Alienware M15 R2 ที่สุดของ Gaming Notebook จากทาง Dell รุ่นใหม่ล่าสุดปี 2020 สเปกสุดแรงดีไซน์สุดล้ำ หน้าจอขนาด 15.6″ กับสเปกที่จัดเต็มด้วยชิปประมวลผล Intel Core i9-9980HK /Intel Core i7-9750H ส่วนการ์ดจอเป็น NVIDIA GeForce RTX 2080 / 2070 / 2060 แบบ สนนราคาขายจริงอยู่ที่ 79,990 – 119,990 บาท โดยมีน้ำหนักแค่ 2.16 กิโลกรัมเท่านั้น และมีความบางสุดๆ ของตัวเครื่องเพียง 17.9 มิลลิเมตร ซึ่งในส่วนของประกันเป็นแบบ 2 ปี เป็นบริการ Dell Premium Support ซ่อมตรงถึงที่ ทุกที่ ในอีก 1 วันทำการ (On-site Sevice) ที่หลายคนประทับใจกันอยู่แล้ว
สเปกและฟีเจอร์อื่นๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน มาพร้อมกับแรมขนาด 8 – 16GB และ SSD M.2 NVMe ความจุ 256 – 512GB ได้หน้าจอขนาด 15.6″ ความละเอียด Full HD (1920 x 1080) มี Refresh Rate ที่ 144 – 240Hz 7ms กับความสว่างสูงถึง 300 nits ได้ค่าขอบเขตสี sRGB ใกล้เคียง 100% color gamut รวมไปถึงมี Tobii Eyetracking ที่เราสามารใช้ดวงตาในการเล่นเกมอีกด้วย ส่วนการเชื่อมต่อก็จัดเต็มด้วย Killer Wi-Fi 6 AX1650 (2×2) และ Bluetooth 5.0 ใช้งานได้ทันทีด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 10 Home 64bit ที่มีซอฟต์แวร์แสกนไวรัส McAfee* Security Center 12 Month Subscription มาให้ด้วย
VDO Review
NBS Verdict
เชื่อได้ว่า Alienware M15 R2 เป็น Gaming Notebook ที่หลายคนจับมอง จากความสวยงามหรูหราเกินหน้าเกินตา และเป็น Gaming Notebook ระดับบนของทาง Dell ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสเปกแรงลื่น ยังได้เรื่องของประกันเทพ 2 ปี On-site Service ที่ทุกคนมั่นใจ นอกจากนี้ยังได้ฟีเจอร์ไฟ RGB ล้ำๆ อย่าง AlienFX Lighting Zones ที่ปรับแต่งได้รอบตัว และ Tobii Eye Tracker ไว้เล่นเกมด้วยดวงตา ส่งผลให้มีความเหนือชั้นมากกว่า Gaming Notebook ในระดับราคาช่วงเดียวกัน
ซึ่งต้องบอกเลยว่าราคาค่าตัวนั้นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ Gaming Notebook ในสเปกใกล้เคียงกัน ซึ่งสำหรับรุ่นเริ่มต้นราคา 79,990 บาท ส่วนแรมเดิมๆ ขนาด 8GB น้อยไปหน่อย ซึ่งถ้าได้ 16GB เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้นจะดีกว่า รวมไปถึง SSD ความจุ 256GB ไม่น่าจะพอแน่นอน สำหรับการใช้งานติดตั้งเกมหรือลงโปรแกรมเพิ่มเติม อีกทั้งเมื่อใช้งานจริงๆ แล้วพบว่าความร้อนที่เกิดขึ้นเวลาใช้งานหนักๆ ค่อนข้างสูง ที่เอาจริงๆ แนะนำให้ซื้อรุ่นราคา 89,990 บาท จะเหมาะสมกับ เพราะได้ทั้งการ์ดจอแยก แรม และ SSD รวมถึงหน้าจอที่ดีกว่า คุ้มค่ากว่า
เอาเป็นว่าใครกำลังมองหาโน๊ตบุ๊คที่เน้นความแรง งานประกอบ ดีไซน์ที่ดุดัน และการรับประกันเทพๆ แล้วล่ะก็ Alienware M15 R2 น่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดีทีเดียว ซึ่งควรจะซื้อรุ่นกลางราคา 89,990 บาทขึ้นไป โดดเด่นด้วยประสบการณ์ใช้งานได้ที่ไม่เหมือนใคร ส่วนการมาของ Alienware M15 R2 ทำให้ Dell มี Gaming Notebook รุ่นท็อปใหม่แล้ว ส่วนรุ่นรองลงมาก็จะเป็น Dell G Series รุ่นต่างๆ อย่าง G7, G5 , G3 สามารถเลือกได้ตามงบประมาณเริ่มต้น 2x,xxx บาท
จุดเด่น
- เป็น Gaming Notebook ดีไซน์พรีเมียมหรูหราโดดเด่น บางเบากว่ารุ่นก่อนๆ ของ Alienware
- งานประกอบแน่นๆ วัสดุแม็กนีเซียมอัลลอยด์ ตลอดทั้งตัวเครื่อง มาตราฐานโน๊ตบุ๊ค Dell ระดับสูง
- ประสิทธิภาพดีด้วยชิปประมวลผล Core i7-9750H และการ์ดจอ RTX 2060 OC Ready
- ได้หน้าจอพาเนล IPS ความละเอียด Full HD แบบ 144 Hz คุณภาพดีระดับสูง
- AlienFX Lighting Zones มีไฟ RGB รอบตัว พร้อม Per key RGB
- เป็นโน๊ตบุ๊คมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 3 ความเร็วสูง
- การเชื่อมต่อไร้สายดีเยี่ยมด้วย Killer Wi-Fi 6 AX1650 (2×2)
- มีฟีเจอร์ Tobii Eye Tracker ไว้เล่นเกมด้วยดวงตา
- ซอฟต์แวร์ติดเครื่องมีมาให้อย่างจัดเต็ม ใช้ได้จริง
- ประกันถึง 2 ปี มาพร้อม Dell Premium Support (On-site Sevice)
- ที่มีซอฟต์แวร์แสกนไวรัส McAfee* Security Center 12 Month Subscription
ข้อสังเกต
- แป้นคีย์บอร์ดไม่มีภาษาไทย
- ราคาสูงกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปกใกล้เคียงกัน
- การระบายความร้อนมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ระยะเวลาน้อยเกินไป
- ควรซื้อรุ่นราคา 89,990 บาทน่าจะเหมาะสมกว่า
Specification
Alienware M15 R2 รุ่นแอดมินโป้งที่ได้รับมารีวิวใช้ชิประมวลผลรุ่นล่าสุดจากทาง Intel อย่าง Core i7-9750H และการ์ดจอระดับสูงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2060 OC Ready (6GB GDDR6) แรมมาตรฐานเป็น DDR4 Bus 2666MHz ขนาด 8GB พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB มีหน้าจอความละเอียดสูงระดับ 1920 x 1080 พิกเซล Full HD พาเนล IPS แบบด้าน 240Hz ส่งผลให้เราได้พบประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยม ใครจะเอาไปทำงานหรือเล่นเกมอันนี้ไม่ว่ากัน สนนราคา 79,990 บาท ซึ่งจากสเปกหลักตรงนี้ทำให้รองรับการเล่นเกมในปัจจุบันลื่นๆ ได้ทุกเกมแน่นอน
พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม Alienware FHD (1080p) และมีไมค์ดิจิตอลแบบคู่ในตัว ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง Thunderbolt 3 (USB Type-C with support for USB 3.1 Gen 2 10Gbps, 40Gbps Thunderbolt, and DisplayPort 1.2), USB 3.1 Type-A และ RJ-45 Killer Network E3000 2.5Gbps, Headset พิเศษสุดๆ ด้วย Alienware Graphics Amplifier พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi มาตรฐาน Killer Wireless 1650 2×2 AC ที่สำคัญยังโดดเด่นกว่ารุ่นอื่นด้วยการติดตั้ง Tobii Eyetracking ที่เราสามารใช้ดวงตาในการเล่นเกมอีกด้วย
แน่นอนว่านั่นก็มาจากการที่ Dell มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมกับมาตรฐานของ Dell ที่มีแฟนๆ เชื่อมั่นอยู่เสมอมา ที่สำคัญด้วยบริการ Dell Premium Support ซ่อมตรงถึงที่ ทุกที่ ในอีก 1 วันทำการ (On-site Sevice) ระยะเวลา 2 ปีเต็มด้วย ทำให้มั่นใจได้เลย บริการหลังการขายของ Dell นั้นยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน
หน้าสเปกราคาของ Alienware M15 R2 ทั้ง 3 รุ่น
- i7-9750H + RTX 2060 OC Ready + RAM 8GB + SSD 256GB + จอ IPS 144Hz ราคา 79,990 บาท
- i7-9750H + RTX 2070 Max-Q + RAM 16GB + SSD 512GB + จอ IPS 240Hz ราคา 89,990 บาท
- i9-9980HK + RTX 2080 Max-Q + RAM 16GB + SSD 512GB + จอ IPS 240Hz ราคา 119,990 บาท
Hardware / Design
ดีไซน์การออกแบบจะเห็นว่า Alienware M15 R2 มีความล้ำสมัยแบบสุดๆ เป็นยานอวกาศเหมือนมาจากต่างดาวมากๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูไม่เหมือนใครเน้นเรียบง่ายแต่หรูหรามากๆ เลือกใช้สีดำ Dark Side of the Moon ที่เป็นโทนดำทั้งตัวเครื่อง (หรือสีขาว Lunar Light แบบขาวนวลพร้อมสลับสีดำ) ที่ดูแล้วสะอาดตา เชื่อว่าโดนใจใครหลายๆ คนแน่นอน ในเรื่องของความพรีเมียมแตกต่างจาก Gaming Notebook แบรนด์อื่นๆ แบบชัดเจน เรียกได้ว่าเอาไปใช้งานที่ไหนก็โดดเด่นสุดๆ
สำหรับฝาหลังมีโลโก้ Alienware และเลข 15 อยู่ ซึ่งรุ่นที่นำมารีวิวนี้เป็นรุ่นพิเศษจากโปรเจค Alienware x CARNIVAL ทำให้มีการเพิ่มโลโก้ CARNIVAL เข้ามาด้วย ได้วัสดุหลักๆ ก็จะเป็นแม็กนีเซียมอัลลอยด์และพลาสติกที่แข็งแรงและพรีเมียม แน่นอนว่ามีมิติตัวเครื่องที่เล็กลงจากการที่ขอบจอบาง เล็กกว่ารุ่นก่อนๆ โดยมีน้ำหนักแค่ 2.16 กิโลกรัมเท่านั้น และมีความบางสุดๆ ของตัวเครื่องเพียง 17.9 มิลลิเมตร เรียกได้ว่าเป็น Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ อีกรุ่นในตลาดที่ทั้งบางและเบาไปด้วยพร้อมๆ กัน
ตัวเครื่องโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดต่างๆ ที่สวยงามตามสไตล์ Alienware ที่สำคัญด้วยเทคโนโลยี Advanced Alienware Cryo-Tech v3.0 ได้ชุดระบายความร้อนก็มีขนาดที่ใหญ่มาก โดยได้พัดลม 2 ตัวขนาดใหญ่ ดูดอากาศเย็นจากใต้ตัวเครื่องพร้อมเปล่าออกผ่านทางฮีทไปป์และฟินขนาดใหญ่ไปทางด้านหลังและด้านข้างออกตัวเครื่อง เชื่อได้เลยว่า Alienware M15 R2 ตัวนี้ต้องจัดการอุณหภูมิได้ดีอย่างแน่นอน
มาพร้อมกับไฟ RGB 16.8 ล้านสี ด้วย AlienFX Lighting Zone ตามสไตล์ของ Alienware ที่เราสามารถปรับแต่งได้ดั่งใจ ทั้งส่วนของคีย์บอร์ดที่ดูแล้วสวยงาม อีกทั้งด้านหลังตัวเครื่องที่เป็นการแยกชุดระบายความร้อนออกมาตามสไตล์ของ Alienware ก็ยังมีการติดตั้งไฟ RGB เอาไว้ ทั้งโลโก้หลังและปุ่ม Power ที่ยอมรับเลยว่าตรงนี้ดูเก๋มากๆ โดดเด่นแบบสุด ให้อารมณ์ด้วยรวมของตัวเครื่องแบบรถยุโรปราคาแพงทีเดียว ที่สำคัญช่องระบายความร้อนก็เป็นแบบรังผึ้งที่ลงตัวสุดๆ ทั้งขอบด้านหลังและเหนือชุดคีย์บอร์ด
ส่วนด้านฐานของตัวเครื่องมียางรองกันลื่นสองเส้นพาดยาวยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ยกตัวเครื่องให้อากาศเย็นผ่าน โดยมีช่องดูดลมเย็นขนาดใหญ่ ซึ่งมีการเล่นดีไซน์แบบรังผึ้ง ติดตั้งเอาไว้ที่เราสามารถมองเห็นกันได้อย่างชัดเจนทั้งสวยงามลงตัวและใช้ได้จริง ส่วนถ้าจะอัพเกรดก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ขันน็อตไม่กี่ตัว รวมๆ แล้วต้องยอมรับว่าทาง Dell นั้นใส่ใจในการออกแบบมาจริงๆ นอกจากที่อัพเกรดได้ไม่ยากแล้ว ยังทำความสะอาดได้สะดวกสบายอีกด้วย เป็นข้อดีที่หาได้ยากในหลายๆ แบรนด์
สรุปโดยรวมการออกแบบดีไซน์ภายนอกและวัสดุนั้น ทำได้ดีตามมาตรฐานของ Dell ที่เป็นโน๊ตบุ๊คระดับสูง ซึ่งทุกคนไว้ใจและมั่นใจจริงๆ ตอบโจทย์ของคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงในดีไซน์เรียบๆ แต่แอบแฝงความแรงและเรียบหรูเอาไว้ ที่เน้นสายเกมเมอร์เป็นหลัก แต่ใครจะเอาไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ อะไรก็แล้วแต่เลย อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าราคาสูงกว่าแบรนด์คู่แข่ง
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ Alienware M15 R2 มีการออกแบบมาให้มีขนาดใหญ่โดยโค้งรับกับนิ้วมือได้พอดี ทำให้สามารถพิมพ์ได้ง่ายขึ้น ก็ถือว่าทำไว้ดี ด้านการใช้งานในการพิมพ์ด้วยเทคโนโลยี N-Key rollover และ anti-ghosting ตอบสนองได้เป็นอย่างดีทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วและช่องว่างทำให้มีความแม่นยำในการกด เด้งกับนิ้วเมื่อกดลงไปอย่างพอดีด้วยความลึก 1.7 มิลลิเมตร ในส่วนของไฟ RGB 16.8 ล้านสี แบบ Per-key Alien FX lighting ก็สามารถใช้งานได้ดีทีเดียว ส่วนปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่บริเวณด้านบนมุมขวาของชุดคีย์บอร์ด มีไฟ RGB ที่สามารถปรับได้ตามต้องการ แน่นอนว่าไม่มีการสกรีนภาษาไทยตามสไตล์
ทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ในระดับนึง พื้นผิวแบบกระจกสัมผัสแล้วติดนิ้ว ส่วนดีไซน์นั้นก็ใช้เป็นแบบซ่อนปุ่มคลิกซ้ายขวา โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดีรวมไปถึงปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็มีความนุ่มและเด้งรับได้น่าประทับใจ การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยมีการจับความเคลื่อนไหวว่าผู้ใช้กำลังพิมพ์ข้อความอยู่หรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้เคอร์เซอร์ไม่เลื่อนไปจากตำแหน่งเก่า ถ้าผู้ใช้เผลอนำมือไปโดนทัชแพดเข้า
Screen / Speaker
หน้าจอของ Alienware M15 R2 มีขนาดที่ 15.6″ ขอบหน้าจอบางที่ 5.2 มิลลิเมตร แบบจอด้านลดแสงสะท้อน โดยมีความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) พาเนล IPS คุณภาพสูง ที่สำคัญยังรองรับการแสดงผล 144Hz เทียบกับโน๊ตบุ๊คหน้าจอพาเนลทั่วไปแล้วล่ะก็ ต้องบอกว่า Alienware M15 R2 มีความเหนือชั้นกว่าแบบเห็นครั้งแรกก็รู้เลย เรียกได้ว่ารองรับทุกการทำงานหรือความบันเทิง รวมไปถึงการเล่นเกมแบบเต็มประสบการณ์อย่างสุดๆ นอกจากนี้ยังมี Tobii Eyetracking ที่เราสามารใช้ดวงตาในการเล่นเกมอีกด้วย (แต่ต้องเป็นเกมที่รองรับด้วยนะ)
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ Alienware M15 R ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS ทางทีมงานเลยถือโอกาสทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด โดยทดสอบออกมาแล้วเผยให้เห็นขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 96% และ AbodeRGB ที่ 71%
เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีน่าประทับใจ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ คือเพียงพอต่อการใช้งานทั่วๆ ไปแน่นอน หรือถ้าเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็เหมาะสมเป็นอย่างดี
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องกลางแถวล่างเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ แต่สำหรับช่องขวาแถวล่าง มีแสงสว่างที่ลดลงไประดับ 8% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่หน้าระบบเสียงให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ด้วยความที่เป็น 2 ชาแนล อยู่ข้างใต้ตัวเครื่องทางซ้ายและขวา ในเรื่องของความดังของเสียงเรียกว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้น อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากว่าคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีเพียงพอแบบสบายๆ แล้ว ส่วนใครจะเอาไปต่อกับหูฟังหรือลำโพงเพิ่ม ก็สามารถทำได้หากว่าต้องการคุณภาพเสียงที่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
Connector / Thin And Weight
ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อประกอบไปด้วย ช่องชาร์จไฟ Power/DC-in Port 1 / RJ-45 Ethernet Port / 2 x Type-A USB 3.1 Gen 1 Port / 1 x Type-A USB 3.1 Gen 1 Port with PowerShare technology / 1 x Thunderbolt 3 Port (USB Type-C with support for USB 3.1 Gen 2 10Gbps, 40Gbps Thunderbolt, and DisplayPort 1.2) / 1 x Alienware Graphics Amplifier Port / 1 x HDMI 2.0b Output Port / 1 x Mini-Display Port 1.4 (certified) Output Port / 1 x Audio Out (Compatible with inline mic headset) / Wedge-shaped lock slot (cable and lock sold separately) จัดเต็มกันไปเลย
Alienware M15 R2 นับได้ว่าเหนือชั้นกว่า Gaming Notebook หลายรุ่น ในส่วนของความบางเบาของตัวเครื่อง ตอบสนองการพกพาได้เป็นอย่างดี มีน้ำหนักตัวค่อนข้างมากถึง 2.16 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าจะเห็นว่าเบากว่าเดิม แถมมิติตัวเครื่องยังบางและเบากว่าเดิม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่พัฒนาดียิ่งขึ้น ซึ่งถ้ารวมอแดปเตอร์แล้วจะมีน้ำหนักประมาณ 2.5 กิโลกรัม ไม่ลำบากในการพกพามากนัก แม้ตัวอแดปเตอร์เองจะมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่อยู่ทีเดียว
Performance / Software
โดย Alienware M15 R2 มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen 9 อย่าง Intel Core i7-9750H (ว่าที่รุ่นยอดนิยมประจำปี 2019) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการใช้งานหนักๆ ไม่จะเป็นการโปรเซสหรือเล่นเกม มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.60 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.50 GHz เป็นซีพียูแบบ 6 Core 12 Threads ที่แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ จัดว่าเป็นรุ่นยอดนิยมสูงสุด มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB DDR4 Bus 2666MHz แบบ 4GB x 2 แถว ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 630 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน โดยมีกราฟิกการ์ดจอแยกตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2060 (6GB GDDR6) แบบรองรับ Overclock (ผ่านทางซอฟต์แวร์) ที่ต้องบอกว่าแรงกว่า RTX 2060 ปกติ ตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เรียกว่าสำหรับเกมออนไลน์สามารถทำได้ลื่นไหลแน่นอน แต่ยังไงไปดูผลทดสอบอีกทีดีกว่าด้านล่าง
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 256GB แบบ M.2 NVMe แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 1613MB/s และเขียนที่ 1297MB/s จัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีลื่นไหลเป็นอย่างดี ทั้งการใช้งานทั่วไปหรือประสิทธิภาพ
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 4,769 คะแนน (น้อยกว่าที่ควรจะเป็น มีโอกาสจะทดสอบอีกครั้ง) ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยกอย่าง RTX 2060 OC Ready แต่ถ้าเทียบจริงๆ จะเห็นถึงคะแนนที่ต่ำกว่า Gaming Notebook ในสเปกที่ใกล้เคียงกัน
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H ร่วมกับการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 2060 OC Ready โดยประกอบกับยังใช้แรม 8GB DDR4 รวมไปถึง SSD NVMe 256GB ก็ผลต่อประสิทธิภาพทั้งหมด
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V/ FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดย Battlefield V เปิด DX12 แต่เลือกปิด DLSS / Ray Tracing ที่แม้จะทำให้ภาพสวยแต่ก็กินทรัพยากรเครื่องพอตัวอยู่ เฟรมเรทเฉลี่ยของทั้ง 3 เกม อยู่ที่ระดับ 60 – 80+ ทั้งหมดเลย
เกมออนไลน์กินสเปกเบาๆ หน่อยอย่าง DOTA 2 / Overwatch รวมไปถึง PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 90 – 100 ขึ้นไปตลอด ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ แต่ถ้าเทียบกับ Gaming Notebook รุ่นอื่นที่สเปกใกล้เคียงกัน
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ พาเนล IPS แบบ 144Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 144Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล หรือเอาจริงๆ สำหรับเกมสไตล์ MOBA แค่ 60 FPS นิ่งๆ ก็เอาอยู่ หรือถ้าอยากให้วิ่ง 144Hz ก็จะปรับกราฟิกของเกมลงมาต่ำๆ หน่อย
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจของ Alienware M15 R2 เป็น Gaming Notebook ก็คือมาพร้อมซอฟต์แวร์บันเดิลอย่าง Dell SupportAssistant โดยเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราดูแลคอมพิวเตอร์ได้อย่างเหมาะสม ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และช่วยแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โปรแกรมนี้ยังระบุข้อมูลที่สำคัญสำหรับแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งนั่นหมายรวมไปถึงการอัพเดทไดร์เวอร์ต่างๆ และ Windows ด้วย จัดได้ว่าดีและใช้งานได้จริง
รวมไปถึงซอฟต์แวร์ Dell Power Manager ที่คอยเป็นตัวช่วยในการจัดการพลังงาน การชาร์จไฟ สถานะแบตเตอรี่ รวมไปถึงระบบระบายความร้อน ที่เราสามารถเลือกการจัดการได้ ว่าจะใช้งานทั่วไป อัตโนมัติ หรือเร่งรอบพัดลม เพื่อให้ระบายความร้อนได้สูงสุด ตามแต่ลักษณะการใช้งานของเรา
นอกเหนือจากนี้ทาง Dell ยังมีซอฟต์แวร์ Utility อย่าง Alienware Command Center โดยเป็นลักษณะของแอพพลิเคชั่นต่างๆ มากมาย ที่ช่วยเอื้ออำนวยในการปรับแต่งเพื่อการเล่นหรือทำงานโดยเฉพาะ อาทิเช่น โหมดการใช้งานต่างๆ โปรไฟล์เกมที่มีอยู่ AlienFX ไว้ปรับไฟทั้งตัวเครื่อง ไว้จัดการเกี่ยวประประสิทธิภาพ รวมไปถึงหน้าตาโปรแกรมว่าเป็นโทนสว่างโทนมืด หรือกราฟิกต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ Gaming Notebook ระดับสูงของทาง Dell ที่มีการพัฒนาต่อยอดมาจาก Alienware เท่านั้น
ปิดท้ายด้วย Dell Mobile Connect ซอฟต์แวร์ที่คอยเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องแยกการใช้งานระหว่างพีซีและสมาร์ทโฟน โดยเชื่อมต่อกันผ่านสัญญาณ Bluetooth ซึ่งทำให้การแจ้งเตือนต่างๆ ข้อมความ เบอร์โทร รวมไปถึงการโทรศัพท์ติดต่อ สามารถทำผ่านโน๊ตบุ๊คของ Dell ได้เลย สำหรับ Alienware M15 R2 ก็มีซอฟต์แวร์ตัวนี้ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน เรียกได้ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปากทีเดียว
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน Alienware M15 R2 เครื่องนี้มีความจุแบตเตอรี่ที่ความจุไม่ใหญ่มาก แต่ด้วยที่เป็นชิปประมวลผลแบบเน้นประสิทธิภาพ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับต่ำที่สุดแล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราว 2 ชั่วโมงโดยประมาณ เรียกได้ว่าน้อยเกินกว่าที่คาดเอาไว้ มีโอกาสเราจะมาทดสอบกันใหม่อีกครั้ง
สำหรับอุณหภูมิเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 70 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 – 28 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติหนักๆ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของชิปประมวลผลอยู่ที่ไม่เกิน 95 – 100 องศาเซลเซียส และการ์ดจอไม่เกิน 60 – 72 องศาเซลเซียส ส่วนเสียงพัดลมก็ถือว่าเสียงไม่ดังเลยเมื่อใช้งานหนักๆ ถือว่าไม่รบกวนอะไรมากมายสำหรับคนที่เล่นเกม อย่างไรก็ตามถือว่า Alienware M15 R2 เป็น Gaming Notebook ที่ระบบระบายความร้อนทำได้ดีน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ
Conclusion / Award
สรุปรีวิวจากการทดสอบใช้งานจริงของ Alienware M15 R2 สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องนับว่ามีความก้าวล้ำกว่ารุ่นก่อนๆ ไปมาก ด้วยแนวคิดใหม่ๆ พร้อมวัสดุคุณภาพสูง งานประกอบที่แน่นๆ และสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ที่ต้องการ Gaming Notebook ที่แตกต่างและโดดเด่นสะดุดตา พรีเมียมแบบสุดๆ อย่างที่หาไม่ได้ในแบรนด์อื่นๆ
รุ่นที่นำมารีวิวเป็น Alienware M15 R2 ที่เป็นสเปกตัวเริ่มต้น Intel Core i7-9750H + NVIDIA GeForce RTX 2060 OC Ready รวมไปถึงหน้าจอ IPS Refrsh Rate ที่ 144 Hz ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก แม้จะต้องจ่ายสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ก็ตาม ในสเปกและบางอย่างที่เหนือชั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าวัดกันสเปกต่อสเปก จะมีราคาที่สูงกว่าแบรนด์อื่นๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งเชื่อว่าแฟนๆ ของ Alienware น่าจะยินดีมากๆ ที่จะซื้ออยู่แล้วล่ะ ถ้ารับถึงราคาได้
โดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยฟีเจอร์อย่าง AlienFX Lighting Zones ที่แบ่งเป็นในส่วนของคีย์บอร์ดมีไฟ RGB และช่องระบายความร้อย รวมไปถึงโลโก้ด้านหลังและปุ่ม Power ปรับแต่งผ่านทางซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ใช้งานได้จริง แม้ว่าอาจจะข้อสังเกตในเรื่องการระบายความร้อนที่อุณหภูมิสูงไประดับร้อนสุดที่ 100 องศา รวมไปประสิทธิภาพน่าจะแรงกว่านี้ในส่วนของการทดสอบ สุดท้ายถ้าดูราคาแล้วรับได้ รวมไปถึงพอใจกับ งานประกอบ สเปก และการมีพอร์ต Thunderbolt 3 มาให้แล้ว ก็ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่น่าสนใจรุ่นนึงช่วงปี 2020 นี้ก็ว่าได้
Alienware M15 R2 เป็นโน๊ตบุ๊คที่จัดได้ว่ามีความครบครันในการใช้งานหลายๆ ด้าน ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานทั้งในกลุ่มที่เป็นผู้ใช้งานที่เน้นเล่นเกมเป็นหลักด้วยดีไซน์การออกแบบและสเปก Gaming หรือผู้ที่รักความบันเทิงและมัลติมีเดีย ส่วนทำงานทั่วๆ ไปนั้นสบายๆ อยู่แล้ว ด้วยสเปคภายในที่แรงตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น แถมยังให้การรับประกันถึง 2 ปีอีกด้วย ที่สำคัญคือ Dell Premium Support คือมารับมาส่งถึงบ้านเลย อันนี้เจ๋งกว่าแบบเหนือชั้นจริงๆ ยังไงก็จัดได้ว่ามีความน่าซื้ออยู่ไม่น้อยเช่นกัน สำหรับการโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมจาก Dell
ซึ่งย้ำอีกครั้งว่ารุ่นเวอร์ชั่นที่เรานำมารีวิวเป็น Alienware M15 R2 “CARNIVAL Edition” รุ่นใหม่ล่าสุด จัดว่าเป็น Alienware M15 R2 รุ่นพิเศษที่ออกแบบโดย Carnival ที่จะมาพร้อมกับสีเทา Darkside of the Moon และครั้งแรกกับการเปิดตัวสี Lunar Light ในโทนสีขาวแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยจะมาพร้อมกับลายสกรีน CARNIVAL พิเศษบนเครื่อง และอะแดปเตอร์ เปิดให้พรีออร์เดอร์จำนวนจำกัดพร้อมสินค้า Limited Edition ที่สายสตรีทและเกมเมอร์จะมาบรรจบในที่เดียวกัน โดยรุ่นปกติก็สามารถหาซื้อได้ตามตัวแทนจำหน่ายของ Dell
โดยใน Set Alienware x CARNIVAL จะประกอบไปด้วย Alienware x x CARNIVAL Vindicator 2.0 15” Backpack, Alienware x CARNIVAL Elite Gaming Mouse AW959 อิดิชั่นพิเศษที่มาพร้อมกับลายสกรีน CARNIVAL พร้อมกับเสื้อผ้า Alienware x CARNIVAL T-Shirt และ Alienware x CARNIVAL Cap สุดพิเศษ
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง Alienware M15 R2 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Dell Gaming Notebook ที่เป็นโน๊ตบุ๊คสายคเล่นเกมระดับท็อป ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน Alienware M15 R2 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นเกม ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกัน ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
Best Performance
ด้วยสเปกชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H ตัวล่าสุดให้ความแรงเพียงพอกับทุกๆ การใช้งาน ที่มาพร้อมการ์ดจอระดับรองท็อปอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2060 OC Ready กับแรมขนาด 8GB แบบ DDR4 ได้ SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB รวมไปถึงหน้าาจอ 144Hz ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ รวมไปถึงการเล่นเกมในปัจจุบัน
VDO Review
NBS Verdict
เชื่อได้ว่า Alienware M15 R2 เป็น Gaming Notebook ที่หลายคนจับมอง จากความสวยงามหรูหราเกินหน้าเกินตา และเป็น Gaming Notebook ระดับบนของทาง Dell ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสเปกแรงลื่น ยังได้เรื่องของประกันเทพ 2 ปี On-site Service ที่ทุกคนมั่นใจ นอกจากนี้ยังได้ฟีเจอร์ไฟ RGB ล้ำๆ อย่าง AlienFX Lighting Zones ที่ปรับแต่งได้รอบตัว และ Tobii Eye Tracker ไว้เล่นเกมด้วยดวงตา ส่งผลให้มีความเหนือชั้นมากกว่า Gaming Notebook ในระดับราคาช่วงเดียวกัน
ซึ่งต้องบอกเลยว่าราคาค่าตัวนั้นค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับ Gaming Notebook ในสเปกใกล้เคียงกัน ซึ่งสำหรับรุ่นเริ่มต้นราคา 79,990 บาท ส่วนแรมเดิมๆ ขนาด 8GB น้อยไปหน่อย ซึ่งถ้าได้ 16GB เพื่อประสิทธิภาพที่ดีขึ้นจะดีกว่า รวมไปถึง SSD ความจุ 256GB ไม่น่าจะพอแน่นอน สำหรับการใช้งานติดตั้งเกมหรือลงโปรแกรมเพิ่มเติม อีกทั้งเมื่อใช้งานจริงๆ แล้วพบว่าความร้อนที่เกิดขึ้นเวลาใช้งานหนักๆ ค่อนข้างสูง ที่เอาจริงๆ แนะนำให้ซื้อรุ่นราคา 89,990 บาท จะเหมาะสมกับ เพราะได้ทั้งการ์ดจอแยก แรม และ SSD รวมถึงหน้าจอที่ดีกว่า คุ้มค่ากว่า
เอาเป็นว่าใครกำลังมองหาโน๊ตบุ๊คที่เน้นความแรง งานประกอบ ดีไซน์ที่ดุดัน และการรับประกันเทพๆ แล้วล่ะก็ Alienware M15 R2 น่าจะตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดีทีเดียว ซึ่งควรจะซื้อรุ่นกลางราคา 89,990 บาทขึ้นไป โดดเด่นด้วยประสบการณ์ใช้งานได้ที่ไม่เหมือนใคร ส่วนการมาของ Alienware M15 R2 ทำให้ Dell มี Gaming Notebook รุ่นท็อปใหม่แล้ว ส่วนรุ่นรองลงมาก็จะเป็น Dell G Series รุ่นต่างๆ อย่าง G7, G5 , G3 สามารถเลือกได้ตามงบประมาณเริ่มต้น 2x,xxx บาท
จุดเด่น
- เป็น Gaming Notebook ดีไซน์พรีเมียมหรูหราโดดเด่น บางเบากว่ารุ่นก่อนๆ ของ Alienware
- งานประกอบแน่นๆ วัสดุแม็กนีเซียมอัลลอยด์ ตลอดทั้งตัวเครื่อง มาตราฐานโน๊ตบุ๊ค Dell ระดับสูง
- ประสิทธิภาพดีด้วยชิปประมวลผล Core i7-9750H และการ์ดจอ RTX 2060 OC Ready
- ได้หน้าจอพาเนล IPS ความละเอียด Full HD แบบ 144 Hz คุณภาพดีระดับสูง
- AlienFX Lighting Zones มีไฟ RGB รอบตัว พร้อม Per key RGB
- เป็นโน๊ตบุ๊คมาพร้อมพอร์ต Thunderbolt 3 ความเร็วสูง
- การเชื่อมต่อไร้สายดีเยี่ยมด้วย Killer Wi-Fi 6 AX1650 (2×2)
- มีฟีเจอร์ Tobii Eye Tracker ไว้เล่นเกมด้วยดวงตา
- ซอฟต์แวร์ติดเครื่องมีมาให้อย่างจัดเต็ม ใช้ได้จริง
- ประกันถึง 2 ปี มาพร้อม Dell Premium Support (On-site Sevice)
- ที่มีซอฟต์แวร์แสกนไวรัส McAfee* Security Center 12 Month Subscription
ข้อสังเกต
- แป้นคีย์บอร์ดไม่มีภาษาไทย
- ราคาสูงกว่าโน๊ตบุ๊คในสเปกใกล้เคียงกัน
- การระบายความร้อนมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ระยะเวลาน้อยเกินไป
- ควรซื้อรุ่นราคา 89,990 บาทน่าจะเหมาะสมกว่า
Specification
Alienware M15 R2 รุ่นแอดมินโป้งที่ได้รับมารีวิวใช้ชิประมวลผลรุ่นล่าสุดจากทาง Intel อย่าง Core i7-9750H และการ์ดจอระดับสูงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2060 OC Ready (6GB GDDR6) แรมมาตรฐานเป็น DDR4 Bus 2666MHz ขนาด 8GB พร้อม SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB มีหน้าจอความละเอียดสูงระดับ 1920 x 1080 พิกเซล Full HD พาเนล IPS แบบด้าน 240Hz ส่งผลให้เราได้พบประสบการณ์ใช้งานที่ดีเยี่ยม ใครจะเอาไปทำงานหรือเล่นเกมอันนี้ไม่ว่ากัน สนนราคา 79,990 บาท ซึ่งจากสเปกหลักตรงนี้ทำให้รองรับการเล่นเกมในปัจจุบันลื่นๆ ได้ทุกเกมแน่นอน
พร้อมด้วยกล้องเว็บแคม Alienware FHD (1080p) และมีไมค์ดิจิตอลแบบคู่ในตัว ส่วนการเชื่อมต่อก็มีมาอย่างครบถ้วน ทั้ง Thunderbolt 3 (USB Type-C with support for USB 3.1 Gen 2 10Gbps, 40Gbps Thunderbolt, and DisplayPort 1.2), USB 3.1 Type-A และ RJ-45 Killer Network E3000 2.5Gbps, Headset พิเศษสุดๆ ด้วย Alienware Graphics Amplifier พร้อมยังรองรับมาตรฐานการเชื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth 5.0 และ Wi-Fi มาตรฐาน Killer Wireless 1650 2×2 AC ที่สำคัญยังโดดเด่นกว่ารุ่นอื่นด้วยการติดตั้ง Tobii Eyetracking ที่เราสามารใช้ดวงตาในการเล่นเกมอีกด้วย
แน่นอนว่านั่นก็มาจากการที่ Dell มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมกับมาตรฐานของ Dell ที่มีแฟนๆ เชื่อมั่นอยู่เสมอมา ที่สำคัญด้วยบริการ Dell Premium Support ซ่อมตรงถึงที่ ทุกที่ ในอีก 1 วันทำการ (On-site Sevice) ระยะเวลา 2 ปีเต็มด้วย ทำให้มั่นใจได้เลย บริการหลังการขายของ Dell นั้นยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน
หน้าสเปกราคาของ Alienware M15 R2 ทั้ง 3 รุ่น
- i7-9750H + RTX 2060 OC Ready + RAM 8GB + SSD 256GB + จอ IPS 144Hz ราคา 79,990 บาท
- i7-9750H + RTX 2070 Max-Q + RAM 16GB + SSD 512GB + จอ IPS 240Hz ราคา 89,990 บาท
- i9-9980HK + RTX 2080 Max-Q + RAM 16GB + SSD 512GB + จอ IPS 240Hz ราคา 119,990 บาท
Hardware / Design
ดีไซน์การออกแบบจะเห็นว่า Alienware M15 R2 มีความล้ำสมัยแบบสุดๆ เป็นยานอวกาศเหมือนมาจากต่างดาวมากๆ ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูไม่เหมือนใครเน้นเรียบง่ายแต่หรูหรามากๆ เลือกใช้สีดำ Dark Side of the Moon ที่เป็นโทนดำทั้งตัวเครื่อง (หรือสีขาว Lunar Light แบบขาวนวลพร้อมสลับสีดำ) ที่ดูแล้วสะอาดตา เชื่อว่าโดนใจใครหลายๆ คนแน่นอน ในเรื่องของความพรีเมียมแตกต่างจาก Gaming Notebook แบรนด์อื่นๆ แบบชัดเจน เรียกได้ว่าเอาไปใช้งานที่ไหนก็โดดเด่นสุดๆ
สำหรับฝาหลังมีโลโก้ Alienware และเลข 15 อยู่ ซึ่งรุ่นที่นำมารีวิวนี้เป็นรุ่นพิเศษจากโปรเจค Alienware x CARNIVAL ทำให้มีการเพิ่มโลโก้ CARNIVAL เข้ามาด้วย ได้วัสดุหลักๆ ก็จะเป็นแม็กนีเซียมอัลลอยด์และพลาสติกที่แข็งแรงและพรีเมียม แน่นอนว่ามีมิติตัวเครื่องที่เล็กลงจากการที่ขอบจอบาง เล็กกว่ารุ่นก่อนๆ โดยมีน้ำหนักแค่ 2.16 กิโลกรัมเท่านั้น และมีความบางสุดๆ ของตัวเครื่องเพียง 17.9 มิลลิเมตร เรียกได้ว่าเป็น Gaming Notebook หน้าจอ 15.6″ อีกรุ่นในตลาดที่ทั้งบางและเบาไปด้วยพร้อมๆ กัน
ตัวเครื่องโดยรวมให้ดูทันสมัยและเรียบง่าย ตามมาด้วยการใส่รายละเอียดต่างๆ ที่สวยงามตามสไตล์ Alienware ที่สำคัญด้วยเทคโนโลยี Advanced Alienware Cryo-Tech v3.0 ได้ชุดระบายความร้อนก็มีขนาดที่ใหญ่มาก โดยได้พัดลม 2 ตัวขนาดใหญ่ ดูดอากาศเย็นจากใต้ตัวเครื่องพร้อมเปล่าออกผ่านทางฮีทไปป์และฟินขนาดใหญ่ไปทางด้านหลังและด้านข้างออกตัวเครื่อง เชื่อได้เลยว่า Alienware M15 R2 ตัวนี้ต้องจัดการอุณหภูมิได้ดีอย่างแน่นอน
มาพร้อมกับไฟ RGB 16.8 ล้านสี ด้วย AlienFX Lighting Zone ตามสไตล์ของ Alienware ที่เราสามารถปรับแต่งได้ดั่งใจ ทั้งส่วนของคีย์บอร์ดที่ดูแล้วสวยงาม อีกทั้งด้านหลังตัวเครื่องที่เป็นการแยกชุดระบายความร้อนออกมาตามสไตล์ของ Alienware ก็ยังมีการติดตั้งไฟ RGB เอาไว้ ทั้งโลโก้หลังและปุ่ม Power ที่ยอมรับเลยว่าตรงนี้ดูเก๋มากๆ โดดเด่นแบบสุด ให้อารมณ์ด้วยรวมของตัวเครื่องแบบรถยุโรปราคาแพงทีเดียว ที่สำคัญช่องระบายความร้อนก็เป็นแบบรังผึ้งที่ลงตัวสุดๆ ทั้งขอบด้านหลังและเหนือชุดคีย์บอร์ด
ส่วนด้านฐานของตัวเครื่องมียางรองกันลื่นสองเส้นพาดยาวยกตัวเครื่องให้สูงขึ้น ยกตัวเครื่องให้อากาศเย็นผ่าน โดยมีช่องดูดลมเย็นขนาดใหญ่ ซึ่งมีการเล่นดีไซน์แบบรังผึ้ง ติดตั้งเอาไว้ที่เราสามารถมองเห็นกันได้อย่างชัดเจนทั้งสวยงามลงตัวและใช้ได้จริง ส่วนถ้าจะอัพเกรดก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ขันน็อตไม่กี่ตัว รวมๆ แล้วต้องยอมรับว่าทาง Dell นั้นใส่ใจในการออกแบบมาจริงๆ นอกจากที่อัพเกรดได้ไม่ยากแล้ว ยังทำความสะอาดได้สะดวกสบายอีกด้วย เป็นข้อดีที่หาได้ยากในหลายๆ แบรนด์
สรุปโดยรวมการออกแบบดีไซน์ภายนอกและวัสดุนั้น ทำได้ดีตามมาตรฐานของ Dell ที่เป็นโน๊ตบุ๊คระดับสูง ซึ่งทุกคนไว้ใจและมั่นใจจริงๆ ตอบโจทย์ของคนที่ต้องการโน๊ตบุ๊คประสิทธิภาพสูงในดีไซน์เรียบๆ แต่แอบแฝงความแรงและเรียบหรูเอาไว้ ที่เน้นสายเกมเมอร์เป็นหลัก แต่ใครจะเอาไปทำงานเบาๆ หรือทำงานหนักๆ อะไรก็แล้วแต่เลย อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าราคาสูงกว่าแบรนด์คู่แข่ง
Keyboard / Touchpad
คีย์บอร์ดของ Alienware M15 R2 มีการออกแบบมาให้มีขนาดใหญ่โดยโค้งรับกับนิ้วมือได้พอดี ทำให้สามารถพิมพ์ได้ง่ายขึ้น ก็ถือว่าทำไว้ดี ด้านการใช้งานในการพิมพ์ด้วยเทคโนโลยี N-Key rollover และ anti-ghosting ตอบสนองได้เป็นอย่างดีทั้งขนาดแป้นพิมพ์ที่รับกันนิ้วและช่องว่างทำให้มีความแม่นยำในการกด เด้งกับนิ้วเมื่อกดลงไปอย่างพอดีด้วยความลึก 1.7 มิลลิเมตร ในส่วนของไฟ RGB 16.8 ล้านสี แบบ Per-key Alien FX lighting ก็สามารถใช้งานได้ดีทีเดียว ส่วนปุ่มเปิดเครื่องจะไปอยู่ที่บริเวณด้านบนมุมขวาของชุดคีย์บอร์ด มีไฟ RGB ที่สามารถปรับได้ตามต้องการ แน่นอนว่าไม่มีการสกรีนภาษาไทยตามสไตล์
ทัชแพดมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ในระดับนึง พื้นผิวแบบกระจกสัมผัสแล้วติดนิ้ว ส่วนดีไซน์นั้นก็ใช้เป็นแบบซ่อนปุ่มคลิกซ้ายขวา โดยการควบคุมสามารถทำได้เป็นอย่างดีรวมไปถึงปุ่มคลิกทั้งซ้ายขวาก็มีความนุ่มและเด้งรับได้น่าประทับใจ การใช้งานจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยมีการจับความเคลื่อนไหวว่าผู้ใช้กำลังพิมพ์ข้อความอยู่หรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้เคอร์เซอร์ไม่เลื่อนไปจากตำแหน่งเก่า ถ้าผู้ใช้เผลอนำมือไปโดนทัชแพดเข้า
Screen / Speaker
หน้าจอของ Alienware M15 R2 มีขนาดที่ 15.6″ ขอบหน้าจอบางที่ 5.2 มิลลิเมตร แบบจอด้านลดแสงสะท้อน โดยมีความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) พาเนล IPS คุณภาพสูง ที่สำคัญยังรองรับการแสดงผล 144Hz เทียบกับโน๊ตบุ๊คหน้าจอพาเนลทั่วไปแล้วล่ะก็ ต้องบอกว่า Alienware M15 R2 มีความเหนือชั้นกว่าแบบเห็นครั้งแรกก็รู้เลย เรียกได้ว่ารองรับทุกการทำงานหรือความบันเทิง รวมไปถึงการเล่นเกมแบบเต็มประสบการณ์อย่างสุดๆ นอกจากนี้ยังมี Tobii Eyetracking ที่เราสามารใช้ดวงตาในการเล่นเกมอีกด้วย (แต่ต้องเป็นเกมที่รองรับด้วยนะ)
การทดสอบประสิทธิภาพหน้าจอของ Alienware M15 R ที่เป็นโน๊ตบุ๊คที่ใช้หน้าจอพาเนล IPS ทางทีมงานเลยถือโอกาสทดสอบหน้าจอแบบละเอียดๆ ด้วยเครื่องมือที่เป็นทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่าง Spyder5Elite พร้อมทั้งคาลิเบรทหน้าจอให้สีสันมีความตรงความเป็นจริงมากที่สุด โดยทดสอบออกมาแล้วเผยให้เห็นขอบเขตความกว้างของสีสันเทียบเท่ากับมาตรฐาน sRGB ที่ 96% และ AbodeRGB ที่ 71%
เรียกได้ว่าให้ประสิทธิภาพเรื่องของสีสันอยู่ในระดับที่ดีน่าประทับใจ ความสว่างหน้าจอสูงสุดอยู่ที่เกือบๆ 300 cd/m2 ซึ่งจัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานความสว่างของหน้าจอในโน๊ตบุ๊คราคาระดับนี้ คือเพียงพอต่อการใช้งานทั่วๆ ไปแน่นอน หรือถ้าเอาไปทำภาพกราฟิกหรือตกแต่งภาพที่เน้นมืออาชีพมากๆ ก็เหมาะสมเป็นอย่างดี
ต่อกันที่วัดความสว่างของหน้าจอตามตำแหน่งต่างๆ โดยแบ่งเป็น 9 ช่อง เทียบจากช่องกลางที่ปกติแล้วจะให้ความสว่างที่มากที่สุด ที่จะเห็นได้ว่าช่องกลางแถวล่างเป็น 0% ก็คือแสดงความสว่างได้เต็มที่ แต่สำหรับช่องขวาแถวล่าง มีแสงสว่างที่ลดลงไประดับ 8% ในการทดสอบก็เพื่อให้เราใช้งานอย่างระมัดระวังสำหรับคนที่บังเอิญจำเป็นต้องใช้งานภาพถ่าย หรืองานกราฟิกอื่นๆ ปิดท้ายด้วยคะแนน 4.0 เมื่อทดสอบด้านการแสดงผลต่างๆ ทั้งหมดแล้ว ผ่านทางอุปกรณ์ Spyder5Elite
ตัวเครื่องมีช่องลำโพงคู่หน้าระบบเสียงให้เสียงคมชัด เพิ่มอรรถรสในการเล่นเกมให้ถึงใจยิ่งขึ้น ด้วยความที่เป็น 2 ชาแนล อยู่ข้างใต้ตัวเครื่องทางซ้ายและขวา ในเรื่องของความดังของเสียงเรียกว่าทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจทีเดียว ส่วนในเรื่องคุณภาพเสียงนั้น อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากว่าคุณเป็นผู้ใช้งานทั่วไป คุณภาพเสียงที่ได้นั้น ก็ถือว่าดีเพียงพอแบบสบายๆ แล้ว ส่วนใครจะเอาไปต่อกับหูฟังหรือลำโพงเพิ่ม ก็สามารถทำได้หากว่าต้องการคุณภาพเสียงที่ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก
Connector / Thin And Weight
ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อประกอบไปด้วย ช่องชาร์จไฟ Power/DC-in Port 1 / RJ-45 Ethernet Port / 2 x Type-A USB 3.1 Gen 1 Port / 1 x Type-A USB 3.1 Gen 1 Port with PowerShare technology / 1 x Thunderbolt 3 Port (USB Type-C with support for USB 3.1 Gen 2 10Gbps, 40Gbps Thunderbolt, and DisplayPort 1.2) / 1 x Alienware Graphics Amplifier Port / 1 x HDMI 2.0b Output Port / 1 x Mini-Display Port 1.4 (certified) Output Port / 1 x Audio Out (Compatible with inline mic headset) / Wedge-shaped lock slot (cable and lock sold separately) จัดเต็มกันไปเลย
Alienware M15 R2 นับได้ว่าเหนือชั้นกว่า Gaming Notebook หลายรุ่น ในส่วนของความบางเบาของตัวเครื่อง ตอบสนองการพกพาได้เป็นอย่างดี มีน้ำหนักตัวค่อนข้างมากถึง 2.16 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้าจะเห็นว่าเบากว่าเดิม แถมมิติตัวเครื่องยังบางและเบากว่าเดิม ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่พัฒนาดียิ่งขึ้น ซึ่งถ้ารวมอแดปเตอร์แล้วจะมีน้ำหนักประมาณ 2.5 กิโลกรัม ไม่ลำบากในการพกพามากนัก แม้ตัวอแดปเตอร์เองจะมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่อยู่ทีเดียว
Performance / Software
โดย Alienware M15 R2 มาพร้อมกับชิปประมวลผล Intel Core i Gen 9 อย่าง Intel Core i7-9750H (ว่าที่รุ่นยอดนิยมประจำปี 2019) ซึ่งเป็นชิปประมวลผลที่เน้นการใช้งานหนักๆ ไม่จะเป็นการโปรเซสหรือเล่นเกม มีความเร็วในการประมวลผลอยู่ที่ 2.60 GHz แต่สามารถเร่งประสิทธิภาพขึ้นไปได้สูงสุดถึง 4.50 GHz เป็นซีพียูแบบ 6 Core 12 Threads ที่แรงเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปมากๆ หรือถ้างานที่ต้องประมวลผลจริงจังก็รองรับได้อย่างสบายๆ จัดว่าเป็นรุ่นยอดนิยมสูงสุด มาพร้อมแรมภายในขนาด 8GB DDR4 Bus 2666MHz แบบ 4GB x 2 แถว ที่สามารถขับเคลื่อนระบบปฏิบัติการ Windows 10 ลิขสิทธิ์ที่มีมาให้แบบสบายๆ
กราฟิกการ์ดเป็นแบบออนบอร์ดอย่าง Intel UHD Graphics 630 ที่ให้พลังในการประมวลผลที่ดีในระดับหนึ่ง อย่างในเรื่องของกราฟิก 2 มิตินั้นก็รองรับได้อย่างสบายๆ หรือถ้าเป็น 3 มิติ ก็ต้องบอกว่ารองรับการทำงานได้ในระดับเบื้องต้นเท่านั้น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็สนับสนุนการเล่นเกมได้ในระดับนึงเหมือนกัน โดยมีกราฟิกการ์ดจอแยกตัวแรงอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2060 (6GB GDDR6) แบบรองรับ Overclock (ผ่านทางซอฟต์แวร์) ที่ต้องบอกว่าแรงกว่า RTX 2060 ปกติ ตอบสนองในส่วนของการทำงานที่เกี่ยวข้องกับ 3 มิติ หรือเกมที่กินทรัพยากรได้เป็นอย่างดีทีเดียว เรียกว่าสำหรับเกมออนไลน์สามารถทำได้ลื่นไหลแน่นอน แต่ยังไงไปดูผลทดสอบอีกทีดีกว่าด้านล่าง
สำหรับโปรแกรมทดสอบ CINEBENCH ที่เน้นในเรื่องของพลังชิปประมวลผล คะแนนก็อยู่ในระดับสูงสุดๆ ที่น่าประทับใจ เปรียบเทียบกับชิปประมวลผลรุ่นก่อนหน้าแล้ว ก็ทำได้ดีกว่าเล็กน้อย รวมไปถึงตัวกราฟิกการ์ดเองก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เรียกได้ว่าตอบโจทย์ในส่วนของงานประมวลผลหนักๆ ได้อย่างสบายๆ รวดเร็วทันใจแบบสุดๆ สมกับเป็นชิปประมวลผลตัวบนในรุ่นใช้งานเต็มกำลัง และการ์ดจอระดับบน ที่เน้นการทำงานเป็นหลัก
ตัวเก็บข้อมูลของเครื่องที่เลือกใช้ SSD ก็ทำคะแนนออกมาได้อย่างรวดเร็วเป็นที่น่าพอใจบนขนาดความจุ 256GB แบบ M.2 NVMe แน่นอนว่าเร็วกว่า SSD M.2 SATA 3 แบบทั่วไป ยิ่งเมื่อนำไปใช้เทียบกับฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนแล้วละก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพทั้งในด้านการทดสอบและในด้านการใช้งานจริงที่แตกต่างกันอย่างเห็นเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าเปิดอะไรปุ๊บก็ติดปั๊บ ที่ต้องบอกว่าความเร็วระดับการอ่านที่ราวๆ 1613MB/s และเขียนที่ 1297MB/s จัดได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีลื่นไหลเป็นอย่างดี ทั้งการใช้งานทั่วไปหรือประสิทธิภาพ
การทดสอบประสิทธิภาพกับโปรแกรม PCMark 10 Advance ซึ่งสามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้มากถึง 4,769 คะแนน (น้อยกว่าที่ควรจะเป็น มีโอกาสจะทดสอบอีกครั้ง) ถือได้ว่าในส่วนของการใช้งานทั่วไปโดยรวมนั้นสอบผ่านแบบสบายๆ ทั้งในส่วนของการเล่นเว็บไซต์ งานเอกสาร งานตกแต่งรูปภาพ รวมถึงงานตัดต่อวิดีโอ และจากการที่เป็นโน๊ตบุ๊คเล่นเกมมีการ์ดจอแยกอย่าง RTX 2060 OC Ready แต่ถ้าเทียบจริงๆ จะเห็นถึงคะแนนที่ต่ำกว่า Gaming Notebook ในสเปกที่ใกล้เคียงกัน
คะแนนและเฟรมเรมในการเล่นเกมทำออกมาน่าสนใจมากๆ โดยเฉลี่ยของเฟรมเรท (FPS) จากทั้ง 6 เกมที่ได้ทดสอบมีค่าเฟรมเรทเฉลี่ยมากกว่า 60 FPS ขึ้นไปแทบทุกเกม ซึ่งตรงนี้ก็สามารถชี้วัดความสามารถในการเล่นเกมที่กราฟิกละเอียดๆ และภาพสวยๆ ได้ลื่นไหลเป็นอย่างดีเลย จากการที่สเปกภายในเป็นชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H ร่วมกับการ์ดจอแยก NVIDIA GeForce RTX 2060 OC Ready โดยประกอบกับยังใช้แรม 8GB DDR4 รวมไปถึง SSD NVMe 256GB ก็ผลต่อประสิทธิภาพทั้งหมด
ทดสอบเกมกินทรัพยากรพอตัวอย่าง Battlefield V/ FarCry 5 / GTA V ก็สามารถเล่นได้ดีที่ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล โดยกราฟิกปรับระดับสูงสุดทั้งหมด ตามภาพด้านบน ที่ต้องบอกว่าภาพก็สวยจนน่าประทับใจ เรียกได้ว่าเหลือๆ กับการตอบสนองความต้องการเล่นเกมได้สมบูรณ์ที่สุดแล้ว โดย Battlefield V เปิด DX12 แต่เลือกปิด DLSS / Ray Tracing ที่แม้จะทำให้ภาพสวยแต่ก็กินทรัพยากรเครื่องพอตัวอยู่ เฟรมเรทเฉลี่ยของทั้ง 3 เกม อยู่ที่ระดับ 60 – 80+ ทั้งหมดเลย
เกมออนไลน์กินสเปกเบาๆ หน่อยอย่าง DOTA 2 / Overwatch รวมไปถึง PUBG ก็จัดการทดสอบแบบปรับสุดหมดให้ด้วยเช่นกัน โดยทั้งนี้การตั้งค่าความละเอียดของภาพก็อยู่ที่ 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดที่จะสามารถเล่นให้ลื่นได้ สำหรับรายละเอียดภาพอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเปิดทุกอัน ผลที่ได้ออกมาก็คือสามารถเรนเดอร์ได้อย่างไหลลื่นในระดับเฟรมเรทที่สูงสุด แม้กระทั่งฉากตะลุมบอนกันก็สบายๆ ค่าเฟรมเรทอยู่ที่ราวๆ 90 – 100 ขึ้นไปตลอด ซึ่งสรุปโดยรวมแล้ว ก็ถือว่าเล่นได้สบายๆ แต่ถ้าเทียบกับ Gaming Notebook รุ่นอื่นที่สเปกใกล้เคียงกัน
ที่สำคัญด้วยหน้าจอ พาเนล IPS แบบ 144Hz ทำให้เกมมีความลื่นไหลกับฉากที่เคลื่อนไหวเร็วๆ เวลาที่เราปรับให้ปล่อยเฟรมเรทสูงๆ แบบสุดๆ หมดปัญหาภาพฉีก หรือภาพกระตุกไปเลย แต่นั่นก็ต้องอยู่กับตัวเกมด้วยว่าขับเฟรมเรทได้แค่ไหน ถ้าเกมกินสเปกหนักๆ 144Hz อาจไม่เห็นผลมากนักกับความลื่นไหล หรือเอาจริงๆ สำหรับเกมสไตล์ MOBA แค่ 60 FPS นิ่งๆ ก็เอาอยู่ หรือถ้าอยากให้วิ่ง 144Hz ก็จะปรับกราฟิกของเกมลงมาต่ำๆ หน่อย
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจของ Alienware M15 R2 เป็น Gaming Notebook ก็คือมาพร้อมซอฟต์แวร์บันเดิลอย่าง Dell SupportAssistant โดยเป็นโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราดูแลคอมพิวเตอร์ได้อย่างเหมาะสม ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และช่วยแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โปรแกรมนี้ยังระบุข้อมูลที่สำคัญสำหรับแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งนั่นหมายรวมไปถึงการอัพเดทไดร์เวอร์ต่างๆ และ Windows ด้วย จัดได้ว่าดีและใช้งานได้จริง
รวมไปถึงซอฟต์แวร์ Dell Power Manager ที่คอยเป็นตัวช่วยในการจัดการพลังงาน การชาร์จไฟ สถานะแบตเตอรี่ รวมไปถึงระบบระบายความร้อน ที่เราสามารถเลือกการจัดการได้ ว่าจะใช้งานทั่วไป อัตโนมัติ หรือเร่งรอบพัดลม เพื่อให้ระบายความร้อนได้สูงสุด ตามแต่ลักษณะการใช้งานของเรา
นอกเหนือจากนี้ทาง Dell ยังมีซอฟต์แวร์ Utility อย่าง Alienware Command Center โดยเป็นลักษณะของแอพพลิเคชั่นต่างๆ มากมาย ที่ช่วยเอื้ออำนวยในการปรับแต่งเพื่อการเล่นหรือทำงานโดยเฉพาะ อาทิเช่น โหมดการใช้งานต่างๆ โปรไฟล์เกมที่มีอยู่ AlienFX ไว้ปรับไฟทั้งตัวเครื่อง ไว้จัดการเกี่ยวประประสิทธิภาพ รวมไปถึงหน้าตาโปรแกรมว่าเป็นโทนสว่างโทนมืด หรือกราฟิกต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะ Gaming Notebook ระดับสูงของทาง Dell ที่มีการพัฒนาต่อยอดมาจาก Alienware เท่านั้น
ปิดท้ายด้วย Dell Mobile Connect ซอฟต์แวร์ที่คอยเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ช่วยให้ผู้ใช้ไม่ต้องแยกการใช้งานระหว่างพีซีและสมาร์ทโฟน โดยเชื่อมต่อกันผ่านสัญญาณ Bluetooth ซึ่งทำให้การแจ้งเตือนต่างๆ ข้อมความ เบอร์โทร รวมไปถึงการโทรศัพท์ติดต่อ สามารถทำผ่านโน๊ตบุ๊คของ Dell ได้เลย สำหรับ Alienware M15 R2 ก็มีซอฟต์แวร์ตัวนี้ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน เรียกได้ให้ประสบการณ์การใช้งานที่ดีกว่าโน๊ตบุ๊คทั่วไปากทีเดียว
Battery / Heat / Noise
แบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน Alienware M15 R2 เครื่องนี้มีความจุแบตเตอรี่ที่ความจุไม่ใหญ่มาก แต่ด้วยที่เป็นชิปประมวลผลแบบเน้นประสิทธิภาพ ส่วนของการทดสอบระยะเวลาใช้งานของแบตเตอรี่โดยตั้งค่าความสว่างหน้าจอและเสียงให้ระดับต่ำที่สุดแล้วเล่นเว็บสลับกับดู Youtube แล้ว โปรแกรม BatteryMon แจ้งระยะเวลาใช้งานต่อเนื่องในเงื่อนไขดังกล่าวราว 2 ชั่วโมงโดยประมาณ เรียกได้ว่าน้อยเกินกว่าที่คาดเอาไว้ มีโอกาสเราจะมาทดสอบกันใหม่อีกครั้ง
สำหรับอุณหภูมิเมื่อใช้งานแบบปกติจะอยู่ที่ประมาณ 40 – 70 องศาเซลเซียส ภายในห้องปรับอากาศอุณหภูมิประมาณ 25 – 28 องศาเซลเซียส จากนั้นทำการทดสอบเบิร์นให้เครื่องทำงาน 100% ด้วยการเล่นเกมกราฟิก 3 มิติหนักๆ เพื่อให้เห็นถึงระบบระบายความร้อนและเสียงรบกวนที่จะเกิดขึ้นเมื่อพัดลมหมุนรอบจัด ที่ดูจากภาพแล้วจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิสูงสุดของชิปประมวลผลอยู่ที่ไม่เกิน 95 – 100 องศาเซลเซียส และการ์ดจอไม่เกิน 60 – 72 องศาเซลเซียส ส่วนเสียงพัดลมก็ถือว่าเสียงไม่ดังเลยเมื่อใช้งานหนักๆ ถือว่าไม่รบกวนอะไรมากมายสำหรับคนที่เล่นเกม อย่างไรก็ตามถือว่า Alienware M15 R2 เป็น Gaming Notebook ที่ระบบระบายความร้อนทำได้ดีน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ
Conclusion / Award
สรุปรีวิวจากการทดสอบใช้งานจริงของ Alienware M15 R2 สำหรับการดีไซน์และออกแบบตัวเครื่องนับว่ามีความก้าวล้ำกว่ารุ่นก่อนๆ ไปมาก ด้วยแนวคิดใหม่ๆ พร้อมวัสดุคุณภาพสูง งานประกอบที่แน่นๆ และสวยงามน่าประทับใจ ประกอบกับการดีไซน์ที่ตอบสนองความต้องการของเกมเมอร์ที่ต้องการ Gaming Notebook ที่แตกต่างและโดดเด่นสะดุดตา พรีเมียมแบบสุดๆ อย่างที่หาไม่ได้ในแบรนด์อื่นๆ
รุ่นที่นำมารีวิวเป็น Alienware M15 R2 ที่เป็นสเปกตัวเริ่มต้น Intel Core i7-9750H + NVIDIA GeForce RTX 2060 OC Ready รวมไปถึงหน้าจอ IPS Refrsh Rate ที่ 144 Hz ส่งผลให้เสริมประสบการณ์ใช้งานยิ่งขึ้นไปอีก แม้จะต้องจ่ายสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ก็ตาม ในสเปกและบางอย่างที่เหนือชั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าถ้าวัดกันสเปกต่อสเปก จะมีราคาที่สูงกว่าแบรนด์อื่นๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งเชื่อว่าแฟนๆ ของ Alienware น่าจะยินดีมากๆ ที่จะซื้ออยู่แล้วล่ะ ถ้ารับถึงราคาได้
โดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยฟีเจอร์อย่าง AlienFX Lighting Zones ที่แบ่งเป็นในส่วนของคีย์บอร์ดมีไฟ RGB และช่องระบายความร้อย รวมไปถึงโลโก้ด้านหลังและปุ่ม Power ปรับแต่งผ่านทางซอฟต์แวร์ต่างๆ ที่ใช้งานได้จริง แม้ว่าอาจจะข้อสังเกตในเรื่องการระบายความร้อนที่อุณหภูมิสูงไประดับร้อนสุดที่ 100 องศา รวมไปประสิทธิภาพน่าจะแรงกว่านี้ในส่วนของการทดสอบ สุดท้ายถ้าดูราคาแล้วรับได้ รวมไปถึงพอใจกับ งานประกอบ สเปก และการมีพอร์ต Thunderbolt 3 มาให้แล้ว ก็ถือว่าเป็นโน๊ตบุ๊คที่น่าสนใจรุ่นนึงช่วงปี 2020 นี้ก็ว่าได้
Alienware M15 R2 เป็นโน๊ตบุ๊คที่จัดได้ว่ามีความครบครันในการใช้งานหลายๆ ด้าน ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานทั้งในกลุ่มที่เป็นผู้ใช้งานที่เน้นเล่นเกมเป็นหลักด้วยดีไซน์การออกแบบและสเปก Gaming หรือผู้ที่รักความบันเทิงและมัลติมีเดีย ส่วนทำงานทั่วๆ ไปนั้นสบายๆ อยู่แล้ว ด้วยสเปคภายในที่แรงตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น แถมยังให้การรับประกันถึง 2 ปีอีกด้วย ที่สำคัญคือ Dell Premium Support คือมารับมาส่งถึงบ้านเลย อันนี้เจ๋งกว่าแบบเหนือชั้นจริงๆ ยังไงก็จัดได้ว่ามีความน่าซื้ออยู่ไม่น้อยเช่นกัน สำหรับการโน๊ตบุ๊คเพื่อการเล่นเกมจาก Dell
ซึ่งย้ำอีกครั้งว่ารุ่นเวอร์ชั่นที่เรานำมารีวิวเป็น Alienware M15 R2 “CARNIVAL Edition” รุ่นใหม่ล่าสุด จัดว่าเป็น Alienware M15 R2 รุ่นพิเศษที่ออกแบบโดย Carnival ที่จะมาพร้อมกับสีเทา Darkside of the Moon และครั้งแรกกับการเปิดตัวสี Lunar Light ในโทนสีขาวแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยจะมาพร้อมกับลายสกรีน CARNIVAL พิเศษบนเครื่อง และอะแดปเตอร์ เปิดให้พรีออร์เดอร์จำนวนจำกัดพร้อมสินค้า Limited Edition ที่สายสตรีทและเกมเมอร์จะมาบรรจบในที่เดียวกัน โดยรุ่นปกติก็สามารถหาซื้อได้ตามตัวแทนจำหน่ายของ Dell
โดยใน Set Alienware x CARNIVAL จะประกอบไปด้วย Alienware x x CARNIVAL Vindicator 2.0 15” Backpack, Alienware x CARNIVAL Elite Gaming Mouse AW959 อิดิชั่นพิเศษที่มาพร้อมกับลายสกรีน CARNIVAL พร้อมกับเสื้อผ้า Alienware x CARNIVAL T-Shirt และ Alienware x CARNIVAL Cap สุดพิเศษ
Award
โดยในครั้งนี้จะเป็นการเปรียบเทียบการให้รางวัลกับเครื่องในกลุ่มของโน๊ตบุ๊คขนาดหน้าจอ 15.6 นิ้วด้วยกัน ซึ่ง Alienware M15 R2 ก็ได้รางวัลต่างๆ ดังนี้
Best Design
เรื่องของรูปร่างหน้าตาก็เป็นหนึ่งในจุดเด่นที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ Dell Gaming Notebook ที่เป็นโน๊ตบุ๊คสายคเล่นเกมระดับท็อป ซึ่งจุดเด่นในข้อนี้ก็เห็นได้ชัดเจนใน Alienware M15 R2 ที่มีดีไซน์ของตัวเครื่องสวยงามโฉบเฉี่ยวเป็นเอกลักษณ์ ดูแล้วเรียบหรูตามสไตล์คนรุ่นใหม่ที่ชอบเล่นเกม ซึ่งในจุดของรูปร่างหน้าตาก็เป็นสิ่งที่หลายๆ คนยอมรับกัน ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
Best Performance
ด้วยสเปกชิปประมวลผล Intel Core i7-9750H ตัวล่าสุดให้ความแรงเพียงพอกับทุกๆ การใช้งาน ที่มาพร้อมการ์ดจอระดับรองท็อปอย่าง NVIDIA GeForce RTX 2060 OC Ready กับแรมขนาด 8GB แบบ DDR4 ได้ SSD M.2 NVMe ความจุ 256GB รวมไปถึงหน้าาจอ 144Hz ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของตัวเครื่องนี้มีความน่าประทับใจ ทั้งจากในการใช้ทำงานจริงๆ รวมไปถึงการทดสอบด้วยโปรแกรมต่างๆ รวมไปถึงการเล่นเกมในปัจจุบัน