MSI Prestige 15 เป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สาย Content Creator ตัวจริง ปี 2021 หน้าจอ 15.6″ 4K UHD ที่เบาเพียง 1.65 กิโลกรัม ได้สีสันใหม่อย่าง Urban Silver โดยมาพร้อมกับประสิทธิภาพและฟีเจอร์ใหม่ๆ อีกมากมาย ซึ่งใช้เป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 Tiger Lake รุ่นล่าสุดอย่าง Core i7-1185G7 ตัวแรงสุดในรหัส U พร้อมมี AI ช่วยทำงานตระกูล Adobe หรืออื่นๆ ให้รวดเร็วขึ้น
ผสานการทำงานร่วมกับการ์ดจอตัวแรง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ช่วยประมวลผลงาน 3 มิติ หรือเล่นเกมได้ลื่นไหล พร้อมแรมขนาด 32GB และ SSD M.2 ที่ 1TB จัดเต็ม มีระบบระบายความร้อน Cooler Boots 3 ส่งให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ทรงพลังอย่างที่สุด การเชื่อมต่อครบครันด้วย Thunderbolt 4 และ Wi-Fi 6 AX สนับสนุนทั้งทำงานและเล่นเกมที่เหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊คบางเบารุ่นอื่นๆ
สำหรับ MSI Prestige 15 ได้หน้าจอแสดงผลแบบ True Pixel มาตรฐานความละเอียด Ultra HD ที่จะช่วยเติมเต็มประสบการณ์ในด้านการสร้างสรรค์ผลงานได้มากยิ่งขึ้น จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่มาพร้อมสเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ อีกทั้งได้ฟีเจอร์อื่นๆ ที่ครบครันตามสไตล์ของ MSI ที่จัดเต็ม อย่างความทนทานระดับ Military Grade เหมาะกับคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คสายทำงานที่เน้นความแรงลื่นและสีสันเที่ยงตรงในน้ำหนักตัวเครื่องเบา พกพาสะดวก
VDO Review
NBS Verdict
MSI Prestige 15 เป็นอีกหนึ่งสุดยอดโน๊ตบุ๊ค Content Creator ประจำปี 2021 ได้หน้าจอขนาด 15.6″ สุดบางเฉียบ ดีไซน์สวยงามทนทาน ที่มีจุดเด่นเรื่องความบางเบา และมีประสิทธิภาพเยี่ยมด้วย Core i Gen 11 Tiger Lake + GeForce GTX 1650 Max-Q ทำให้กลายมาเป็นโน๊ตบุ๊คที่มีขนาดกระทัดรัด โดยที่วัสดุตัวเครื่องจะทำมาจากอลูมิเนียม ที่ทรงพลังในการทำงานสายสร้างสรรค์แบบมืออาชีพ รองรับทุกความบันเทิง รวมไปถึงเล่นเกมได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ พอตัว
และมีน้ำหนักเพียง 1.65 กิโลกรัม เบามากๆ แบตเตอรี่ก็ยาวนานตลอดทั้งวัน เหมาะกับการพกพาสุดๆ รองรับกับทุกๆ การทำงานประเภท Digital Content ต่างๆ ด้วยจอ 4K UHD คุณภาพสูง อย่างตัดต่อวีดีโอ หรือโปรเซสไฟล์ภาพถ่าย เติมเต็มประสบการณ์ในด้านการสร้างสรรค์ผลงานได้มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงความบันเทิงอย่างดูหนังฟังเพลง และวีดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Youtube / Netflix ด้วย อีกทั้งยัง Wi-Fi 6 AX และ Thunderbolt 4 เป็นมาตรฐานที่ดีที่สุดในการเชื่อมต่อทั้งไร้สายและมีสาย
MSI Prestige 15 มาพร้อมมาตรฐานความทนทานระดับ Military Grade ทนทานต่อการตกกระแทก สั่นสะเทือน ฝุ่นและละอองน้ำ รวมถึงอุณหภูมิสูงหรือต่ำ ทำให้เราสามารถนำไปใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างไม่ต้องกังวล อีกทั้งรุ่นนี้ยังได้เห็นการปรับดีไซน์ของโลโก้ใหม่ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันและเต็มไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง โดยคำนึงถึงหลัก “จำนวน Fibonacci” และยังมีหลัก “สัดส่วนทองคำ” เพื่อแสดงถึงวิสัยทัศน์อันล้ำลึกของ MSI ในการผลิตสินค้าที่มาพร้อมประสิทธิภาพที่สูงที่สุดในการใช้งาน
เหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คสเปกทั่วไป หรือกรณีที่อยากได้สเปกแรงแต่ไม่อยากได้ดีไซน์แบบ Gaming Notebook ซึ่งเน้นทำงานมากกว่า โดยเล่นเกมเป็นรอง ตัวอย่างคือ ทำงาน 70% เล่นเกม 30% อีกทั้งยังมีข้อสังเกตเล็กน้อยก็คือความร้อนที่เกิดขึ้นดูแล้วค่อนข้างสูง แต่ก็จากการทำสอบคือไม่มีผลต่อการใช้งานใดๆ อีกทั้งในการเล่นเกมเราควรปรับความละเอียดเป็น Full HD นะเหมาะสมกับ 4K UHD เพราะสเปกการ์ดจอขับไม่ไหวนั่นเอง
ข้อดี MSI Prestige 15
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจ งานประกอบแน่นวัสดุดี แนวเรียบหรู
- ตัวเครื่องบางเฉียบ เล็กกระชับกว่าเดิม โดยมีน้ำหนักเพียง 1.65 กิโลกรัมเท่านั้น
- สเปคแรง Core i7-1185G7 และการ์ดจอ GTX 1650 Max-Q เทียบเท่า Gaming Notebook
- หน้าจอแสดงผลกางได้ 180 องศา ขอบจอบางเฉียบขนาด 15.6″
- ความละเอียด 4K Ultra HD ขอบเขตสี sRGB 93% / Abobe RGB 89%
- จัดเต็มเรื่องแรมที่ 32GB และ SSD M.2 NVMe ที่ 1TB ไม่ต้องอัพเกรดอะไรแล้ว
- มี Windows 10 แท้ พร้อมซอฟ์ตแวร์ที่ดี ใช้งานได้ทันที
- ประสิทธิภาพดีทั้งการทำงานและการเล่นเกม
- คีย์บอร์ดใช้งานได้ดี มีไฟส่องสว่างใช้งานได้จริง
- ตัวเครื่องทนทานระดับ MIL-STD 810G ทำให้มั่นใจได้เลยว่าตัวเครื่องจะมีความแข็งแรง
- มีการเชื่อมต่อไร้สายแบบ Wi-Fi 6 AX201 (2×2) + Bluetooth 5.1ใหม่ล่าสุด
- การจัดการความร้อนในส่วนของการ์ดจอทำได้ดี
- ให้พอร์ต Thunderbolt 4 มา 2 พอร์ต รองรับการชาร์จไฟ ต่อจอแยก โอนถ่ายข้อมูล
- อแดปเตอร์มีขนาดที่เล็กและเบา พอร์ตเป็น USB-C PD ชาร์จมือถือก็ได้
- ราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสเปกและฟีเจอร์ รวมถึงประสบการณ์ใช้งาน
ข้อสังเกต MSI Prestige 15
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน 8:30 ชั่วโมง ไม่เหมือนที่เคลมไว้ 16 ชั่วโมง แต่ถือว่าทำได้ดีมากแล้ว
- ไม่มีช่อง SD Card Reader ที่ช่างภาพช่างวีดีโอมักใช้งานบ่อยๆ ต้องหาอแดปเตอร์เพิ่มเอง
- ความร้อนเมื่อใช้งานหนักๆ ค่อนข้างสูง ไม่มีผลต่อการใช้งานแต่มีผลกับความรู้สึก
Specification
MSI Prestige 15 เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีความโดดเด่นในสายการทำงาน มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-1185G7 รุ่นใหม่แรงสุดในรุ่น สถาปัตยกรรม Tiger Lake ที่ 10 นาโนเมตร SuperFin ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด พร้อมมี AI ในตัว ช่วยประมวลผลการทำงานบางโปรแกรม ให้ความแรงที่ทรงพลังเทียบเท่า Core i Gen 10H ได้การ์ดจอรุ่นใหม่อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q (4GB GDDR6) แรม 16GB DDR4 Bus 3200MHz พร้อม SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB พร้อม Windows 10 Proในราคา 5x,xxx บาท
สเปกหน้าจอขนาด 15.6″ ความละเอียด 3840 x 2160 พิกเซล 4K Ultra HD พื้นผิวเป็นแบบด้าน ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ประทับใจ โดยการใช้หน้า Desktop ปกติที่ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก ขอบจอจะเป็นพลาสติกสีดำบางเฉียบโดยมีพื้นที่แสดงผลกว่า 90% จอเป็นแบบด้านที่ให้เรื่องสีสันสดใส รองรับใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ถึง 180 องศา ทำให้นำเสนองานได้อย่างเต็มที่และง่ายขึ้นกว่าเดิม
สเปกตอบโจทย์การใช้งานแบบสุดๆ แทบไม่ต้องอัพเกรดอะไรเลย หรือจะอัพเกรดจริงๆ ก็สามารถใส่ SSD M.2 เพิ่มได้ ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายก็ครบครันด้วย Wi-Fi 6 AX201 (2×2) และ Bluetooth 5.1 ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อก็มีทุกรูปแบบรวมไปถึงได้ Thunderbolt 4 เป็นมาตรฐานอีกด้วย พร้อมซอฟต์แวร์ MSI Center ช่วยปรับแต่งการทำงาน ได้การรับประกัน 2 ปี ตามมาตรฐานของ MSI (ในชุดบันเดิลให้กระเป๋า MSI และเมาส์ไร้สายอย่างดีมาให้ด้วย)
MSI Prestige 15 A11SCX-220TH Urban Silver ราคา 56,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i7-1185G7 (4C/8T : 3.00 – 4.80GHz)
-
GPU : Intel Iris Xe Graphics + GTX 1650 Max-Q
-
RAM : 16GB DDR4 3200 MHz
-
DISPLAY: 15.6″ 4K UHD IPS 60Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 1TB
-
OS : Windows 10 Home
- Warranty : 2 Years
- Bundle : Prestige Topload Bag มูลค่า 1,290 บาท / Prestige Wireless Mouse มูลค่า 1,000 บาท
Prestige 15 A11SCX-221TH Urban Silver ราคา 44,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i7-1185G7 (4C/8T : 3.00 – 4.80GHz)
-
GPU : Intel Iris Xe Graphics + GTX 1650 Max-Q
-
RAM : 8GB DDR4 3200 MHz
-
DISPLAY: 15.6″ Full HD IPS 60Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 1TB
-
OS : Windows 10 Home
- Warranty : 2 Years
- Bundle : Prestige Topload Bag มูลค่า 1,290 บาท / Prestige Wireless Mouse มูลค่า 1,000 บาท
Hardware / Design
สำหรับ MSI Prestige 15 ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงแต่บางเบาขนาดหน้าจอ 15.6″ ที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด เพราะได้ความละเอียด 4K Ultra HD ถูกต่อยอดมาจาก MSI Prestige รุ่นรองท็อปที่เป็น Full HD เรื่องของการดีไซน์ที่เน้นความบางเบา พกพาได้สะดวก
โดยยังรักษาความเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.65 กิโลกรัม มีความบางที่ 16 มิลลิเมตร การออกแบบให้ความรู้สึกที่หรูหราพรีเมียมด้วยวัสดุอะลูมิเนียม ตลอดทั้งตัวเครื่อง พร้อมตัดขอบเพชรเพิ่มความหรูหรา
โดยฝาหลังและดีไซน์ทั้งหมดมีการเลือกใช้ให้มีความเข้ากันอย่างที่สุด กับพื้นผิวส่วนของฝาหลังและตัวเครื่องเป็นลักษณะแบบด้าน พร้อมกับใช้สีเงินด้าน Urban Silver กับตัวเครื่องด้านนอกและด้านใน พร้อมตกแต่งรายละเอียดบริเวณขอบด้วยเทคโนโลยี diamond-cutting สีเงินมันวาวตลอดทั้งตัวเครื่อง
ตั้งแต่โลโก้ ขอบตัวเครื่อง ทัชแพด แกนบานพับ ช่องระบายความร้อน ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่โน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพต้องดูดำๆ ดีไซน์ไม่ทันสมัย ให้กลายเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดูน้อยแต่เรียบหรูแทนนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Flip-n-Share ที่แม้ว่าจะดูง่ายๆ แต่ได้ใช้จริง คือหมุนจอไปฝั่งตรงข้ามได้ทันที ส่งผลให้คนนั่งฝั่งตรงข้ามที่เรากำลังนำเสนองานดูได้อย่างสะดวกที่สุด
ที่สำคัญกับแนวคิดที่ได้ขอบหน้าจอที่บางลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งบางเฉียบเพียง 5.6 มิลลิเมตร ทั้งด้านซ้ายขวาและขอบบน ซึ่งการใช้งานจริงมุมมองมันก็จะดู เป็นปกติกว่าโน๊ตบุ๊คบางรุ่นที่ย้ายไปติดตั้งที่อื่น ถือว่า MSI นำเสนอโน๊ตบุ๊คที่ทั้งเบามากๆ แถมยังบางสุดๆ สำหรับการเปิดปิดฝาของหน้าจอก็ทำได้ง่ายเพราะขอบตัวเครื่องด้านหน้าได้มีการเว้นร่องเว้าเอาไว้สวยงาม
ส่งผลให้ตลอดทั้งตัวเครื่องมีมิติตัวเครื่องที่เล็กลงกว่าโน๊ตบุ๊คทำงานหน้าจอ 15.6″ ทั่วไปอย่างชัดเจน ซึ่งโดยรวมแล้ว MSI Prestige 15 ไม่ใช่แค่บางเบาและสเปกดีแต่ในประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยมด้วย เรียกได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในโน๊ตบุ๊คสายบางเบาเน้นพกพา แต่มาพร้อมการ์ดจอระดับ GTX 1650 Max-Q สเปกอื่นๆ ก็จัดเต็ม ที่แม้ราคาอาจจะสูงกว่าพวก Gaming Notebook แต่ได้น้ำหนักที่เบาและตัวเครื่องที่ดูหรูมาแทน
ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องจะอยู่มุมขวาบนของชุดคีย์บอร์ด พร้อมบริเวณบานพับก็เป็นช่องระบายความร้อน 2 ช่อง ที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างเรียบเนียน ที่สำคัญ MSI Prestige 15 ใช้เทคโนโลยี Cooler Boost 3 แบบพัดลม 2 ตัวอยู่ทางด้านหลังของตัวเครื่อง
ยิงเป่าไล่ลมร้อนผ่านชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนระหว่างชิปประมวลผลและกราฟิกการ์ด ด้วย Heat Pipes รวมกันถึง 3 เส้น โดยแยกฝั่ง CPU และ GPU ออกจากกัน ในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานระยะยาวไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม
ด้านฐานล่างตัวเครื่องจากรุ่นก่อนใช้วัสดุโลหะชิ้นเดียวตลอดทั้งชิ้น ลักษณะเป็นอลูมิเนียมเรียบๆ แตกต่างจากฝาหลังและตัวเครื่องด้านใน พร้อมมียางรองจำนวน 7 จุด ช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยส่งมวลลมเย็นถูกดูดเข้าช่องลมขนาดใหญ่ได้มากขึ้นส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ทาง MSI ใส่ใจเป็นพิเศษอยู่แล้วไม่แพ้ฝั่ง Gaming Notebook เลย
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ MSI Prestige 15 เห็นแล้วต้องบอกว่าแตกต่างจากโน๊ตบุ๊คเล่นเกมรุ่นอื่นๆ ของทาง MSI แบบสิ้นเชิง ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ มีระยะกดที่ 1.5 มิลลิเมตร ด้วยการที่รูปแบบปุ่มมีขนาดที่ใหญ่โตกว่าคีย์บอร์ด MSI แบบเดิมๆ ที่สำคัญด้วยไฟ LED สีขาวสวยงาม เข้ากับตัวปุ่มสีดำตัดกับตัวเครื่องเงินเป็นอย่างดี
ดูแล้วสะอาดตา พรีเมียมสุดๆ จากการใช้งานจริงถือว่าปุ่มเด้งรับกับนิ้วดีมากๆ รวมไปถึงมี Hotkey แถวบน พร้อมมีปุ่มเรียก Creator Center ไว้ปรับโหมดการใช้งานได้สะดวกที่สุด และพิเศษที่ปุ่ม F12 ที่ช่วยให้พลิกหน้าจอไปฝั่งตรงข้ามได้ กรณีไว้นำเสนองานกับลูกค้า
ทัชแพดมีขนาดใหญ่และกว้างมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับโน๊ตบุ๊คทั่วไป ลักษณะเป็นผืนผ้ายาวดูเป็นเนื้อแบบกระจก ซึ่งมีตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด ให้สัมผัสที่ลื่นติดมือมากๆ โดยมีการตัดขอบด้านบนดูโค้งมน เข้ากับตัวเครื่องสวยงามลงตัว
จากการใช้งานจริงๆ ถือว่าเป็นทัชแพดที่ดีที่สุดรุ่นหนึ่งเลยก็ว่าได้ นอกเหนือจากนี้ยังมีฟีเจอร์อย่างสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ไว้ให้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อที่จะเข้าใช้งานตัวเครื่องเพื่อความปลอดภัยแบบไม่ต้องใส่รหัสไปมาทุกครั้งอีกด้วย ส่
Screen / Speaker
MSI Prestige 15 ได้หน้าจอขนาด 15.6″ มีเทคโนโลยี True Pixel Display ที่ความละเอียด 3840 x 2160 พิกเซล Ultra HD ซึ่งส่งผลให้มีความหนาแน่นของพิกเซลสูงมากที่ 220 PPI เลย พร้อมได้พาเนล IPS คุณภาพสูงกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากๆ ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่น่าประทับใจอย่างที่สุด ทั้งเรื่องสีสันและมุมมองที่กว้างพิเศษ
โดยการสเกลเพิ่มมาเป็นที่ 250% ให้ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก เรียกได้ว่ากำลังพอดีทีเดียว และด้วยความที่จอเป็นแบบด้านแต่ก็ยังให้เรื่องสีสันสดใส ตอนสนองการทำงานของเราได้เป็นอย่างดี เมื่อใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกม
ขอบจอจะเป็นพลาสติกสีดำบางฉียบเพียง 5.6 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งให้พื้นที่แสดงผลทั้งหมดกว่า 90% เลยทีเดียว แต่ก็ยังสามารถติดตั้งกล้องเว็บแคมพร้อมไมโครโฟนแบบคู่ไว้ที่ขอบจอด้านบนได้ปกติอยู่ ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ถึง 180 องศา
ช่วยให้การนำเสนองานกับคนที่นั่งตรงข้ามกันง่ายยิ่งขึ้นด้วยโดยการกดปุ่ม F12 แล้วสามารถหมุนจอ ส่งผลให้คนนั่งฝั่งตรงข้ามที่เรากำลังนำเสนองานดูได้อย่างสะดวกที่สุด นับว่าเป็นอีกหนึ่งความใสใจที่ MSI ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี
ที่สำคัญจากการที่ MSI Prestige 15 ยังเคลมเรื่องของคุณภาพหน้าจออีกว่าได้ค่ามาตรฐานสีสันที่ AdobeRGB ใกล้เคียง 100% ซึ่งนับว่าสูงมากๆ เหมาะกับงานทุกๆ ประเภทการทำงาน ที่จริงจังเรื่องสีสัน พร้อมยังแสดงค่าสีที่แม่นยำและเที่ยงตรงจากการที่ ∆E* (delta E) คาดเคลื่อนน้อยกว่า 2
นอกจากนี้ยังผ่านการ Calibrate สีจากโรงงานทุกเครื่องทำให้เรามั่นใจได้เลยว่าพร้อมใช้งานสุดๆ ปิดท้ายด้วยการได้รับการรับรองโดยมาตรฐานระดับโลกในด้านความแม่นยำของค่าสีจาก CalMAN Color Calibration อีกด้วย
ทดสอบแล้วพบว่าให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 93% และค่า AdobeRGB อยู่ที่ 89% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีมากๆ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพแบบสุดๆ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 400 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอที่ดีกว่าในโน๊ตบุ๊คราคาระดับเดียวกัน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องบนมุมซ้ายและขวาเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สำหรับช่องขวาแถวกลางจะมีแสงสว่างที่ลดลงไปที่ 9% ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 จากคะแนนเต็ม 5 ถือว่าน่าประทับใจ
ลำโพงยังจัดวางมาในตำแหน่งส่วนของขอบตัวเครื่องด้านหน้าในส่วนด้านใต้เครื่อง แบบขนาด 2W x 2 คุณภาพเสียงเบสให้แน่นลึกยิ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป เพราะชุดลำโพงข้างในขยับได้เมื่อต้องการเสียงทุ่ม สำหรับคุณภาพเสียงการใช้งานต่าง ๆ สามารถทำออกมาได้ดี น่าประทับใจให้เสียงที่ดังพอตัว เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปแน่นอน
Connector / Thin And Weight
MSI Prestige 15 จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานบางเบาหน้าจอ 15.6″ ซึ่งมีไซส์และมิติโดยรวมเล็กกระทัดรัดกว่าปกติ ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น 2 x Thunderbolt 4 / 2 x USB 3.2 Type-A / 1 x HDMI 1.4 / micro-SD Card Reader และ Mic-in/Headphone-out ให้ความครบเครื่องมากกว่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ทั่วไป
โดดเด่นด้วย Thunderbolt 4 ถึง 2 พอร์ตด้วยกัน รองรับการชาร์จไฟ และต่อหน้าจอความละเอียดสูง 4K / 8K ด้วย เพราะอแดปเตอร์ก็เป็น USB-C แล้ว อีกทั้งมีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.1 และ Wi-Fi 6 AX พร้อมใช้งานตามมาตรฐานโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สเปก Core i Gen 11 ต้นปี 2021
ส่วนของการพกพาก็ถือว่าทำได้เยี่ยมยอดเมื่อเทียบกับสเปก ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 1.65 กิโลกรัมเท่านั้น ดีกว่าตามมาตรฐานของโน๊ตบุ๊คค่ายอื่นๆ ที่ใช้สเปกนี้มาก ที่สำคัญอแดปเตอร์จ่ายไฟที่ 90 Watt นั้น มีขนาดที่เล็กและเบากว่าปกติ ทำให้การพกพาไปใช้งานนอกสถานที่
เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากๆ น้ำหนักโดยรวมแล้วไม่เกิน 1.9 กิโลกรัมแน่นอน นับว่า MSI Prestige 15 เป็นอีกหนึ่งโน๊ตบุ๊คสายทำงานจริงจังที่เหมาะสมกับเหล่า ยูทูปเบอร์, ช่างภาพ, อนิเมเตอร์ และนักดนตรี ที่เน้นพกพาพมากเลยทีเดียว
Inside / Upgrade
ถ้าใครต้องการจะแกะทั้งฝาล่างทั้งหมดของ MSI Prestige 15 เพื่ออัพเกรดหรือทำความสะอาดก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ไขน็อตทั้งหมด หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แงะแกะทีละส่วนขึ้นอย่างช้าๆ เพียงเท่านี้ก็จะแกะฝาล่างได้ไม่ยากเย็น ส่วนประกอบภายในอื่นๆ ที่มีงานประกอบเรียบร้อยดี
ระบบระบายความร้อนเป็นพัดลม 2 ตัว ฮีตไปป์ 3 เส้นขนาดใหญ่ พร้อมช่องระบายความร้อน 2 ช่อง ซึ่งการทดสอบบอกได้เลยว่าน่าประทับใจ แม้สเปกจะไม่ได้แรงเท่ากับชิปประมวลผลรหัส H โดยได้มีการติดตั้งการ์ดจอแยกเข้ามาด้วย แต่ทาง MSI ก็ยังจัดเต็มเช่นเคย ด้วยระบบ CoolerBoots 3
เมื่อแกะออกมาแล้วก็จะเห็นช่องใส่แรมจำนวน 2 แถว โดยเป็นการติดตั้งแรมฝังบอร์ดมาแล้ว 8GB x 2 (Dual Channel) รองรับการอัพเกรดได้ถึง 32GB แต่ต้องถอดของเดิมออกด้วย และจะเห็นถึง SSD แบบ M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB (รองรับการอัพเกรด SSD M.2 เพิ่มอีก 1 ตัวด้วย) ให้การใช้งานเป็นไปอย่างลื่นไหลไร้คอขวด ที่ต้องบอกว่าสำหรับการใช้งานทั่วไปจนไปถึงทำงานตัดต่อวีดีโอที่ซับซ้อนมากๆ สำหรับสเปกฮาร์ดแวร์ภายในถือว่าเหลือเฟือในการใช้งานเลยล่ะ
Performance / Software
สเปกฮาร์ดแวร์เมื่อตรวจสอบข้อมูลของชิปประมวลผลด้วยโปรแกรม CPU-Z ก็พบว่าข้อมูลขึ้นมาครบถ้วนเลย โดยเลือกใช้ชิป Intel Core i7-1185G7 ที่มี 4 คอร์ 8 เธรดสำหรับการประมวลผล ความเร็วที่ 3.0 – 4.80 GHz มีค่า TDP ในการปลดปล่อยความร้อนสูงสุดแค่ 12W – 28W เท่านั้น ซึ่งจัดว่าต่ำมากสำหรับชิป Core i7 ในโน๊ตบุ๊ค ทำให้ตัวเครื่องโดยรวมไม่ร้อนจนเกินไป ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ระดับ 10 นาโนเมตร อย่าง Tiger Lake เทคโนโลยีสุดล้ำ SuperFin
ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ ส่วนแรมได้ขนาด 8GB แบบ 2 x 8GB เป็นมาตรฐาน Bus 3200 MHz ตามเทคโนโลยีของ Intel Core i Gen 11 ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหนือชั้น พร้อมให้ที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe ความเร็วสูง ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 แบบลื่นไหลอย่างที่สุด ในทุกๆ การทำงาน
การ์ดจอเป็นแบบออนบอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับที่ก้าวกระโดดกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นหรือระดับสูง รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K / 8K ได้แบบไม่มีปัญหา เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มพลังการสร้างสรรค์คอนเทนต์ มองหาความบันเทิง หรือการเล่นเกมเปี่ยมอรรถรส ประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกเลยทีเดียว ซึ่งสามารถเล่นเกม 3 มิติ พอได้บ้าง เดี๋ยวไปดูผลทดสอบกันอีกที
โดยมีการ์ดจอแยกตัวแรงคุ้มค่าอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q จากที่สเปกภายในได้รับการอัพเกรดขึ้น เห็นได้ชัดจากแรมการ์ดจอจะเป็น 4GB GDDR6 แทนที่รุ่นก่อนที่เป็น 4GB GDDR5 และเป็นรุ่น Max-Q เน้นใช้งานกับ Gaming Notebook ที่บางกว่ารุ่นปกติแต่ก็ยังแรงลื่นพอตัว เพราะเน้นประหยัดพลังงานและปลดปล่อยความร้อนที่น้อยกว่า และแม้ไม่มีฟีเจอร์อย่างที่ใน RTX Series มี แต่ก็ตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ทั้ง 15 / 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรุ่นแรงอย่าง Core i7 รุ่นก่อนๆ ก็จัดว่ามีคะแนนใกล้เคียงกัน รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงพอตัวอยู่แล้ว เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนตระกูล U ของ Intel Core i Gen 11 ในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 1TB แบบ M.2 NVMe PCIe ระดับสูงสุดๆ แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 4921 MB/s และเขียนที่ 2417 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมที่น่าประทับใจมากๆ
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง ภคถุ คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาสเปก Intel Core i Gen 11 ที่สามารถทำงาน 3 มิติได้ จากการที่มีการ์ดจอแยกอย่าง GTX 1650 Max-Q ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากพอสมควร ระดับเทียบเท่า Desktop สบายๆ
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-1185G7 ทำงานร่วมกับการ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ทำให้ประสิทธิภาพออกมาได้ดีเยี่ยม เทียบเท่า Gaming Notebook ตัวแรงแบบสบายๆ ทีเดียว
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V/ FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดย Battlefield V เปิด DX12 ทำให้ภาพสวยงาม แต่ก็กินทรัพยากรเครื่องพอตัวอยู่
เกมออนไลน์กินสเปกเบาๆ หน่อยอย่าง DOTA 2 / Overwatch รวมไปถึง PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 60 ขึ้นไปตลอด ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ แบบไร้กังวล
ที่สำคัญยังมีซอฟต์แวร์ MSI Center for Business & Productivity ซึ่งปรับมาจาก Creator Center อีกที เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่ออกแบบและพัฒนาโดย MSI ซึ่งคล้ายกับ Dragon Center เป็นโปรแกรมที่เป็นจุดเด่นของ Gaming MSI ก็ถูกมาปรับใช้ใน MSI Prestige 15 นี้ด้วย จุดเด่นคือใช้งานง่ายและสามารถช่วยเหลือ
พร้อมจัดการการปรับแต่งตั้งค่า MSI Notebook ได้อย่างลงตัว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลน์ของทาง MSI ก็ว่าได้ ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยหน้าเมนูมีอาทิเช่น Creator Mode / System Monitoring / System Tuner Battery Master / Tools & Help
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน MSI Prestige 15 เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 8:30 ชั่วโมงโดยประมาณ
ถือว่าใช้งานแบตเตอรี่ได้ไม่ยาวนานอย่างที่เคลมเอาไว้ว่าที่ 16 ชั่วโมง แต่โดยส่วนตัวก็ถือว่ายอมรับได้ (ใช้ได้นานมากแล้ว) จากการที่น้ำหนักเบาตัวเครื่องบาง พกพาอแดปเตอร์ไปอีกตัวก็พอไหวอยู่ พร้อมความสามารถ PD ที่ชาร์จไฟกลับเข้าไป 15 นาที เครื่องก็สามารถใช้งานได้ยาวนาน 2 ชั่งโมงแล้ว
สำหรับอุณหภูมิทดสอบด้วยโปรแกรม Hardware Monitor ในส่วนของชิปประมวลผลได้ แต่จากการทดสอบเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 60 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 26 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ตลาดหลายชั่วโมง ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด
ประสิทธิภาพโดยรวมยังลื่นไหลอยู่ ซึ่งชิปประมวลผลร้อนสุดๆ ที่ 100 องศาเซลเซียส นับว่าค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่เกินไปกว่านี้แน่นอน เพราะระบบยังคงควบคุมอยู่ โดยจะเป็นการลดความเร็วลงไป ในส่วนของการ์ดจอจะร้อนสุดอยู่ที่ 69 องศาเซลเซียส ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่มีฟีเจอร์ Cooler Boots แต่ถ้าใช้งานทั่วไป พัดลมแทบไม่มีเสียงเลย เพราะว่าควบคุมความร้อนขณะใช้งานพื้นฐานได้เป็นอย่างดี
Conclusion / Award
ในปี 2021 MSI ได้มีความตั้งใจในการนำเสนอโน้คบุ๊คสายทำงาน Content Creator แบบมืออาชีพออกมาใหม่เรื่อยๆ โดยเน้นประสบการณ์ใช้งานสูงสุด จากการที่ปกติเราจะเห็นแต่สาย Gaming ถึงเวลาที่ MSI จะต้องออกผลิตภัณฑ์ตระกูล Prestige ตัวใหม่ สเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 Tiger Lake ที่ใหม่ล่าสุดและเลือกใช้รุ่นแรงสุด พร้อมการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q
พร้อมนำมาประยุกต์เข้ากับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และตัวเองถนัด อย่างการนำข้อดีต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ตระกูล Gaming มาทำให้มีความเป็นมืออาชีพ เหมาะสำหรับการทำงานที่เกี่ยวข้องกับภาพ และงานกราฟฟิกต่าง ๆ อีกทั้งยังเหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษาที่ต้องการโน๊ตบุ๊คไว้ใช้ทำงานหรือเรียนด้านกราฟิกเป็นหลัก แล้วก็อาจจะไปนำเล่นเกมได้บ้าง
MSI Prestige 15 จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสเปก Core i Gen 11 ที่แรงที่สุดในตลาดตอนนี้ เหมาะสำหรับมืออาชีพสายต่างๆ อาทิ ยูทูปเบอร์, ช่างภาพ, อนิเมเตอร์ และนักดนตรี ด้วยหน้าจอ 15.6″ 4K Ultra HD สุดบางเฉียบ ดีไซน์ภายนอกมีจุดเด่นเรื่องความบางเบา และมีประสิทธิภาพเยี่ยม ทำให้มันกลายมาเป็น Ultrabook ที่มีขนาดกระทัดรัด
ดีไซน์ภายนอกจะเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีเงิน เพื่อให้มีความเรียบหรูมากขึ้น และมาพร้อมกับไฟคีย์บอร์ดสีขาว ทัชแพดก็มีขนาดที่ใหญ่โตมากๆ มีที่สแกนลายนิ้วมือด้วย โดยที่วัสดุตัวเครื่องจะทำมาจากอะลูมิเนียม และมีน้ำหนักเพียง 1.65 กิโลกรัม เบามาก พกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้ สบายๆ
โดยเฉพาะในแง่ของการดีไซน์ MSI Prestige 15 มีเอกลักษณ์ทันสมัยแต่ก็ต้องบอกว่ายังมาในรูปแบบเดิมๆ แข็งแรงด้วยโลหะวัสดุอลูมิเนียมและสีสันเงิน Urban Silver ใครที่ต้องการโน๊ตบุ๊คพกพาเน้นทำงานเป็นหลักสายจริงจัง หรือจะเล่นเกมบ้างก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว พร้อมตัวเครื่องทนทานระดับ MIL-STD 810G ทำให้มั่นใจได้เลยว่าตัวเครื่องจะมีความแข็งแกร่ง
ในส่วนของหน้าจอก็จัดได้ว่าเป็นหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ดีที่สุดในตลาด เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีมากๆ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพแบบสุดๆ ขอบหน้าจอก็บางเฉียบตัวเครื่องก็เล็กกระทัดรัด เน้นพกพาสุดๆโดยแบตเตอรี่จากการใช้งานจริงๆ ทดสอบได้ที่ 8:30 ชั่วโมง นับได้ว่าแทบไม่ต้องพกอแดปเตอร์ออกไปด้วยแล้ว
แต่จะพกพาไปด้วยก็ไม่เป็นไรเพราะก็ไม่ใหญ่โตมาก พร้อมทั้งตัวเครื่องยังมีพอร์ต Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ต ซึ่งเป็น USB-C ที่ต้องบอกว่าเป็นพอร์ตที่ดีที่สุดแล้ว นอกจากนี้การเชื่อมต่อไร้สายยังเป็น Wi-Fi 6 AX201 แบบ 2×2 ที่ปลอดภัยและแรงกว่าเดิม 3 เท่าอีกด้วย
สรุปแล้วสำหรับ MSI Prestige 15 เหมาะสำหรับคนหรือใครที่กำลังมองหาโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ สเปก Core i Gen 11 เน้นประสบการณ์ใช้งานที่ดีที่สุดบางเบาที่สุดรุ่นหนึ่งในงบประมาณที่ 5x,xxx บาท เพราะมาพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงเหมาะกับการทำงานทั่วไป หรือหนักๆ อย่างตัดต่อวีดีโอ
ที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก หรือถ้าจะเล่นเกมบ้างก็สามารถทำได้ดีลื่นไหล ทั้งจากรูปลักษณ์และใช้งานจริง สมราคาค่าตัว เหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คสเปกทั่วไป หรือกรณีที่อยากได้สเปกแรงแต่ไม่อยากได้ดีไซน์แบบ Gaming Notebook
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6″ ด้วยกัน ซึ่ง MSI Prestige 15 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Performance
ชิปประมวลผลเป็น Inte Core i7-1185G7 ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด ประสิทธิภาพแรงด้วย AI สุดล้ำช่วยทำงาน พร้อมกราฟิการ์ดตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Max-Q ทั้ง 2 อย่างนี้แรงเหลือเฟือในการใช้งานทั่วไป มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 1TB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 32G DDR4 Bus 3200MHz แน่นอนทั้งตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต้องอัพเกรดอะไร ลื่นไหลที่สุดอย่างไร้กังวล รองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล โดดเด่นด้วยหน้าจอ 4K Ultra HD
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ MSI Prestige 15 อยู่ในระดับที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบและน้ำหนักเบาเพียง 1.65 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมอแดปเตอร์ก็เบาและเล็กกว่าปกติมากๆ ถือว่ามีการพัฒนาไปในทุกส่วน ความทนทานระดับ Military Grade พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ แม้แบตอาจจะใช้งานได้ไม่ถึง 16 ชั่วโมงจริงๆ ตามที่เคลมไว้ก็ตาม แต่ 8:30 ชั่วโมงก็ถือว่าใช้งานแบตได้นานมากแล้ว พอร์ตการชาร์จก็ยังเป็นมาตรฐาน USB-C ที่สะดวกต่อทุกอุปกรณ์
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ MSI ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน MSI Prestige 15 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวในมิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม ขอบจอบางเฉียบ แต่มีการออกแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ออกแนวพรีเมียมและเรียบหรูมากยิ่งขึ้น พร้อมกับใช้สี Urban Silver กับตัวเครื่องด้านนอกและสีเทากับตัวเครื่องด้านในตลอดทั้งตัวเครื่อง การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันพรีเมียมด้วยวัสดุอลูมิเนียม ตลอดทั้งตัวเครื่อง อีกทั้งยังใช้ diamond-cutting สีเงินหรูหราตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาเชื่อได้ว่าหลายๆ คนส่วนมากต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน