HyperX Cloud II Wireless + 7.1 เป็นการกลับมาอีกครั้ง สำหรับหูฟังเกมมิ่งที่เป็นระดับตำนาน ด้วยยอดขายถล่มทะลาย ที่ครั้งนี้พลิกโฉมให้กลายมาเป็นหูฟังเกมมิ่งไร้สาย ที่ยกระดับความเทพ พร้อมรองรับระบบเสียง 7.1 ซึ่งออกมาตอบโจทย์ให้กับคอเกมแนว FPS หรือแอ็คชั่นชูตติ้งโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้การเล่นเกมสนุกขึ้น และมีโอกาสสร้างความได้เปรียบในการเล่น พร้อมทั้งเสียงที่คมชัดและสมจริง มาในสไตล์ของหูฟัง Cloud ดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมและฮอตสุดๆ กับการถอดแบบพันธุกรรมอันโดดเด่นมานี้ จะทำให้คุณชื่นชอบเพียงใด ไปดูในรีวิวนี้กันได้เลยครับ
หูฟังเกมมิ่ง HyperX Cloud II Wireless เป็นหูฟังที่ได้รับการสืบทอดความเป็นเกมมิ่งโดยตรง จากรุ่นพี่ที่สร้างความประทับใจให้กับเกมเมอร์ทั่วโลกมาแล้ว อย่าง Cloud และ Cloud II ด้วยคุณภาพเสียงที่เร้าใจ ไดรเวอร์ขนาดใหญ่ และการสวมใส่ที่สบาย โดยที่ Cloud II Wireless นี้ ถูกจัดวางฟังก์ชั่นต่างๆ รวมถึงการมใส่ฟีเจอร์สำคัญ ให้รองรับการเล่นเกมและความบันเทิงได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเป็นหูฟังแบบ Close cup ขนาดกลาง เหมาะกับศีรษะคนเอเซีย ปรับขยับได้เล็กน้อย ครอบหูฟังนุ่มนวล และมี ไดรเวอร์ขนาด 53mm ในแบบ Neodymium ให้คุณภาพเสียงที่ดี และที่สำคัญยังรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย เพื่อการใช้งานได้อย่างคล่องตัวนั่นเอง และแม้ว่าจะเป็นแบบไร้สาย มีแบตฯ ในตัว แต่น้ำหนักก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เพราะอยู่ที่ประมาณ 300 กรัมเท่านั้น ไม่ต้องกังวลว่าจะใหญ่เทอะทะ และหนักจนไม่สบายศีรษะ
จุดเด่น
- น้ำหนักเบา สวมใส่สบาย
- ครอบหู Earcup นุ่ม กันเสียงรบกวนได้ดี
- ระบบเสียงรอบทิศทาง เล่นเกมแนว Battle Royale สนุกขึ้น
- ไมโครโฟนถอดได้ ปรับได้อิสระ
- เชื่อมต่อแบบไร้สาย เคลื่อนไหวสะดวก
ข้อสังเกต
- ดีไซน์มาบนพื้นฐาน Cloud รุ่นดั้งเดิม
- หมุนครอบหูไม่ได้ คล้องคอไม่สะดวก
ราคา: ประมาณ 4,890 บาท
Specification
- Driver: Dynamic, 53mm with neodymium magnets
- Type: Circumaural, Closed back
- Frequency response: 15Hz–20kHz
- Impedance: 60 Ω
- Sound pressure level: 104dBSPL/mW at 1kHz
- T.H.D.: ≤ 1%
- Weight: 300g
- Weight with mic: 309g
- Cable length and type: USB charge cable (0.5m)
- Battery life2: 30 hours
- Wireless Range3: 2.4 GHz
- Up to: 20 meters
- Element: Electret condenser microphone
- Polar pattern: Bi-directional, Noise-cancelling
- Frequency response: 50Hz-6.8kHz
- Sensitivity: -20dBV (1V/Pa at 1kHz)
Unbox
มาเริ่มต้นกันที่แพ็คเกจภายนอก ตัวกล่องเป็นสไตล์แบบใหม่ ในช่วงครึ่งปีหลังของ 2020 ที่ผ่านมา กับโทนสีขาว-แดง ที่ดูสะอาดตา หน้ากล่องมาพร้อมกราฟิกรูปหูฟัง ให้เห็นอย่างชัดเจน พร้อมกับฟีเจอร์พิเศษที่มีมาในรุ่นนี้ ที่เพิ่มเข้ามาให้เห็นก็คือ Wireless + 7.1 ซึ่งบ่งบอกคุณลักษณะได้อย่างชัดเจน ว่าเป็นหูฟังไร้สาย และรองรับระบบเสียง 7.1 นั่นเอง
ส่วนด้านข้างกล่องก็จะเป็นรายละเอียดฟีเจอร์สำคัญบางส่วน ระบุเอาไว้ ซึ่งในแง่ของคนที่ชอบการดูข้อมูลข้างกล่อง ก็พอจะเอามาใช้ในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
เมื่อเอามาเทียบกับกล่องของหูฟังเกมมิ่ง HyperX Cloud Alpha S จะเห็นได้ว่า แทบไม่ได้ต่างจากกันมากนัก เพราะเป็นโทนสีเดียวกัน แต่ Cloud II นั้นใส่โทนแดงมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นถึงความสดใหม่ของผลิตภัณฑ์ปีนี้
มาถึงการแกะกล่องกันบ้าง ด้านในของกล่องมาพร้อมกันกระแทกแบบใส ที่ช่วยเซฟตัวหูฟังให้ปลอดภัย รวมถึงชิ้นส่วนที่เป็นองค์ประกอบเสริม ซึ่งอยู่ในกล่องอย่างแน่นหนาเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น ไมโครโฟนหรือ USB Receiver ก็ตาม
เมื่อแกะกันกระแทกที่เป็นพลาสติกใสออก จะมีของในกล่อง ประกอบด้วย หูฟัง Cloud II Wireless, Manual, USB Charge, USB receiver และ Microphone
ตัวหูฟังแพ็คมาเป็นอย่างดี และมีพลาสติกปิดด้านข้าง ป้องกันไม่ให้เป็นรอย ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก เรียกว่าประมาณฝ่ามือเท่านั้น
ไมโครโฟนเป็นแบบถอดได้ Detachable และยังปรับรูปทรงให้เข้ากับปากของผู้ใช้ ตรงปลายดีไซน์มาเป็นอย่างดี
และของที่มีมาให้ในกล่องก็คือ คู่มือที่เป็นแผ่นกระดาษ บอกรายละเอียดการใช้งานและฟังก์ชั่นบนหูฟังมาครบถ้วน ด้านล่างเป็นตัว USB สำหรับรับส่งสัญญาณแบบไร้สาย และสุดท้ายคือ สายชาร์จไฟให้กับหูฟัง โดยเป็นแบบ USB Type-A to Type-C
Design
มาว่ากันที่หน้าตาและการออกแบบหูฟัง Cloud II Wireless รุ่นนี้กันก่อน เรื่องของดีไซน์เรียกว่าแทบจะถอดแบบมาจาก Cloud รุ่นแรกๆ เลยทีเดียว มีปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
บอดี้หลักมาในโทนสีดำ ตัดด้วยสีแดงบริเวณก้านหูฟัง และโลโก้ HyperX ซึ่งตัดกันได้ลงตัวทีเดียว แต่ถ้าใครเป็นแฟนหูฟังเกมมิ่ง HyperX มาก่อน ก็อาจจะรู้สึกค่อนข้างคลาสสิก เพราะทั้งรูปลักษณ์และสีสัน มาในแบบดั้งเดิม
ครอบศีรษะด้านบนก็เช่นกัน มาในโทนสีดำ ตัดด้วยเส้นสายสีแดง คล้ายกับเดินด้ายแดงในเบาะรถสปอร์ต พร้อมโลโก้ HyperX ที่ซ่อนอยู่ตรงกลาง
ปรับระยะได้ถึง 7 สเตปด้วยกัน พอให้ใช้งานร่วมกับศีรษะในขนาดต่างๆ ได้สะดวก
โครงสร้างของคาดศีรษะเป็นอะลูมิเนียมมีความยืดหยุ่น ทำให้ภาพรวมของหูฟังมีน้ำหนักเบาลง และรองรับการปรับเลื่อนให้เข้ากับศีรษะผู้ใช้ ส่วนตัวจะติดอยู่นิดหน่อย ตรงสายที่ยื่นออกมาจากตัวหูฟัง ทำให้ดูไม่ค่อยเรียบร้อยนัก
การปรับเลื่อน ทำได้ประมาณ 7-9 ระดับ เพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคน จะเห็นความต่างได้จากภาพ ซ้ายจะเป็นแบบปกติ ส่วนทางขวา จะเป็นการปรับเลื่อนมาสุด ซึ่งทำให้รองรับศีรษะที่มีขนาดใหญ่ได้สบาย
มาดูที่เรื่องของน้ำหนักกันบ้าง ด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่นัก เรียกว่าเป็น Close cup ระดับกลาง ทำให้เข้ากับหูของผู้ใช้ได้ดีทีเดียว และน้ำหนักเพียง 300 กรัม โดยประมาณ จึงทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดในการใช้ หรือการคล้องคอ เมื่อพักการเล่นในช่วงวัน ด้วยการที่เป็นหูฟังไร้สาย จึงพกพาได้สะดวกมากขึ้น
จะติดเล็กน้อยตรงที่ครอบหูฟังนั้น ไม่สามารถหมุน 90 องศาได้ ทำให้เมื่อคล้องคอ ก็อาจจะทำให้รู้สึกเกะกะเล็กน้อย เพราะจะค้ำคออยู่บ้างนั่นเอง
HyperX Cloud II Wireless + 7.1 รุ่นนี้ มาพร้อมไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 53mm ในแบบนีโอดายเมียม ซึ่งเป็นแบบแม่เหล็กประสิทธิภาพสูง เพื่อให้คุณภาพของเสียงที่ดี และลดความผิดเพี้ยนได้ดี มาด้านใน ซึ่งมีส่วนทำให้คุณภาพเสียงดีขึ้น หุ้มไว้ด้วยผ้าที่อยู่ด้านในอีกชั้นหนึ่ง
แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ หูฟังเกมมิ่ง และทำให้เกมเมอร์ชื่นชอบในแบรนด์ HyperX นี้ก็คือ ครอบหูฟังที่มีความนุ่มนวล สวมใส่สบาย ด้วยเมมโมรีโฟมที่หนา หุ้มด้วยวัสดุแบบหนัง นอกจากจะให้ความนุ่มสบายหูแล้ว ยังลดเสียงรบกวนได้ดีทีเดียว น่าจะถูกใจคนที่ชอบเล่นเกมเป็นเวลานานๆ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่า วัสดุค่อนข้างพรีเมียม แต่บางคนก็อาจจะชอบความเป็นผ้าที่หุ้ม เพราะเน้นการระบายอากาศ แต่แจ้งไว้ก่อนว่า ไม่มีที่หุ้มสำรองมาให้นะครับ
ส่วนไมโครโฟนนั้น มีการปรับรูปแบบให้ดูทันสมัยมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ยังเป็นแบบ Bi-Direction หรือรับเสียงจากทางเดียว ลดเสียงรบกวนภายนอกได้ดี รวมถึงยังเป็นแบบ noise-cancelling รวมถึงถอดสายได้ ปรับพับงอ ให้เข้ากับสรีระของแต่ละบุคคลได้ง่ายขึ้น
ส่วนในเรื่องของระยะการทำงาน และการเชื่อมต่อของหูฟัง Cloud II Wireless รุ่นนี้ ระยะการทำงานอยู่ที่ประมาณ 20 เมตร เดินข้ามห้องไปประมาณ 2 ห้องยังพอได้ หรือลงไปหาน้ำหาข้าวทานในครัวไม่ไกลมา ก็พอได้ ใช้งานร่วมกับ WiFi 2.4GHz สามารถเชื่อมต่อได้นาน 30 ชั่วโมงต่อการชาร์จ เรียกว่าใช้งานและสแตนบาย ได้ทั้งวัน
หูฟังจะมีช่องมาให้ 2 จุดด้วยกันคือ ด้านบนจะเป็น USB-C ที่ใช้สำหรับชาร์จไฟให้กับหูฟัง และด้านล่างลงมาจะเป็นช่องต่อกับไมโครโฟน ที่ถอดใส่ได้ เพื่อความสะดวก
นอกจากนี้บนตัวหูฟัง ยังมีฟังก์ชั่น ที่ช่วยให้คุณใช้งานได้สะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ปุ่มปรับระดับเสียง ใช้เป็นการเลื่อนหมุนไปมา โดยจะอยู่บนหูฟังทางด้านขวา
ส่วนทางด้านซ้าย จะประกอบด้วยปุ่มเพาเวอร์ เปิด-ปิดการใช้งาน และเปิด-ปิดการทำงานของไมโครโฟน
Setup
การติดตั้งและใช้งาน หูฟังเกมมิ่ง HyperX นี้ค่อนข้างจะง่ายดาย เริ่มต้นนำ USB Receiver ที่มีมาให้ในกล่อง ไปต่อเข้าพอร์ต USB บนพีซีหรือโน๊ตบุ๊ค หากเป็น Windows 10 เมื่อระบบตรวจพบ และจัดการไดรเวอร์พื้นฐานให้อัตโนมัติ ก็สามารถกดปุ่มเพาเวอร์ที่หูฟัง ก็พร้อมสำหรับการใช้งานได้แล้ว
Software
ในการเริ่มต้นใช้งาน หากต้องการความสะดวกในการจัดการและปรับแต่งฟังก์ชั่นบน Cloud II Wireless รุ่นนี้ สามารถดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ HyperX NGENUITY มาใช้งานได้
เมื่อติดตั้งโปรแกรม NGENUITY เรียบร้อยแล้ว ระบบจะตรวจเช็คบรรดาอุปกรณ์ของ HyperX ที่เชื่อมต่ออยู่ และเปิดฟังก์ชั่นให้กับผู้ใช้ได้ปรับแต่งตามสะดวก
เช่นเดียวกับตัวอย่างนี้ ซอฟต์แวร์ตรวจพบทั้งเมาส์ และหูฟังเกมมิ่ง ในส่วนของหูฟัง เมื่อเราคลิ๊กไปที่ Headset จะเห็นว่า มีฟังก์ชั่นในการใช้งานแสดงให้เราเห็น หลักๆ จะอยู่ที่ Volume, Microphone ซึ่งให้คุณได้ปรับระดับเสียงได้จากตรงนี้ และด้วยการสนับสนุนระบบเสียง 7.1 Surround sound ก็ให้คุณเลือกปรับระบบเสียงรอบทิศทางได้อีกด้วย รวมถึง MIC Monitoring ที่ให้คุณได้เลือกปรับไมค์เพื่อใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์ต่างๆ ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
นอกจากนี้แล้ว ทางด้านบนขวาของซอฟต์แวร์ ยังรายงานระดับแบตฯ ของหูฟังไว้ให้อีกด้วย ตรงนี้คุณสามารถกำหนดให้หูฟังปิดการทำงาน เมื่อหยุดใช้งานเป็นเวลาเท่าใด เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานไปในตัว รวมถึงการตั้งค่า Preset ให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละรูปแบบ ง่ายๆ ก็คือ อาจตั้งเป็น Preset Game, Cinema หรือ Music ได้ถึง 3 Preset ด้วยกัน
ทดสอบใช้งานและคุณภาพเสียง
มาว่ากันที่การใช้งานกันก่อน ถ้าให้คะแนนเรื่องความสะดวก และการสวมใส่ที่สบาย ก็ต้องบอกว่า 9/10 เพราะใช้งานง่ายมากๆ เรียกว่ามือใหม่ ก็ยังทำเองได้ แค่เสียบตัวรับ-ส่งสัญญาณเข้ากับคอม และกดปุ่มเพาเวอร์ของหูฟังเท่านั้น ลืมเรื่องวุ่นวายของหูฟังไร้สายในอดีตไปได้เลย ส่วนความสบายก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล เพราะถึงจะเป็นเมมโมรีโฟมที่นุ่มนวล แต่วัสดุที่หุ้มเป็นแบบหนัง ก็อาจจะมีหลายๆ คนที่ชอบ แต่บางคนก็อาจจะสะดวกแบบที่เป็นผ้ามากกว่า เพราะระบายอากาศดี แต่ถ้าในเรื่องกันเสียงรบกวนจากภายนอก ก็ต้องยกให้หนังแบบนี้เลยครับ ส่วนในเรื่องความยืดหยุ่น การปรับเลื่อน ปรับระดับต่างๆ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีทีเดียว ให้ความยืดหยุ่น สบายศีรษะเวลาสวม
มาถึงคุณภาพเสียงกันบ้าง เริ่มต้นกับการเล่นเกม Cloud II Wireless รุ่นนี้ ตอบโจทย์ได้ดี ในแง่ของสเตจเสียงที่กว้าง ให้รายละเอีดในการเล่นได้สนุก ไม่ว่าจะเป็นเสียงระหว่างการปะทะใน PUBG หรือเอฟเฟกต์ของระเบิด ไปจนถึงการถล่มฐานใน Battlefield V ที่มีเสียงกระสุนปืนและเปลวไฟได้ค่อนข้างชัด หรือจะเป็นเกม NFS ที่รีดเอาเสียงท่อกับการกดไนตรัสได้อย่างสะใจ ซึ่งหากคุณเป็นคอเกมแนวนี้ ก็น่าจะอิ่มเอมไปกับความมันส์ได้อย่างเต็มที่
ส่วนถ้าเป็นการชมภาพยนตร์ เรื่องการเก็บรายละเอียดเสียงบนวีดีโอคุณภาพสูง หูฟังเกมมิ่ง รุ่นนี้ก็จัดจ้านไม่น้อย ตัวอย่างในหนัง Thor Ragnarok ฉากที่ Hulk โดนธอร์ซัดกระเด็นกระดอนในสนามสู้ ก็มาได้ทุกเม็ด ตั้งแต่เสียงโลหะกระแทก ไปจนถึงปูนที่แตกกระจาย ก็จัดว่าทำได้ดีเอาใจคอบันเทิงได้ แม้ว่าเสียงกลางกับเบสจะไม่ได้แน่นนัก แต่ก็มีส่วนอื่นๆ ที่โดดเด่นนำหน้ามาให้อย่างลงตัว
และสิ่งที่หลายคนน่าจะชื่นชอบก็คือ การฟังเพลง ในกลุ่มของคนที่ชอบความสดใสในดนตรีแจ๊ส ค่อนข้างจะไปได้ดี เช่นเดียวกับในแนวคลาสสิคก็ดูหรูหรา ส่วนในแง่ของ Rock หรือ Heavy ก็พอไปได้ แต่อาจจะไม่ได้ตุบๆ ตึ้มๆ ไปแบบหูฟังแนวดนตรีเท่านั้นเอง
Conclusion
มาที่ภาพรวมของหูฟังเกมมิ่ง HyperX Cloud II Wireless + 7.1 รุ่นนี้ คงจะเป็นการย้ำเตือนคุณภาพระดับตำนานของ Cloud Headset ให้ชัดเจนอีกครั้ง ราคาแนะนำของหูฟังรุ่นนี้อยู่ที่ประมาณ 4,890 บาท แม้ว่าอาจจะดูสูงเล็กน้อย แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ ในตลาดเวลานี้ นับว่าราคาค่อนข้างดีเลยทีเดียว อีกทั้งเมื่อลองดูฟีเจอร์และลูกเล่นที่จัดมาให้ ก็น่าจะขาดแค่เรื่องของแสงไฟ RGB เท่านั้น แต่อย่างอื่นนั้น ถือว่าให้มาได้อย่างคุ้มค่า เหนือกว่าหูฟังหลายรุ่นในระดับราคาเดียวกันอีกด้วย โดยหูฟังรุ่นนี้ เหมาะกับคนที่ชอบความสนุกสนานในการเล่นเกมเป็นหลัก และยังรักความบันเทิงในการดูหนัง ตามมาติดๆ ด้วยการฟังเพลง เพราะในหลายๆ ครั้ง หูฟังแสดงความเป็นตัวตนอันเป็นเอกลักษณ์ให้กับผู้ใช้ได้อย่างน่าสนใจ
วัสดุและการสวมใส่ HyperX ก็ยังเอาใจคอเกมที่เล่นเกมเป็นเวลานานๆ เพราะสวมใส่สบาย มีความนุ่มนวล และน้ำหนักที่เบา ก็ทำให้ใส่ได้ยาวนาน ไม่อึดอัดจนเกินไป ปรับฟังก์ชั่นบนหูฟังได้ ก็ช่วยอำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างดี ระบบเสียง 7.1 ที่ปรับได้จากซอฟต์แวร์ ก็ช่วยให้การเล่นเกมหรือดูหนังมีอรรถรสมากขึ้น เช่นเดียวกับการทดสอบ ก็ดูเหมือนจะใช้ได้ยาวนาน เรียกว่าเล่นเกม สลับดูหนัง และสแตนบายได้เป็นวัน ยังไม่หมดง่ายๆ ส่วนที่จะดูติดนิดหน่อยก็อย่างที่บอกไว้คือ ไม่สามารถหมุนหรือ Flip หูฟังได้ 90 องศา การคล้องคอก็เลยไม่สะดวกนัก แต่ก็พอแก้ได้ด้วยการเลื่อนระยะของครอบศีรษะให้ยืดออก ก็ช่วยให้ไม่ค้ำเกินไปนัก ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้ได้ดี ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าเสียงที่ได้นั้น คุณจะชื่นชอบมากน้อยเพียงใดนั่นเอง
ข้อมูลเพิ่มเติม: HyperX