MSI Summit E15 เป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สาย Business ระดับมืออาชีพ หน้าจอ 15.6″ ตัวแรงลื่น โดยมาพร้อมกับประสิทธิภาพและฟีเจอร์ใหม่ๆ อีกมากมาย ใช้เป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 Tiger Lake รุ่นล่าสุดอย่าง Core i7-1185G7 ที่แรงที่สุดในตลาด ผสานการทำงานร่วมกับการ์ดจอตัวแรง NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti Max-Q เพื่องาน 3 มิติ
พร้อมสเปกอื่นๆ ก็จัดเต็มทั้งแรมขนาด 16GB และ SSD M.2 NVMe PCIe ที่ความจุ 512GB ส่งให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ทรงพลังอย่างที่สุด อีกทั้งได้การเชื่อมต่อที่ดีและใหม่ที่สุดอย่าง Thunderbolt 4 และ Wi-Fi 6 AX / Bluetooth 5.1 สนับสนุนทั้งทำงานพื้นฐานหรือจริงจังที่เหนือชั้นกว่าโน๊ตบุ๊คบางเบารุ่นอื่นๆ ในดีไซน์ที่แตกต่างอย่างชัดเจน
สำหรับ MSI Summit E15 ได้หน้าจอแสดงผลรองรับการทัชสกรีน มาตรฐานความละเอียด Full HD พร้อมด้วย ความทนทานระดับ Military Grade รวมถึงมีฟังก์ชั่นพิเศษอย่าง TPM 2.0 (Trusted Platform Module) เสริมความปลอดภัยและมีมาตรการป้องกันให้กับข้อมูลสำคัญในธุรกิจ สมกับเป็น Commercial Notebook ได้เติมเต็มประสบการณ์ในด้านการทำงานระบบองค์กร อีกทั้งได้ฟีเจอร์อื่นๆ ที่ครบครันตามสไตล์ของ MSI ที่จัดเต็ม ไม่เกรงใจใคร ในราคา 59,900 บาท
VDO Review
NBS Verdict
การมาของ MSI Summit E15 ซึ่งเป็นที่สุดของ Business Notebook ส่งเสริมบุคลิกในการเป็นผู้นำ ประสิทธิภาพสูงจาก MSI มาพร้อมชิปประมวลผลสเปก Intel Core I Gen 11 Tiger Lake รุ่นล่าสุด ได้ AI ช่วยทำงานในตัว พร้อมสุดยอดชิปกราฟิกออนชิปรุ่นใหม่อย่าง Intel Iris Xe Graphics ที่บรรจุไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมายล้ำหน้า พร้อมมีการ์ดจอแยก GTX 1650 Ti Max-Q
ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นกราฟิกสำหรับแสดงผลในตัวหน่วยประมวลผลที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา อีกทั้งได้ในส่วนของน้ำหนักเบาและดีไซน์ที่บาง แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานกว่า 16 ชั่วโมง พร้อมมาตรฐาน Thunderbolt 4 / USB-C ชาร์จไฟได้สะดวกสบาย ตอบโจทย์ด้านการพกพาที่สะดวกสบายกว่าเดิม โดยต่อยอดมาจาก Modern Series / Prestige Series นั่นเอง
โน๊ตบุ๊ค MSI Summit E15 ที่เป็นกลุ่มสายงานธุรกิจของ MSI ทั้งหมดนั้น ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อตอบโจทย์ความคาดหวังอันอยู่ในระดับสูงของกลุ่มผู้ใช้งานทางธุรกิจและระดับองค์กร แน่นอนว่ามาพร้อมกับการขจัดปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการใช้งาน มาพร้อมมาตรฐานความทนทานระดับ Military Grade รวมถึงมีฟังก์ชั่นพิเศษอย่าง TPM 2.0 เสริมความปลอดภัยและมีมาตรการป้องกันให้กับข้อมูลสำคัญในธุรกิจ
อีกทั้งรุ่นนี้ยังได้เห็นการปรับดีไซน์ของโลโก้ใหม่ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันและเต็มไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง โดยคำนึงถึงหลัก “จำนวน Fibonacci” และยังมีหลัก “สัดส่วนทองคำ” เพื่อแสดงถึงวิสัยทัศน์อันล้ำลึกของ MSI ในการผลิตสินค้าที่มาพร้อมประสิทธิภาพที่สูงที่สุดในการใช้งาน เหมาะกับคนที่งบถึงเงินถึงและต้องการประสบการณ์ใช้งานที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คสเปกทั่วไป หรือกรณีที่อยากได้สเปกแรงแต่ไม่อยากได้ดีไซน์แบบ Gaming Notebook
ข้อดี MSI Summit E15
- ดีไซน์การออกแบบสวยงามถูกใจ งานประกอบแน่นวัสดุดี แนวเรียบหรู ดูจริงจัง น่าเชื่อถือ
- ตัวเครื่องบางเฉียบ เล็กกระชับกว่าเดิม โดยมีน้ำหนักเพียง 1.7 กิโลกรัมเท่านั้น
- สเปคแรงด้วย Core i7-1185G7 และการ์ดจอ GTX 1650 Ti Max-Q
- ได้แรมมาเลยขนาด 16GB พร้อม SSD M.2 NVMe PCIe 512GB ความเร็วสูง
- หน้าจอแสดงผลขอบจอบางเฉียบขนาด 15.6″ แสดงผลได้อย่างสวยงาม
- ฟีเจอร์พิเศษ Flip-n-Share ช่วยกลับหน้าจอไปฝั่งตรงข้ามได้ ด้วยปุ่ม F12
- มี Windows 10 Pro ใช้งานได้ทันที และซอฟต์แวร์ MSI Center ใช้งานได้ดี
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน 16 ชั่วโมง ถือว่าทำได้ดีมากๆ
- คีย์บอร์ดใช้งานได้ดี มีไฟส่องสว่างใช้งานได้จริง ดูแล้วสวยงามลงตัว
- การจัดการความร้อนในส่วนของการ์ดจอทำได้ดี (เย็นลงกว่ารุ่นก่อน)
- ตัวเครื่องทนทานระดับ MIL-STD 810G ทำให้มั่นใจได้เลยว่าตัวเครื่องจะมีความแข็งแรง
- ให้พอร์ต Thunderbolt 4 มา 2 พอร์ต รองรับการชาร์จไฟ ต่อหน้าจอ 4K / 8K หรือโอนถ่ายข้อมูล
- อแดปเตอร์มีขนาดที่เล็กและเบา พอร์ตเป็น USB-C PD ชาร์จมือถือก็ได้
ข้อสังเกต MSI Summit E15
- เวลากางหน้าจอสุดที่ 180 องศา ต้องระดับขอบจอที่สัมผัสพื้นเป็นรอย
- ความร้อนของชิปประมวผลค่อนข้างสูงเวลาทำงานหนักๆ มีผลต่อการใช้งานเล็กน้อย
Specification
MSI Summit E15 เป็นโน๊ตบุ๊คที่มีความโดดเด่นในสายการทำงาน มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i7-1185G7 รุ่นใหม่แรงสุดในรุ่น สถาปัตยกรรม Tiger Lake ที่ 10 นาโนเมตร SuperFin ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด พร้อมมี AI ในตัว ช่วยประมวลผลการทำงานบางโปรแกรม ให้ความแรงที่ทรงพลังเทียบเท่า Core i Gen 10H ได้การ์ดจอรุ่นใหม่อย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti Max-Q (4GB GDDR6) แรม 16GB DDR4 Bus 3200MHz พร้อม SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB พร้อม Windows 10 Proในราคา 55,900 บาท
สเปกหน้าจอขนาด 15.6″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล Full HD พื้นผิวเป็นประจก รองรับการทัชสกรีน 10 จุดพร้อมๆ กัน ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ประทับใจ โดยการใช้หน้า Desktop ปกติที่ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก ขอบจอจะเป็นพลาสติกสีดำบางเฉียบโดยมีพื้นที่แสดงผลกว่า 90% จอเป็นแบบด้านที่ให้เรื่องสีสันสดใส รองรับใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ถึง 180 องศา ทำให้นำเสนองานได้อย่างเต็มที่และง่ายขึ้นกว่าเดิม
สเปกตอบโจทย์การใช้งานแบบสุดๆ แทบไม่ต้องอัพเกรดอะไรเลย หรือจะอัพเกรดจริงๆ ก็สามารถใส่ SSD M.2 เพิ่มได้ ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายก็ครบครันด้วย Wi-Fi 6 AX (แรงกว่า AC สามเท่า) และ Bluetooth 5.1 ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อก็มีทุกรูปแบบรวมไปถึงได้ Thunderbolt 4 เป็นมาตรฐานอีกด้วย พร้อมซอฟต์แวร์ MSI Center ช่วยปรับแต่งการทำงาน ได้การรับประกัน 2 ปี ตามมาตรฐานของ MSI (ในชุดบันเดิลให้กระเป๋า MSI อย่างดีมาให้ด้วย)
MSI Summit E15 A11SCST-219TH ราคา 59,900 บาท (ดูสเปคทั้งหมดคลิ้ก)
-
CPU : Intel Core i7-1185G7
-
GPU : Intel Iris Xe Graphics + NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti
-
RAM : 16GB DDR4 Bus 3200 MHz
-
DISPLAY: 15.6P IPS Full HD Touch Screen
-
STORAGE : SSD M.2 NVMe PCIe 512GB
-
OS : Windows 10 Pro (64 Bit)
Hardware / Design
สำหรับ MSI Summit E15 ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงเน้นภาพลักษณ์ให้ความรู้สึกแบบคนทำงานตัวจริง แต่บางเบาพกพาสะดวก ด้วยขนาดหน้าจอ 15.6″ รุ่นล่าสุดอีกรุ่นหนึ่งที่ครบเครื่อง ขอบจอบางเฉียบ ถูกพัฒนาแยกออกมาจากสาย Content Creator อย่างซีรีส์ Modern / Prestige / Creator แต่ก็ยังได้ในเรื่องของการดีไซน์ที่เน้นความบางและเบาที่มากกว่าพวก Commercial Notebook แบบเดิมๆ
โดยยังรักษาความเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.7 กิโลกรัม ทำให้ถือมือเดียวได้สบายๆ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันพรีเมียมด้วยวัสดุอลูมิเนียมสีดำด้านตลอดทั้งตัวเครื่อง พร้อมตัดขอบเพชรสีทองเพิ่มความหรูหรา อีกทั้งเสริมความดุดันด้วยลายคาร์บอนไฟเบอร์ที่ขอบตัวเครื่องด้านหลัง ให้ความแตกต่างจากโน้ตบุ๊ตทั่วไปชัดเจน
โดยฝาหลังและดีไซน์ทั้งหมดมีการเลือกใช้ให้มีความเข้ากันอย่างที่สุด กับพื้นผิวส่วนของฝาหลังและตัวเครื่องเป็นลักษณะแบบด้าน พร้อมกับใช้สี Ink Black ที่เป็นสีดำด้าน กับตัวเครื่องด้านนอกและสีเทากับตัวเครื่องด้านใน พร้อมตกแต่งรายละเอียดด้วยสีทองแซมตลอดทั้งตัวเครื่อง ตั้งแต่โลโก้ (แบบใหม่ปี 2021) ขอบตัวเครื่อง ทัชแพด แกนบานพับ ขอบด้านหลังที่เป็นโลโก้ Summit ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่โน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพต้องดูดำๆ ดีไซน์โบราณ ให้กลายเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดูแล้วทันสมัยแต่ให้ความน่าเชื่อถือ
ที่สำคัญไม่พูดไม่ได้เลยกับขอบหน้าจอที่บางลงอย่างเห็นได้ชัดที่ 5.6 มิลลิเมตร ทั้งด้านซ้ายขวาและขอบบน ซึ่งการใช้งานจริงมุมมองมันก็จะดู เป็นปกติกว่าโน๊ตบุ๊คบางรุ่นที่ย้ายไปติดตั้งที่อื่น ส่วนความบางตัวเครื่องอยู่ที่ 16.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ถือว่า MSI นำเสนอโน๊ตบุ๊คที่ทั้งเบามากๆ แถมยังบางสุดๆ ท้าชนกับแบรนด์อื่นๆ ได้อย่างสบายๆ เลยครับ สำหรับการเปิดปิดฝาของหน้าจอก็ทำได้ง่ายเพราะขอบตัวเครื่องด้านหน้าได้มีการเว้นร่องเว้าเอาไว้สวยงาม
ส่งผลให้ตลอดทั้งตัวเครื่องมีมิติตัวเครื่องที่เล็กลงกว่าโน๊ตบุ๊คทำงานหน้าจอ 15.6″ ทั่วไป ซึ่งโดยรวมแล้วไม่ใช่แค่บางเบาและสเปกดีแต่ในประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยมด้วย เรียกได้ว่าเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในโน๊ตบุ๊คสายบางเบาเน้นพกพา แต่มาพร้อมการ์ดจอระดับ NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti Max-Q สเปกอื่นๆ ก็จัดเต็ม ช่วงงบประมาณ 5x,xxx บาทก็ว่าได้เลย ที่แม้ราคาอาจจะสูงกว่าพวก Gaming Notebook แต่ได้น้ำหนักที่เบาและตัวเครื่องที่ดูหรูหราและเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยมาแทน
ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องจะอยู่มุมขวาบนของชุดคีย์บอร์ด พร้อมบริเวณบานพับก็เป็นช่องระบายความร้อน 2 ช่อง ที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างเรียบเนียน ที่สำคัญใช้เทคโนโลยี Cooler Boost แบบพัดลม 2 ตัวอยู่ทางด้านหลังของตัวเครื่อง ยิงเป่าไล่ลมร้อนผ่านชุดระบายที่แยกการระบายความร้อนระหว่างชิปประมวลผล (พัดลม 1 ตัว) และกราฟิกการ์ด (พัดลม 1 ตัว) ด้วย Heat Pipes รวมกันถึง 3 เส้น โดยแยกฝั่ง CPU และ GPU ออกจากกัน ในเรื่องของอุณหภูมิ และความทนทานในการใช้งานฮาร์ดแวร์ในระยาวไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความร้อนสะสม
ด้านฐานล่างตัวเครื่องจากรุ่นก่อนใช้วัสดุโลหะชิ้นเดียวตลอดทั้งชิ้น ลักษณะเป็นอลูมิเนียมเรียบๆ แตกต่างจากฝาหลังและตัวเครื่องด้านใน พร้อมมียางรองกระจายไปทั่วช่วยยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ช่วยส่งมวลลมเย็นถูกดูดเข้าช่องลมขนาดใหญ่ได้มากขึ้นส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการระบายความร้อนที่ดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ทาง MSI ใส่ใจเป็นพิเศษอยู่แล้วไม่แพ้ฝั่ง Gaming Notebook เลย
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ MSI Summit E15 เห็นแล้วต้องบอกว่าแตกต่างจากโน๊ตบุ๊คเล่นเกมรุ่นอื่นๆ ของทาง MSI แบบสิ้นเชิง ทั้งอารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ มีระยะกดที่ 1.5 มิลลิเมตร ด้วยการที่รูปแบบปุ่มมีขนาดที่ใหญ่โตกว่าคีย์บอร์ด MSI แบบเดิมๆ ที่สำคัญด้วยไฟ LED สีขาวสวยงาม
พร้อมขอบโปร่งแสงเข้ากับตัวปุ่มสีดำเป็นอย่างดี ดูแล้วสะอาดตา พรีเมียมสุดๆ แน่นอนว่าไม่มีชุด Numpad อยู่แล้ว จากการที่ตัวเครื่องมีมิติที่ลงตัวนั่นเอง จากการใช้งานจริงถือว่าปุ่มเด้งรับกับนิ้วดีมากๆ รวมไปถึงมี Hotkey แถวบน พร้อมมีปุ่มเรียก MSI Center ใช้งานสะดวกด้วย
ทัชแพดมีขนาดใหญ่และกว้างเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับขนาดสัดส่วนของตัวเครื่อง ลักษณะเป็นผืนผ้ายาวดูเป็นเนื้อแบบกระจก ซึ่งมีตัวปุ่มคลิกเป็นแบบชิ้นเดียวกับทัชแพด ให้สัมผัสที่ลื่นติดมือมากๆ โดยมีการตัดขอบด้านบนดูโค้งมน เข้ากับตัวเครื่องสวยงามลงตัว
นอกเหนือจากนี้ยังมีฟีเจอร์อย่างสแกนลายนิ้วมือ Finger Print ไว้ให้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อที่จะเข้าใช้งานตัวเครื่องเพื่อความปลอดภัยแบบไม่ต้องใส่รหัสไปมาทุกครั้งอีกด้วย ส่วนการใช้งานก็ตอบสนองได้รวดเร็วไม่แพ้มือถือในปัจจุบันเลยล่ะ
Screen / Speaker
MSI Summit E15 ได้ติดตั้งหน้าจอขนาด 15.6″ พื้นผิวกระจก ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล Full HD ได้พาเนล IPS คุณภาพสูงกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีเยี่ยม ทั้งเรื่องสีสันและมุมมองที่กว้างพิเศษ โดยการใช้หน้า Desktop ปกติที่ตัวหนังสือหรือปุ่มต่างๆ มีความเรียบเนียนตาทำให้ใช้งานได้สะดวก เรียกได้ว่ากำลังพอดีทีเดียว เรื่องสีสันสดใส ตอนสนองการทำงานของเราได้เป็นอย่างดี เมื่อใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกม พร้อมกันนั้นยังรองรับการใช้นิ้วทัชสกรีนสั่งการแบบ 10 จุดๆ พร้อมกันได้เ้วย
ขอบจอจะเป็นพลาสติกสีดำบางฉียบเพียง 5.6 มิลลิเมตรเท่านั้น ซึ่งให้พื้นที่แสดงผลทั้งหมดกว่า 90% เลยทีเดียว แต่ก็ยังสามารถติดตั้งกล้องเว็บแคมพร้อมไมโครโฟนแบบคู่ไว้ที่ขอบจอด้านบนได้ปกติอยู่ ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ถึง 180 องศา ช่วยให้การนำเสนองานกับคนที่นั่งตรงข้ามกันง่ายยิ่งขึ้นด้วย อย่างไรก็ตรมตรงระวังเล็กน้อย เพราะขอบหน้าจอด้านหลังจะสัมผัสกับพื้นได้ ถ้าไม่ระวังให้ดีตัวเครื่องก็อาจจะเป็นรอยได้ในอนาคต
โดยให้ขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 94% และค่า AdobeRGB อยู่ที่ 70% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีมากๆ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพแบบสุดๆ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอที่ดีกว่าในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ คือเพียงพอต่อการใช้งานทั่วๆ ไปแน่นอน หรือถ้าจะเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็ควรคาลิเบรตเสียก่อน
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องกลางป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ไม่มีผิดเพี้ยน แต่สำหรับช่องกลางบนจะมีแสงสว่างที่ลดลงไปที่ 10% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 ถือว่าน่าประทับใจ
ลำโพงยังจัดวางมาในตำแหน่งส่วนของขอบตัวเครื่องด้านหน้าในส่วนด้านใต้เครื่อง แบบขนาด 2W x 2 คุณภาพเสียงเบสให้แน่นลึกยิ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไป เพราะชุดลำโพงข้างในขยับได้เมื่อต้องการเสียงทุ่ม สำหรับคุณภาพเสียงการใช้งานต่าง ๆ สามารถทำออกมาได้ดี น่าประทับใจให้เสียงที่ดังพอตัว เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไปแน่นอน ส่วนช่องต่อหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรจะรองรับระบบเสียง Hi-Res Audio ด้วย
Connector / Thin And Weight
MSI Summit E15 จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานบางเบาหน้าจอ 15.6″ ซึ่งมีไซส์และมิติโดยรวมเล็กกระทัดรัดกว่าปกติ ที่มีพอร์ตเชื่อมต่อที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น 2 x Thunderbolt 4 / 2 x USB 3.2 Type-A / 1 x HDMI 2.0 / micro-SD Card Reader และ Mic-in/Headphone-out ให้ความครบเครื่องมากกว่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 15.6″ ทั่วไป
โดดเด่นด้วย Thunderbolt ถึง 2 พอร์ตด้วยกัน รองรับการชาร์จไฟด้วย เพราะอแดปเตอร์ก็เป็น USB-C แล้ว และรองรับ Power Bank ที่เป็น PD ด้วย อีกทั้งมีเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.1 และ Wi-Fi 6 AX พร้อมใช้งานตามมาตรฐานโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่สเปก Intel Core i Gen 11 Tiger Lake ต้นปี 2021
ส่วนของการพกพาก็ถือว่าทำได้เยี่ยมยอดเมื่อเทียบกับสเปก ด้วยน้ำหนักตัวเครื่องเพียง 1.7 กิโลกรัมเท่านั้น ดีกว่าตามมาตรฐานของโน๊ตบุ๊คค่ายอื่นๆ ที่ใช้สเปกนี้มาก ที่สำคัญอแดปเตอร์จ่ายไฟที่ 90 Watt นั้น มีขนาดที่เล็กและเบากว่าปกติ ทำให้การพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ เป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกมากๆ น้ำหนักโดยรวมแล้วไม่เกิน 2 กิโลกรัมแน่นอน นับว่าเป็นอีกหนึ่งโน๊ตบุ๊คสายทำงานจริงจังที่เหมาะสมกับงานระดับองค์กรที่เน้นพกพาพมากเลยทีเดียว
Inside / Upgrade
ถ้าใครต้องการจะแกะทั้งฝาล่างทั้งหมดของตัวเครื่องเพื่ออัพเกรดหรือทำความสะอาดก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ไขน็อตทั้งหมด หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แงะแกะทีละส่วนขึ้นอย่างช้าๆ เพียงเท่านี้ก็จะแกะฝาล่างได้ไม่ยากเย็น ส่วนประกอบภายในอื่นๆ ที่มีงานประกอบเรียบร้อยดี เรียกได้ว่าทาง MSI ใส่ทุกรายละเอียดทั้งภานอกและภายในจริงๆ
ระบบระบายความร้อนเป็นพัดลม 2 ตัว ฮีตไปป์ 3 เส้น พร้อมช่องระบายความร้อน 2 ช่อง ซึ่งการทดสอบบอกได้เลยว่าน่าประทับใจ แม้สเปกจะไม่ได้แรงเท่ากับชิปประมวลผลรหัส H โดยได้มีการติดตั้งการ์ดจอแยกระดับ Gaming เข้ามาด้วย แต่ทาง MSI ก็ยังจัดเต็มเช่นเคย ด้วยระบบ CoolerBoots ที่สามารถเร่งรอบพัดลมได้ด้วย
เมื่อแกะออกมาแล้วก็จะเห็นช่องใส่แรมจำนวน 2 แถว โดยเป็นการติดตั้งแรมมาแล้ว 8GB x 2 แถว (Dual Channel) รวมกันเป็นแรม 16GB และจะเห็นถึง SSD แบบ M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB (รองรับการอัพเกรด SSD M.2 เพิ่มอีก 1 ตัวด้วย) ให้การใช้งานเป็นไปอย่างลื่นไหลไร้คอขวด ที่ต้องบอกว่าสำหรับการใช้งานทั่วไปจนไปถึงทำงานตัดต่อวีดีโอที่ไม่ซับซ้อนมาก สำหรับสเปกฮาร์ดแวร์ภายในถือว่าเหลือเฟือในการใช้งานเลยล่ะ
Performance / Software
สเปกฮาร์ดแวร์เมื่อตรวจสอบข้อมูลของชิปประมวลผลด้วยโปรแกรม CPU-Z ก็พบว่าข้อมูลขึ้นมาครบถ้วนเลย โดยเลือกใช้ชิป Intel Core i7-1185G7 ที่มี 4 คอร์ 8 เธรดสำหรับการประมวลผล ความเร็วที่ 3.0 – 4.80 GHz มีค่า TDP ในการปลดปล่อยความร้อนสูงสุดแค่ 12W – 28W เท่านั้น ซึ่งจัดว่าต่ำมากสำหรับชิป Core i7 ในโน๊ตบุ๊ค ทำให้ตัวเครื่องโดยรวมไม่ร้อนจนเกินไป ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการใช้สถาปัตยกรรมการผลิตที่ระดับ 10 นาโนเมตร อย่าง Tiger Lake เทคโนโลยีสุดล้ำ SuperFin
ที่ต้องบอกว่าสร้างมาตรฐานประสิทธิภาพที่มากกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ ส่วนแรมได้ขนาด 16GB แบบ 2 x 8GB เป็นมาตรฐาน Bus 3200 MHz ตามเทคโนโลยีของ Intel Core i Gen 11 ที่ผ่านการปรับแต่งให้เหนือชั้น พร้อมให้ที่เก็บข้อมูล SSD M.2 NVMe PCIe ความเร็วสูง ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 Pro แบบลื่นไหลอย่างที่สุด ในทุกๆ การทำงาน
การ์ดจอเป็นแบบออนบอร์ดรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Intel Iris Xe Graphics ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับที่ก้าวกระโดดกว่ารุ่นก่อนๆ อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นหรือระดับสูง รองรับการทำงานกับหน้าจอความละเอียดสูงอย่าง 4K / 8K ได้แบบไม่มีปัญหา เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มพลังการสร้างสรรค์คอนเทนต์ มองหาความบันเทิง หรือการเล่นเกมเปี่ยมอรรถรส ประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับการ์ดจอแยกเลยทีเดียว ซึ่งสามารถเล่นเกม 3 มิติ พอได้บ้าง เดี๋ยวไปดูผลทดสอบกันอีกที
โดยมีการ์ดจอแยกตัวแรงคุ้มค่าอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti Max-Q จากที่สเปกภายในได้รับการอัพเกรดขึ้น เห็นได้ชัดจากแรมการ์ดจอจะเป็น 4GB GDDR6 แทนที่รุ่นก่อนที่เป็น 4GB GDDR5 และเป็นรุ่น Max-Q เน้นใช้งานกับ Gaming Notebook ที่บางกว่ารุ่นปกติแต่ก็ยังแรงลื่นพอตัว เพราะเน้นประหยัดพลังงานและปลดปล่อยความร้อนที่น้อยกว่า และแม้ไม่มีฟีเจอร์อย่างที่ใน RTX Series มี แต่ก็ตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลที่เป็นรุ่นแรงอย่าง Core i7 รุ่นก่อนๆ ก็จัดว่ามีคะแนนใกล้เคียงกัน รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงพอตัวอยู่แล้ว เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนตระกูล U ของ Intel Core i Gen 10 ในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 512GB แบบ M.2 NVMe PCIe ระดับสูงสุดๆ แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 4745 MB/s และเขียนที่ 2340 MB/s เป็นระดับความเร็วในการเขียนอ่านทำงานโดยรวมที่น่าประทับใจมาก
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 5083 คะแนน ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยกอย่าง GTX 1650 Ti Max-Q ทำให้มีคะแนนพุ่งกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปมากพอสมควร ระดับเทียบเท่า Desktop สบายๆ
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-1185G7 ทำงานร่วมกับการ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti Max-Q ทำให้ประสิทธิภาพออกมาได้ดีเยี่ยม เทียบเท่า Gaming Notebook ตัวแรงแบบสบายๆ ทีเดียว
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V/ FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดย Battlefield V เปิด DX12 ทำให้ภาพสวยงาม แต่ก็กินทรัพยากรเครื่องพอตัวอยู่
เกมออนไลน์กินสเปกเบาๆ หน่อยอย่าง DOTA 2 / Overwatch รวมไปถึง PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 100 ขึ้นไปตลอด ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ แบบไร้กังวล
ที่สำคัญยังมีซอฟต์แวร์ MSI Center for Business & Productivity ซึ่งปรับมาจาก Creator Center อีกที เป็นโปรแกรมสำเร็จรูปที่ออกแบบและพัฒนาโดย MSI ซึ่งคล้ายกับ Dragon Center เป็นโปรแกรมที่เป็นจุดเด่นของ Gaming MSI ก็ถูกมาปรับใช้ใน MSI Prestige 15 นี้ด้วย จุดเด่นคือใช้งานง่ายและสามารถช่วยเหลือ และ จัดการการปรับแต่งตั้งค่า MSI Notebook ได้อย่างลงตัว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลน์ของทาง MSI ก็ว่าได้ ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่ต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน โดยหน้าเมนูมีอาทิเช่น Creator Mode / System Monitoring / System Tuner Battery Master / Tools & Help
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน MSI Summit E15 เครื่องนี้เป็นแบบฝังตามปกติ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับกลางๆ แล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราวๆ 16 ชั่วโมง โดยส่วนตัวก็ถือว่าใช้ได้นานมาก จากการที่น้ำหนักเบาตัวเครื่องบาง พกพาอแดปเตอร์ไปอีกตัวก็พอไหวอยู่ พร้อมความสามารถ PD ที่ชาร์จไฟกลับเข้าไป 15 นาที เครื่องก็สามารถใช้งานได้ยาวนาน 2 ชั่งโมงแล้ว
สำหรับอุณหภูมิทดสอบด้วยโปรแกรม Hardware Monitor ยังไม่สามารถตรวจสอบในส่วนของชิปประมวลผลได้ แต่จากการทดสอบเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 60 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 26 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด
ประสิทธิภาพโดยรวมยังลื่นไหลอยู่ ซึ่งชิปประมวลผลร้อนสุดๆ ที่ 100 องศาเซลเซียส นับว่าค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่เกินไปกว่านี้แน่นอน เพราะระบบยังคงควบคุมอยู่ โดยจะเป็นการลดความเร็วลงไป ในส่วนของการ์ดจอจะร้อนสุดอยู่ที่ 66 องศาเซลเซียส ส่วนเสียงพัดลมก็ดังพอสมควร จากการที่มีฟีเจอร์ Cooler Boots แต่ถ้าใช้งานทั่วไป พัดลมแทบไม่มีเสียงเลย
Conclusion / Award
MSI ได้มีความตั้งใจในการนำเสนอโน้คบุ๊คสายทำงานมืออาชีพออกมาใหม่เรื่อยๆ จากการที่ปกติเราจะเห็นแต่สาย Gaming หรือ Content Creator ถึงเวลาที่ MSI จะต้องขยายผลิตภัณฑ์ตระกูล Summit ซีรีส์ใหม่ สเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 11 Tiger Lake และการ์ดจอ NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti Max-Q พร้อมนำมาประยุกต์เข้ากับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ และตัวเองถนัด เรียกได้ว่าปรับใช้ได้อย่างลงตัวทีเดียวพร้อมเสริมเรื่องความปลอดภัยระดับฮาร์ดแวร์เพื่องานองค์กร ที่เราหาไม่ได้ในโน้ตบุ๊ครุ่นทั่วไปแน่นอน อย่าง TPM 2.0 เป็นต้น
MSI Summit E15 จัดว่าเป็นโน๊ตบุ๊คสเปก Intel Core i Gen 11 ที่ทรงพลังที่สุดในตลาดตอนนี้ เพราะเลือกใช้เป็น Core i7-1185G7 เหมาะสำหรับมืออาชีพแบบเน้นใช้งานธุรกิจ ให้ภาพลักษณ์ที่ดูจริงจัง และที่ต้องการความปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ด้วยหน้าจอ 15.6″ เกรดสูงและทัชสกรีนได้ ดีไซน์ภายนอกมีจุดเด่นเรื่องความบางเบา และมีประสิทธิภาพเยี่ยม ทำให้มันกลายมาเป็นโน้ตบุ๊คที่มีขนาดกระทัดรัด
ดีไซน์ภายนอกสีดำให้ความจริงจังพร้อมแซมสีทอง เพื่อให้มีความเรียบหรูมากขึ้น และมาพร้อมกับไฟคีย์บอร์ดสีดำ ทัชแพดก็มีขนาดที่ใหญ่โต มีที่สแกนลายนิ้วมือด้วย โดยที่วัสดุตัวเครื่องจะทำมาจากอลูมิเนียม และมีน้ำหนักเพียง 1.7 กิโลกรัม เบามากเมื่อเทียบกับความแรง บางเฉียบที่ 1.69 มิลลิเมตร พกพกไปไหนมาไหนได้สะดวกสุดๆ แน่นอน อีกทั้งตัวเครื่องยังแข็งแรงทนทานต่อทุกๆ การใช้งานด้วย
โดยเฉพาะในแง่ของการดีไซน์ MSI Summit E15 มีเอกลักษณ์พร้อมความทันสมัย ต่างจากรุ่นอื่นๆ ของ MSI ชัดเจน สเปกภายในถือว่ามีความคุ้มค่ามากๆ ได้ทั้งการ์ดจอที่แรงระดับ Gaming อย่าง GeForce GTX 1650 Ti Max-Q และแรมที่ขนาด 16GB พร้อม SSD ความจุ 512GB ที่แรงกว่า ยังไงใครต้องการโน๊ตบุ๊คพกพาเน้นทำงานที่เน้นองค์กรเป็นหลัก หรือหลังจากจบงานจะเล่นเกมบ้างก็ตอบโจทย์ได้ดีทีเดียว ตเหมาะมากๆ กับคนทำงานที่ต้องการโน้ตบุ๊คที่ครบเครื่องทั้งประสิทธิภาพ พร้อมภาพลักษณ์และฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย
ในส่วนของหน้าจอก็จัดได้ว่าเป็นหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่ดีที่สุดรุ่นนึง ด้วยค่าขอบเขตสี sRGB ที่ 94% และค่า AdobeRGB อยู่ที่ 70% เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีมากๆ เหมาะกับงานระดับมืออาชีพแบบสุดๆ โดยแบตเตอรี่จากการใช้งานจริงๆ ทดสอบได้ที่กว่า 16 ชั่วโมง นับได้ว่าแทบไม่ต้องพกอแดปเตอร์ออกไปด้วยแล้ว แต่จะพกพาไปด้วยก็ไม่เป็นไรเพราะก็ไม่ใหญ่โตมาก พร้อมทั้งตัวเครื่องยังมีพอร์ต Thunderbolt 4 จำนวน 2 พอร์ต ซึ่งเป็น USB-C ที่ต้องบอกว่าเป็นพอร์ตที่ดีที่สุดแล้ว เรียกได้ว่าเก่งรอบด้านจริงๆ
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6″ ด้วยกัน ซึ่ง MSI Summit E15 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Performance
ชิปประมวลผลเป็น Inte Core i7-1185G7 ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธร์ด ประสิทธิภาพแรงด้วย AI สุดล้ำช่วยทำงาน พร้อมกราฟิการ์ดตัวบนอย่าง NVIDIA GeForce GTX 1650 Ti Max-Q ที่ทั้ง 2 อย่างนี้แรงเหลือเฟือในการใช้งานทั่วไป มีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe โดยตามสเปกได้ติดตั้งมาแล้วที่ 512GBในส่วนของแรมเองมีมาให้ 16GB แบบ DDR4 Bus 3200 MHz แน่นอนทั้งตัวเครื่องนั้นแทบไม่ต้องอัพเกรดอะไร ลื่นไหลที่สุดอย่างไร้กังวล รองรับการทำงานต่างๆ พร้อมๆ กันได้หลายๆ งาน รวมถึงเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล
Best Mobility
ส่วนของความสามารถในการพกพาของ MSI Summit E15 อยู่ในระดับที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปชัดเจน ทั้งในความบางเฉียบและน้ำหนักเบาเพียง 1.7 กิโลกรัม ที่ทำให้สามารถหิ้วไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวก แถมอแดปเตอร์ก็เบาและเล็กกว่าปกติมากๆ ถือว่ามีการพัฒนาไปในทุกส่วน รวมแล้วหนักแค่ 2 กิโลกรัมนิดๆ เท่านั้น โดยสามารถพับฝาจอลงแล้วเก็บเครื่องได้ทันที พกพาสะดวก เหมาะมากๆ กับคนที่ทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ อีกทั้งแบตสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 16 ชั่วโมงจริงๆ ตามที่เคลมไว้ พอร์ตการชาร์จก็ยังเป็นมาตรฐาน USB-C ที่สะดวกต่อทุกอุปกรณ์
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ MSI ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน MSI Summit E15 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวในมิติที่เล็กกระชับลงกว่าเดิม ขอบจอบางเฉียบ แต่มีการออกแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ออกแนวพรีเมียมและเรียบหรูมากยิ่งขึ้นพร้อมกับใช้สีดำด้าน Ink Black กับตัวเครื่องด้านในตลอดทั้งตัวเครื่อง การออกแบบให้ความรู้สึกที่น่าเชื่อถือ จริงจัง พรีเมียมด้วยวัสดุอลูมิเนียมตลอดทั้งตัวเครื่อง พร้อมแซมด้วยสีทองตลอดทั้งตัวเครื่อง ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาเชื่อได้ว่าหลายๆ คนส่วนมากต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน