ASUS TUF Dash F15 (FX516PR) เป็น Gaming Notebook รุ่นแรกของไทยพร้อมขายก่อนใคร มาในดีไซน์การออกแบบที่บางเบากว่า TUF ปกติ เพราะมีการใช้ DNA ของ ROG เพิ่มเข้ามา สเปกใหม่ล่าสุดด้วยชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 (Tiger Lake-H) อย่าง Core i7-11370H ตัวแรงประสิทธิภาพสูงแต่ร้อนน้อยกว่ารุ่นก่อนๆ เทคโนโลยี 10 นาโนเมตร ที่ดีขึ้นในทุกๆ ด้าน เรียกได้ว่ามีการพัฒนาอย่างแท้จริง
ส่วนการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3070 รุ่นใหม่เช่นกัน จัดเต็มเรื่องของการทำงานและการเล่นเกม ที่เหนือชั้นกว่า RTX 20 Series จากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คระดับกลางค่อนไปทางบนของ ASUS สาย Gaming ที่เน้นความพรีเมียม การพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ แบตยาวนานสูงสุดกว่า 12 ชั่วโมง ทำงานก็ดีเยี่ยมเล่นเกมก็ได้ดีกว่าเดิมมากๆ แสดงผลผ่านทางหน้าจอ 15.6″ Full HD IPS ที่ Refesh Rate 240 Hz
รุ่นนี้ที่เรานำมารีวิวจะเป็น ASUS TUF Dash F15 รุ่นราคาอยู่ที่ 48,990 บาท ส่วนสเปกอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน มาพร้อมกับแรมขนาด 16GB ที่ดีเยี่ยมกว่ารุ่นก่อน อีกทั้งได้ที่เก็บข้อมูลมาเป็นแบบ SSD M.2 ความจุ 1TB พร้อมระบบปฏิบัติการ Windows 10 ประกันก็เป็น 2 ปีตามาตรฐาน ASUS ที่สามารถเคลมผ่านทางร้าน 7-11 ได้ และประกันอุบัติเหตุในปีแรกด้วย นับได้ว่าเป็น Gaming Notebook ปี 2021 ที่น่าซื้อที่สุดรุ่นนึงทีเดียว
VDO Review
NBS Verdict
ASUS TUF Dash F15 (FX516PR) นับว่าเป็นมาตรฐาน Gaming Notebook บางเบาพกพาสะดวกยุคใหม่ที่จัดเต็มในทุกๆ มิติ โดยใช้ชิปประมวลผล Intel Core i7-11370H ซึ่งได้เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร สถาปัตยกรรม Tiger Lake-H ส่งผลให้แรงขึ้นแต่ร้อนน้อยลง พร้อมทั้งทำงานด้วยความเร็ว 3.30 – 4.80GHz โดยเป็นแบบ 4 คอร์ 8 เธรด พร้อมการ์ดจอออนชิป Iris Xe Graphics ที่สร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ อีกทั้งยังได้แรมมาตรฐานเป็น Bus 3200MHz ขนาด 16GB ซึ่งก็เป็นส่วนช่วยเรื่องของประสิทธิภาพที่สำคัญทีเดียว
ที่นอกจากชิปประมวลผลตัวแรงแล้ว การ์ดจอแยกก็ใช้เป็นรุ่นที่ประสิทธิภาพแรงลื่นระดับสูงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3070 ซึ่งก็สามารถทำงานประสานร่วมกันเป็นอย่างดี พร้อมด้วย SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB ที่ได้ความเร็วระดับ 3500 MB/s อีกทั้งได้หน้าจอพาเนล IPS ที่ Refresh Rate 240Hz พร้อม Adaptive Sync ก็ถือว่าให้ประสบการณ์ใช้งานที่เยี่ยมยอด ร่วมไปถึงฟีเจอร์อื่นๆ ด้วยตัวเครื่องบางเบาพกพาสะดวก แบตยาวนานกว่า 11 – 12 ชั่วโมง พร้อมพอร์ต Thunderbolt 4 ที่สำคัญคือจัดการอุณหภูมิได้ดีด้วย จากเทคโนโลยีการระบายความร้อนที่ดีและเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ต่างๆ ที่ดียิ่งขึ้น
เรียกได้ว่าใครกำลังมอง Gaming Notebook ตัวแรงลื่นรุ่นใหม่ล่าสุด ที่อยากได้ดีไซน์เรียบหรูดูดี เบาแค่ 2 โล ตัวเครื่องแข็งแรงทนทานมาตรฐานมาตรฐานแบบกองทัพ MIL-STD-810H ทำงานก็สะดวกเล่นเกมก็ลื่นไหล ก็ขอแนะนำให้ไปซื้อ ASUS TUF Dash F15 (FX516PR) กันได้เลย แม้ว่าจะไม่มีกล้องเว็บแคมในตัวตามสไตล์ของ ROG Zephyrus ที่เป็นต้นแบบมา และแรมเป็นแบบฝังบอร์ดมา 1 แถว แต่นอกนั้นก็ต้องบอกว่าสมบูรณ์แบบจริงๆ ด้วยราคา 44,990 – 48,990 บาทก็ถือว่าคุ้มค่าน่าซื้อกว่ารุ่นปีก่อนๆ เยอะทีเดียว โดยพร้อมวางจำหน่ายผ่านทางตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศตามช่องทางอื่นๆ แล้วด้วย
จุดเด่น ASUS TUF Dash F15
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจตามสไตล์ TUF + ROG Zephyrus งานประกอบแน่นวัสดุดี
- ขอบหน้าจอบางพิเศษ มิติเทียบเท่ารุ่น 14″ ตัวเครื่องเบา 2 กิโลกรัม และบางที่ 19.9 มิลลิเมตร
- ประสิทธิภาพสูงด้วยชิปประมวลผลสถาปัตยกรรมรุ่นใหม่อย่าง Intel Core i7-11370H แรงลื่นกว่า ร้อนน้อยกว่า
- การ์ดจอแยกตัวแรงรุ่นล่าสุด NVIDIA GeForce RTX 3070 ที่ทรงพลังกว่ารุ่น RTX 20 Series ในทุกด้าน
- แรมขนาด 16GB Bus 3200 MHz แบบ Dual Channel มาตรฐานใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพไปอีกขั้น
- ติดตั้ง SSD M.2 NVMe PCI ความจุ 1TB ความเร็วแรงสูง รองรับการอัพเกรดอีก 1 สล็อต
- ได้หน้าจอพาเนล IPS คุณภาพดี sRGB ใกล้เคียง 100% พร้อมรองรับ Refresh Rate ที่ 240Hz
- อุณหภูมิในการใช้งานถือว่าจัดการได้ดี ไม่ร้อนจนเกินไป มีระบบไล่ฝุ่นอัตโนมัติ
- พอร์ตการเชื่อมต่อครบครันด้วย Thunderbolt 4 รองรับ DisplayPort / และชาร์ไฟด้วย USB PD ได้
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 11 – 12 ชั่วโมง
- มีซอฟต์แวร์ Armory Crate มาช่วยปรับแต่งการใช้งาน
- มาพร้อม Windows 10 ใช้งานได้ทันที มีความสเถียร์ของไดร์เวอร์
- ประสบการณ์ใช้งานดีเยี่ยม ประทับใจมาก เมื่อเทียบกับราคา
- ประกัน 2 ปี ส่งศูนย์แบบทั่วโลก พร้อมฝากส่งเคลม 7-11 และมีประกันอุบัติเหตุ 1 ปี
ข้อสังเกต ASUS TUF Dash F15
- ไม่มี SD Card Reader แต่พอหาซื้อมาเป็นอุปกรณ์เสริมเพิ่มได้
- ไม่มีกล้องเว็บแคม ถ้าใช้งานต้องหามาติดตั้งเอง
- แรมออนบอร์ดขนาด 8GB มา 1 แถว ทำให้เพิ่มได้สูงสุดที่ 24GB
Specification
ASUS TUF Dash F15 ที่ได้รับมารีวิวเป็นเครื่องขายจริง มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-11370H เป็นสถาปัตยกรรม Tiger Lake-H เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร SuperFin ที่เหนือชั้น ความเร็ว 3.30 – 4.80 GHz แบบ 4 Core/ 8 Thread ผสานกับการ์ดจอออนบอร์ดที่เป็น Iris Xe Graphics ที่นับว่าดีที่สุด รองรับการแสดงผล 4K / 8K ส่วนการ์ดจอแยกจะเป็น NVIDIA GeForce RTX 3070 (8GB GDDR6) ที่ใช้สถาปัตยกรรม Ampere โดยเป็น RTX เจนที่ 2 โดยเน้นให้มีความร้อนที่น้อยกว่าแต่ทรงพลังในการเล่นเกมที่เต็มประสบการณ์กว่ารุ่นก่อนหน้าในทุกๆ ด้าน
ในส่วนของแรมได้มาขนาด 16GB Bus 3200MHz แบบ Dual Channel (8GB x 2 โดยออนบอร์ดมาแล้ว 1 แถว) มาพร้อมกับที่เก็บข้อมูลแบบ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB ที่มีความลื่นไหลแบบสุดๆ อีกทั้งยังรองรับการติดตั้งอัพเกรดเพิ่ม SSD M.2 มาให้อีก 1 ช่อง โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้าคือได้หน้าจอขนาด 15.6″ ความละเอียด Full HD ที่ 1920 x 1080 พิกเซล พาเนล IPS เกรดคุณภาพสูง รองรับ Refresh Rate ที่ 240Hzให้ความลื่นไหลอย่างที่สุดด้วย พร้อมเทคโนโลยี Adaptive Sync ทำให้ภาพไม่ฉีกขาด (Tearing)
นอกจากนี้รายละเอียดอื่นๆ ของ ASUS TUF Dash F15 ก็จะมีระบบเสียง DTS:X Ultra และ Hi-Res audio แบบ 3D Surround พร้อมพอร์ตการเชื่อมต่อครบครัน ทั้ง 3 x USB 3.2 Gen 2 Type-A และ Thunderbolt 4 ที่เป็นพอร์ตที่ดีที่สุด ระบบการเชื่อมต่อไร้สายเป็นมาตรฐานใหม่อย่าง Intel Wi-Fi 6 AX (2×2) และ Bluetooth 5.1 พร้อมติดจั้งระบบปฎิบัติการติดตั้ง Windows 10 แท้ และซอฟต์แวร์ Utility อย่าง Armory Crate มาให้ในตัว โดยมีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือไม่ได้ติดตั้งกล้องเว็บแคมมา ถ้าใครจะใช้ต้องหามาติดตั้งเอง
การรับประกัน 2 ปีแบบทั่วโลก ที่สำคัญเมื่อเอาซีเรียลไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ ASUS จะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรี 1 ปีแรกจากทาง ASUS อีกด้วย อุ่นใจจัดเต็ม จัดได้ว่าเป็นมาตรฐานการรับประกันของทาง ASUS ปกติ สนนราคาของ ASUS TUF Dash F15 เริ่มต้นอยู่ที่ 44,990 บาท แต่รุ่นที่เรานำมารีวิวเป็นรุ่นราคา 48,990 บาท จัดว่าทั้ง 2 สเปกคุ้มค่าไม่แพงเลย
ASUS TUF Gaming Dash F15 FX516PR-HN033T ราคา 44,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i7-11370H
-
GPU : Intel Iris Xe Graphics + NVIDIA GeForce RTX 3070
-
RAM : 16GB DDR4 Bus 3200 MHz (Onboard)
-
DISPLAY: 15.6P IPS Full HD 144Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 512GB
-
OS : Windows 10 Home (64 Bit)
ASUS TUF Gaming Dash F15 FX516PR-AZ019T ราคา 48,990 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i7-11370H
-
GPU : Intel Iris Xe Graphics + NVIDIA GeForce RTX 3070
-
RAM : 8GB DDR4 Bus 3200 MHz (Onboard) + 8GB
-
DISPLAY: 15.6P IPS Full HD 240Hz
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 1TBB
-
OS : Windows 10 Home (64 Bit)
Hardware / Design
ASUS TUF Dash F15 เป็นหนึ่งในซีรีส์ TUF ที่มีความใกล้เคียง ROG ไปอีกขั้น จากการที่นำดีไซน์ที่เน้นความบางเบามากกว่า Gaming Notebook ทั่วไป โดยมีความบางสุดที่ 19.9 มิลลิเมตร มาพร้อมน้ำหนักเบาที่ 2 กิโลกรัม รวมไปถึงแบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานกว่า Gaming Notebook ทั่วไปกับขนาดหน้าจอขอบบางที่ 6.2 มิลลิเมตร ขนาด 15.6″ สัดส่วนเป็น 81% ทำให้มิติโดยรวมมีความเล็กกระชับพกพาได้สะดวกยิ่งกว่ากับหน้าจอขนาด 15.6″ ความละเอียด Full HD พาเนล IPS รองรับ Refresh Rate ที่ 240Hz
การออกแบบหลักๆ เน้นความดุดันแต่ก็มีความเรียบง่าย พร้อมแข็งแกร่งสไตล์ TUF ที่ย่อมาจาก The Ultimate Force ด้วยวัสดุเป็นโลหะฝาหลังเป็นอลูมิเนียมอัลลอยด์พร้อมลวดลาย TUF ขนาดใหญ่ที่ขอบซ้าย พร้อมโลโก้แบบใหม่ที่มุมขวาบน พร้อมกันนั้นยังมี V-Shaped ที่ขอบด้านล่าง ทำให้ไม่บดบังช่องระบายความร้อน ที่นับว่าเป็น DNA ของโน้ตบุ๊คเล่นเกมของ ASUS เรียกได้ว่าดูเป็น Gamer สายจริงจังขั้นกว่า ที่นำไปพกพาทำงานก็ลงตัวสุดๆ ดูแล้วไม่ได้มีความเป็น Gaming เกินไปนัก
แน่นอนว่าตัวเครื่องเลือกใช้วัสดุเป็นโลหะทั้งหมดของชิ้นส่วนฝาหลัง ซึ่งด้านในก็น่าสนใจไม่แพ้กันกับการเป็นพลาสติกคุณภาพสูง มีความแข็งแรงทนทาน ผ่านมาตรฐาน Military-Gradeได้รับการทดสอบเพื่อให้ได้คุณภาพตรงตามมาตรฐานกองทัพ US MIL-STD-810G ที่มีความเข้มงวดเป็นพิเศษ ให้ความมั่นใจในความทนทานต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการตกกระแทก แรงสั่นสะเทือน หรือแม้แต่การใช้งานเครื่องในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงและต่ำเป็นพิเศษ โดยยังคงไว้ซึ่งความพรีเมียม ระบบระบายความร้อนที่มีความล้ำหน้าไม่เป็นรอง ROG Series เลย
ตัวเครื่องในทุกมิติเน้นความเป็นทรงแบบเหลี่ยมมุมตลอดทั้งตัวเครื่อง เรียกได้ว่าแทบไม่มีความโค้งเว้าใดๆ ซึ่งดูแล้วมีความสมมาตรลงตัว ขอบของตัวเครื่องรวมไปถึงขอบด้านหลังนั้นถูกออกแบบมุมมาเป็นอย่างดี พร้อมรูปแบบขอบหน้าจอเป็นแบบบานพับสองแกนดูแล้วแข็งทนทานกางหน้าจอได้ประมาณ 145 องศา พร้อมเว้นขอบเอาไว้โชว์ไฟแสดงไฟ LED การทำงานต่างๆ ส่วนด้านท้ายและขอบเครื่องทางขวาจะเห็นถึงช่องระบายความร้อนขนาดใหญ่ 4 ช่อง 2 สองพัดลมขนาดใหญ่ ทำงานร่วมกับระบบ ASUS Intelligent Cooling
ส่วนด้านฐานของตัวเครื่องวัสดุพลาสติกที่แข็งแรง งานประกอบเรียบร้อย พร้อมอากาศเย็นผ่าน โดยมีช่องดูดลมเย็นขนาดใหญ่ด้านล่างใต้เครื่อง และยางรองด้านหลังช่วยยกตัวเครื่องให้สูงยิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งยังมีช่องด้านบนเหนือคีย์บอร์ดมีช่องดูดลมอีกช่องช่วยนำพาอากาศเย็นเข้าไปอีก อีกทั้งมีระบบไล่ฝุ่นอัตโนมัติ Anti-Dust Cooling ส่งผลให้ไม่มีความร้อนสะสมขึ้นในอนาคต พัดลมคู่ n-Blade หมุนใบพัดมากถึง 83 ใบ เทคโนโลยี Liquid-Crystal Polymer ที่มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งทำงานร่วมกับท่อความร้อนจำนวน 5 ท่อดึงความร้อนออกจาก CPU / GPU ได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
จุดเด่นที่สุดของ ASUS TUF Dash F15 ที่เป็น Gaming Notebook รุ่นแรกที่มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11(Tiger Lake-H) รุ่นแรก ได้ตัวบางเบาแต่แรง พร้อมติดตั้งการ์ดจอ NVIDIA GeForce RTX 3070 โดยทั้งคู่จะมีสติ๊กเกอร์ติดไว้ที่ตัวเครื่องบริเวณที่วางข้อมือพร้อมฟีเจอร์อื่นๆ อย่างชัดเจน การันตีเรื่องของประสิทธิภาพความแรงภายใน นอกจากนั้นยังมีเรื่องของสติ๊กเกอร์การรับประกันแบบ Prefect Warranty ระยะเวลา 1 ปีจากทาง ASUS ที่เป็นอุบัติเหตุตัวเครื่องอย่างที่ไม่มีใครเหมือนด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ ASUS TUF Dash F15 จะอยู่บนพื้นฐานการออกแบบของตระกูล TUF ที่เน้นสายเกมเมอร์เป็นหลักด้วยสเปกภายในที่ทรงประสิทธิภาพทั้งชิปประมวลผลและการ์ดจอแยก พร้อมรองรับสำหรับคนที่นำไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ ได้เต็มรูปแบบ รวมไปถึงพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ ก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ทั้งหมด ทั้งจากฟีเจอร์ และสเปกแรงล้ำกว่ารุ่นก่อนๆ รวมไปถึงหน้าจอก็ใหญ่ที่ 15.6″ แต่ตัวเครื่องเทียบเท่า 14″ ทำให้ใช้งานได้เต็มตามากขึ้น แม้ดีไซน์รวมๆ มีกลิ่นอายคล้ายกับ ROG Zephyrus G15 แต่ก็มีการปรับหลายๆ ส่วนให้ดียิ่งขึ้น
สรุปสั้นๆ สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องของ ASUS TUF Dash F15 ต้องบอกว่า ASUS ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ด้วยวัสดุคุณภาพสูงและสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ที่ต้องการ Gaming Notebook บางเบาได้อย่างลงตัว ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก จากแต่ก่อนแทบเป็นไปไม่ได้ที่ความแรงระดับนี้ จะอยู่บนตัวเครื่องที่บางและเบาแบบนี้ แต่ตอนนี้ทาง ASUS ทำออกมาได้แล้ว ในประสิทธิภาพและฟีเจอร์ที่ล้ำหน้ากว่า ในราคาที่จัดว่าคุ้มค่ามากๆ
Keyboard / Touchpad
ASUS TUF Dash F15 เป็นคีย์บอร์ดมีไฟ LED สีฟ้าสีเดียว กับสีที่บ่งบอกถึง TUF รุ่นนี้ ให้ความสะดวกด้วยปุ่ม Spacebar ด้านมุมล่างซ้ายก็ทำแหว่งออกมานิดหนึ่งเพื่อให้ใช้นิ้วโป้งซ้ายกดง่ายขึ้น แต่ละปุ่มมีมุมโค้งขนาด 0.25 มิลลิเมตร เข้ากับนิ้วมือเวลากดลงไปสุดๆ โดยระยะของปุ่มที่เลื่อนลงไปเพียง 1.7 มิลลิเมตร อีกทั้งปุ่มรุ่นใหม่นี้ยังช่วยให้การพิมพ์มีเสียงรบกวนต่ำกว่า 30 เดซิเบลด้วยกัน
พร้อมเทคโนโลยี OverStroke เพื่อการกดรัวที่ดียิ่งขึ้นด้วยปุ่ม N-key rollover & anti-ghosting และอายุคีย์บอร์ดที่สามารถกดได้ 20 ล้านครั้ง รวมถึงสามารถมีฟังก์ชั่น Hot Key เพิ่มลดเสียง เปิดปิดไมค์ และเรียกซอฟต์แวร์ Armory Crate ขึ้นมา ซึ่งตัวปุ่มต่างๆ ออกแบบมาสำหรับเกมเมอร์หรือคนทำงานอย่างแท้จริง
ทัชแพดเองขนาดใหญ่แบบซ้อนปุ่ม ซึ่งการใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นสะดวกสบาย ปุ่มนุ่มกดง่าย การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจมาก ตัวซอฟต์แวร์ควบคุมก็ช่วยจัดการได้ดี ฟีเจอร์ Multi-touch หรือ Smart Gesture ที่สามารถใช้งานควบคู่กับ Windows 10 ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญมีในส่วนของปุ่มลัดบนคีย์บอร์ดอย่าง F5 ทำให้ผู้ใช้สามารถสลับเปลี่ยนโหมดการใช้งานระหว่าง Turbo mode สำหรับประสิทธิภาพในการเล่นเกมระดับสูงสุด, Silen Mode ให้พัดลมทำงานเงียบที่สุด
Screen / Speaker
ASUS TUF Dash F15 มีหน้าจอขอบจอบางเฉียบเพียง 6.2 มิลลิเมตรทั้งขอบด้านข้างและด้านบนทำให้ไม่มีกล้องเว็บแคม ถ้าใช้งานต้องหามาติดตั้งเอง ขนาด 15.6″ ความละเอียด Full HD (1920×1080 พิกเซล) พาเนลเป็น IPS คุณภาพสูง มุมมองกว้าง พื้นผิวจอแบบด้าน Anti-Glare รวมๆ ทั้งสีสันความคมชัดแล้วจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม เหมาะกับการใช้งานระดับมืออาชีพ หรือการเล่นเกมจริงจังก็ทำได้อย่างน่าประทับใจ รวมไปถึงยังเป็นหน้าจอ Refresh Rate 240Hz / Respond Time 3ms ทำให้ใช้งานเล่นเกม FPS ฉากเคลื่อนไหวเร็วๆ ได้อย่างลื่นไหลกว่าหน้าจอทั่วไปที่เป็นเพียงแค่ 60Hz หรือ 144Hz ไปอีกระดับ
ทดสอบหน้าจอที่แม้จะเป็นพาเนล IPS แต่ก็มีหลายเกณฑ์ โดยการดูประสิทธิภาพต่างๆ นแต่ละด้าน ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสัน Gamut เทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB 92% และ AdobeRGB 71% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันระดับสูง ถือว่าดีกว่า TUF รุ่นก่อนชัดเจน ส่วนความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดีกว่ามาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊ค พอสู้แสงกลางแจ้งได้ รวมไปถึงการทำงานภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพทั่วไป รองรับกับการทำงานจริงจังเรื่องความแม่นยำของสีได้ลงตัว
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องกลางและมุมซ้ายบนเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ 300 cd/m2 แต่สำหรับช่องกลางล่างจะมีแสงสว่างที่ลดลงระดับ 14% ที่ถือว่ารับได้ ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ถือว่าดีตามมาตรฐานของ Gaming Notebook ปี 2021 ทั่วไปมากทีเดียว
ตัวเครื่อง ASUS TUF Dash F15มีช่องลำโพงคู่อยู่ขอบตัวเครื่องข้างๆ ซ้ายขวา คุณภาพสูง พร้อมระบบ DTS: X Ultra ให้เสียงที่ดังขี้น 1.8 เท่า เบสดีขี้น 2.7 เท่า ให้เสียงรอบทิศทาง 7.1 แชนแนล ให้ระดับเสียงที่ดังและสมจริง เพื่อให้ได้รับประสบการณ์ระบบเสียงชั้นยอดอีกด้วย ให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ด้วยขอบเขตเสียงที่กว้าง จากการที่เสียงกลางแหลมออกชัดเจนดี ส่วนทุ้มมีออกมาหน่อยๆ แม้จะไม่มีลำโพงซัฟวูฟเฟอร์ก็ตาม
ในเรื่องคุณภาพเสียงนั้นถือว่าดีมากๆ ทั้งเรื่องคุณภาพและความดัง ซึ่งหากว่าเพื่อนๆ เป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบรู้สึกได้ทันที อีกทั้งยังมีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันด้วยเสียง (Voice Calls) จะชัดเจนกว่าที่เคยด้วยระบบตัดเสียงรบกวนแบบสองทางที่ทำงานด้วย AI จากการที่มีการติดตั้งตัวตัดเสียง 4 ช่อง ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ขอบหน้าจอตัวเครื่องด้านล่างอีกด้วย
Connector / Thin And Weight
ด้านพอร์ตการเชื่อมต่อตัวเครื่อง ASUS TUF Dash F15 จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาที่มีพอร์ตเชื่อมต่อมาให้ครบครับใช้ได้เลยทีเดียว โดยตัวพอร์ตจะอยู่ด้านซ้ายและขวาของตัวเครื่อง โดยมีทั้ง USB 3.2 Type-A (Gen 2) จำนวน 3 พอร์ต รองรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่หลากหลาย อย่าง Thunderbolt 4 ซึ่งนอกจากการโอนถ่ายข้อมูลที่ความเร็ว 40Gbp/s แล้ว ยังรองรับการชาร์จไฟเข้าเครื่องด้วย
กับอแดปเตอร์ก็เป็น USB-C หรือ Power Bank ที่เป็น PD ด้วย อีกทั้งได้มาตรฐาน DisplayPort 1.4 เชื่อต่อความละเอียดสูงที่ 4K / 8K ได้ พร้อมช่องต่อหูฟังกับไมค์แบบ Combo ขนาด 3.5 มิลลิเมตร 1 ช่อง, LAN RJ45 และ HDMI ไว้เชื่อมต่อหน้าจอภานอก ส่วน Kensington จะอยู่ที่ด้านขวาไว้ล็อคตัวเครื่องกับโต๊ะ
ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สายจะใช้ Bluetooth 5.1 และ Intel Wi-Fi 6 AX (2×2) ซึ่งจะช่วยให้การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้มีความสเถียรมากยิ่งขึ้น ส่วนขนาดของตัวเครื่อง 360 x 252 x 19.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2 กิโลกรัม ถือว่าค่อนข้างเบาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับเกมมิ่งโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่นๆ และเมื่อรวมกับอแดปเตอร์ชาร์จไฟขนาด 200W เข้าไปด้วยจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 2.4 กิโลกรัมเท่านั้น พอแบกพกพาไปไหนมาไหนได้อยู่ไม่หนักมาก ถือมือเดียวก็สบายๆ หยิบจับไปไหนก็สะดวกทีเดียว
Inside / Upgrade
การแกะเครื่อง ASUS TUF Dash F15 เพื่อทำการอัพเกรดนั้นทำง่ายมากเพียงแกะน็อตออกทุกตัวแล้วใช้บัตรแข็งๆ ค่อยๆ แงะจากด้านหลังตรงแกนฝาพับตัวเครื่องแล้วค่อยๆ รูดไปตามแนวฝาหลังและแกะแผ่นออกมาทั้งหมด เมื่อแกะออกมาแล้วก็จะเห็นฮาร์ดแวร์หลายๆ ถูกออกแบบจัดระเบียบได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว มีพัดลมขนาดใหญ่เทคโนโลยี ASUS Intelligent Cooling พร้อมระบายความร้อนที่มี Anti-Dust Tunnels ที่อยู่ในชุดฟินสีดำพร้อมทำร่องเพิ่มหน้าสัมผัสอากาศ หมดกังวลเรื่องฝุ่นที่ติดตรงครีบระบายความร้อนจุดสังเกตที่เปลี่ยนไปคือตัวเครื่องเลือกใช้ฮีทไปป์ 5 เส้น เรียกได้ว่าเอาอยู่กับสเปกแบบนี้แล้ว
ซึ่งหลังจากที่แกะออกมาแล้วนั้นจะเห็นแผ่นสีดำ สีเทาแปะติดไว้อยู่ในหลายๆ ส่วนเพื่อกันไฟฟ้าสถิต และในส่วนของฮาร์ดแวร์ที่สามารถทำการอัพเกรดคือมีช่องใส่ SSD M.2 NVMe PCIe มาให้อีก 1 ช่อง โดยเดิมๆ ให้มาแล้ว 1 สล็อตอยู่แล้ว (รวมเป็น 2) ส่วนหน่วยความจำแรมขนาด 8GB แถวแรกเป็นแบบฝังบอร์ด และรองรับการใส่ 1 แถว ซึ่งใส่มาแล้ว 8GB อีกหนึ่งแถว รวมเป็น 16GB โดยใส่ได้รวมกันสูงสุด 32 GB โดดเด่นด้วยมาตรฐาน DDR4 Bus 3200 MHz จากที่เป็น Gaming Notebook บางเบานั่นเอง อีกทั้งไม่รองรับการใส่ฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5″ ตามรูปแบบของโน๊ตบุ๊คที่เน้นความบางเบา
Performance / Software
ASUS TUF Dash F15 ได้สเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-11370H ที่แรงกว่า Intel Core i7-10750H รุ่นก่อนหน้าแบบก้าวกระโดด ด้วยสถาปัตยกรรม Tiger Lake-H เน้นประสิทธิภาพมากกว่า Tiger Lake-U มาพร้อมกับเทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร SuperFin ความเร็ว 3.30 – 4.80 GHz แบบ 4 Core/ 8 Thread ร้อนน้อยกว่า ได้ L3 Cache ที่ 12MB Smart Cache มีค่าอัตราการใช้พลังงานสูงสุด (TDP) ที่ 35W ที่ต้องบอกเลยว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่จริงๆ โดยสามารถดูได้จากผลการทดสอบเล่นเกมที่ลื่นไหลกว่า Gaming Notebook สเปกเดิมๆ มาก
ส่วนหน่วยความจำแรมได้ขนาด 8GB จำนวน 1 แถวแบบฝั่งบอร์ด และ 8GB แบบปกติใส่เป็นช่องสล๊อตอีก 1 แถว รวมเป็น 16GB Dual Channel เป็นมาตรฐาน Bus 3200 MHz รองรับการอัพเกรดเพิ่มได้โดยการถอดแรม 8GB แถวเดิมออกไป แล้วใส่ 16GB แทนที่ ก็จะได้รวมกันสูงสุดเป็น 24GB พร้อมให้ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 1TB ที่ทั้งขนาดใหญ่ได้ความเร็วสูง ซึ่งมีช่องว่างใส่ SSD M.2 NVMe อีก 1 ตัวไว้อัพเกรดภายหลังได้ ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
การ์ดจอเป็นแบบออนบอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับที่ก้าวกระโดดกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นหรือระดับสูง รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K / 8K ได้แบบไม่มีปัญหา เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มพลังการสร้างสรรค์คอนเทนต์ มองหาความบันเทิง หรือการเล่นเกมเปี่ยมอรรถรส ประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกเลยทีเดียว ซึ่งสามารถเล่นเกม 3 มิติ พอได้บ้าง เดี๋ยวไปดูผลทดสอบกันอีกที
อีกทั้งยังมีการ์ดจอแยกรุ่นใหม่ล่าสุดตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3070 (8GB GDDR6) สถาปัตยกรรม Ampere โดยเป็น RTX เจนที่ 2 ที่ต้องบอกว่าแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าที่เทียบเคียงอย่าง GeForce RTX 2070 (8GB GDDR6) ซึ่งไม่ใช่แค่แรงแต่ยังร้อนน้อยกว่า เน้นใช้งานกับ Gaming Notebook ทุกประเภท ทั้งตัวหนาหนักและบางเบา รองรับ Ray Tracing ช่วยเพิ่มคุณภาพการแสดงแสงเงาให้แม้แต่เกมระดับ AAA ก็ยังสามารถปรับกราฟิกได้ถึง Ultra ให้ภาพสวยงาม ไหลลื่น สมจริงกว่าที่เคยมีมา เรียกได้ยิ่งตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH 15 / CINEBENCH 20 ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล Intel Core i7-11370H คะแนนก็อยู่ในระดับสูงน่าประทับใจสมกับเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจาก Intel Core i เปรียบเทียบกับชิปประมวลผล AMD Ryzen 7 4800H / Intel Core i7-10750H ก็ทำได้ดีกว่าแบบชัดเจนทีเดียว รวมไปถึงตัวการ์ดจอออนชิป Iris Xe Graphics และ RTX 3070 เองก็มีประสิทธิภาพสูงเช่นเดิม เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ที่กลายเป็นมาตรฐานของ Gaming Notebook ไปแล้ว โดยใช้เป็นเกรดสูงสุด ซึ่งทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าประทับใจมากๆ บนขนาดความจุ 1TB (1000GB) แบบ M.2 NVMe PCIe ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 3500 MB/s และเขียนที่ 3117 MB/s ที่ต้องบอกว่าเหนือชั้นกว่า ASUS TUF รุ่นก่อนๆ แบบก้าวกระโดดของจริง
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 6,241 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็น Gaming Notebook สเปกใหม่ล่าสุดจากชิปประมวลผล Intel Core i7-11370H มีการ์ดจอแยกระดับ Gaming ตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3070 ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คปีก่อนๆ มากพอตัว
สำหรับคะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 7 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 90 – 180 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ประกอบไปด้วย Resident Evil 3 Remak / Battlefield V / FarCry 5 / GTA V ที่เป็นเกมออฟไลน์ที่กินทรัพยกร รวมไปถึงเกมออนไลน์ยอดนิยมอย่าง PUBG / DOTA 2 / Overwatch ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง RE 3 / BF V / GTA V / FarCry 5 ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด !!! จากกราฟตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าเฟรมเรทที่ออกมานั้นมีความลื่นไหลสุดๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว ซึ่งถ้าอยากให้เฟรมเรทลื่นไหลกว่านี้ก็สามารถเลือกปรับกราฟิกระดับกลางๆ ก็ได้ โดยในส่วนของ RE 3 ซึ่งเป็นเกมออกใหม่ล่าสุด เราปรับกราฟิกในเกมเป็น MAX ที่ใช้แรมการ์ดจอไปกว่า 12GB ซึ่งเกินกว่าตัวการ์ดจอที่ 6GB แต่ก็ยังทำเฟรมเรทได้ลื่นไหลน่าเหลือเชื่อจริงๆ
ต่อกันที่เกมออนไลน์อย่าง PUBG / Overwatch / DOTA 2 ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็ไม่มีอาการช้าหรือหน่วงเลย ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ อยู่ ทั้ง 7 เกมที่เราได้ทำการทดสอบไป ยิ่งถ้าเทียบกับ Gaming Notebook สเปกก่อนหน้าทั้งส่วนของ AMD Ryzen หรือ Intel Core i จะเห็นว่าแรงกว่าเดิมมากๆ
นอกเหนือจากนี้ ASUS TUF Dash F15 ยังมี Armory Crate ซอฟต์แวร์ Utility เวอร์ชั้นล่าสุด ที่ใช้กับ Gaming Notebook ทั้ง TUF และ ROG รุ่นอื่นๆ ซึ่งรวบรวมเอาฮาร์ดแวร์ต่างๆของ TUF/ROG มาไว้บนยูทิลิตี้เดียว ทำให้สามารถเข้าถึงฟังค์ชั่นต่างๆได้อย่างง่ายดาย การตั้งค่าต่างๆ ของระบบร อาทิ ผู้ใช้สามารถบันทึกการตั้งค่าต่างๆตามความชอบเป็นรูปแบบได้หลายโปรไฟล์
ซึ่งการตั้งค่าต่างๆ จะถูกเรียกใช้งานโดยอัตโนมัติเมื่อมีการเปิดเกมที่ได้เลือกไว้ Armoury Crate ยังมาพร้อมกับโปรแกรมเสริม Mobile Dashboard สำหรับ Android และ iOS รวมไปถึงความสามารถอื่นๆ ที่จะมีเพิ่มขึ้นจากการอัพเดทในอนาคต ปิดท้ายด้วยซอฟต์แวร์ Utility อีกตัวอย่าง MyASUS ที่ไว้คอยตรวจระยะเวลากรับประกันและอัพเดทไดร์เวอร์ได้ครบๆ
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน ASUS TUF Dash F15 เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติขนาด 76Whrs ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 11 – 12 ชั่วโมงโดยประมาณ เรียกได้ว่าน่าประทับใจทีเดียวกับการที่ Gaming Notebook จอ 15.6″ ใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานขนาดนี้ อีกทั้งเราสามารถชาร์จไฟได้ผ่านทางพอร์ต USB-C ด้วยเทคโนโลยี USB PD (USB Power Delivery) กับอแดปเตอร์หรือ Power Bank ที่รองรับด้วย (แต่ก็ชาร์จไฟเข้าช้ากว่าอแดปเตอร์มาตรฐาน)
สำหรับอุณหภูมิทดสอบด้วยโปรแกรม Hardware Monitor ยังไม่สามารถตรวจสอบในส่วนของชิปประมวลผลได้ แต่จากการทดสอบเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 30 – 70 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 26 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ด้วยการเปิดโหมด Turbo ที่เร่งประสิทธิภาพในทุกๆ ด้าน
ประสิทธิภาพโดยรวมยังลื่นไหลอยู่ ซึ่งชิปประมวลผลร้อนสุดๆ ที่ 94 องศาเซลเซียส นับว่าควบคุมความร้อนได้ดี โดยไม่สูงเกินไปกว่านี้แน่นอน เพราะระบบยังคงจัดการได้ดีอยู่ พร้อมกันนั้นไม่กระทบต่อการใช้งานด้วย เพราะประสิทธิภาพไม่ตกเลย ในส่วนของการ์ดจอจะร้อนสุดอยู่ที่ 77 องศาเซลเซียสเท่านั้น ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่มีซอฟต์แวร์ Armory Crate ถ้าใช้งานทั่วไป เราสามารถเลือกปรับโหมดต่างๆ เช่น Windows ทำให้พัดลมแทบไม่หมุนและไม่มีเสียงเลย
Conclusion / Award
สมการมาของชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 ที่เป็น Tiger Lake-H รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ต้องบอกว่าแรงกว่ารุ่นก่อนมากๆ ซึ่งแอดมินโป้ง NBS ได้มีโอกาสรีวิว ASUS TUF Dash F15 ตัวขายจริง ซึ่งมาพร้อมสเปกชิปประมวลผล Core i7-11360H เทคโนโลยี 10 นาโนเมตร SuperFin ผสานกาทำงานร่วมกับการ์ดจอออนชิป Iris Xe Graphics และการ์ดจอแยกตัวแรงล้ำสุดอย่าง NVIDIA GeForce RTX 3070 รวมไปถึงในส่วนของแรมยังได้เป็นมาตรฐานใหม่ด้วยขนาด 16GB DDR4 Bus 3200 MHz แน่นอนว่าที่เก็บข้อมูลเป็น SSD M.2 NVMe PCIe ความเร็วสูงสุดด้วย ซึ่งต้องบอกว่าประทับใจมากๆ กับความแรงและราคาคุ้มค่าสุดๆ ช่วงต้นปี 2021 นี้
จากการทดสอบใช้งานจริงเล่นเกมจริงๆ เห็นได้ชัดถึงความทรงพลังของชิปประมวลผลและการ์ดจอแยกมีประสิทธิภาพดีเยี่ยมเหนือชั้นกว่า Core i Gen 10 + GeForce RTX 20 ไประดับ โดยมาพร้อมชิปประมวลผลได้สบายในราคาที่ถูกกว่าคุ้มค่ากว่าที่เคยมีมา ซึ่งนอกจากสเปกภายในที่แรงมากๆ แล้ว ดีไซน์ภายนอกก็มีความสวยงามบางเบา แข็งแรงทนทาน รองรับทั้งการเล่นเกม 3 มิติ AAA ใหม่ๆ หรือจะนำไปทำงานในเครื่องเดียวกันก็เยี่ยมยอด โดดเด่นที่แบตเตอรี่ก็ใช้งานได้ยาวนานกว่า 11 – 12 ชั่วโมง แถมยังมีการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6AX (2×2) และ Thunderbolt 4 ล้ำๆ ด้วย
สำหรับ ASUS TUF Dash F15 รุ่นล่าสุด ถูกวางในเป็นรุ่นบนกว่า ASUS TUF Gaming A15 ซึ่งมีราคาเริ่ม 42,990 บาท ได้สเปก AMD Ryzen 5800H + NVIDIA GeForce RTX 3070 กับการที่ตัวเครื่องเน้นความเบาที่มากกว่า และใช้พื้นฐานของ ROG Zephyrus G15 อีกทั้งมีพอร์ต Thunderbolt 4 แต่ในส่วนของสเปกภายในอื่นๆ ก็มีความคล้ายกันทั้งหมด และคาดว่าประสิทธิภาพก็น่าจะอยู่ในระดับเดียวกัน ในค่าตัวที่ต่างกัน 2,000 บาทเท่านั้น โดยได้การรับประกัน 2 ปีแบบทั่วโลก และที่สำคัญเมื่อเอาซีเรียลไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ ASUS จะได้รับประกันอุบัติเหตุฟรี 1 ปีแรกจากทาง ASUS อีกด้วย อุ่นใจจัดเต็ม
เรียกได้ว่าการมาของ ASUS TUF Dash F15 ในครั้งนี้ เป็นการเขย่าวงการ Gaming Notebook ปี 2021 ทันที เพราะได้เรื่องของสเปกภายในใหม่ล่าสุด ความแรงลื่นที่เหนือกว่ารุ่นก่อนๆ ในทุกๆ มิติ อีกทั้งมาในราคาที่ไม่แพง หรือถูกกว่ารุ่นก่อนๆ ด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับฟีเจอร์และประสบการณ์ใช้งานจริงที่ได้ คงต้องรอดูกันอีกทีว่าแต่ละแบรนด์ Notebook ที่ทำตลาดในไทย จะขนอะไรออกมาสู้ ซึ่งถ้าใครไม่รีบก็รอดูท่าทีกันก่อนก็ได้ แต่ถ้าใครอยากแรงล้ำก่อนใคร ก็จัด ASUS TUF Dash F15 รุ่นนี้กันก่อนได้เลย ส่วน ASUS TUF Gaming A15 รุ่นใหม่จะมีรีวิวมาเมื่อไร รอติดตามกันอีกทีนะครับ
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง ASUS TUF Dash F15 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ TUF โน๊ตบุ๊คสายคุ้มค่ามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน ASUS TUF Dash F15 ซึ่งมีการนำ DNA ของ ROG Zephyrus เข้ามาผสานอย่างลงตัว ทำให้มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นเกม ที่สำคัญคือขอบจอบาง ทำให้มิติตัวเครื่องใกล้เคียงพวกจอ 14″ แถมน้ำหนักเบาแค่ 2 กิโลกรัม และบางเพียง 19.9 มิลลิเมตรเท่านั้น วัสดุคุณภาพดีงานประกอบก็เยี่ยมทั้งอลูมิเนียมอัลลอยด์และพลาสติกเกรดดี มีความทนทานสูง เอาไปทำงานหรือเล่นเกมได้หมดรอบด้าน
Best Performance
ASUS TUF Dash F15 สเปคเป็น Intel Core i7-11370H + NVIDIA GeForce RTX 3070 + จอ IPS 240Hz ขอบหน้าจอบาง + Ram 16GB Bus 3200MHz + SSD M.2 NVMe 512GB + มี Windows 10 แท้ ซึ่งทดสอบการใช้งานเล่นเกมจริงแล้วแรงกว่า Gaming Notebook รุ่นปี 2020 ไปอีกขั้น ทั้ง AMD / Intel มากๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ ค่าคะแนนต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดี ส่วนการใช้งานทั่วไปนั้นก็ลื่นไหลสุดๆ หรือเล่นเกมก็ให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญได้ความเป็น ROG Zephyrus เพิ่มเข้ามา ที่พรีเมียม บางเบา เรียกได้ว่าคุ้มค่าจนหาตัวจับได้ยากทีเดียว สำหรับ Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ แบบนี้
Best Mobility
ปัจจัยสำคัญของด้านการพกพาบางเบาก็คือขนาดที่กะทัดรัด แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานกว่า 11 – 12 ชั่วโมง และการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่ครอบคลุม ซึ่ง ASUS TUF Dash F15 ตอบโจทย์ทั้งสามด้านได้อย่างครบถ้วนครับ กับตัวเครื่องบางเบา และการเชื่อมต่อแบบไร้สายที่รองรับทั้ง WiFi 6 AX (2×2) รวมถึง Bluetooth 5.1 หรือหากต้องการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เสริม ตัวเครื่องก็ยังมีพอร์ตที่ครบครันสำหรับการใช้งานทั่วไปด้วยเช่นกัน ที่สำคัญจากการที่มีพอร์ต Thunderbolt 4 ที่ดีที่สุด พร้อมตัวเครื่องได้มาตรฐานกองทัพระดับ Military-Grade (US MIL-STD-810G) ให้ความมั่นใจในความทนทานต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการตกกระแทก แรงสั่นสะเทือน ได้เลยว่าเครื่องไม่พังง่ายๆ แน่นอน