Gaming Notebook ในตลาดปี 2020 มีให้เลือกกันหลากหลายมากยิ่งขึ้น หลักๆ แล้วเริ่มต้นตั้งแต่ราคา 2x,xxx บาทขึ้นไปจนไปถึงหลักแสนบาท โดยมาพร้อมกับสเปกที่แรงลื่นกว่าเมื่อหลายปีก่อน อย่าง Core i Gen 10H อาทิ Core i5 / Core i7 และการ์ดจอ GeForce GTX 1650 / 1650 Ti / 1660 Ti พร้อมกับฟีเจอร์ก็จัดเต็มขึ้นเริ่ม ที่สำคัญคือมาในราคาที่ถูกคุ้มค่ามากกว่าเดิม ซึ่งจริงๆ แล้ว โน๊ตบุ๊คเล่นเกมก็ได้มีการแบ่งกลุ่มออกอย่างชัดเจน ง่ายๆ แล้วสามารถดูได้จากราคาเป็นหลัก
สำหรับราคา 2x,xxx – 4x,xxx บาท จะเป็น Gaming Notebook ที่ให้สเปกและความแรงต่อราคาที่คุ้มค่ามากๆ แต่ก็อาจจะไม่ได้ฟีเจอร์พิเศษอื่นๆ ส่วนถ้าขยับขึ้นมาหน่อย ในงบ 4x,xxx – 6x,xxx บาท ซึ่งช่วงราคานี้ก็จะได้ฟีเจอร์ Gaming บางอย่างเข้ามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอ 240Hz เรื่องระบายความร้อนที่หายห่วง ไฟคีย์บอร์ด RGB Per-key หรือไฟ RGB แน่นอนว่าสเปกก็จะขยับขึ้นมา ด้วยแรมมาตรฐาน 16GB และ SSD 512GB ขึ้นไป
ในส่วนอื่นๆ ต่อกันที่ช่วงราคา 6x,xxx ขึ้นไปล่ะก็ เราจะได้เรื่องของดีไซน์ความบางเบาที่มากยิ่งขึ้น งานประกอบที่เนี๊ยบสุดๆ รวมไปถึงสเปกก็จะได้เป็นชิปประมวลผลและการ์ดจอระดับบน ไม่ว่าจะเป็น Core i7-10875H / Core i9-10980HK และ GeForce RTX 2070 / 2070 Super / 2080 / 2080 Super รวมไปถึงมีรุ่น Max-Q ที่ติดตั้งใน Gaming Notebook บางเบาเป็นตัวเลือกด้วย ส่วนเรื่องระบายความร้อนก็ยอดเยี่ยมมากๆ ปิดท้ายด้วยฟีเจอร์พิเศษๆ อย่างหน้าจอที่ 2 หรือไฟ RGB จัดเต็มอย่างที่สุด หรือหน้าจอ 300Hz / HDR เป็นต้น
ในบทความนี้เราก็จะแนะนำมาตรฐานใหม่ 5 New Normal ของ Gaming Notebook ระดับท็อป ปี 2020 !!! เทียบกับรุ่นคุ้มค่า ต่างกันอย่างไร เพื่อไว้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อ เพราะบางคนดูจากสเปกทั่วไปอาจจะไม่เห็นความต่าง แต่จริงๆ แล้วนอกจากสเปกยังมีความต่างอื่นๆ ที่จะมีอะไรบ้างนั้น ไปชมกันต่อเลย
ดีไซน์และฟีเจอร์พิเศษเหนือชั้นกว่า
ในส่วนนี้ถือว่าเป็นจุดแรกเลยก็ว่าได้ สำหรับ Gaming Notebook ระดับท็อป ปี 2020 ที่เราจะเห็นกันได้ง่ายที่สุด เพราะด้วยดีไซน์การออกแบบที่ให้ความสวยงามหรูหราแข็งแรงทนทาน บางรุ่นได้ความเบาเบา พร้อมใช้วัสดุที่ให้ความพรีเมียมแบบสุดๆ ในบางรุ่นจะมาพร้อมไฟ RGB รอบๆ ตัวเครื่อง ซึ่งอาจจะเป็นด้านหน้า ด้านหลัง หรือข้างๆ ของตัวเครื่อง ที่ให้ความสวยงามเป็นพิเศษ
โดยที่เราสามารถปรับแต่งได้ผ่ายทางซอฟต์แวร์ เรียกได้ว่าเอาใจคอเกมที่ชอบปรับแต่งไฟ DIY ด้วยตนเองแบบสุดๆ หรือบางรุ่นจะได้เป็น หน้าจอที่สองช่วยเสริมการทำงานของหน้าจอหลัก ให้ประสบการณ์ใช้งานที่เหนือระดับทุกการเล่นเกมและทำงาน เรียกได้ว่าเราไม่สามารถหาได้แน่นอนในส่วนของ Gaming Notebook ระดับเริ่มต้น
หน้าจอแสดงผลมาตรฐานสูงกว่า
ประสบการณ์ใช้งานด้านภาพกับการเล่นเกมนั้นเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้ในส่วนของสเปกภายในทีเดียว สำหรับ Gaming Notebook ระดับท็อป ปี 2020 เราจะได้หน้าจอที่ดีที่สุดในตลาด ด้วยพาเนล IPS เกรดที่ดีที่สุด โดยหลักๆ แล้วมีขนาดให้เลือกที่ 15.6″ หรือ 17.3″ ที่ความละเอียด Full HD หรือเรียบเนียนกว่าอย่าง 4K Ultra HD
อีกทั้งได้ Refresh Rate ที่ 144Hz ขึ้นไป สูงสุดถึง 240Hz – 300Hz ทำให้ลื่นไหลสุดๆ โดยบางรุ่นยังรองรับมาตรฐาน HDR ซึ่งช่วยให้ภาพแสดงผลทั้งโทนมืดและสว่างได้อย่างสมบูรณ์แบบกว่าที่เคยมีมา รวมไปถึงค่าขอบเบตสีได้มาตรฐานระดับ sRGB 100% / AdobeRGB 100% ด้วย ที่หาได้ยากใน Gaming Notebook กลุ่มทั่วไป
คีย์บอร์ด Gaming ไฟปรับแต่งได้มากกว่า
ถือว่าเป็นปัจจัยที่ Gamer ใส่ใจรายละเอียด เพราะคีย์บอร์ดนั้นเป็นอุปกรณ์ที่เราต้องใช้งานเป็นประจำ ไม่ใช่แต่เรื่องของความสวยงามด้วยไฟ RGB เท่านั้น แต่ต้องได้อารมณ์การตอบสนองของแป้นพิมพ์ แรงกด ระยะกด ความโค้ง ขนาดของปุ่ม และการใช้ปุ่มหลายๆ ปุ่มพร้อมๆ กัน รวมไปถึงมีความทนทานเป็นพิเศษ รองรับการใช้งานหนักๆ สไตล์ Gaming ได้สบาย
ที่สำคัญไฟ LED ก็ต้องเป็นแบบ Per-key ด้วย โดยจะสามารถเปลี่ยนสีทีละปุ่ม ตามใจของผู้ใช้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งบางแบรนด์อาจจะพัฒนาร่วมกับผู้ผลิต Gaming Gear รายอื่นๆ ส่งผลให้ในการใช้งาน Gaming Gear ร่วมกันก็จะสามารถปรับแต่งได้อย่างลงตัวที่สุด รวมไปถึงปรับตามเกมที่เราเล่นด้วยก็สามารถทำได้ ในกรณีที่โปรไฟล์เกมนั้นๆ รองรับ
สเปกฮาร์ดแวร์ภายในทั้งระบบแรงกว่า
จริงๆ จะบอกว่าเป็นประเด็นหลักๆ ของการเลือกซื้อ Gaming Notebook ระดับท็อปก็เป็นไปได้ เพราะเมื่อเราเลือกที่จ่ายเงินมากกว่า เราก็ต้องคาดหวังเรื่องประสิทธิภาพความแรงที่แรงกว่ามาตรฐานทั่วไปอยู่แล้ว จากการเลือกใช้ชิปประมวลผลตัวท็อปสุดที่แรงที่สุด โดยติดตั้งในตอนนี้ อย่าง Intel Core i9- 10980HK หรือตัวรองลงมาอย่าง Intel Core i7-10875H ทำงานแบบ 8 คอร์ 16 เธร์ด ประสิทธิภาพไว้ใจได้ในทุกๆ การทำงานหรือเล่นเกม รวมไปถึงเปิดโปรแกรมหลายอย่างพร้อมกัน
พร้อมการ์ดจอรุ่นใหม่ที่แรงลื่นอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2070 / 2070 Super / 2080 / 2080 Super รวมไปถึงมีรุ่น Max-Q ที่หาไม่ได้ใน Gaming Notbook คุ้มค่า โดยมีที่เก็บข้อมูลรองรับการติดตั้ง SSD แบบ M.2 NVMe ความจุ 1TB ในส่วนของแรมเองมีมาให้ 32GB แบบ DDR4 Bus 3200 MHz ขนาด 16GB จำนวน 2 แถว (Dual Channel) เป็นมาตรฐานใหม่ ซึ่ง Gaming Notebook บางรุ่นยังสามารถเลือก Overclock เพิ่มเติม เร่งความแรงไปได้อีกด้วย
ชุดระบบระบายความร้อนเย็นกว่า
จากการที่เป็น Gaming Notebook ระดับท็อป แน่นอนว่าต้องมาพร้อมชิปประมวลผลและการ์ดจอระดับบนเช่นกัน ซึ่งอย่างที่เราพอทราบกันมา ยิ่งสเปกแรงเท่าไหร่ การทำงานของตัวเครื่องเมื่อใช้งานหนักๆ หรือเล่นเกม 3 มิติที่ปรับกราฟิกสุดๆ ก็ยิ่งทำให้ฮาร์ดแวร์ภายในปลอดปล่อยความร้อนออกมาเยอะกว่าการใช้งานทั่วไปด้วย (พัดลมอาจจะไม่ทำงานเลยก็ได้) ซึ่งถ้า Gaming Notebook ทั่วไปอาจจะไม่ให้ความสำคัญมากนัก
แต่กรณี Gaming Notebook ระดับนี้ล่ะก็ ชุดระบบระบายความร้อนต้องจัดเต็มยิ่งกว่า เพื่อให้ควบคุมความร้อนที่เก็บขึ้นให้เย็นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของท่อฮีท์ไปป์ขนาดใหญ่จำนวนเยอะ หรือใช้พัดลมแบบพิเศษที่เร่งได้ รวมไปถึงบางรุ่นเลือกที่จะติดตั้งซิลิโคน Liquid Metal ที่สุดแห่งการระบายความร้อนช่วยด้วยอีกทาง เพื่อให้การทำงานทุกๆ อย่างมีความราบลื่นไม่มีสะดุดตอลอดการเล่นเกมหรือทำงานหนักหน่วง
สำหรับข้อมูลทั้งหมดน่าจะเป็นแนวทางการเลือกซื้อ Gaming Notebook กันได้นะครับ ว่าจริงๆ แล้ว เราจะดูแต่สเปกชิปประมวลผล การ์ดจอ แรม และที่เก็บข้อมูลไม่ได้ เพราะยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ซึ่งเป็นรายละเอียดของ Gaming Notebook ระดับท็อป ที่แตกต่างจากกลุ่ม Gaming Notebook เน้นความคุ้มค่า ฉะนั้นแล้วเพื่อนๆ คนไหนเลือกซื้อ Gaming Notebook ที่มีราคาสูง ก็ต้องยอมรับเลยว่าต้องได้ประสบการณ์ใช้งานโดยรวมที่ดีกว่าแน่นอน ปิดท้ายด้วยรุ่นต่าง ไม่ว่าจะเป็น
ASUS ROG Zephyrus S17 (GX701) : Intel Core i7-10875H + RTX 2080 Super Max-Q ราคา 119,900 บาท
ASUS ROG Zephyrus Duo 15 (GX550) : Intel Core i9-10980HK + RTX 2080 Super ราคา 109,900 บาท
Lenovo Legion 7i : Intel Core i9-10980HK + RTX 2080 Super ราคา 99,990 บาท
Acer Predator Triton 500 : Intel Core i7-10875H + RTX 2080 Super Max-Q ราคา 89,900 บาท
MSI GE66 Raider : Intel Core i9-10980HK + RTX 2080 Super Max-Q ราคา 82,990 บาท