Connect with us

Hi, what are you looking for?

Mac Corner

สรุป MacBook Pro และ Apple M1 Pro, M1 Max ใหม่ แรง พอร์ตครบ ราคาเริ่ม 73,900 บาท

MacBook Pro พร้อมชิป Apple M1 Pro, M1 Max ใหม่ที่หักปากกาเซียนด้วยความโปรเต็มแม็กซ์

macbook pro cover

นอกจาก AirPods, HomePod mini และแผนการให้บริการสตรีมมิ่งเพลง Apple Music ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่แล้ว ดาวเด่นของงานคงไม่พ้น MacBook Pro ที่ติดตั้งชิป Apple M1 รุ่นใหม่ทั้งหมด 2 ตัว ได้แก่ Apple M1 Pro, Apple M1 Max ซึ่งแตกต่างจากข่าวลือข่าวหลุดก่อนหน้านี้ว่า Apple จะตั้งชื่อ SoC (System On Chip) ใหม่ของตัวเองว่า Apple M1X อย่างสิ้นเชิง

Advertisement

นอกจาก MacBook Pro รุ่นใหม่ที่เปิดตัวในงานนี้แล้ว ก็ต้องยกไฟสปอตไลท์ให้กับ SoC ใหม่สุดแรงทั้งสองรุ่นที่จะนำมาใส่ใน MacBook Pro ด้วย ซึ่งถ้าดูจากหน้าสเปคในวิดีโอเปิดตัวที่ผ่านมา จะเห็นว่าตัวคอร์ของชิปเปลี่ยนจาก 8 คอร์ แบบแยก 4 คอร์แบบ high-performance และ high-efficiency อย่างละครึ่งเป็น 10 คอร์แล้วจัดสรรปันส่วนในตัว SoC กันใหม่เสร็จสรรพอีกด้วย ซึ่งถ้าไม่กล่าวถึงประสิทธิภาพของชิปนี้แล้วข้ามไป MacBook Pro เลย ก็คงกระไรอยู่ ดังนั้นเราจะมาดูกันว่าชิปทั้งสองรุ่นนี้ประสิทธิภาพดีกว่าเดิมอย่างไรบ้าง 

MacBook Pro 2 size

สรุปความโปรเต็มแม็กซ์ของ Apple M1 Pro, Apple M1 Max ซีพียูหักปากกาเซียนข่าวหลุด

pro max m1

Apple SoC รุ่นใหม่ที่เปิดตัวแล้วนำไปใส่ใน Apple MacBook Pro รุ่นล่าสุดของทางค่ายนั้น จะมีทั้งหมด 2 รุ่น คือรุ่นเริ่มต้นเป็น Apple M1 Pro และรุ่นที่ประสิทธิภาพสูงสุดคือ Apple M1 Max ซึ่งถ้าเรียงประสิทธิภาพของ Apple SoC ในท้องตลาดปัจจุบัน จะเป็น Apple M1 ถัดมาเป็น Apple M1 Pro และพี่ใหญ่สุด Apple M1 Max นั่นเอง

Apple M1 Pro ตัวแรงภาคต่อจาก Apple M1

sum m1 pro system

ชิป Apple M1 Pro จัดเป็น Apple SoC รุ่นอัพเกรดจาก Apple M1 ที่ติดตั้งอยู่ในสินค้ากลุ่มพีซีของ Apple ในตอนนี้ เป็นสถาปัตยกรรม 5nm และได้รับการอัพเกรดกันมาแบบจัดเต็ม ได้ประสิทธิภาพสูงกว่า Apple M1 ตัวดั้งเดิม 70% และ Johny Srouji รองประธานอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ (SVP, Hardware Technologies) ของ Apple ให้รายละเอียดของชิปใหม่ไว้ดังนี้

  • คอร์ของซีพียู – แยกเป็น 2 ชุด ได้แก่ คอร์ประสิทธิภาพสูง (high-performance cores) จำนวน 8 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงาน (high-efficiency cores) อีก 2 คอร์ รวมเป็น 10 คอร์
  • คอร์กราฟฟิค (GPU) – สูงสุดที่ 16 คอร์ แต่จากหน้าสเปคของ MacBook Pro ที่ใช้ชิป M1 Pro จะแยกเป็น 2 สเปค คือ รุ่นเริ่มต้นมี 14 คอร์ ส่วนรุ่นสูงสุดมี 16 คอร์ มี 2,048 execution units, มีความเร็วคำนวน floating-point ที่ 5.2 teraflops ถ้าเทียบประสิทธิภาพเฉพาะ GPU แล้ว ตัว GPU ของ M1 Pro จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า M1 ถึง 2 เท่าทีเดียว
  • Neural Engine – หรือคอร์ Machine Learing ในตัวซีพียูมีจำนวน 16 คอร์ ทุกสเปค
  • Memory bandwidthมีความเร็วรับส่งข้อมูล 200 GB/s ซึ่งรับส่งข้อมูลได้เร็วมาก
  • Media Engine – มี Hardware accelerated รองรับการเข้าและถอดรหัสไฟล์วิดีโอแบบ H.264, HEVC, ProRes และ ProRes RAW และรองรับการสตรีมไฟล์วิดีโอ ProRes ความละเอียด 4K, 8K หลายคลิปพร้อมกันได้
  • Display Engine – ตัวชิปฝัง Display Engine เอาไว้ในตัวเพื่อรองรับการต่อใช้งานหลายหน้าจอพร้อมกัน และมี Thunderbolt I/O หรือชิปควบคุมการทำงานของพอร์ต Thunderbolt ติดตั้งไว้ใน Apple M1 Pro ด้วย
  • หน่วยความจำรวม (Unified Memory) – เริ่มต้นที่ 16GB สั่งปรับแต่งสเปคเพิ่มเป็น 32GB ได้
พี่ใหญ่สุดของตระกูล Apple M1 Max

m1 max sum

สำหรับรุ่นใหญ่สุดของ Apple SoC ที่ทางบริษัทเปิดตัวและนำมาติดตั้งใน MacBook Pro ในตอนนี้จะเป็น Apple M1 Max ซึ่งสเปคเรียกว่าแรงเหลือเชื่อพร้อมสเปคที่อัพเกรดจาก Apple M1 Pro ให้เร็วกว่าเดิมเป็นอย่างมาก ดังนี้

  • คอร์ของซีพียู – แยกเป็น 2 ชุด ได้แก่ คอร์ประสิทธิภาพสูง (high-performance cores) จำนวน 8 คอร์ และคอร์ประหยัดพลังงาน (high-efficiency cores) อีก 2 คอร์ รวมเป็น 10 คอร์
  • คอร์กราฟฟิค (GPU) – มี 32 คอร์ ไม่มีการแยกจำนวนคอร์ GPU เหมือนกับ M1 Pro มี 4,096 execution units, มีความเร็วคำนวน floating-point ที่ 10.4 teraflops ถ้าเทียบประสิทธิภาพเฉพาะ GPU แล้ว ตัว GPU ของ M1 Pro จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า M1 ถึง 4 เท่า
  • Neural Engine – หรือคอร์ Machine Learing ในตัวซีพียูมีจำนวน 16 คอร์
  • Memory bandwidthเพิ่มความเร็วรับส่งข้อมูลเป็น 400 GB/s มากกว่า M1 Pro ถึง 2 เท่า
  • Media Engine – มี Hardware accelerated รองรับการเข้าและถอดรหัสไฟล์วิดีโอแบบ H.264, HEVC, ProRes และ ProRes RAW เช่นกัน แต่มีตัว Engine สำหรับเข้ารหัสวิดีโอ 2 ตัว กับเอนจิ้นสำหรับเข้าและถอดรหัส ProRes อีก 2 ตัวด้วยกัน รวมแล้วมี 4 ตัว สำหรับการเข้าและถอดรหัสวิดีโอ
  • Display Engine – ตัวชิปฝัง Display Engine เอาไว้ในตัวเพื่อรองรับการต่อใช้งานหลายหน้าจอพร้อมกัน เหมือนกับ Apple M1 Pro
  • หน่วยความจำรวม (Unified Memory) – เริ่มต้นที่ 32GB สั่งปรับแต่งสเปคเพิ่มเป็น 64GB ได้ เรียกว่าเป็นชิปของ Apple ที่มีหน่วยความจำรวมมากที่สุดในปัจจุบันนี้

นอกจากนี้ ทาง Apple เองก็จัดการเทียบประสิทธิภาพของตัว SoC ใหม่ของทางบริษัทกับซีพียูแบบ 4 คอร์ และ 8 คอร์ ที่ติดตั้งในโน๊ตบุ๊คสายทำงานที่เป็นคู่แข่งโดยตรงในกลุ่ม โดยโชว์จุดเด่นหลายอย่างด้วยกัน ได้แก่

  • CPU Performance vs. power – Apple เผยว่าคอร์ซีพียูของชิป Apple M1 Pro และ M1 Max ที่ใช้พลังงานเพียง 30 วัตต์เท่านั้น พอเทียบกับซีพียูแบบ 4 คอร์ที่ใช้พลังงานระดับ 40 วัตต์ และ 8 คอร์ ที่ใช้พลังงานระดับ 65 วัตต์ จะเห็นว่า M1 Pro, M1 Max ประหยัดพลังงานกว่าซีพียูทั้งสองแบบเป็นอย่างมาก โดย Apple เคลมว่าประหยัดกว่าถึง 70%
  • GPU performance vs. power – ด้านคอร์จีพียูในตัว M1 Pro, M1 Max พอเอาไปเทียบกับการ์ดจอแยก (Discrete PC laptop graphics) ที่ติดตั้งมาในโน๊ตบุ๊ครุ่นที่นำมาเปรียบเทียบแล้ว จะเห็นว่า Apple SoC นั้นกินพลังงานน้อยกว่าถึง 70% และจีพียูใช้พลังงานต่ำกว่า 100 วัตต์ อีกด้วย
  • การใช้งานโดยไม่เสียบปลั๊ก – ทาง Johny Srouji เคลมเอาไว้ว่าซีพียูทั่วไป เมื่อถอดปลั๊กออกแล้ว ตัวการ์ดจอออนบอร์ดและการ์ดจอแยกจะสลับโหมดเป็นโหมดประหยัดพลังงานและลดประสิทธิภาพของการทำงานของตัวเองลง
    • จากในกราฟจะเห็นว่าเส้น Compact pro PC laptop graphics on battery ที่ Apple นำมาโชว์นั้นจะลดจากเส้นสีเทาอ่อนไปเป็นสีเทาเข้มที่อยู่ด้านล่าง และ Johny Srouji เคลมว่าจีพียูของ Apple M1 Max นั้นทำงานได้เต็มประสิทธิภาพเสมอและแรงกว่าถึง 2.5 เท่า
    • ส่วนของ High-end PC laptop graphics on battery จะเห็นว่าตัวกราฟก็ลดการใช้พลังงานลงเช่นกัน ซึ่ง Johny Srouji ก็เผยว่าตัวจีพียูของ M1 Max สามารถทำงานได้ดีกว่า 3.3 เท่าทีเดียว

m1 size compare

หากเทียบไซซ์ของ Apple SoC แล้ว จะเห็นว่าขนาดของ Apple M1 นั้นมีขนาดเล็กที่สุดในกลุ่ม ถัดมาเป็น M1 Pro และ M1 Max ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นตามประสิทธิภาพและจำนวนคอร์ในตัว

macOS

ด้านซอฟท์แวร์ระบบปฏิบัติการอย่าง macOS เอง ทาง Craig Federighi รองประธานอาวุโสฝ่ายพัฒนาซอฟท์แวร์ (SVP, Software Engineering) กล่าวในงานเปิดตัวว่า macOS ที่ทางทีมปรับแต่งให้ทำงานกับ SoC ใหม่ทั้งสองรุ่นได้ดีขึ้นนั้น สามารถทำงานได้เร็วยิ่งกว่าเดิม เปิดแอพฯ ต่างๆ ได้เรียกว่าเร็วในทันที (instantly) แม้จะเป็นโปรแกรมที่กินทรัพยากรหนักก็ทำงานได้สบายๆ เช่นกัน 

unified memory m1

Unified Memory หรือหน่วยความจำรวม ที่เราอาจจะเข้าใจว่าเป็น RAM ของตัวเครื่องที่ใส่รวมเอาไว้กับชิป Apple M1 Pro, M1 Max ทำหน้าที่เป็นเหมือนแรมส่วนกลางที่ CPU, GPU จะแชร์กันใช้งาน ซึ่งแรมส่วนนี้จะไม่สามารถอัพเกรดในภายหลังได้และต้องสั่งปรับแต่งสเปคกันตั้งแต่สั่งซื้อเครื่องเลย ด้านสเปคจะเป็นแรมแบบ High bandwidth มีค่าความหน่วงต่ำ (Low Latency) เป็นแรม LPDDR5 256-bit ที่ Apple ออกแบบเองเพื่อ SoC ของตัวเองโดยเฉพาะ

โดยตัว macOS นั้นออกแบบให้ใช้งาน Unified memory ในตัว M1 Pro, M1 Max ได้อย่างเต็มที่ ทำให้การเรียกและใช้โปรแกรมนั้นๆ ทำงานได้อย่างรวดเร็ว โดยทาง Craig กล่าวว่าตัว Unified memory, CPU, GPU จะสื่อสารกันโดยตรง ทำให้ไม่มีการหน่วงและรอเปิดโปรแกรมหรือประมวลผลเลย

ml

นอกจากนี้คอร์ ML (Machine Learning) ใน SoC ยังทำงานได้ดีและรวดเร็ว โดยเขาเคลมว่าเมื่อเทียบกับ Intel Core i9 รุ่นสูงสุดที่เคยนำมาติดตั้งใน MacBook Pro แล้ว Apple SoC ทำงานเสร็จเร็วกว่า 3 เท่าทีเดียว 

ความปลอดภัยของ M1 Pro Max system

ส่วนระบบรักษาความปลอดภัย Apple M1 จะมี Hardware-verified secure boot (ระบบ secure boot โดยใช้ฮาร์ดแวร์ตัวเครื่องยืนยัน), Runtime anti-exploitation (Runtime สำหรับป้องกันการเจาะระบบเข้ามายึดเครื่อง) และ Fast in-line encryption (การเข้ารหัสแบบ In-line อย่างรวดเร็ว) ติดตั้งมาให้ในชิปเพื่อเข้ารหัสไฟล์ที่อยู่ใน MacBook Pro ทั้งหมด

ด้านแอพฯ ของ Apple เองนั้นเรียกว่ารันได้อย่างรวดเร็วไม่มีปัญหา และถ้าเป็นแอพฯ จากฝั่ง x86 หรือ Intel ยังมีตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์อย่าง Rosetta 2 ที่ประสิทธิภาพดี ช่วยให้แอพฯ นั้นๆ ทำงานได้ไหลลื่นไม่มีปัญหารบกวนระหว่างใช้งานเลย นอกจากนี้บางแอพฯ ที่ยังไม่ได้รับการแปลงให้เรียบร้อย macOS จะมีตัว Universal สำหรับคอมไพล์แอพฯ นั้นใหม่อีกครั้งให้รันได้แบบ Native เหมือนแอพฯ ปกติในเครื่องอีกด้วย

apps

นอกจากนี้แอพฯ ด้านครีเอทีฟต่างๆ ของ Apple เองก็ได้รับการอัพเดทฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มเข้าไปอีกด้วย โดยฟีเจอร์ที่ทาง Apple อัพเดทได้แก่

  • Logic Pro – เพิ่มฟีเจอร์สร้างเสียงเพลงแบบ Spatial Audio 
  • Final Cut Pro – ฟีเจอร์ Object tracking หรือการจับโฟกัสสิ่งที่เลือก เมื่อใช้งานบน MacBook Pro แล้วจะทำงานได้เร็วกว่าเดิมรวม 5 เท่า และถ้าเรนเดอร์วิดีโอแบบ ProRes จะมี Compressor เข้ามาช่วยให้เรนเดอร์เสร็จเร็วขึ้น 10 เท่า

ซึ่งทาง Apple เสริมว่าไม่ได้จำกัดเอาไว้แต่แอพฯ ของทาง Apple อย่างเดียว แต่รวมไปถึงแอพฯ และ Plugin อื่นๆ ที่มีการปรับแต่งให้เข้ากับ Apple M1 Pro, M1 Max แล้ว โดย Craig ยกตัวอย่างเป็น Lightroom Classic, Cinema 4D, Capture One, Sketch ฯลฯ ซึ่งทางผู้พัฒนาโปรแกรมที่ได้ MacBook Pro ที่ติดตั้ง Apple SoC รุ่นดังกล่าวไปทดลองใช้งานแล้ว ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันสามารถทำงานได้เร็วและลื่นไหลกว่าที่ผ่านมามากจนรุ่นเก่าเทียบไม่ติดเลย

MacBook Pro อัพเกรดเพื่องานระดับโปร เร็วแรงแต่ราคาก็เต็มแม็กซ์

MacBook Pro

MacBook Pro รุ่นใหม่ล่าสุดที่เปลี่ยนมาเป็น Apple M1 Pro และ M1 Max แล้ว ณ ตอนนี้จะมีตัวเลือกทั้งหมด 2 ขนาดด้วยกัน คือ 14.2 นิ้ว และ 16.2 นิ้วให้เลือก แต่ทั้งสองรุ่นจะแชร์ฟีเจอร์หลักๆ ร่วมกันแทบทั้งหมดและมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีระดับมือโปร และติดตั้ง macOS Monterey มาให้ใช้งาน

MacBook Pro new air system

อย่างแรกที่ทาง Apple จัดการอัพเกรดให้กับ MacBook Pro คือระบบระบายความร้อนโดยเป็นพัดลมคู่ที่ดึงอากาศเข้าจากด้านข้างและออกด้านหลังตัวเครื่องทั้งหมด 2 ตัวด้วยกัน ข้อดีของระบบระบายความร้อนใหม่นี้ คือช่วยระบายความร้อนให้ M1 Pro, M1 Max ในตัวเครื่องรักษาอุณหภูมิอยู่ในระดับที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตลอดเวลา

แต่พัดลมจะทำงานเฉพาะตอนรันโปรแกรมหนักๆ เท่านั้น ถ้าเป็นโปรแกรมใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน อย่างการเข้าเบราเซอร์หรือพิมพ์งานทั่วๆ ไป ตัวพัดลมจะแทบไม่ต้องทำงานเลย ซึ่งผู้เขียนคาดว่าซอฟท์แวร์ประเภท Logic Pro, Final Cut Pro หรือพวกการเขียนโปรแกรมต่างๆ ถึงจะทำให้พัดลมของ MacBook Pro ทำงาน

thickness of macbook pro

ซ้ายของ 16.2 นิ้ว ขวาของ 14.2 นิ้ว

ส่วนความหนาและน้ำหนักของตัวเครื่อง จากงานเปิดตัวจะเห็นว่าตัวเครื่องรุ่น 14.2 นิ้ว จะหนาเพียง 15.5 มม. หนัก 3.5 ปอนด์ หรือราว 1.5 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนรุ่น 16.2 นิ้ว จะหนาขึ้นเล็กน้อยเป็น 16.8 นิ้ว หนัก 4.7 ปอนด์ หรือราว 2.1 กิโลกรัม เทียบกับโน๊ตบุ๊คฝั่ง Windows หลายๆ รุ่นแล้ว ต้องถือว่ามิติตัวเครื่องและน้ำหนักจัดว่าเบาใช้ได้

full keyboard

ด้านคีย์บอร์ดต้องถือว่าทาง Apple ได้กรณีจากการทำคีย์บอร์ดแบบ Butterfly และพยายามแหวกแนวด้วยจอ Touch Bar บนคีย์บอร์ดของ MacBook Pro รุ่นก่อนหน้ามาแล้วแต่ผู้ใช้คงจะไม่ปลื้มนัก เลยทำให้ทาง Apple นำ Magic Keyboard ทั้งตัวมาใส่เป็นคีย์บอร์ดของ MacBook Pro แทน ซึ่งรวมถึงปุ่ม Touch ID ตรงมุมบนขวามือของคีย์บอร์ดด้วย โดยมีปุ่มจริง (Physical keys) มาแทน Touch Bar เลย และเป็นปุ่มแบบ Tactile ของ Mechanical Keyboard ที่ผู้ใช้นิยมใช้งานกัน พร้อมไฟ LED Backlit ที่ตัวอักษรบนปุ่มเช่นเดิม ส่วน Touchpad จะเป็นแบบ Force Touch สำหรับใช้งานกับแอพฯ ที่รองรับฟีเจอร์นี้ด้วย

ส่วนพอร์ตด้านข้างตัวเครื่อง หากผู้ใช้คนไหนมี MacBook Pro รุ่นเก่าอยู่จะจำได้ว่าทาง Apple เปลี่ยนพอร์ตที่ติดตั้งเอาไว้ด้านข้างตัวเครื่องมาใช้พอร์ต Thunderbolt จำนวน 2-4 พอร์ต ตั้งแต่ปี 2016 ที่ผ่านมาแล้ว แต่โมเดลใหม่ล่าสุดนี้ ทาง Apple เลือกเติมพอร์ตสำคัญที่ผู้ใช้มักใช้งานกลับมาให้หลายพอร์ตด้วยกัน ได้แก่

  • พอร์ตฝั่งซ้ายมือจากซ้าย : พอร์ตปลั๊กแม่เหล็ก MagSafe 3, Thunderbolt 4 x 2 ช่อง, ช่องหูฟัง 3.5 มม. รองรับหูฟังที่มีค่าความต้านทานสูง
  • พอร์ตฝั่งขวามือจากซ้าย : SDXC Card reader, Thunderbolt 4, HDMI
  • การเชื่อมต่อไร้สาย – เชื่อมต่อ Wi-Fi 6 มาตรฐาน 802.11ax รองรับ Bluetooth 5.0

โดย MagSafe นี้จะเป็นเวอร์ชั่นใหม่โดยเป็นหัว MagSafe to USB-C และต่อเข้ากับปลั๊กของ MacBook Pro อีกครั้งหนึ่ง และเจ้าของเครื่องก็เลือกชาร์จได้ว่าต้องการใช้ MagSafe หรือใช้ Thunderbolt 4 ชาร์จแบเตตอรี่ให้เครื่องก็ได้ ซึ่งถ้าใครใช้งาน MacBook มานานระยะหนึ่งแล้ว จะจำได้ว่าพอร์ต MagSafe นั้นเป็นพอร์ตชาร์จแบตเตอรี่ที่ดีรุ่นหนึ่ง เนื่องจากตัวปลั๊กจะดูดติดกับตัวเครื่องด้วยแม่เหล็กและให้กำลังการชาร์จที่ดีทีเดียว และเมื่อเกิดอุบัติเหตุเวลาใครมาสะดุดสาย MagSafe ก็จะหลุดไปแต่ตัวสายและไม่ลาก MacBook Pro ให้กระแทกพื้นด้วย

ด้านการเชื่อมต่อหน้าจอแยก MacBook Pro รุ่นใหม่นี้เรียกว่าจัดเต็มทีเดียว โดย Apple เผยว่าถ้ารุ่นที่ใช้ Apple M1 Pro จะเชื่อมต่อหน้าจอ Pro Display XDR พร้อมกันได้ 2 จอ แต่ถ้าเป็น Apple M1 Max จะต่อ Pro Display XDR ได้ 3 จอ กับทีวีความละเอียด 4K อีกหนึ่งจอและทำงานได้พร้อมๆ กัน เรียกว่าประสิทธิภาพของ Apple SoC ใหม่นี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก

new monitor

ส่วนขอบหน้าจอใหม่ “Liquid Retina XDR” ของ MacBook Pro ทาง Apple จัดการบีบขอบหน้าจอให้บางลงจนเหลือ 3.5 มม. เทียบแล้วบางกว่ารุ่นเดิม 24% และขอบบนของหน้าจอก็บางลงเหลือ 3.5 มม. ซึ่งบางกว่ารุ่นเดิมถึง 60% ด้วยกัน และติดตั้งกล้องหน้า FaceTime HD เอาไว้เช่นเดิมและจัดการดัน Control bar ขึ้นไปจนอยู่ระนาบระดับเดียวกับกล้องหน้าเพื่อให้เห็นคอนเทนต์บนหน้าจอได้มากยิ่งขึ้น

สำหรับขนาดหน้าจอ ถ้าติดตามข่าวหลุดมาอย่างต่อเนื่องต้องถือว่าข้อมูลนี้ถูกต้องเพราะตัวเครื่องจะมีขนาด 14.2 นิ้ว ความละเอียด 3024×1964 พิกเซล มีเม็ดพิกเซลบนหน้าจอ 5.9 ล้านพิกเซล ส่วนรุ่น 16.2 นิ้ว มี 3456×2234 พิกเซล มีเม็ดพิกเซลบนหน้าจอ 7.7 ล้านพิกเซล ให้ความละเอียดคมชัดยิ่งกว่าหน้าจอรุ่นที่แล้ว

 

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ที่หลายคนต้องการให้ใส่มาใน MacBook Pro มาตลอดอย่าง ProMotion ที่ปรับค่า Refresh Rate หน้าจอสูงขึ้นหรือต่ำลงตามแอพฯ ที่กำลังใช้งานอยู่ โดยตัวเครื่องจะจัดการปรับความลื่นไหลบนหน้าจอให้โดยอัตโนมัติตามความเหมาะสมของคอนเทนต์ โดยปรับขึ้นเมื่อต้องการความลื่นไหลสูง หรือปรับลงเพื่อประหยัดพลังงานได้ด้วย

เลือก refreshrate

และในเมื่อเป็น MacBook Pro ที่เอาไว้ทำงานคอนเทนต์ต่างๆ แล้ว Apple ก็ไม่ล็อคให้ใช้ ProMotion ตลอดเวลา โดยเปิดให้ปรับตั้งค่า Refresh Rate ที่ต้องการได้ด้วย จะเห็นว่าเลือกได้ตั้งแต่ 60, 59.94, 50,48, 47.95 Hz ได้ตามการใช้งานเลย รวมทั้งหน้าจอ

mini led

ส่วนรายละเอียดของ Liquid Retina XDR จะเป็นหน้าจอ Mini-LED แบบเดียวกับของ iPad Pro โดยทาง Apple เคลมว่าหน้าจอนี้แสดงผลได้ 1 พันล้านสี มี Local Dimming ความสว่างปกติทั่วหน้าจอ 1,000 nits เร่งได้สูงสุด 1,600 nits ค่า Contrast Ratio ที่ 1,000,000:1 สามารถตัดต่อแต่งภาพและคอนเทนต์ที่เป็น HDR ได้เลย

face time

ด้านความละเอียดของกล้องหน้า ยังเป็นกล้อง FaceTime HD ธรรมดาไม่ได้เป็นกล้องสแกนใบหน้า TrueDepth แบบใน iPhone (คาดว่าเพราะมี Touch ID ติดตั้งมาให้แล้วจึงไม่ใส่มาซ้ำซ้อนกัน) มีความละเอียด 1080p f/2.0 ติดเลนส์แบบใหม่ซ้อน 4 ชั้น

computational

โดยจุดเด่นของกล้อง FaceTime HD ใหม่นี้จะรับแสงในที่แสงน้อยได้ดีกว่าเดิม 2 เท่า และการโทร FaceTime จะเป็น Computaional video ที่ให้แสง, สี และภาพให้ดีขึ้นกว่าเดิม จะเห็นว่าทาง Apple ใส่ฟีเจอร์ Auto white balance, Auto exposure และ Local tone mapping ที่ช่วยปรับแสงสีในภาพให้สมจริง และมี Smart HDR อีกด้วย ทำให้สีผิวและภาพโดยรวมสวยงามขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าใครใช้ FaceTime ติดต่อกับเพื่อนหรือคนใกล้ตัวที่ใช้ MacBook หรือ iPhone ด้วยกันก็คาดหวังเรื่องความสวยงามได้

ไมค์ใหม่ เสียงดีขึ้น

ส่วนไมโครโฟนของ MacBook Pro จะเป็นไมโครโฟนระดับ Studio โดย Apple เคลมว่าไมค์ใหม่นี้จะลดเสียงรบกวนรอบๆ ลง 60% ทำให้บันทึกเสียงเครื่องดนตรีและเสียงร้องได้ดีกว่าเดิม

speaker

สำหรับลำโพงตัวเครื่องจะมีทั้งหมดรวม 6 ตัว แยกเป็น Tweeter x 2 ตัว (สี่เหลี่ยมสีฟ้าด้านบนในภาพ) และลำโพง Woofer x 4 ตัว (วงรี 4 วงด้านล่าง) ซึ่ง Apple เคลมว่าทวีตเตอร์นี้ปรับแต่งให้ใหญ่กว่าเดิม 2 เท่า ให้เสียงสเตจเคลียร์กว่าเดิม และไดอะแฟรมของ Woofer ทั้ง 4 ตัวก็ปรับให้ใหญ่ขึ้น ทำให้แรงปะทะเสียงกับอากาศดีกว่าเดิม โดยเคลมว่าเสียงเบสจะหนักแน่นขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ 80% ทำให้เสียงเพลงฟังได้เต็มอิ่มขึ้น ซึ่ง MacBook Pro ทั้ง 2 ขนาดจะได้ลำโพงทั้ง 6 ตัวเหมือนกันทั้งคู่ และรองรับ Spatial Audio อีกด้วย

เมื่อเปลี่ยนมาเป็นชิป M1 Pro, M1 Max แล้ว ทาง Apple ก็เคลมประสิทธิภาพเช่นกันว่า MacBook Pro ขนาด 14.2 นิ้วใหม่นี้เมื่อเทียบกับรุ่นเก่าที่ติดตั้งซีพียู Intel Core i7 อยู่ พลังประมวลผลของ CPU จะดีกว่าเดิม 3.7 เท่า, ด้าน Graphics ถ้าเป็นชิป M1 Pro จะดีกว่เาดิม 9 เท่า และรุ่น M1 Max รีดไปได้ 13 เท่าจาก Intel Core i7 ส่วน ML performance (Machine Learning) ตัว Apple SoC จะดีกว่า Intel ถึง 11 เท่าทีเดียว

ทางรุ่น 16.2 นิ้ว ที่ใช้จำนวนคอร์ซีพียูเท่ากับรุ่น 14.2 นิ้ว แต่คอร์จีพียูเยอะกว่า เมื่อเทียบกับการ์ดจอแยก AMD Radeon Pro 5600M ใน MacBook Pro 16 นิ้วรุ่นก่อนหน้าแล้ว ชิป M1 Pro จะทำงานได้ดีกว่า 2.5 เท่า และ M1 Max ดีกว่าถึง 4 เท่า และ ML performance เมื่อเทียบกับ Intel Core i9 ใน MacBook Pro 16 นิ้วรุ่นก่อนจะประมวลผลได้ดีกว่าเดิม 5 เท่า จัดว่า Apple SoC ใหม่นี้ประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมอย่างชัดเจน ส่วน SSD ที่ติดตั้งมาในเครื่องจะเป็นรุ่นใหม่และรับส่งข้อมูลได้เร็วมากถึง 7.4 GB/s ทีเดียว

ด้านระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่ ก็ต้องถือว่าทำได้ดีทีเดียว โดยรุ่น 14.2 นิ้ว จะใช้งานต่อเนื่องได้นานสุด 17 ชั่วโมง และรุ่น 16.2 นิ้วได้ 21 ชั่วโมง และถ้าช่างภาพที่นำเครื่องไปใช้งานนอกสถานที่และไม่ได้ต่อปลั๊ก ถ้าใช้โปรแกรม Lightroom Classic ทำงานแล้ว จะใช้แต่งภาพได้นานกว่าเดิม 2 เท่า

fast charge

นอกจากนี้ Apple ยังใส่ฟีเจอร์ชาร์จเร็วมาให้ด้วย โดยเคลมไว้ว่าเมื่อชาร์จ 30 นาที จะได้แบตเตอรี่กลับมา 50% ทำให้เราใช้งานได้นานกว่าเดิม ส่วนบอดี้อลูมิเนียมของตัวเครื่องทำจากอลูมิเนียมที่รีไซเคิลมาแล้ว เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม

สเปคที่ Apple เปิดให้ลูกค้าปรับแต่ง MacBook Pro ใหม่ได้ตามต้องการ แต่ราคาก็เต็มแม็กซ์เช่นเดิม

14 inch pricing

เชื่อว่าผู้ใช้หลายๆ คน หลังจากดูงานเปิดตัวไปแล้วก็คงจะอยากเป็นเจ้าของ MacBook Pro รุ่นใหม่นี้แน่ๆ โดยราคาตั้งที่หน้าเว็บไซต์ Apple Thailand ในตอนนี้ จะเห็นว่ารุ่น 14 นิ้วรุ่นเริ่มต้นกับตัวท็อปจะแตกต่างกันที่จำนวนคอร์ของ M1 Pro, ความจุของ SSD ที่ติดตั้งมาให้ และกำลังชาร์จของปลั๊ก MagSafe ที่แถมมาให้ในกล่อง ส่วนนอกจากนั้นจะเหมือนกันทั้งหมด แต่ราคาต่างกัน 16,000 บาท โดยมีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้

  • รุ่นเริ่มต้นราคา 73,900 บาท – ติดตั้ง Apple M1 Pro รุ่นซีพียู 8 คอร์ จีพียู 14 คอร์ และ SSD 512GB ได้ MagSafe 67 วัตต์
  • รุ่นสูงสุดราคา 89,900 บาท – ติดตั้ง Apple M1 Pro ตัวเต็ม มีซีพียู 10 คอร์ จีพียู 16 คอร์ และ SSD 1TB ได้ MagSafe 96 วัตต์ 

จะเห็นว่าสเปคจะต่างกันเล็กน้อย จากมุมของผู้เขียนเห็นว่า MacBook Pro ตัวเริ่มต้นนั้นจะเหมาะกับนักเรียนนักศึกษาที่ทำงานอาร์ต, วาดรูปแต่งภาพ ตัดต่อวิดีโอเพื่อทำพรีเซนต์ส่งอาจารย์ รวมไปจนถึงฟรีแลนซ์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์ก็สามารถใช้งานได้สบายๆ ส่วนตัวท็อปจะเหมาะกับคนที่เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์และช่างภาพที่รับงานระดับจริงจัง ต้องการเครื่องประสิทธิภาพสูงสักหน่อยก็เลือกตัวนี้ไปใช้งานได้เลย

14 inch max custom

ส่วนถ้าใครอยากอัพสเปคให้แรงที่สุดเท่าที่ Apple เปิดให้อัพเกรดรุ่น 14.2 นิ้วได้ จะมีตัวเลือกเป็น Apple M1 Max รุ่นซีพียู 10 คอร์ กับ จีพียู 32 คอร์, 64GB Unified memory, 8TB SSD ได้เลย แต่ราคาจะทะยานขึ้นไป 208,900 บาท ถ้าคิดจากรุ่นสำเร็จรูปราคาสูงสุด ราคาจะสูงขึ้น 119,000 บาททีเดียว

16 inch pricing

ด้านรุ่น 16.2 นิ้วจะถือว่าสเปคไม่ต่างอะไรกันมากนัก อย่างมากสุดคือรุ่นเริ่มต้นที่ราคาเท่ารุ่นสูงสุดของ 14.2 นิ้ว Apple จะติดตั้ง SSD ความจุ 512GB มาให้ และถ้าอัพเกรดอีก 7,000 บาทมาเป็นรุ่นกลางราคา 96,900 บาท จะเพิ่ม SSD เป็น 1TB และใช้ซีพียู Apple M1 Pro แบบ ซีพียู 10 คอร์ และ จีพียู 16 คอร์เหมือนกัน

แต่รุ่นประกอบสำเร็จรูปสเปคสูงสุดจัดเป็นตัวไฮไลต์และเป็นรุ่นเดียวที่ติดตั้ง Apple M1 Max มาให้จากโรงงาน มี Unified Memory 32 GB และ SSD 1TB และราคาอยู่ที่ 124,900 บาท เพิ่มจากรุ่นกลางมา 28,000 บาท แพงกว่ารุ่นเริ่มต้นของ 16.2 นิ้วอยู่ 35,000 บาท

16 inch max custom

ส่วนการปรับแต่งสเปค MacBook Pro 16.2 นิ้วให้เต็มประสิทธิภาพ โดยเลือกจากรุ่นที่เป็น Apple M1 Max แล้ว จะมีให้เพิ่มเพียง Unified Memory เป็น 64GB และ SSD เพิ่มความจุเป็น 8TB และได้ราคาจบที่ 215,900 บาท จัดว่าราคาสูงขึ้นกว่าเดิม 91,000 บาท ซึ่งถ้าใครใช้งานหนักอย่างการเขียนโปรแกรม, แต่งภาพตัดต่อวิดีโอระดับโปรดักชั่นเฮ้าส์หรือทำหนังสั้น รวมไปถึงคนที่เรนเดอร์โมเดล 3D CG แบบจริงจัง การอัพสเปคเครื่องมาระดับนี้ก็น่าจะตอบโจทย์การใช้งานของอย่างแน่นอน

final cut

สุดท้าย ผู้เขียนก็ขอย้ำเรื่องการเลือกรุ่นให้เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันของเราเช่นเดิม ซึ่งโดยส่วนตัวผู้เขียนที่มีโอกาสได้ทดลองใช้ MacBook Air M1 มา ก็เชื่อว่า M1 Pro, M1 Max จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิมอย่างแน่นอน แต่ถ้าใครไม่ได้ใช้งานหนักมาก อาจจะแค่ดูหนังฟังเพลง มีการตัดต่อวิดีโอหรือแต่งภาพบ้างก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมา MacBook Pro ก็ได้ หรืออาจจะเลือกแค่รุ่นประกอบสำเร็จรูปตัวเริ่มต้นขนาด 14.2 นิ้วก็ถือว่าเพียงพอ

ยกเว้นครีเอเตอร์ที่ต้องใช้กำลังประมวลผลของซีพียูที่หนักหน่วงอย่างต่อเนื่อง จะใช้ประโยชน์จากระบบปรับแต่งสเปค เลือกเพิ่มสเปคอีกเล็กน้อยให้ตอบโจทย์การใช้งานแต่ประหยัดงบประมาณเอาไว้อุดหนุนโปรแกรมแท้หรืออุปกรณ์เสริมที่จำเป็นสำหรับการใช้งานก็จะมีประโยชน์อย่างแน่นอน


บทความที่เกี่ยวข้อง

Share image Edit Name 3ipadprom1

apple cover

ipad pro cover

Click to comment
Advertisement

บทความน่าสนใจ

Accessories review

ถ้าคุณเป็นครีเอเตอร์ Lexar Portable SSD SL400 คือไอเท็มสำคัญควรมีติดกระเป๋า! ในวงการหน่วยความจำแล้ว Lexar ก็เป็นผู้ผลิตหน่วยความจำระดับโลกซึ่งมีสินค้าหลากหลายแบบให้เลือกใช้ เช่น Lexar Portable SSD SL400 สำหรับครีเอเตอร์ยุคใหม่เจ้าของ iPhone 15 Pro และ 16 Pro Series ได้ถ่ายคลิปเก็บไอเดียสร้างสรรค์ไว้ทำงานต่อได้หรือพกคู่มือถือ Android...

Mac Corner

ขึ้นชื่อว่าเป็นไอโฟนเป็นใครอยากได้ ว่าด้วยราคาเครื่องจะจ่ายเงินสดรอบเดียวก็ยังได้แต่ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องใช้เงินก้อนเมื่อไหร่ หลายคนจึงเลือกวิธีผ่อนไอโฟนทีละงวดไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ 10 ถึง 30 เดือนก็มี ตามที่ร้านค้ากับธนาคารเจ้าของบัตรจะทำข้อตกลงกันไว้ ทำให้ลูกค้าได้เปลี่ยนมือถือเครื่องใหม่ได้ง่ายขึ้น และยังไม่รวมแคมเปญอื่นๆ จาก Apple กับตัวแทนจำหน่ายแต่ละเจ้าเอามาเป็นจุดจูงใจเพิ่มเติมอีกด้วย ข้อดีของการจ่ายเงินผ่อน นอกจากไม่ต้องลงเงินก้อนครั้งเดียวแต่เฉลี่ยจ่ายไปเรื่อยๆ จนครบได้แล้ว ยังมีเครื่องมือทางการเงินอีกหลายอย่างเข้ามาช่วยแบ่งเบาผู้ใช้ได้อีกมาก ไม่ว่าจะใช้แต้มในบัตรเครดิตหักลดราคาเครื่องก่อนผ่อนชำระได้, กดส่งโค้ดเอาแต้มกับเงินคืนไว้ใช้ในโอกาสอื่นได้ไม่พอ ในยุคนี้บางร้านค้ายังให้ผ่อนด้วยบัตรประชาชนใบเดียวได้อีก เป็นทางเลือกเพื่อคนไม่มีบัตรเครดิตแต่มีเงินในกระเป๋าแบ่งจ่ายค่าเครื่องได้สะดวกไม่แพ้กัน Advertisement ผ่อนไอโฟนวิธีไหนได้บ้าง?...

Mac Corner

พอ Apple เปิดตัว iPhone 16 Series เปิดตัว iPhone 15 ราคาก็ถูกลงตามกลไกการตลาด หลีกทางให้สินค้ารุ่นใหม่และเคลียร์สต็อกสินค้าเก่าไปด้วย ถึงจะตกรุ่นแล้วแต่ถ้าเป็นผู้ใช้ทั่วไปเน้น Social network, ถ่ายวิดีโอเก็บภาพความทรงจำและเล่นเกมบ้าง ไม่เน้น Apple Intelligence (AI) ตามสมัยนิยมเอาความแรงตัวชิปเซ็ตเข้าว่า ก็พูดได้ว่าราคาไอโฟน 15 ตอนนี้ก็คุ้มดีแล้วใช้เป็นมือถือเครื่องหลักไปได้อีกหลายปีก่อนจะหมดรอบการอัปเดต iOS...

Accessories review

VOLTME Revo 140 กับ VOLTME RUGG CTC 100W คอมโบสายและอะแดปเตอร์สุดเจ๋ง ชาร์จได้หมดทั้งโน๊ตบุ๊ค, แท็บเล็ตและมือถือ!! ถ้าเปิดกระเป๋ามานอกจากโน๊ตบุ๊คแล้ว หลายคนก็มีแท็บเล็ตกับสมาร์ทโฟนติดกระเป๋ากันแน่ๆ ดังนั้นอะแดปเตอร์อย่าง VOLTME Revo 140 กับสายชาร์จ VOLTME RUGG CTC 100W เลยเป็นไอเท็มคู่สำคัญควรมีติดกระเป๋าเอาไว้ให้อุ่นใจ ยิ่งใครใช้โน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงหรือ MacBook...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    Always Active

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก