในการเล่นเกมจริงๆ และยังช่วยให้ลื่นไหลกว่า Ultra HD + ด้วย
นอกเหนือจากนี้ ยังมี ProArt Creator Hub ซอฟต์แวร์ Utility ที่พิเศษกว่า ProArt StudioBook รุ่นอื่นๆ ซึ่งรวบรวมเอาการควบคุมที่สำคัญต่างๆ มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆ ของระบบ อาทิ การดูสถานะการทำงานของเครื่อง โปรไฟล์ของสีหน้าจอที่เราใช้ การจัดกลุ่มโปรแกรมในการทำงาน แน่นอนว่ามีการปรับแต่ง ASUS Dial ในส่วนนี้ด้วย พร้อมเราสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ในการควบคุมได้ ซึ่งจากการใช้งานปรับแต่งจริงๆ นับว่ามีความยืดหยุ่นสูงมาก
ปิดท้ายด้วยซอฟต์แวร์ Utility อีกตัวอย่า MyASUS ที่เป็นศูนย์รวมการปรับแต่งอื่นๆ ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Link to MyASUS สำหรับการเชื่อมต่อไปยังสมาร์ทโฟน Android หรือ iOS ได้ เพื่อการใข้งานเป็นหน่ึงเดียว ที่ต้องบอกเลยว่าสามารถใช้งานจริงได้ดีมากๆ รวมไปถึงความสามารถอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นจากการอัพเดทในอนาคต นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์คอยตรวจระยะเวลากรับประกันและอัพเดทไดร์เวอร์ได้ครบๆ พร้อมรองรับการตั้งค่าอื่นๆ เพิ่มเติมอีก อย่างที่หาไม่ได้ในโน๊ตบุ๊คทั่วไปแน่นอน
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน ASUS ProArt StudioBook 16 OLED เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ความจุ 5800mAh ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับ 10% แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้วผ่านทาง Microsoft Edge ตรวจสอบผ่านโปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 9 ชั่วโมงโดยประมาณ เรียกได้ว่าน่าประทับใจทีเดียวกับการที่ Creator Notebook ทรงพลัง จอ OLED 16″ 4K UHD + ที่สามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานขนาดนี้
ส่วนเรื่องอุณหภูมิในการใช้งานนั้น ASUS ProArt StudioBook 16 OLED ตรวจสอบผ่านทาง HardwareMonitor เมื่อใช้งานแบบปกติชิปประมวลผลจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 60 องศาเซลเซียส ส่วนการ์ดจอแยกจะอยู่ที่ 30 – 50 องศาเซลเซียสเช่นกัน ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 – 28 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการประมวลผลกราฟิก 3 มิติ หรือเรนดอร์วีดีโอ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้น
ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของตัวเครื่องอยู่ที่ไม่เกิน 93 องศาเซลเซียส และการ์ดจอแยกจะอยู่ที่ 71 องศาเซลเซียสเท่านั้น โดยรวมแล้วมีการจัดการอุณหภูมิได้เป็นอย่างดีมาก ซึ่งเมื่อเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้กลับมา สำหรับเสียงรบกวนในเวลาทำงานนั้นถือว่าทำงานเงียบมากๆ จากการที่เน้นการทำงานเป็นหลัก สมกับ Mobile Workstation โดยมีเสียงรบกวนที่ระดับต่ำกว่า 40 เดซิเบล ในการทดสอบมาตรฐานแม้ว่าจะรีดประสิทธิภาพจาก CPU และ GPU ให้ทำงานเต็มกำลังก็ตาม
Conclusion / Award
ASUS ProArt StudioBook 16 OLED (H5600QM) นั้นถือว่าเป็น Creator Notebook สำหรับการทำงานระดับมืออาชีพเน้นประสิทธิภาพสูงเทียบเท่า Desktop พร้อมความบางเบาพกพาสะดวก พร้อมรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ด้วยแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวยานทั้งวัน และความร้อนที่เกิดขึ้นก็น้อยมากๆ โดยมีน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เมื่อแลกกับความแรง พร้อมได้หน้าจอ 16″ OLED HDR ความละเอียด 4K Ultra HD + ขอบเขตสีกว้าง เรียกได้ว่าใครต้องการโน๊ตบุ๊คหน้าจอที่ที่สุดในตลาดต้องรุ่นนี้เลย และเจ๋งสุดๆ ด้วย ASUS Dial ปุ่มควบคุมเสริมสำหรับสายครีเอเตอร์
การมาพร้อมกับชิปประมวลผล AMD Ryzen 9 5900HX ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด เร่งความแรงได้ด้วย ที่เป็นรุ่นท็อปสุดแล้วของค่าย AMD ซึ่งบอกได้เลยว่าทรงพลังเน้นประสิทธิภาพแบบสุดๆ และการ์ดจอแยกประมวลผล 3 มิติตัวแรงสุดๆ อย่าง NVIDIA GeForce RTX 3060 (6GB GDDR6) พร้อมค่า TGP เร่งสุดที่ 105W สำคัญคือควบคุมความร้อนได้แบบมีเสถียรภาพผ่านชุดระบายความร้อนที่ดีอย่าง ASUS IceCool Pro Cooling system ส่งผลให้ไม่มีความร้อนสะสมเกิดขึ้น การทำงานโดยรวมสเถียรภาพสูง
ด้วยฟีเจอร์ทั้งหมดที่มีทำให้แม้สเปกจะจัดเต็มเหมือน Gaming Notebook เครื่องหนาๆ หนักๆ ก็สามารถจัดการควบคุมอุณหภูมิได้เป็นอย่างดี พร้อมใช้งานแบตเตอรี่ได้อย่างน่าประทับใจ ที่ยาวนานกว่า 9 ชั่วโมงในการใช้งานทั่วไป เรียกได้ว่าให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยมทั้งการทำงานหรือเล่นเกมก็ยังได้ อีกทั้งตัวเครื่องยังมีความแข็งแรงทนทานอีกด้วยทั้งภายนอกและภายใน ดีไซน์ก็ให้ความพรีเมียมเป็นมืออาชีพสุดๆ ลงตัวกับคนทำงานสาย Conten Creator หรือ สถาปนิก วิศวกรสุดๆ
นอกจากนี้ ASUS ProArt StudioBook รุ่นนี้ ยังมอบสมาชิก Adobe Creative Cloud ฟรี เป็นระยะเวลาสาม 3 เดือน ซึ่งผู้ใช้สามารถใช้งานโปรแกรม Adobe ที่สำคัญ อย่าง Photoshop, InDesign ,และ Premiere Rush ในขณะเดียวกันยังได้การจัดเก็บข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ขนาด100 GB, การเข้าถึง Adobe Fonts และบริการอื่นๆ การร่วมมือกันครั้งนี้เป็นการย้ำให้เห็นถึงการทำงานที่ราบรื่นของASUS Dial กับ Adobe Photoshop, Lightroom Classic , After Effects และ Premiere Pro เพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดของผู้ใช้
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS ProArt StudioBook 16 OLED ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Graphic
อีกหนึ่งรุ่นจากทาง ASUS สำหรับหน้าจอแสดงผลของ ProArt StudioBook รุ่นนี้เป็นหน้าจอ OLED ขนาด 16″ บนความละเอียด 4K Ultra HD + ระดับสูง sRGB 100% รองรับ HDR พร้อมรับรองความเที่ยงตรงของสี ให้ช่วงสีค่าความผิดเพี้ยนของสี (Delta-E) น้อยกว่า 2 ซึ่งใช้งานหน้าจอของเราสมบูรณ์แบบด้วยความเรียบเนียนไม่เห็นรอยหยัก ที่สำคัญทำให้เราเปลี่ยนประสบการณ์ใช้งานโน๊ตบุ๊คแบบเดิมๆ ไปตลอดกาล กับฟีเจอร์ปุ่ม ASUS Dial เป็นนวัตกรรมที่สามารถใช้งานได้ง่าย พร้อมรองรับในหลายโปรแกรม Adobe ซึ่งในตอนนี้ยังไม่มีคู่แข่งด้วย
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ ProArt StudioBook โน๊ตบุ๊คสายทำงานระดับสูงเน้นงานมืออาชีพ Mobile Workstation ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน ASUS ProArt StudioBook ตัวนี้ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นเกม ที่สำคัญคือขอบจอบาง ทำให้มิติตัวเครื่องใกล้เคียงพวกจอ 14″ แถมน้ำหนักเบาแค่ 2.4 กิโลกรัมเท่านั้น โดยตัวเครื่องบางเพียง 19.9 มิลลิเมตรเท่านั้น พกพาได้สะดวกมากๆ เทียบกับประสิทธิภาพที่ได้มาถือว่าสุดยอดมากๆ
Best Performance
ASUS ProArt StudioBook รุ่นนี้สเปคเป็น AMD Ryzen 9 5900HX จับคู่มากับ NVIDIA FeGorce RTX 3060 แรมขนาด 32GB + SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB + มี Windows 11 Home การรับประกัน On-site Serice ซ่อมฟรีถึงบ้าน ระยะ 3 ปี ที่สำคัญเป็นแบบทั่วโลก อีกทั้งมีประกันอุบัติเหตุในปีแรก อย่าง ASUS Premium Care ด้วย ในราคาที่ 1xx,xxx บาท เรียกได้ว่าสมราคา งาน 3D, แอนิเมชัน, วิศวกร, สถาปัตยกรรม หรือการทำงานหนักหน่วง อาศัยกราฟิกสูงๆ ในการเรนเดอร์งาน หรือเล่นเกมก็ทำได้ใกล้เคียงกับ Gaming Notebook เลย