ต้องบอกว่าในช่วงที่หลายๆ คน ไม่สิ ต้องบอกว่าคนไทยและทั่วโลก ส่วนใหญ่ก็จะต้องเก็บตัวกันอยู่แต่ในบ้าน หรือทำงานกันแบบ Work from Home หลายวันเข้า ก็น่าเบื่ออยู่ไม่น้อย แอดเองก็เช่นกัน แต่ก็ยังดีที่มีอะไรให้ทำมากมาย เช่นเดียวกับรีวิวในวันนี้ ที่เอาใจสายเกมเมอร์ที่เล่นเกมคอนโซลกันหน่อย เพราะได้ของเล่นที่ใช้สำหรับเครื่องเล่นเกม Play Station 4 หรือ PS4 จากค่าย HyperX มาให้ลอง โดยในช่วงนี้ไม่รู้จะหันไปทางไหนดี เกมมีให้เล่นมากมาย แต่ก็เอาใจคอเกมที่เรียกว่าเป็นอมตะอีกเกมหนึ่ง อย่างเช่นเกม Final Fantasy VII Remake เรียกว่าออกมาตั้งแต่เดโม จนวันนี้กลายเป็นตัวเต็มกันละ กับสนนราคาราว 2 พันบาท ซึ่งถือว่าเป็นเกมที่น่าสนุกและถูกใจสายแอ็คชั่นได้ดีทีเดียว
วันนี้มีโอกาสได้ลองเกมมิ่งเกียร์ตัวจี๊ดอีกรุ่นหนึ่งจากค่าย HyperX ที่จะเอามาช่วยเพิ่มความเร้าใจในการเล่นเกม Final Fantasy VII Remake อันประกอบไปด้วย HyperX Cloud PS4 ที่เรียกว่าถอดแบบเอาเอกลักษณ์จัดๆ ของหูฟังในตระกูล Cloud รุ่นแรกๆ มาเลย กับรูปลักษณ์และฟีเจอร์ แต่ปรับเรื่องของสเตจเสียงและโครงสร้าง รวมถึงขยับตัวไดรเวอร์ให้จัดจ้านขึ้นอีกนิด และประกบคู่มากับ HyperX ChargePlay Duo ที่เอาใจคอเกมที่ชอบความต่อเนื่องในการเล่น ด้วยการชาร์จ ให้กับจอยสติ๊กของ PS4 ที่เป็น Wireless ได้รวดเร็ว ซึ่งเราจะมาทดสอบด้วยว่า จะใช้เวลาเท่าไรในการชาร์จไฟในแต่ละครั้ง โดยในรุ่น Duo นี้ก็จะตามชื่อเลย คือชาร์จแบบคู่ พร้อมไฟ LED 3 step จากการอ้างอิงของ HyperX ระบุว่า สามารถชาร์จ DualShock4 เต็มได้ใน 2 ชั่วโมง จะได้จริงหรือไม่ เรามาพิสูจน์กันอีกที
มาดูหน้าตาของเกมมิ่งเกียร์ทั้ง 2 รุ่นกัน ซ้ายหูฟัง HyperX Cloud PS4 สีน้ำเงินสดใส กับดีไซน์ที่ดูคุ้นตา ถัดมาด้านขวาคือ ChargePlay Duo ชาร์จไฟ ชาร์จไวให้กับจอยของ PS4
HyperX Cloud PS4 หูฟังแบบปิด Close back ที่เป็นสไตล์ของ Earcup ในหูฟังเกมมิ่งในปัจจุบัน กับดีไซน์ที่ดูเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของ Cloud series แต่ใช้โครงสร้างที่ดูเล็กลง กับที่รองศีรษะน้ำหนักเบา เป็นแบบเส้นเดียว เป็นเมมโมรีโฟมที่หุ้มด้วยวัสดุแบบหนังสังเคราะห์ ก้านหูฟังปรับระดับได้ เพื่อให้เหมาะกับการสวมใส่ มีโลโก้ PlayStation สวยๆ ติดไว้บนก้านของหูฟังกับโลโก้ HyperX ที่ด้านบน โดยที่ติดตั้งไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 53mm ที่เป็นนีโอดายเมียมมาด้วย พร้อมสายยาว 1.3m ที่มีชุดควบคุมระดับเสียงมาให้บนสาย กับหัวต่อพื้นฐาน 3.5mm และไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน แบบถอดได้ เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน
มาดูสเปคคร่าวๆ ของ HyperX Cloud PS4
เฮดโฟน
- ไดร์เวอร์: 53 มม. แบบไดนามิคพร้อมแม่เหล็กนีโอดีเนียม
- ประเภท: แบบครอบเต็ม ปิดด้านหลัง
- ความถี่: 15Hz-25,000 Hz
- ความต้านทาน: 41 Ω
- ระดับแรงดันเสียง: 95dBSPL/mW ที่ 1kHz
- T.H.D.: < 2%
- น้ำหนัก: 325 ก.
- น้ำหนักพร้อมไมค์: 337 ก.
- ความยาวและประเภทสายต่อ: ชุดหูฟัง (1.3 ม.)
- การเชื่อมต่อ: ชุดหูฟัง – หัวเสียบ 3.5 มม. (4 ตอน)
ไมโครโฟน
- ส่วนประกอบ: ไมโครโฟนอีเล็คเตรทคอนเดนเซอร์
- รูปแบบขั้ว: ระบบตัดสัญญาณรบกวน
- ความถี่: 50Hz-18,000 Hz
- ความไว: -39dBV (0dB=1V/Pa,1kHz)
อย่างที่กล่าวไว้คือ Cloud PS4 รุ่นนี้ เป็นแบบ Close back กับโลโก้ HyperX ด้านข้างดูโดดเด่น แต่ไม่มีแสงสีมาด้วยนะ โครงโลหะแข็งแรงสีน้ำเงิน เพื่อให้เข้ากับสไตล์ของ PS4 ได้อย่างลงตัว
เรื่องของมิติและขนาด แทบไม่ต้องกังวลว่าจะใหญ่เทอะทะ ด้วยครอบหูฟังแบบวงรีรูปไข่ และไซส์ที่เหมาะกับศีรษะของคนเอเซียได้ลงตัว เรียกว่าผู้หญิงใส่ได้ ผู้ใช้ก็พอดี เหมาะกับคนที่ชอบการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว
ด้านในครอบหูฟังจะเป็นไดรเวอร์ขนาดใหญ่ 53mm ให้พลังเสียงได้เต็มอิ่ม รวมถึงเหมาะกับการใช้งานอื่นๆ ได้เช่นกัน ดูหนัง ฟังเพลง
ด้านข้างของทั้ง 2 ด้านจะเป็นก้านที่ใช้การปรับระดับแบบง่ายๆ ไม่ต้องพลิกแพลง ข้อดีคือ จะปรับในระหว่างการใช้งานได้ง่ายกว่า แต่ระยะที่ยืดออกมา จะไม่ได้เยอะมากนัก
ครอบหูฟังด้านบนเป็นเมมโมรีโฟม หุ้มด้วนวัสดุแบบหนัง ค่อนข้างนุ่มนวล ทำให้วางบนศีรษะได้ค่อนข้างสบายทีเดียว และน้ำหนักเบาเพียง 3xx กรัมเท่านั้น
โลโก้ Play Station ด้านข้าง สีขาว ดูตัดกับโครงสร้างสีดำสวยๆ
บริเวณหูฟังด้านซ้าย จะเป็นจุดที่ใช้ต่อกับไมโครโฟนที่ต่อแยกได้ เป็นแบบแจ๊ค 3.5mm ฝาปิดยางนี้ ต้องระวังเก็บไว้ให้ดีๆ เพราะหายได้ง่ายมาก
เมื่อดึงฝาปิดออกมาแล้ว ก็สามารถต่อกับไมโครโฟนแบบแยกเข้าไปได้ทันที
ไมโครโฟนนี้เป็นแบบตัดเสียงรบกวน ความยาวไม่มากมาย แต่ก้านเป็นแบบปรับได้ ตามแบบที่เราชอบ ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นข้อดี เพราะมันปรับให้เข้ากับรูปหน้า จะให้ใกล้ปากหรือยื่นออกไปตามความชื่นชอบได้เลย
สายสัญญาณเป็นแบบหุ้มสายถักอ่อน ความยาวประมาณ 1.3m และมีตัวปรับระดับเสียง และเปิด/ ปิดไมโครโฟน อยู่บนสายด้วยเลย
หัวต่อมาตรฐานแบบ 3.5mm 4 step ล็อคได้แน่นหนาเข้ากับพอร์ตอุปกรณ์
เมื่อใช้ร่วมกับจอยไร้สายของ Play Station ระบบจะตรวจสอบฮาร์ดแวร์ และเช็คความพร้อมในการทำงาน โดยจะแจ้งรายละเอียดจากบนหน้าจอให้ทันที
เมื่อพร้อมแล้วก็มาลุยกันเลย วันนี้เบาๆ กับ Final Fantasy VII Remake
อาวุธพร้อม ของกินก็พร้อม ก็ลุยกันกันได้เลย การเซ็ตระบบก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด แค่ต่อสายเข้ากับจอยสติ๊ก แล้วรอให้ระบบตรวจเช็คเล็กน้อย จากนั้นลองเช็คเสียงในเกม ก็เล่นได้เลย
เรื่องของเสียงที่ได้จาก HyperX Cloud PS4 รุ่นนี้ ความทุ้มหนัก ในโทนเสียงกลาง ยังคงเด่นชัดกว่าเสียงแหลม เอาใจคอเกมไว้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ Cloud ฟาดดาบกระแทกไปยังศัตรูแบบเป็นชุดหรือ Barret ซัดกระสุนแบบรัวๆ รวมถึงตอน ATB จะหนักหน่วง โดยเฉพาะเมื่อคอมโบ จะรู้สึกมันส์เป็นพิเศษ แต่จังหวะของเสียงตัวละคร บางทีจะต้องหันเข้าไปใกล้นิดหน่อย ถ้าคุณอยากจะฟังรายละเอียดในมิชชั่นนะ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่น การเก็บรายละเอียดของเสียงกระสุน ศัตรูที่เข้ามาโจมตีรอบข้าง ยังคงวางใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหมาผีที่โผล่มาเรื่อยๆ ในฉากแรกๆ เรียกว่าถ้าคุณหมุนตัวทัน ก็ฟันได้ไม่เลี้ยง เพราะให้ทิศทางเสียงได้ค่อนข้างดี จะมีแค่ในช่วงที่ถูกรุมเยอะๆ แล้วคุณกำลังพัลวันกับการสลับเปลี่ยนตัวละครอื่นเข้ามา เพื่อให้โจมตีได้ตามความเหมาะสม ก็อาจจะทำให้คุณรู้สึกหลอนได้เลย เพราะเสียงมารอบทิศ แต่สิ่งนี้จะไม่มีผล ถ้าคุณคุ้นเคยกับปุ่มและการเล่น โดยเฉพาะคนที่ผ่าน FF มาหลายภาคแล้ว ฉบับนี้อาจจะบอกว่าสนุกจนลืมเรื่องเสียงไปเลยด้วยซ้ำ
HyperX ChargePlay Duo
แท่นชาร์จ
- เครื่องเล่นเกม: PS4™
- ประเภท: พอร์ตชาร์จ EXT
- จำนวนชุดควบคุม: ชุดควบคุม DUALSHOCK®4 2 ตัว
- เวลาชาร์จ: 2 ชั่วโมง
- ไฟสถานะแบตเตอรี่: จอ LED พร้อมไฟสถานะ 3 ระดับ
ขนาด
- ความยาว: 185.42 มม.
- ความกว้าง: 86.36 มม.
- ความสูง: 73.66 มม.
- น้ำหนัก: 285 ก.
พลังงาน
- ประเภท: อะแดปเตอร์ AC ติดผนัง
- สัญญาณขาเข้า: 100-240V AC, 50/60Hz, 0.65A
- สัญญาณขาออก: 5V DC, 2A
- ความยาวสาย: 1.8 ม.
แต่เล่นจนเพลินไปหน่อย แบตจอย PS4 ก็ใกล้หมด เช่นเดียวกับแบตคนเล่น แต่ก็ยังมีของเล่นช่วยให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น กับการชาร์จจอยสติ๊กได้ทีเดียว 2 ตัวพร้อมกัน
HyperX ChargePlay Duo ต้องบอกเลยว่าปกติแอดไม่เคยได้ใช้นะกับของแบบนี้ แต่คราวนี้มีหูฟังมา ก็เลยขอมาลองด้วย เดิมๆ ใช้ต่อสาย USB แต่บางทีก็รู้สึกนานไปหน่อย ยิ่งตอนนี้มีหลายๆ เกมรออยู่ ถ้าชาร์จปกตินี่น่าจะยาว
สำหรับกล่องของ Hyper ChargePlay Duo แทบจะใช้โทนสีที่ล้อไปกับหูฟัง Cloud และที่เป็น PS4 series ทั้งหมดในไลน์ของ HyperX ตัวกล่องจะมีรายละเอียดต่างๆ ไว้อย่างครบครัน แต่ถ้าโดยพื้นฐานตัวอุปกรณ์ชิ้นนี้ ก็แทบจะไม่มีลูกเล่นอื่นใดมากนัก จะมีแค่แท่นชาร์จและไฟแสดงสถานะเท่านั้น
ภายในกล่อง ประกอบไปด้วยแท่นชาร์จแบบคู่ วางจอยได้ 2 ตัวคู่ แผ่นคู่มือการใช้งาน และอแดปเตอร์
มาดูขนาดของ ChargePlay เป็นแท่นพลาสติกขนาดประมาณฝ่ามือ เรียกว่าพอให้ใส่กระเป๋าหิ้ว เดินทางไปพร้อมๆ กับเครื่อง PS4 และจอย PS4 ได้สบายๆ
ตัวแปลงไฟที่ใช้ต่อกับอุปกรณ์ขนาด 5V – 2A พร้อมหัวต่อเข้าเครื่องโดยตรง
หน้าตาดูค่อนข้างแปลกเลยทีเดียว แต่ถ้าใครคุ้นเคยกับบรรดาที่เป็นอุปกรณ์เสริมของ PS4 ในลักษณะเดียวกันแล้ว ก็อาจจะเฉยๆ
การใช้งานก็ไม่ได้ยุ่งยาก แค่ต่ออแดปเตอร์เข้ากับตัว ChargePlay Duo จากนั้น ก็วางจอยสติ๊กทั้ง 2 อันลงไปได้เลย โดยหันหน้าออกมาแบบนี้
การวางลงไปนั้น อาจจะต้องเอียงเล็กน้อย ให้เข้ากับสลักตัวล็อคของแท่นชาร์จ ค่อยๆ กดลงไป เมื่อดังแกร่กแล้ว และไฟสถานะเป็นรูปแบตขึ้นที่แท่น ก็ถือว่าใช้ได้
เมื่อวางลงไป จะปรากฏไฟสถานะ เป็นแบบ 3 ระดับ ปรากฏให้เห็น บอกเลยดูหรูหรา น่าใช้กว่าการต่อสาย USB เยอะเลย
เมื่อระดับไฟ ขึ้นมา 3 ขีดแล้ว บนแถบสถานะของ ChargePlay ก็แสดงว่า ชาร์จไฟเต็มพร้อมใช้งานแล้ว ซึ่งเท่าที่ทดสอบ จอย PS4 2 ตัว ใช้เวลาในการชาร์จราว 1 ชั่วโมง 20 นาที สำหรับตัวที่มีไฟค้างอยู่ในตัวบ้าง ไม่หมดซะทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าชาร์จได้ไวพอสมควร
Conclusion
ถ้ามองในภาพรวมของอุปกรณ์จาก HyperX ทั้ง 2 ชิ้นนี้ หูฟัง Cloud PS4 และ ChargePlay Duo ต้องบอกว่าสามารถตอบโจทย์การเล่นของบรรดาเกมเมอร์สายคอนโซลได้ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะคนที่กำลังมองหาเกมมิ่งเกียร์และของใช้ในการอำนวยความสะดวกให้กับการเล่นเกมในช่วงที่ต้องอยู่บ้านหลายๆ วันต่อเนื่องแบบนี้ ในแง่ของคุณภาพการใช้งานของหูฟัง Cloud รุ่นนี้ แทบไม่ได้เป็นรองจากในรุ่นที่ใช้กับพีซีเลยทีเดียว ยิ่งดูจากสเปค อาจเรียกได้ว่าดึงเอาความโดดเด่นในหูฟังระดับรุ่นพี่มาให้คุณเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมได้อย่างเต็มอิ่ม รูปลักษณ์อาจไม่ได้หรูหรา แต่ก็เน้นที่การใช้งานเป็นหลัก น้ำหนักเบา เสียงเร้าใจ ส่วนตัวชาร์จไฟ ChargePlay Duo ก็เอาใจคนไม่ชอบรอ จะเป็นสายแบบ Solo เดี่ยวๆ ก็สลับชาร์จเล่นต่อเนื่องได้ เพราะชาร์จได้ไว ส่วนถ้ามาเป็นคู่รอชาร์จไม่นาน ก็ลุยต่อได้แล้ว เป็นทางเลือกที่นอกเหนือจากการเล่นแบบต่อสายชาร์จไฟไปด้วย เพราะอาจจะรู้สึกเกะกะไม่น้อย ตัวชาร์จแบบนี้ น่าจะตอบโจทย์คุณได้ ใครที่สนใจแนะนำว่า ลองดูข้อมูลจากลิงก์นี้เพิ่มเติมได้ครับ คลิ๊ก
จุดเด่น
- หูฟังให้เสียงกลางชัด จับสถานะรอบข้างได้ดี
- หูฟังนุ่ม น้ำหนักเบา ไม่รำคาญเมื่อใช้นานๆ
- มีตัวปรับเสียงมาที่สาย ใช้สะดวก
- ต่อเข้ากับจอย PS4 ใช้ได้เลย ไม่วุ่นวาย
- ChargePlay ใช้ง่าย มีไฟสถานะ ชาร์จได้เร็ว
ข้อสังเกต
- หูฟังเน้นที่การเล่นเกม กับดูหนังเป็นหลัก เสียงแหลมยังไม่เด่นมากนัก ตามสไตล์เกมมิ่ง
- น่าจะมีอะไหล่ครอบหูฟังมาให้เปลี่ยนเพิ่ม
- ChargePlay ต้องวางให้ตรงล็อค แสงน้อยๆ อาจจะใส่ยาก
ใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติมของหูฟัง HyperX Cloud PS4 และ ChargePlay Duo ไปได้ที่ คลิ๊ก
ราคา:
- HyperX Cloud PS4 ราคา ประมาณ 1,790 บาท
- HyperX ChargePlay Duo ราคา ประมาณ 890 บาท
ติดต่อ: ตัวแทนจำหน่าย HyperX ทั่วประเทศ