Notebook ปี 2020 เกือบทั้งหมด 100% จะมาพร้อมกับพอร์ตอย่าง USB Type-C กันแล้ว ซึ่งถึงแม้จะใช้เป็นฟอร์มนี้ แต่มาตรฐานการรองรับก็จะแตกต่างกันออกไป โดยมีทั้ง USB 2.0/ 3.0/ 3.1 / 3.2 ซึ่งสังเกตว่ารูปข้างพอร์ตจะเป็นสัญลักษณ์ปกติเหมือนกับที่เราเห็นใน USB Type-A ที่ถ้าจะให้ชัวร์เราต้องดูจากหน้าสเปกของ Notebook รุ่นนั้นๆ อีกที อีกทั้งยังมี USB Type-C มาตรฐาน 3.1 / 3.2 ที่มีสามารถเอามาต่อจอแยกผ่านสาย Type-C ได้ รวมถึงชาร์จไฟโน๊ตบุ๊คได้ ด้วยฟีเจอร์ PD (Power Delivery) โดยใช้สายเพียงเดียว (โดยปกติส่วนใหญ่จะมีสัญลักษณ์เหมือนรูปด้านขวามากกว่า ตัว D ย่อมาจาก Display Port)
แต่ที่ล้ำหน้ายิ่งกว่าก็คือพอร์ต Thunderbolt 3 ที่มีฟอร์มหรือหน้าตาภายนอกเหมือนกับ USB Type-C เลย แต่เป็นพอร์ตเทพที่สามารถทำได้ทุกอย่างจากที่กล่าวมาบนก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นเพราะตัวเครื่องภายในจะมีคอนโทรลเลอร์พิเศษไว้ควบคุมเฉพาะตัว ซึ่งสามารถจ่ายไฟชาร์จได้สูงสุดถึง 100W รับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดถึงระดับ 40GB/s แน่นอนว่าต่อจอแยก 4K ก็ยังได้ และยังสามารถต่อ eGPU หรือกล่องการ์ดจอแยกได้อีกด้วย ปกติแล้วพอร์ตนี้จะอยู่ในเฉพาะ Notebook ระดับสูงเท่านั้น สัญลักษณ์จะใช้เป็นรูปสายฟ้าชัดเจน
ซึ่งในบทความนี้เราก็จะมาแนะนำ Notebook ปี 2020 เน้นเพื่อการทำงาน ดีไซน์บางเบาจำนวน 5 รุ่น 5 แบรนด์ ที่ได้ติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 3 แรงลื่นล้ำที่ดีที่สุด ซึ่งมาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10U รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ได้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีกว่าเดิมในทุกๆ ด้าน รวมไปถึงแบตเตอรี่และความร้อนที่เกิดน้อยลงด้วย ในส่วนของสเปกอื่นๆ ก็สมกับเป็น Notebook ระดับสูง เพราะมาพร้อมหน่วยความจำแรม 16GB และได้ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB ได้ความเร็วสูงสุด การเชื่อมต่อไร้สาย Wi-Fi 6 AX เป็นมาตรฐาน ส่วนหน้าจอได้ความละเอียดเริ่มต้นเป็น Full HD / Quad HD / Ultra HD ในราคาเริ่มเพียง 13,900 บาทเท่านั้น จะมีรุ่นอะไรบ้างไปชมกันต่อเลย
Acer Swift 3 ราคา 13,900 – 28,900 บาท
Acer Swift 3 เป็นโน๊ตบุ๊คบางเบาที่จัดเต็มเรื่องความคุ้มค่า การพกพา งานประกอบ และสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม โดยรุ่นใหม่ได้เปิดตัวมาตั้งแต่ช่วงปลายปีในปี 2019 นี้ จนถึงตอนนี้ปี 2020 ก็ยังนับว่าเป็นโน๊ตบุ๊คประเภท Ultrabook ที่คุ้มค่าที่น่าจับตามองที่สุด ในราคาเริ่มต้น 13,900 บาท กับสเปกที่เพิ่งออกมาให้เป็นสเปก i3-1005G1 / i5-1035G1 / i7-1065G7 + MX 250 / MX350 ได้ฟีเจอร์ครบครันครบเครื่อง พร้อมมีพอร์ต Thunderbolt 3 ที่รองรับการใช้งานที่ดีที่สุด นอกจากนี้ยังได้การเชื่อมต่อไร้สายเป็น Wi-Fi 6 AX ที่ใหม่ที่สุดด้วย พร้อมได้โปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ไปใช้งานติดเครื่องแบบฟรีๆ ไม่ต้องซื้อเองไปใช้งานด้วย
Acer Swift 3 จะเลือกใช้ชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 สถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร ที่แรงกว่าเดิม จัดเต็มเรื่องความคุ้มค่า การพกพา ซึ่งมีน้ำหนักเพียง 1.19 กก. และบางเพียง 15.95มม. เท่านั้น เหมาะกับนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน ที่ต้องการโน๊ตบุ๊คคุ้มค่า หรูหรา บางเบา จบครบในเครื่องเดียว ได้ประกันระยะ 3 ปี โดยปีแรกจะเป็นแบบ On-site Service พร้อมบริการซ่อมเครื่องด่วนภายใน 3 ชั่วโมง ทั้งหมดนี้เลยทำให้ Acer Swift 3 เป็นโน๊ตบุ๊คในตลาดปี 2020 ที่น่าซื้อจริงๆ โดยมีสีสันให้เลือกถึง 3 สีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Steel Gray / Glacier Blue / Millennial Pink
สเปก ดีไซน์การออกแบบ พร้อมฟีเจอร์ต่างๆ นั้น เป็นการต่อยอดจากรุ่นเดิมที่ดูลงตัว เพราะดูแล้ว Acer ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีกับโน๊ตบุ๊คบางเบาราคาคุ้มค่า ที่ราคาไม่แพง แต่ได้สเปกแรงขึ้นด้วยการ์ดจอแยก MX350 เหมาะมากๆ สำหรับคนทำงานจริงจังพนักงานออฟฟิศ หรือนักเรียนนักศึกษา ที่เน้นใช้งานทั่วไปให้ประสิทธิภาพพอตัว รวมไปถึงเล่นเกม 3 มิติบ้าง แต่พกพาไปที่นู้นที่นั่นบ่อยๆ ซึ่งรองรับการทำงานได้ยาวนานกว่าโน๊ตบุ๊คปกติ ทำให้เราสามารถพกพาไปใช้งานนอกสถานที่ได้อย่างคล่องตัวเหมือนอย่างที่ Ultrabook ราคาแพงหลายหมื่นบาทสมัยก่อนทำได้เลยล่ะ
พอร์ตเชื่อมต่อนั้นก็ยังมีพอร์ตมาตรฐานซึ่งมาให้ค่อนข้างครบ อย่าง Thunderbolt 3 (เป็น USB 3.1 Type-C + DisplayPort + Power Delivery), USB 3.1 Type-A, USB 2.0 Type-A, HDMI สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอก ที่สำคัญยังมาพร้อม Dual-Band Intel Wi-Fi 6 (GIG+) 802.11ax ที่แรงขึ้น 3 เท่า และการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 5.0 ใหม่ล่าสุด แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน พร้อมยังสามารถชาร์จได้รวดเร็วด้วยการชาร์จเพียง 30 นาที ก็สามารถใช้งานได้ถึง 4 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์สแกนลายนิ้วมือแบบใหม่ที่เพียงแตะเท่านั้น คล้ายๆ ใช้งานพวกสมาร์ทโฟน ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ใช้งานได้ง่ายและสะดวกมากๆ
- Core i3-1005G1 / Graphics G1 / RAM 4GB / SSD 512GB / 14″ IPS Full HD ราคา 13,990 บาท
- Core i5-1035G1 / MX250 / RAM 8GB / SSD 512GB / 14″ IPS Full HD / Microsoft Office ราคา 20,990 บาท
- Core i7-1065G7 / MX250 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 14″ IPS Full HD / Microsoft Office ราคา 23,990 บาท
- Core i5-1035G1 / MX350 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 14″ IPS Full HD / Microsoft Office ราคา 23,900 บาท
- Core i7-1065G7 / MX350 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 14″ IPS Full HD / Microsoft Office ราคา 28,900 บาท
Lenovo Yoga Slim 7 14 ราคา 31,990 – 39,990 บาท
ดีไซน์การออกแบบโดยรวมของ Lenovo Yoga Slim 7 14 นั้นจะดูเล็กกว่าโน๊ตบุ๊คหน้าจอ 14″ แบบสมัยก่อนอยู่พอสมควร เนื่องด้วยขอบจอที่บางกว่าปกติ ทำให้ตัวเครื่องดูเล็ก กะทัดรัด เหมาะกับการพกพา แต่ทั้งนี้ถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะเล็กพอๆ กับโน๊ตบุ๊คจอ 13.3″ ส่งผลให้ Lenovo Yoga Slim 7 14 เป็นอีกหนึ่ง Ultrabook ปี 2020 ที่ดูเล็กกระทัดที่สุด โดยมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.4 ด้วยดีไซน์ออกมาได้ขอบหน้าจอบาง ส่วนของตัวเครื่องทั้งหมดจะใช้เป็นอะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบ ทำให้ได้ข้อดีมาก็คือทั้งความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบา ส่งผลให้ภาพลักษณ์โดยรวมของตัวเครื่องดูหรูหราให้อารมณ์พรีเมียมสุดๆ
ตัวเครื่องมีการออกแบบโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย โลโก้ Lenovo จะมีอยู่ 2 จุดเท่านั้น คือ มุมบนฝาหลังด้านซ้าย และมุมใต้หน้าจอด้านซ้ายเท่านั้น ที่มุมตัวเครื่องจะทำให้เป็นแบบโค้งมน แต่ว่าไม่ได้มนมากจนเกินไป ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดในการทำให้ตัวเครื่องมีลักษณะงานประกอบทั้งหมดแทบจะเป็นชิ้นเดียวกัน แบบ Unibody ส่งให้เวลาที่เราจับถือหรือใช้งานจะรู้สึกว่าแน่นหนา ซึ่งจากการใช้งานจริงพื้นผิวบางนี้เป็บรอยนิ้วมือค่อนข้างยาก ฉะนั้นหายห่วงเรื่องความสะอาดได้เลย หรือถ้าจะเช็ดก็ง่ายดาย โดดเด่นด้วยสีสันใหม่ไม่ซ้ำใครอย่าง Slate Grey
สเปกของ Lenovo Yoga Slim 7 14 ใช้ชิปประมวลผลเป็น Intel Core i7-1065G7 หรือ Core i5-1035G1 สถาปัตยกรรม Ice Lake ที่เทคโนโลยีการผลิตที่ 10 นาโนเมตร มีค่า TDP ที่ 25Watt ส่วนการ์ดจอติดตั้งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง NVIDIA GeForce MX350(2GB GDDR5) ด้านแรมก็ติดตั้งมาให้ขนาด 16GB LPDDR4X Bus 3200MHz และที่เก็บข้มูลแบบ SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB – 1TB ที่ทั้งมีพื้นที่เยอะและลื่นไหล เพียงพอกับการใช้งาน มาพร้อม Windows 10 และซอฟต์แวร์จากทาง Lenovo Vantage ที่ช่วยในการจัดการปรับแต่ง
อีกส่วนที่น่าสนใจก็คือหน้าจอ โดย Lenovo YOGA C940 ใช้หน้าจอขนาด 14″ ความละเอียดระดับ Full HD อัตราส่วน 16:9 ขอบจอบางเฉียบ พาเนลจอแบบ IPS เกรดสูง ที่ให้มุมมองกว้างถึง 178 องศา พอร์ตเชื่อมต่อมี Thunderbolt 3 เป็นมาตรฐาน พร้อม Wi-Fi 6 AX (2 x 2) นอกจากนี้ยังมี 3D IR Camera สำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เพื่อล็อกอินโดยใช้การสแกนใบหน้า สำหรับประกันเป็น 2 ปี ตามมาตรฐาน Lenovo ที่ทุกคนมั่นใจ ปิดท้ายเรื่องความคุ้มค่าพร้อมใช้งานทันทีด้วยโปรแกรม Office Home & Student 2019 (มูลค่า 4,299 บาท) ด้วย
- Core i5-1035G1 / MX350 / RAM16GB / SSD 512GB / จอ 14″ IPS Full HD / Microsoft Office ราคา 31,990 บาท
- Core i7-1065G7 / MX350 / RAM 16GB / SSD 1TB / จอ 14″ IPS Full HD / Microsoft Office ราคา 39,990 บาท
MSI Prestige 14 ราคา 35,900 – 43,900 บาท
MSI Prestige 14 แบ่งออกเป็น 3 รุ่น 3 สี 3 สเปก โดยมีสี Pure White / Rose Pink Limited Edition / Grey เป็นโน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่หน้าจอ 14″ ตัวแรงลื่น สีชมพูโดดเด่นเหมาะกับสาวๆ อย่างที่สุด โดยมาพร้อมกับประสิทธิภาพจากชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10U รุ่นล่าสุดอย่าง Core i7-10510U / Core i7-10710U ผสานการทำงานร่วมกับการ์ดจอ NVIDIA GeForce MX250 / MX330 / GTX 1650 Max-Q และฟีเจอร์พอร์ต Thunderbolt 3 / USB PD ที่สำคัญคือตัวเครื่องมีความพรีเมียมและบางเบาอย่างที่สุด มีน้ำหนักเพียง 1.29 กิโลกรัมเท่านั้น ในส่วนของสเปกแรมได้มาขนาด 16GB DDR4 Bus 2666MHz และ SSD M.2 NVMe ที่ความจุ 512GB จัดเต็ม ส่งให้มีประสิทธิภาพในการทำงานที่ทรงพลังอย่างที่สุด สนับสนุนทั้งทำงานได้เต็มที่
สำหรับ MSI Prestige 14 ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงแต่บางเบาขนาดหน้าจอ 14″ รุ่นล่าสุดอีกรุ่นหนึ่งที่ครบเครื่อง ดีไซน์ที่เน้นความบางเบา พกพาได้สะดวก โดยยังรักษาความเป็นโน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพได้อย่างสมบูรณ์แบบ การออกแบบให้ความรู้สึกที่ดุดันพรีเมียมด้วยวัสดุอลูมิเนียม ตลอดทั้งตัวเครื่อง พร้อมตัดขอบเพชรเพิ่มความหรูหรา พร้อมความทนทานระดับ Military Standard ด้วยการผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด ทั้งทนร้อนทนเย็น ความดันอากาษ ความชื้นและฝุ่นต่างๆ ในระดับหนึ่ง ซึ่งดูแล้วเป็นการเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมๆ ที่โน๊ตบุ๊คสายทำงานมืออาชีพต้องดูดำๆ ดีไซน์โบราณ ให้กลายเป็นโน๊ตบุ๊คที่ดูน้อยแต่เรียบหรูและน่ารักนั่นเอง
สเปกหน้าจอขนาด 14″ ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล Full HD ซึ่งให้ประสบการณ์การใช้งานที่ประทับใจอย่างสุดๆ ขอบจอเป็นสีชมพูบางเฉียบโดยมีพื้นที่แสดงผลกว่า 90% จอเป็นแบบด้านที่ให้เรื่องสีสันสดใส รองรับใช้การดูภาพ ดูวิดีโอ และเล่นเกมก็ทำได้อย่างเป็นอย่างดี ส่วนบานพับก็แข็งแรงกว่ารุ่นก่อนๆ พร้อมกางได้ 180 องศา ทำให้นำเสนองานได้อย่างเต็มที่และง่ายขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายก็ครบครันด้วย Wi-Fi 6 AX (2 x 2) และ Bluetooth 5.0 ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อก็มีทุกรูปแบบรวมไปถึงได้ Thunderbolt 3 จำนวน 2 พอร์ต เป็นมาตรฐานอีกด้วย
MSI Prestige 14 พร้อมระบบปฎิบัติการ Windows 10 และซอฟต์แวร์ Creator Center ช่วยปรับแต่งการทำงานที่ใช้งานได้ทันทีตั้งแต่เปิดเครื่องครั้งแรก นอกจากนี้ยังมี Fingerprint สำหรับใช้งานร่วมกับฟังก์ชัน Windows Hello ของ Windows 10 เพื่อล็อกอินโดยใช้การสแกนนิ้ว ส่วนการรับประกัน 2 ปี ตามมาตรฐานของ MSI (ปีแรกประกันทั่วโลก)
พิเศษสำหรับรุ่นสี Rose Pink Limited Edition รับไปทันที Pink Gift Set – Limited Edition ที่ข้างในนั้นบรรจุไปด้วยซองหนังสีชมพูลายเรียบหรู ดูดี, พวงกุญแจ Dragon Lucky สีชมพู, และ Prestige Wireless Mouse Limited Edition มูลค่านั้นรวมทั้งสิ้น 3,000 บาท ทั้งหมดนี้ในราคาเพียง 38,900 บาทเท่านั้น ส่วนรุ่น Core i7-10510U + MX250 (Pure White) จะมีราคา 35,900 บาท และรุ่นท็อปสุด Core i7-10710U + GTX 1650 Max-Q (Grey) มีราคา 43,900 บาท
HP Spectre x360 ราคา 42,900 – 55,900 บาท
HP Spectre x360 ปี 2020 ดีไซน์การออกแบบ HP Spectre x360 ปี 2020 ถือว่าเป็น 2-in-1 Notebook ตัวท็อปสุดในตลาดอีกหนึ่งรุ่น เพราะด้วยความบางตัวเครื่องระดับ 14.7 มิลลิเมตร กับน้ำหนักแค่ 1.3 กิโลกรัมเท่านั้น โดยตามภาพประกอบมาพร้อมสี Poseidon Blue หรือ Dark Ash Silverตัดกับสี Copper Luxe ชิปประมวลผลสถาปัตยกรรม Ice Lake เทคโนโลยีที่ 10 นาโนเมตร ที่เล็กและร้อนน้อยกว่าเดิม เพิ่มเติมด้วย AI มาช่วยการประมวลผลให้ดียิ่งขึ้นเริ่มต้นเป็นสเปก Core i5-1035G1 ราคา 42,900 บาท และ Core i7-1065G7 ราคา 55,900 บาท ได้หน้าจอแสดงผลขนาด 13.3″ ความละเอียด Ultra HD 4K พาเนล OLED ความคมชัดสูง หรือ IPS ความละเอียด Full HD
ได้หน่วยความจำแรม 16GB LPDDR4 Bus 3200 MHz และ SSD M.2 NVMe PCIe ความจุ 512GB ที่ทำงานร่วมกับ Intel Optane Memory ความจุ 32GB ให้ความเร็วลื่นแรงที่มากกว่า หน้าจอเป็นพาเนล IPS ระดับสูง ขนาด 13.3″ ความละเอียด Ultra HD 4K พร้อมได้มุมมองที่กว้างและสีสันสดใส รองรับการทัชสกรีนเต็มรูปแบบ โดยเป็นกระจก Corning Gorilla ให้ความทนทานอย่างที่สุดตัวเครื่องติดตั้งกล้อง Webcam ความคมชัดระดับ HD และไมโครโฟนแบบ Dual Microphone ไว้สำหรับแชท และวิดีโอคอลได้อย่างคมชัดลื่นไหล พร้อมสแกนลายนิ้วมือ Fingerprint ไว้ใช้งานร่วมกับ Windows Hello เพื่อเข้าใช้งาน
ที่สำคัญยังมีพอร์ตเชื่อมต่ออย่าง Thunderbolt 3 ที่ออกแบบมาพิเศษ เข้ากับตัวเครื่องสุดบางมาให้ด้วย แน่นอนว่ารองรับการเชื่อมไร้สายอย่าง Intel Wi-Fi 6 AX 201 (2×2) และ Bluetooth 5 Combo ตัวเครื่องติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows 10 และซอฟต์แวร์เอกสิทธิ์ของ HP ที่สำคัญบันเดิลยังให้ปากกาสไตลัส HP Active Pen รุ่นล่าสุด รวมไปซอฟต์เคสหนังสุดหรูบันเดิล พร้อมด้วยอแดปเตอร์ตัวแปลงเป็น HDMI, USB Type-A, USB Type-C รวมไปพอร์ตชาร์จไฟก็โดนจับไปรวมกับ Thunderbolt 3 ด้วย
ด้านดีไซน์การออกแบบ HP Spectre x360 ปี 2020 ถือว่าเป็น 2-in-1 Notebook ตัวท็อปสุดในตลาดอีกหนึ่งรุ่น เพราะด้วยความบางตัวเครื่องระดับ 14.7 มิลลิเมตร กับน้ำหนักแค่ 1.3 กิโลกรัมเท่านั้น ที่ดูแพงและหรูหรากว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปแบบเห็นได้ชัด ซึ่งทุกรายละเอียดพร้อมสร้างความแตกต่าง จากทั้งวัสดุอลูมิเนียมที่มอบภาพลักษณ์ความหรูหราเหนือระดับ พร้อมขอบตัวเครื่องแบบมันวาว ในเรื่องของการออกแบบให้มีความบางแต่ยังคงมีความแข็งแรงอยู่ ที่ต้องบอกว่าเป็นอะไรที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ นำไปทำตามได้ยาก รวมไปถึงบานพับโน๊ตบุ๊คแบบสองข้อ ก็เป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจจากรายละเอียดงานดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ ที่พร้อมสะกดทุกสายตาด้วยบานพับดีไซน์เรียบหรูสะอาดตา ซึ่งบริเวณนั้นยังมีคำว่า Spectre ด้วย เพื่อเป็นการยืนยันถึงความพรีเมียม
- Core i5-1035G1 / Graphics G1 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 13.3″ IPS Full HD ราคา 42,900 บาท
- Core i7-1065G7 / Iris Plus Graphics G7 / RAM 16GB / SSD 512GB / จอ 13.3″ OLED Ultra HD ราคา 42,900 บาท
Dell Inspiron 13 7391 2-in-1 ราคา 34,990 – 44,990 บาท
Dell Inspiron 13 7391 2-in-1 จัดว่าเป็นหนึ่งใน 2-in-1 Notebook รุ่นใหม่ล่าสุด ได้สเปกชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10 หน้าจอ 13.3″ ขอบจอบางเฉียบ ความละเอียด Full HD / 4K Ultra HD รองรับการทัชสกรีนและปากกา พร้อมมีช่องเก็บตรงบานพับในตัว ที่ดูหรูหรา มาพร้อมกับขนาดตัวเครื่องที่บางเบาเล็กกระทัดรัด ที่ 1.4 กิโลกรัม ขอบจอก็บางเฉียบ แรมขนาด 8GB / 16GB DDR4 พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 512GB สำหรับความละเอียดหน้าจอก็เป็นพาเนล IPS ให้ภาพคมชัดสวยงามสมจริง พร้อมใช้งานด้วย Windows 10 และมีซอฟต์แวร์ต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ในส่วนของกล้องด้านหน้ารองรับการใช้งาน VDO Call และ Fingerprint ที่ใช้งานร่วมกับ Windows Hello
มาพร้อมดีไซน์ที่เรียบๆ แต่แฝงความหรูหรา ที่สำคัญคือติดตั้งพอร์ต Thunderbolt 3 มาให้พร้อมใช้งานด้วย สนนราคา Dell Inspiron 13 7391 อยู่ที่ 44,990 บาท กับรุ่น Core i7-10510U ได้จอ 4K Ultra HD / 39,990 บาท จอ Full HD ส่วนถ้าเป็นรุ่น Core i5-10210U ได้จอ Full HD จะอยู่ที่ 34,990 บาท สำหรับคอมพิวเตอร์แบรนด์ Dell ได้รับความน่าเชื่อถือมาอย่างยาวนานและเป็นที่นิยมในการใช้งานกับองค์กรและภาคธุรกิจอย่างมากมาย ทั้งมาตรฐานการบริการ Dell Premium Support และ On-site Service “บริการซ่อมตรงถึงที่ ทุกที่ ในอีก 1 วันทำการ” ถึง 2 ปีด้วยกัน
เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใส่ใจในรายละเอียดก็คือ มีน้ำหนักตัวที่เบามากๆ แถมตัวเครื่องยังบางสุดๆ โดยสามารถถือได้ด้วยมือเดียวอย่างสบายๆ ด้วยน้ำหนักเพียง 1.4 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนความบางเครื่องก็เพียง 13.66 -15.90 มิลลิเมตร บอกได้เลยว่าจะหาโน๊ตบุ๊คแบบนี้จากแบรนด์อื่นๆ ก็ยากซักหน่อย ที่สำคัญอีกเรื่องก็คือบานพับก็เป็นอะลูมิเนียมที่แข็งแรงทนทานไม่ต่างจากตัวเครื่อง คอยทำหน้าที่หมุนหน้าจอได้ถึง 360 องศา ไว้ใช้ Multi Mode ทำให้ใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ที่สำคัญ 2-in-1 Notebook มีการดีไซน์ที่เก็บปากกาล้ำๆ โดยติดตั้งอยู่ที่บานพับ ซึ่งอาศัยแม่เหล็กในการเก็บอีกที (Pen Garage)
Dell Inspiron 13 7391 2-in-1 มีมาตรฐานพอร์ตต่างๆ ของกลุ่ม 2-in-1 Notebook มาครบครัน เช่น USB 3.1 Type-A จำนวน 1 พอร์ตที่มาพร้อมฟีเจอร์ Sleep Charge ไว้สำหรับการเชื่อมต่อกับแฟลชไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์ภายนอกไว้ถ่ายโอนข้อมูล รวมไปถึงชาร์จสมาร์ทโฟน และ Thunderbolt 3 (USB-C) สุดล้ำ ถ่ายโอนไฟล์ได้ไว พร้อมต่อจอความละเอียดสูงได้ รวมไปถึงยังมีพอร์ตมาตรฐาน HDMI สำหรับเชื่อมต่อจอภายนอก และ micro SD Card Reader มาให้ด้วย แน่นอนว่ายังมีช่องเชื่อมต่อไมค์และหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ซึ่งแบตเตอรี่นั้นก็ใช้งานได้ยาวนาน 10 ชั่วโมง
- Core i5-10210U / UHD 620 / RAM 8GB / SSD 512GB / จอ 13.3″ IPS Full HD ราคา 34,990 บาท
- Core-i7-10510U / UHD 620 / RAM 16GB / SSD 512GB / จอ 13.3″ IPS Full HD ราคา 39,990 บาท
- Core i7-10510U / UHD 620 / RAM 16GB / SSD 512GB / จอ 13.3″ IPS Ultra HD ราคา 44,990 บาท
Apple MacBook Pro 13 ราคา 59,990 – 66,990 บาท
การมาของ MacBook Pro 13 (2020) รุ่นใหม่ล่าสุด ของ Apple นับว่ามีความน่าสนใจมากๆ จากการที่ได้มีการอัพเดทสเปกเป็นชิปประมวลผล Intel Core i Gen 10U (Ice Lake รุ่นพิเศษ) พร้อมได้มาตรฐานแรมเป็น LPDDR4X ความเร็ว 3733MHz ที่สำคัญคือได้ Magic Keyboard ที่เปลี่ยนกลับไปเป็นรูปแบบเดิมอย่าง Scissor Switch ที่คาดว่าจะไม่มีปัญหาเหมือน Butterfly Keyboard แบบรุ่นก่อนหน้านั่นเอง แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 10 ชั่วโมง ให้พอร์ต Thunderbolt มา 2 พอร์ต แน่อนว่ายังมี Touchbar แต่แยกปุ่ม esc ออกแล้ว สรุปโดยรวมดีกว่ารุ่นเดิมแน่นอน แม้ทาง Apple จะยังใช้การเชื่อมต่อไร้สายเป็นมาตรฐาน Wi-Fi 5 AC อยู่ก็ตาม สนนราคาเริ่มต้นที่ 59,990 บาทสำหรับ Core i Gen 10U
ดีไซน์โดยรวมของ MacBook Pro 13 (2020) ยังมีความใกล้เคียงกับ MacBook Pro 13 แบบก่อนๆ คือสัดส่วนจอเป็น 16:10 แต่ได้ขอบหน้าจอที่บาง พาเนล IPS ความละเอียดปกติ 2560 x 1600 (QHD) ที่ 227 พิกเซลต่อนิ้ว ความสว่าง 500 nit ขอบเขตสี P3 ตัวเครื่องมีน้ำหนักอยู่ที่ 1.4 กิโลกรัม ความบางอยู่ที่ 15.6 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่บางเบาระดับนึง วัสดุทั้งหมดใช้เป็นอลูมิเนียมขึ้นรูปด้วยเครื่องจักร CNC แบบ Unibody ที่แข็งแรงทนทานและมีความพรีเมียมอย่างที่สุด ซึ่ง Apple บอกว่าใช้การออกแบบ Advanced Thermal Design แบบใหม่ ระบายความร้อนได้ดีขึ้น ทำงานได้หนักหน่วงขึ้น โดยสีสันยังมีให้เลือกคือ 2 สีคือ เงินและเทาสเปซเกรย์เหมือนเดิม แล้วแต่ความชอบ
ในส่วนของสเปกและราคาขายตามมาตรฐานมีอยู่ 2 รุ่น คือ 59,990 บาท และ 66,990 บาท จัดว่ามีความพิเศษมากกว่า Notebook ทั่วไป เพราะใช้รุ่นเฉพาะ อย่าง Intel Core i5-1038NG7 (2.00 GHz, 6 MB L3 Cache up to 3.80 Ghz) ทำงานแบบ 4 คอร์ 8 เธรด ที่สามารถ CTO เป็น Core i7-1060NG7 ได้ โดดเด่นด้วยการ์ดจอออนชิป Iris Plus Graphics G7 ที่ทั้งแรงขึ้นเพียงต่อการใช้งานผ่านทางระบบปฏิบัติการ macOS แน่นอน ในส่วนของแรมได้เป็นขนาด 16GB LPDDR4X Bus 3733 MHz และ SSD M.2 NVMe ความเร็วสูงบนความจุ 512GB / 1TB เรียกได้ว่าส่วนที่เก็บข้อมูลนี้จัดเต็มจริงๆ
สำหรับราละเอียดอื่นๆ คือได้พอร์ตการเชื่อมต่อเป็น Thunderbolt 3 จำนวน 4 พอร์ต ที่ถ่ายโอนข้อมูลสูงสุด 40Gb/s และรองรับจอภาพ 6K สูงสุด 2 จอ ซึ่งใช้งานทั้ง USB-C / DisplayPort / Power Delivery (PD) แน่นอนว่ายังมีช่องต่อ